ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข่าว บอลโลก 2006

    ลำดับตอนที่ #9 : 6 สตาร์ผู้น่าผิดหวังในฟุตบอลโลก 2006

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ค. 49


    ทุกอย่างในโลกมี 2 ด้านเสมอ เหรียญมีหัว-ก้อย, สีมีขาว-ดำ, คนมีผู้ชาย-ผู้หญิง ฯลฯ

    ฉันใดฉันนั้น ถ้าหากการแข่งขันฟุตบอลทุกทัวร์นาเมนต์ในโลก มีนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่น จนถูกยกให้เป็นดาวเด่นของการแข่งขัน

    ในทางตรงกันข้าม ก็จะต้องมีนักเตะที่ทำผลงานได้ย่ำแย่เช่นกัน

    สาเหตุที่พวกเขาเหล่านั้น ทำผลงานได้แย่ คือเรื่องที่อธิบายไม่ได้ แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ แต่ที่แน่นอนก็คือไม่มีใครต้องการให้ตัวเองเล่นไม่ดี

    เร็วเหมือนไม่น่าเชื่อ ศึกฟุตบอลโลก 2006 เดินทางร่วมกับแฟนบอลทั้งโลกมาถึงช่วงที่ตื่นเต้นที่สุดของการแข่งขันแล้ว ตลอดหลายเกมที่ผ่านมา มีนักเตะมากมายที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยม จนสามารถพาทีมเข้ารอบลึก ๆ

    แต่ก็มีนักเตะไม่น้อยเหมือนกันที่โชว์ฟอร์มได้น่าผิดหวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเตะที่ได้รับการจับตามองว่าจะทำได้ดี และเป็นกำลังสำคัญของทีมนั้น มีหลายคนทีเดียวที่ทำไม่ได้ตามเป้า หรือเล่นไม่ได้เหมือนกับที่เคยทำได้ในระดับสโมสร

    วันนี้เรารวบรวมนักเตะในข่ายนี้จำนวน 6 คน เพื่อเป็นอาหารสมองเล็ก ๆ น้อย ๆ ในวันนี้ครับ



    แฟรงค์ แลมพาร์ด (อังกฤษ)

    แฟรงค์ แลมพาร์ด คือนักเตะที่ทำประตูได้มากที่สุดในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก ของอังกฤษ นอกจากนั้นยังได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก โรนัลดินโญ ซูเปอร์สตาร์ของบราซิล เพียงคนเดียว

    ที่สำคัญเขาเพิ่งเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้ "สิงห์สำอาง" เชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ชิพ 2 ปีติดต่อกัน ซึ่งถือเป็นแชมป์ครั้งที่ 2 และ 3 ในประวัติศาสตร์ของสโมสร

    ไม่ต้องสงสัยว่าทั้งหมด ทำให้มิดฟิลด์วัย 27 ปี เดินทางมาเยอรมนี พร้อมด้วยความคาดหวัง และชื่อเสียง ในฐานะหนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดของโลกในยุคปัจจุบัน

    แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้าม

    ก่อนเกมรอบก่อนรองชนะเลิศกับโปรตุเกส แลมพาร์ด มีโอกาสยิงประตูถึง 21 ครั้ง จาก 4 เกม แต่ทำไม่ได้สักประตู เทียบกับ มิโรสลาฟ โคลเซ หัวหอกทีมชาติเยอรมนี ที่ก่อนเกมรอบ 8 ทีมกับ อาร์เจนตินา มีโอกาสเพียงแค่ 18 ครั้ง แต่กลับยิงได้ถึง 4 ประตู

    มันจึงเห็นได้ชัดว่า "แลมพ์" ไม่สามารถแจ้งเกิดสำเร็จ หรือที่หนักกว่านั้น หลายคนถึงกับตั้งข้อสงสัยในฝีเท้าที่แท้จริงของเขาด้วยว่าเข้าขั้นระดับโลกอย่างที่ได้รับการโปรโมทหรือเปล่า

    ในโอกาสยิงประตูจำนวน 21 ครั้งดังกล่าว มีเพียงแค่ 9 ครั้งเท่านั้นที่ แลมพาร์ด ยิงบอลเข้ากรอบ แต่ว่าแต่ละลูกนั้นล้วนเป็นลูกยิงธรรมดา ๆ ที่แถบจะไม่ได้สร้างความยากลำบากให้ผู้รักษาประตูฝ่ายตรงข้ามระคายเคืองเลยแม้แต่นิดเดียว

    ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ใช่เพียงแค่การยิงประตูเท่านั้นที่ กองกลางคุณพ่อลูกหนึ่ง ทำได้น่าผิดหวัง แต่การทำงานในแดนกลางของเขาก็ต้องบอกว่าสอบตกไม่แพ้กัน เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรเลยที่แสดงให้เห็นเลยว่านี่คือหนึ่งในกองกลางที่ว่ากันว่าดีที่สุดในโลก

    แฟนบอลเยอรมนีหลายคนบอกว่า สิ่งเดียวที่ แลมพาร์ด ทำได้ดีดูเหมือนจะเป็นการวิ่งไปวิ่งมาให้เกะกะการเล่นของ สตีเวน เจอร์ราร์ด คู่หูมิดฟิลด์ในแดนกลางเท่านั้น

    โอเวน ฮาร์กรีฟส์ และไมเคิล คาร์ริค 2 กองกลางที่ไม่ได้รับการจับตามองมากนัก ได้รับโอกาสลงเล่นให้อังกฤษเช่นกันในทัวร์นาเมนต์นี้ แต่ดูเหมือนว่าดาวเตะจากบาเยิร์น มิวนิก และทอตแนม ฮอตสเปอร์ จะทำผลงาน และสร้างประโยชน์ให้ทีมได้ดีกว่า แลมพาร์ด ด้วยซ้ำ

    ต้องยอมรับว่า สาเหตุที่ แลมพาร์ด ได้ลงเล่นเป็นตัวจริง หรือแม้แต่ยังอยู่ในทีมชาติอังกฤษตอนนี้ เป็นเพราะชื่อเสียงเก่า ๆ ที่สะสมมาเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่เพียงแค่ชื่อเสียง ไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ทีมชาติอังกฤษหรือทีมใด ๆ คว้าแชมป์โลกมาครองได้หรอก



    ลูกา โทนี (อิตาลี)

    ลูกา โทนี เดินทางมาเยอรมนี โดยพกดีกรีการเป็นนักเตะคนแรกในรอบเกือบ 50 ปี ที่สามารถยิงประตูได้มากกว่า 30 ประตู ในลีกที่หินสุด ๆ อย่างกัลโช เซเรีย อา ของอิตาลี

    31 ประตูในลีกของเขา เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ช่วยให้ ฟิออเรนตินา ทำอันดับไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สำเร็จ และทำให้มีหลายสโมสรระดับท็อปของยุโรปให้ความสนใจอยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม ทั้งในอิตาลีเอง หรือแม้แต่ต่างแดน

    แต่ เยอรมนี 2006 ดูจะเป็นทัวร์นาเมนต์ ที่ยากลำบากเหลือเกินสำหรับ "โทนีโกล" หลังจากที่เขาพลาดโอกาสยิงประตูครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากนั้นการประสานงานกับคู่ขา ที่หน้าตา และชื่อเสียง ดีพอ ๆ กันอย่าง อัลแบร์โต จิลาร์ดิโน ก็ไม่เอาถ่านเลยด้วย

    ซึ่งนั่นก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ ดาวยิงจากเอซี มิลาน ทำผลงานได้น่าผิดหวังไม่แพ้กันในเวิลด์ คัพ ครั้งนี้ ถึงแม้จะซัลโวประตูได้บ้างแล้วก็ตาม

    โทนี ยังมีโอกาสเดินตามรอยเท้าของรุ่นพี่อย่าง เปาโล รอสซี และคืนฟอร์มยิงประตูระเบิดในรอบลึก ๆ จนพาทีมประสบความสำเร็จได้ก็จริง แต่ต้องยอมรับว่าตอนนี้เจ้าของตำแหน่งดาวซัลโวรองเท้าทองคำของยุโรป วัย 29 ปีอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายเหลือเกิน ที่จะพบกับความล้มเหลวในทัวร์นาเมนต์ระดับสุดยอดครั้งแรก และ (น่าจะ) ครั้งเดียวของเขา

    โรนัลดินโญ (บราซิล)

    ไม่มีใครกล้าแม้แต่คิดจะเถียงว่า โรนัลดินโญ ไม่ใช่นักเตะที่ดีที่สุดของโลกในนาทีปัจจุบัน และเขาก็ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายให้ครองตำแหน่งดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์ และไร้คู่แข่ง

    แต่ก่อนเกมในรอบ 8 ทีมสุดท้ายกับ ฝรั่งเศส ต้องยอมรับว่า "เหยินน้อย" ประสบปัญหามากเหลือเกิน และไม่สามารถโชนแสงได้มากอย่างที่แฟน ๆ และตัวเขาเองคาดหวัง จนดูเหมือนกับว่าเขาเป็นคนละคนที่ลงเล่นให้กับ "เจ้าบุญทุ่ม" บาร์เซโลนา สโมสรต้นสังกัดในสเปน

    อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า อาการโชว์ไม่ออกของ โรนัลดินโญ ในครั้งนี้ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากตัวเขาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากเหตุผลทางด้านแท็คติกเป็นตัวประกอบด้วย

    ไม่แน่ใจว่าเป็น คาร์ลอส อัลแบร์โต ปาร์เรรา เทรนเนอร์ทีมชาติบราซิล หรือว่าสื่อมวลชนเมืองกาแฟ หรือที่ใดในโลก ตั้งชื่อให้แกนรุก 4 ประสานของทีมแซมบ้าชุดนี้อย่างสุดหรูว่า "แมจิก สแควร์" หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ก็คงประมาณว่า "สี่เหลี่ยมมหศจรรย์" หรือ 4 "อรหันต์" อะไรเทือกนั้น

    รายนามนักเตะทั้ง "4 อรหันต์" ของบราซิลนั้น เพียงแค่เอ่ยชื่อก็อาจจะทำให้บรรดากองหลังของทุกทีมต้องหนาว ๆ ร้อน ๆ ได้แล้ว เพราะมันประกอบด้วย กากา, โรนัลโด, อาเดรียโน และโรนัลดินโญ แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ "แมจิก สแควร์" กลับไม่สามารถสร้างความหวาดหวั่นต่อฝ่ายตรงข้ามได้มากอย่างชื่อ ถึงแม้ว่า ก่อนหวดกับทีมตราไก่ บราซิลจะคว้าชัยชนะมาครองได้ทุกเกมก็ตาม

    สาเหตุส่วนหนึ่งที่เป็นอย่างนั้น ปฏิเสธไม่ได้ว่ามาจากแผนการเล่นดังกล่าว เพราะแต่ละคนยังไม่คุ้นเคย และเข้าใจในระบบอย่างถ่องแท้นัก

    โรนัลโด และอาเดรียโน อาจจะถูกวิจารณ์อย่างหนัก ในเรื่องน้ำหนัก และรูปร่าง แต่ทั้งคู่ก็ช่วยกันยิงประตูจนพาทีมเข้ารอบลึก ขณะที่ กากา สามารถแสดงความสามารถเฉพาะตัวได้มากกว่าทุกคน และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาคือนักเตะระดับท็อปของโลกคนหนึ่ง แถมยังสามารถยิงประตูสุดสวยช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะเหนือโครเอเชียในนัดแรกด้วย

    อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ด้วยความสามารถที่ โรนัลดินโญ มีอยู่ในตัว ประกอบกับเพื่อนร่วมทีมฝีเท้าระดับพระกาฬดังกล่าวที่ล้อมรอบตัว สิ่งเดียวที่แฟน ๆ ต้องการเห็นจากเหยินน้อยคือความมหัศจรรย์ และเหนือมนุษย์ทั่วไป...

    ...แต่น่าเสียดายที่พ่อมดจากคัมป์ นู ยังไม่สามารถทำให้เห็นวี่แววของเรื่องดังกล่าวเลยให้เห็นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย





    รุด ฟาน นิสเตลรอย (ฮอลแลนด์)

    ฟาน นิสเตลรอย แตกต่างจากนักเตะคนอื่น ๆ ในจำนวน "6 สตาร์ผู้น่าผิดหวัง" นี้เล็กน้อย เนื่องจากก่อนทัวร์นาเมนต์สุดยอดที่เมืองเบียร์ หัวหอกหน้าม้าจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่ได้รับการจับตามองหรือถูกคาดหวังอะไรมากนัก

    สาเหตุเนื่องมาจาก เขามีปัญหาอย่างหนักในรั้วโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตลอดช่วงปลายฤดูกาลก่อน เพราะเกิดขัดใจกับ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน นายใหญ่ของทีม หลังจากที่ไม่ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงเลย ทำให้ฟอร์มการเล่น และความมั่นใจตกลงไปมาก

    มีข่าวลือมาตลอดตั้งแต่ปิดฤดูกาลว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องการขาย ฟาน นิสเตลรอย ออกจากทีม เพราะไม่เป็นที่ต้องการอีกแล้ว ขณะที่เจ้าตัวเองยังไม่ได้แสดงทีท่าที่ชัดเจนออกมา แต่ก็พอจะเดาออกว่าจะเป็นไปในแนวทางไหน

    จากการที่ อนาคตของ ฟาน นิสเตลรอย กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังไม่แน่ไม่นอนเช่นนี้ อาจจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถทำผลงานได้ดีนักในฟุตบอลโลก เนื่องจากเจ้าตัวอาจจะกำลังมีปัญหาส่วนตัวรบกวนจิตใจอยู่ก็เป็นได้

    อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร แต่กองหน้าในระดับนี้ สมควรจะลืมทุกอย่างก่อนทัวร์นาเมนต์ และตั้งใจเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาให้ได้ ซึ่งความจริงที่ ฟาน นิสเตลรอย ยิงไปแค่ประตูเดียวใน 3 เกม พร้อมกับฟอร์มการเล่นที่ไม่น่าประทับใจนัก ทำให้ถือว่าเขาสอบไม่ผ่าน

    และอาจจะด้วยเหตุผลในจุดนี้เองก็ได้ ที่ทำให้ ดาวยิงวัย 29 ปี ถูก มาร์โก แวน บาสเทน ดร็อปให้เป็นเพียงแค่คนดู ในเกมรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ฮอลแลนด์ แพ้ต่อ โปรตุเกส อย่างหวุดหวิด






    เธียร์รี อองรี (ฝรั่งเศส)

    ไม่ใช่เพียงแค่แฟนบอลของ อาร์เซนอล แต่แม้แต่แฟนบอลของทีมคู่แข่งอื่น ๆ ก็ยังต้องยอมรับว่า เธียร์รี อองรี คือหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของโลกในปัจจุบัน

    แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยิงประตูได้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มกับเกาหลีใต้ และโตโกก็จริง แต่ใครได้ติดตามดูฟอร์มของหัวหอกปากย้อย คงจะต้องยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่า เธียร์รี อองรี ในสีเสื้อทีมชาติฝรั่งเศส คือคนละคนกับ เธียร์รี อองรี ในสีเสื้ออาร์เซนอล

    ภายใต้สีเสื้อเดอะ กันเนอร์ส อองรี เป็นไม่ต่างจากทุกอย่างของทีม เขาคืออัจฉริยะอย่างแท้จริง และบ่อยครั้งที่ดูเหมือนกับว่า อาร์เซนอล คือ อองรี

    มุมมอง และความคิดในการทำประตู, การพาเพื่อนร่วมทีมเข้ามาสู่เกม, การหาพื้นที่ และลงมาล้วงบอลเพื่อนำขึ้นไปทำเกมรุกด้วยตัวเอง หรือแม้แต่การลงไปช่วยกองหลังเล่นเกมรับ ทำให้ อองรี คือหนึ่งในกองหน้าที่กองหลังทุกคนไม่อยากเผชิญด้วย เพราะนั่นอาจจะหมายถึงการเสียฟอร์มชนิดหมดราคาเลยก็เป็นได้

    แต่ภายใต้สีเสื้อทีม "เลส์ เบลอส์" และไม่ใช่เพียงแค่ในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกครั้งนี้ อองรี กลายเป็นกองหน้าที่เซื่องซึม ขาดความกระตือรือร้น และบ่อยครั้งที่เขาพบว่าตัวเองโดดเดี่ยวเหลือเกินจากเพื่อนร่วมทีมคนอื่น ๆ

    นอกจาก 2 ประตูที่ทำได้ในทีมที่ยังต้องถือว่าไม่ใช่ยักษ์ใหญ่ อองรี ไม่ได้แสดงให้เห็นเลยว่าเขาจะเป็นหนึ่งในนักเตะระดับตำนานตลอดกาลของฟุตบอลโลก เหมือนกับสถานะที่ไม่ต่างจากเทพเจ้า และตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของแฟนบอลอาร์เซนอล

    ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (สวีเดน)

    นอกจากในช่วงครึ่งเวลาหลังของเกมรอบแรก นัดสุดท้าย กลุ่ม B ที่สวีเดน พบกับ อังกฤษ ซึ่ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ถูกเปลี่ยนตัวออก เพราะมีอาการบาดเจ็บแล้ว ดาวยิงความหวังสูงสุดของชาวสวีดิช ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงเขี้ยวเล็บใด ๆ เลยในฟุตบอลโลกครั้งนี้

    เกมในรอบ 16 ทีมสุดท้าย กับ เยอรมนี เจ้าภาพ แฟนบอลเกือบทั้งโลกทุ่มเทความสนใจไปที่ เฮนริค ลาร์สสัน และการพลาดลูกโทษที่จุดโทษของเขาก็จริง

    แต่อย่างน้อย ลาร์สสัน ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพาทีมของเขากลับมาสู่เกมอีกครั้ง และเป็น อิบราฮิโมวิช ต่างหาก ที่สมควรโดนตำหนิ เพราะเขาไม่ได้แสดงให้เห็นว่าทำไมแฟนบอลถึงคาดหวังในตัวเขามากขนาดนี้เลย

    ตลอด 90 นาทีของเกม ดาวยิงจากยูเวนตุส ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความกระตือรือร้นต่อเกม หรือความตระหนักรู้เลยว่าเขากำลังสวมเสื้อทีมชาติลงเล่นในเกมรอบน็อกเอาต์ของฟุตบอลโลก ทำให้นอกจากฟอร์มที่ไม่เอาอ่าวแล้ว อิบราฮิโมวิช ยังสมควรโดนตำหนิในเรื่องทัศนะคติการเล่นด้วย

    ไม่มีใครสงสัยในพรสวรรค์ และความสามารถของ อิบราฮิโมวิช แต่เมื่อเขาทำได้ไม่ดี หรือว่าเล่นไม่ได้เหมือนอย่างที่เคยทำได้ ดูเหมือนเขาจะช็อกเอาดื้อ ๆ และไม่ได้ทำให้เห็นว่าต้องการจะเรียกฟอร์มเก่งกลับมาให้ได้

    และจากจุดนี้เอง ที่ทำให้ ซลาตัน แตกต่างจาก "6 สตาร์ผู้น่าผิดหวัง" คนอื่น ๆ เพราะอย่างน้อย ๆ คนอื่น ๆ ก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้ดีที่สุดเพื่อช่วยทีม และเพื่อเพื่อนร่วมชาติทุกคน ที่ตั้งตารอจะเห็นนักเตะของตัวเองทุ่มเทอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็ตาม

    แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×