คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : อิตาลีโวแชมป์ ไม่กลัวเจ้าภาพ วันพุธ ที่ 5 กรกฎาคม 2549
ศึกฟุตบอลโลก 2006 รอบ 8 ทีมสุดท้ายหรือรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อเวลา 22.00 น. วันที่ 30 มิ.ย. 2549 (ตามเวลาประเทศไทย) ที่สนามโอลิมปิก สตาดิโอน เมืองเบอร์ลิน เป็นการดวลแข้งระหว่างทีมเจ้าภาพ เยอรมัน กับทีมฟ้าขาว อาร์เจนตินา โดยทีมเจ้าภาพเยอรมันลงสนามด้วยความมั่นใจสุดขีด หลังจากลงสนามมา 4 นัดชนะรวด ในรอบแรก ชนะคอสตาริกา 4-2, โปแลนด์ 1-0, เอกวาดอร์ 3-0 และรอบสอง ชนะสวีเดน 2-0 นัดนี้เทรนเนอร์คนเก่ง เจอร์เกน คลินสมันน์ ยังเน้นสไตล์บุกแหลกตามถนัด โดย 11 นักเตะได้แก่ เยนส์ เลห์มันน์ (ผู้รักษาประตู), อาร์เน ฟรีดริช, คริสโตฟ เม็ตเซลเดอร์, เพอร์ แมร์เตซัคเกอร์, ฟิลิป ลาห์ม, แบร์นด์ ชไนเดอร์, ทอร์สเทน ฟริงก์ส,มิชาเอล บัลลัค, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และคู่กองหน้าที่กำลังมาแรง ลูคัส โพโดลสกี กับมิโรสลาฟ โคลเซ
ส่วนอาร์เจนตินา โค้ชโฮเซ เปเกอร์มัน ก็มั่นใจฝีเท้าของทีมนักเตะฟ้าขาว จัดทีมชุดเก่งที่ใช้สไตล์รุกเป็นหลัก ลงแลกแข้งกับทีมเจ้าภาพชนิดใครดีใครอยู่ โดย 11 นักเตะประกอบด้วย โรเบร์โต อับบอนดานซิเอรี (ผู้รักษาประตู), โรเบร์โต อยาลา, ฮวน ปาโบล โซริน, ฟาบริซิโอ โคลอชชินี, ฮาเบียร์ มาสเชราโน, ฮวน โรมัน ริเกลเม, คาร์ลอส เตเบซ, กาเบรียล ไฮน์เซ, หลุยส์ กอนซาเลซ, มักซี โรดริเกวซ และเฮอร์นัน เครสโป
โพโดลสกีฟรีคิกทักทาย
นักเตะอินทรีเหล็กลงสนามด้วยชุดเก่ง เสื้อขาวกางเกงดำ ส่วนทีมฟ้าขาวเปลี่ยนไปใช้ชุดสำรอง เสื้อน้ำเงิน กางเกงดำ นัดนี้มีกรรมการชาวสโลวะเกีย ลูบอส มิเชล ลงตัดสินเกม เริ่มครึ่งแรกอาร์เจนตินาเป็นฝ่ายเขี่ยบอลเล่น นาทีที่ 3 โพโดลสกีของเยอรมันวิ่งเข้าเสียบไฮน์เซดื้อๆ จนถูกใบเหลือง รูปเกมของเยอรมันใช้แผน ให้ผู้เล่นทำลายเกมต่อของอาร์เจนตินาไม่ให้ต่อบอลกันได้ มีการทำฟาวล์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง นาทีที่ 6 โคลเซ ของเยอรมันถูกไฮน์เซทำฟาวล์ระยะ 35 หลา หน้ากรอบเขตโทษ โพโดลสกีปั่นด้วยเท้าซ้ายข้ามกำแพง บอลลอยไปตรงตัวอับบอนดานซิเอรี นายทวารทีมฟ้าขาวรับบอลกระฉอก แต่ยังตามไปตะปบคว้าไว้ได้
บัลลัคขวิดเฉียดเสา
ทั้ง 2 ทีมเน้นการครองบอล และชิงจังหวะกันที่บริเวณแดนกลางสนาม เปิดบอลเข้าแลกใส่กัน นาทีที่ 15 อินทรีเหล็กได้ลุ้น เมื่อชไนเดอร์ได้บอลหน้ากรอบเขตโทษ ตักบอลโด่งเข้าไปในกรอบเขตโทษ บัลลัควิ่งหนีการประกบของผู้เล่นอาร์เจนตินาเข้าไปโขกบอลเต็มหัว แต่บอลเฉียดเสาประตูออกไป และนาทีที่ 17 แมร์เตซัคเกอร์ ของเยอรมัน ได้พลิกตัวตวัดยิงด้วยเท้าขวา ระยะ 25 หลา บริเวณมุมกรอบเขตโทษด้านซ้าย แต่บอลลอยข้ามคานออกไป นาทีที่ 19 อาร์เจนตินามีโอกาสเข้าทำบ้างจาก เตเบซ ได้บอลที่ริมเส้นฝั่งซ้ายลากบอลเข้าไปหน้ากรอบเขตโทษ เปิดบอลลอดขา ฟรีดริช กองหลังของเยอรมัน บอลไปถึงโซรินวิ่งเข้าซัดเต็มข้อ แต่แมร์เตซัคเกอร์ ของเยอรมันแหย่เท้าสกัดไว้ได้
ครึ่งแรกเจ๊า 0-0
เวลาผ่านไปกว่า 40 นาที บอลส่วนใหญ่อยู่ในแดนกลาง และเป็นฝ่ายอาร์เจนตินาที่ครองบอลได้มากกว่า เยอรมันเองก็พยายามวิ่งไล่เอาบอล เพื่อทำลายเกมการต่อบอลของอาร์เจนตินา แล้วอาศัยการสาดบอลยาวจังหวะเดียวไปให้โคลเซ กับโพโดลสกีเข้าทำ นาทีที่45 โพโดลสกีของเยอรมัน ถูกไฮน์เซกระแทกล้มใกล้มุมธงฝั่งขวา กรรมการเป่าเป็นลูกฟาวล์ และชไวน์สไตเกอร์รับหน้าที่ปั่นฟรีคิก เปิดบอลโด่งไปหน้าประตู เพื่อให้เพื่อนร่วมทีมเข้าทำประตู แต่ถูกกองหลังของอาร์เจนตินาโขกบอลออกไป และกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาครึ่งแรก ทั้ง 2 ทีมเล่นกันอืดๆ เสมอกันอยู่ 0-0
อยาลาโขกให้ฟ้าขาวนำ 1-0
ครึ่งหลังแค่นาทีเดียว โซรินของอาร์เจนตินา ทำฟาวล์ฟรีดริช ที่พยายามลากบอลหลบ ตรงมุมธงด้านขวา กรรมการชักใบเหลืองให้โซรินกัปตันทีมของอาร์เจนตินา แต่ลูกฟรีคิกของเยอรมัน โดยโพโดลสกีไม่ผ่านมือ อับบอนดานซิเอรี นายทวารทีมฟ้าขาว นาทีที่ 49 กองเชียร์ ของอาร์เจนตินาได้เฮ เมื่อได้ลูกเตะมุมด้านขวา ริเกลเม เปิดบอลโด่งไปหน้าประตู อยาลา กองหลังอาร์เจนตินา วิ่งเบียดโคลเซ ศูนย์หน้าเยอรมันที่ลงมาประกบขึ้นโขกบอลเต็มหัว ลูกพุ่งตกลงพื้นตรงเส้นประตูผ่านมือเลห์มันน์ นายทวารทีมอินทรีเหล็ก เข้าไปตุงตาข่าย ให้อาร์เจนตินา ขึ้นนำ 1-0
เยอรมันโหมบุกเต็มที่
เยอรมันถูกอาร์เจนตินาเจาะประตูขึ้นนำไป ก็เปิดเกมรุกเต็มตัว แต่กลับพลาดและหวิดเสียประตูเพิ่ม เมื่อโดนอาร์เจนตินาโต้กลับเร็ว นาทีที่ 53 ริเกลเมตัดบอลได้จากกลางสนาม ลากบอลไปหน้ากรอบเขตโทษ แล้วไหลต่อไปให้เตเบซที่มุมกรอบเขตโทษด้านขวา แต่เตเบซ ที่ได้บอลโล่งๆกลับไม่ยิงเอง ไหลคืนไปให้ริเกลเม เลยถูกกองหลังเยอรมันที่กรูกันเข้าแย่งบอลฉกไปได้ นาทีที่ 63 เยอรมันได้ลุ้นจากลูกเตะมุมด้านซ้าย ชไวน์สไตเกอร์เปิดบอลไปหน้าประตู อับบอนดานซิเอรี นายทวารอาร์เจนตินา ออกมาปัดบอลพลาด ลูกตกเข้าทางปืน บัลลัคซัดวอลเลย์ ด้วยเท้าซ้าย ระยะ 12 หลา บอลไปโดนอยาลาของอาร์เจนตินาที่เข้าบล็อก ทำให้บอลกระดอนออกมา
โคลเซโขกตีเสมอ 1-1
นาทีที่ 70 อับบอนดานซิเอรี นายทวารอาร์เจนตินา ต้องถูกเปลี่ยนตัวออกไป เนื่องจากอาการบาดเจ็บจากการปะทะกับโคลเซของเยอรมัน ลีโอนาร์โด ฟรานโก นายทวารมือสองลงไปแทน นาทีที่ 72 ฟิลิป ลาห์ม ของเยอรมัน ส่งบอลพลาดหน้ากรอบเขตโทษตัวเอง ถูกเตเบซของอาร์เจนตินาตัดบอลไปได้ แล้วผ่านเร็วไปให้โรดริเกวซ วิ่ง เข้าอัดบอลเต็มข้อ ระยะ 16 หลา ตรงกรอบเขตโทษด้านขวา แต่บอลไซด์ออกข้างไป นาทีที่ 80 กองเชียร์ของเยอรมันกว่า 5 หมื่นคนเฮลั่นสนาม เมื่อบัลลัคได้บอลที่ริมเส้นด้านซ้าย เปิดโด่งไปหน้ากรอบเขตโทษ ทิม โบรอฟสกี ที่เปลี่ยนตัวลงไปใหม่ โหม่งบอลตั้งชงไปที่เสาสองให้โคลเซวิ่งเบียดโซริน กองหลังอาร์เจนตินา พุ่งเข้าโขกเต็มหัวที่ระยะ 6 หลา ส่งบอลพุ่งหนีมือตัวฟรานโก นายทวารมือสองของอาร์เจนตินา เข้าไปตุงตาข่าย ตีเสมอเป็น 1-1 และเป็นประตูที่ 5 ของโคลเซ ในฟุตบอลโลก 2006
หมด 90 นาทีเสมอกัน 1-1
นาทีที่ 89 อาร์เจนตินาได้ลูกหวาดเสียว จากจังหวะที่ฮูลิโอ ครูซ ที่ลงไปใหม่ของอาร์เจนตินา ได้บอลทางริมเส้นด้านขวา เปิดบอลย้อนหลังไปให้กอนซาเลซ วิ่งเข้าโขก ระยะ 16 หลา บอลพุ่งแรงเข้าหาประตู เลห์มันน์ นายทวารเยอรมันปัดบอลออกหลังไป แต่กรรมการเป่านกหวีดให้เป็นลูกล้ำหน้า ในจังหวะที่เตเบซของอาร์เจนตินาวิ่งเข้าไปชาร์จบอลหน้าประตูเยอรมัน ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ 4 นาที ทั้ง 2 ฝ่ายทำอะไรกันไม่ได้ กรรมการเป่านกหวีดหมดเวลา เสมอกันอยู่ 1-1 ต้องต่อเวลาแข่งขันไปอีก 30 นาทีตามกฎฟีฟ่า เพื่อหาผู้ชนะ
120 นาที เข่นกันไม่ลง
ช่วงต่อเวลาพิเศษ 15 นาทีแรก ทั้ง 2 ทีมเล่นบอลด้วยความระมัดระวัง และทำฟาวล์กันบ่อย นาทีที่ 101 โอลิเวอร์ นอยวิลล์ ผู้เล่นของเยอรมัน ที่เปลี่ยนตัวลงไปใหม่ เปิดลูกเตะมุมด้านซ้ายไปหน้ากรอบเขตโทษ เม็ตเซลเดอร์ กองหลังเยอรมัน ขึ้นไปโขกบอลลอยข้ามคานออกไป นาทีที่ 105 กอนซาเลซของทีมฟ้าขาว ได้ โอกาสส่องที่มุมกรอบเขตโทษด้านขวา ระยะ 25 หลา บอลเหินข้ามคานออกไป จากนั้นกรรมการเป่านกหวีดหมดเวลาพิเศษครึ่งแรก และต้องแข่งขันกันในครึ่งหลังอีก 15 นาที และนาทีที่ 106 เตเบซของอาร์เจนตินา ลองซัดไกลระยะ 35 หลา แต่ไม่ผ่าน เลห์มันน์ นายทวารเยอรมัน กระโดดรับติดมือไว้ได้ นาทีที่ 115 โคลอชชินี กองหลังของอาร์เจนตินา เปิดลูกกึ่งยิงกึ่งผ่านไปหน้าประตู บอลลอยโด่งเข้าหาประตู เลห์มันน์ นายทวารทีมอินทรีเหล็ก ต้องรีบถอยหลังไปโดดปัด แต่บอลไปตกคานกระดอนออกไป จบ 120 นาที ยังทำอะไรกันอีกไม่ได้ ต้องดวลลูกโทษตัดสินหาผู้ชนะ
เยอรมันแม่นโทษชนะ 4-2
ช่วงยิงลูกโทษตัดสินฝ่ายละ 5 คน เยอรมันเป็นฝ่ายยิงก่อน โอลิเวอร์ นอยวิลล์ ซัดด้วยเท้าขวา ให้ทีมเจ้าภาพขึ้นนำก่อน 1-0 ฮูลิโอ ครูซ ของอาร์เจนตินา ก็ยิงด้วยเท้าขวา เบียดเสาซ้ายให้ทีมฟ้าขาว ตาม 1-1 บัลลัค ของอินทรีเหล็ก ซัดหนีห่างไปเป็น 2-1 อยาลาของทีมฟ้าขาว ซัดไปทางซ้ายมือของเลห์มันน์ นายทวารอินทรีเหล็ก ล้มตัวดักทางบอลรับไว้ได้ จากนั้น โพโดลสกี ซัดลูกเรียดเข้าไปตุงตาข่าย เยอรมันนำห่าง เป็น 3-1 โรดริเกวซ ของทีมฟ้าขวา ซัดไม่พลาดตามไปเป็น 2-3 ทิม โบรอฟสกี ซัดเป็นคนที่ 4 เข้าไปตุงตาข่าย เยอรมันนำเป็น 4-2 กัมบิอัสโซ ซัดเป็นคนที่ 4 ของทีมฟ้าขาว แต่เลห์มันน์นายทวารทีมเจ้าภาพโชว์ฟอร์มฮีโร่ กระโดดล้มตัวปัดบอลไว้ได้ ทำให้เยอรมันยังนำห่างไปถึง 2 ลูกด้วยสกอร์ 4-2 จึงไม่ต้องยิงถึงคนที่ 5 เยอรมันเป็นฝ่ายชนะอาร์เจนตินา ด้วยประตูรวม 5-3 ลอยลำเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ เป็นทีมแรก
นักเตะฟ้าขาวไล่ยำเบียร์โฮฟ
หลังจากการยิงจุดโทษลูกสุดท้ายจบลงเกิดความวุ่นวายในสนาม เมื่อนักเตะอาร์เจนตินาเกือบทั้งทีมเข้ารุมล้อมกรอบโอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ อดีตศูนย์หน้าทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์ยูโร 1996 ซึ่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของทีมชาติเยอรมัน โดยยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร มีการพูดจายั่วยุกันหรือไม่ แต่ภาพที่ปรากฏ นักเตะฟ้าขาวบางคนสาวหมัดเข้าใส่ด้วย ขณะที่ผู้ตัดสินลูบอส มิเชล และเจ้าหน้าที่ของฟีฟ่าเข้ามาแทรกตรงกลางเพื่อพยายามยุติเหตุการณ์ดังกล่าว
อินทรีเหล็กราชาจุดโทษบอลโลก จากการยิงจุดโทษคว่ำอาร์เจนตินาในนัดนี้ ทำให้ เยอรมันยังรักษาสถิติไม่แพ้ใครในการยิงจุดโทษบอลโลกไว้ได้ โดยเมื่อปี 1982 ชนะฝรั่งเศส, ปี 1986 ชนะ เม็กซิโก และปี 1990 ชนะอังกฤษ และตลอดการยิงจุดโทษดังกล่าวมีเพียงอูลี สตีลีเก คนเดียวเท่านั้นที่ยิงไม่เข้าในเกมที่ชนะฝรั่งเศส ส่วนอาร์เจนตินาต้องเสียสถิติไปในการปราชัยต่อทีมอินทรีเหล็ก หลังจากยิงจุดโทษชนะมาตลอดในบอลโลกปี 1990 ชนะยูโกสลาเวียและอิตาลี, บอลโลก 1998 ชนะอังกฤษ
โคลเซนำดาวซัลโว 5 ประตู
หลังจากมิโรสลาฟ โคลเซ โขกประตูตีเสมอให้เยอรมัน ทำให้เขาซัดไปแล้ว 5 ประตู นำเดี่ยวเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนต์ สรุปอันดับดาวซัลโว มีดังนี้
5 ประตู มิโรสลาฟ โคลเซ (เยอรมัน)
3 ประตู เฟอร์นันโด ตอร์เรส (สเปน)
ลูคัส โพโดลสกี (เยอรมัน)
มักซี โรดริเกวซ (อาร์เจนตินา)
เฮอร์นัน เครสโป (อาร์เจนตินา)
ดาวิด บีญา (สเปน)
โรนัลโด (บราซิล)
จากการที่สเปนและอาร์เจนตินาตกรอบไปแล้ว ทำให้มีเพียงโพโดลสกี เพื่อนร่วมทีมเยอรมันและโรนัลโดของบราซิลเท่านั้น ที่มีโอกาสที่จะแย่งชิงตำแหน่งดาวซัลโวบอลโลกกับโคลเซ รวมทั้งคนที่ยิงได้ 2 ประตู เช่น เธียร์รี อองรี และปาทริก วิเอรา ของฝรั่งเศส ก็ยังมีโอกาสเช่นกัน
บัลลัคชี้อินทรีชนะสมศักดิ์ศรี
มิชาเอล บัลลัค กัปตันทีมเยอรมัน ที่ได้รับเลือกจากฝ่ายเทคนิคของฟีฟ่าให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำแมตช์นี้ กล่าวว่า เป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมาก แม้จะไม่ทำให้ คนดูตื่นเต้นเร้าใจเท่าที่ควร แต่ก็เปี่ยมไปด้วยการเล่นระดับคุณภาพ
“เรื่องการยิงจุดโทษนั้นย่อมมีโชคเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่บ้าง แต่เราก็สมควรเป็นผู้ชนะ เรารู้อยู่แล้วว่า อาร์เจนตินาเตรียมตัวมาดีในลูกตั้งเตะ และพวกเขาก็ได้ประตูในลักษณะนี้ ซึ่งอยาลาโหม่งได้ดีมาก แต่ลูกตีเสมอของเราก็สวยงามเช่นกัน เราสร้างผลงานได้ดีมาตั้งแต่นัดแรก ทุกคนกำลังท็อปฟอร์มและเล่นผิดพลาดน้อยมาก” บัลลัคกล่าว
ขณะที่โอลิเวอร์ นอยวิลล์ ตัวสำรองที่ยิงจุดโทษคนแรกของเยอรมันกล่าวว่า ทั้งคู่เล่นไม่ค่อยดีนัก แต่ก็เป็นเกมที่เข้มข้นและลำบากมากสำหรับทั้ง 2 ทีม “เราไม่ค่อยมีโอกาสทำประตูมากนัก แต่ก็ต้องขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นฝ่ายชนะ”
คลินสมันน์ปลื้ม-เปเกอร์มันขอลา
“คลินซี” เจอร์เกน คลินสมันน์ โค้ชทีมเจ้าภาพกล่าวว่า เขาพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ดีใจและภูมิใจมากที่คว้าชัยได้สำเร็จ “ต้องขอบคุณแฟนบอลที่เป็นกำลังใจและมีความเชื่อมั่นในตัวนักเตะทุกคน แม้เราจะมีสกอร์ตามหลัง แต่ก็มั่นใจว่าจะตีเสมอได้ เมื่อเวลาผ่านไปจนถึงการยิงจุดโทษ เราก็เชื่ออีกว่าจะชนะแน่ ลูกทีมของผมเค้นฟอร์มสุดยอดขึ้นมาพร้อมกันในช่วง 6 สัปดาห์ที่ผ่านมา สภาพจิตใจหายห่วงจริงๆ”
ส่วนโฮเซ เปเกอร์มัน กุนซือฟ้าขาวกล่าวว่า เป็นเกมที่ตื่นเต้นมาก นักเตะทุกคนทุ่มสุดความสามารถแล้ว และเล่นได้ดีกว่าด้วยซ้ำ “เกมที่สูสีแบบนี้มักจบลงที่การชี้ขาดด้วยจุดโทษ แต่น่าเสียดายที่อาร์เจนตินาต้องตกรอบ ทั้งที่เล่นดีมาตลอดทัวร์นาเมนต์ ส่วนอนาคตของผมกับทีมชาติ คิดว่าคงจะจบลงแค่นี้ ไม่อยากจะทำทีมต่อแล้ว”
อิตาลีดวลแข้งยูเครน
ที่สนามเอโอแอล อารีนา เมืองฮัมบูร์ก เมื่อเวลา 02.00 น. วานนี้ (1 ก.ค.) (ตามเวลาประเทศไทย) เป็นการดวลแข้งในรอบก่อนรองชนะเลิศอีกคู่ ระหว่างทีมอัซซูรี อิตาลี กับทีมยูเครน โดยในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ขุนพลนักเตะอิตาลีเฉือนเอาชนะออสเตรเลียมาอย่างหืดจับ 1-0 จากลูกจุดโทษปัญหาในช่วงทดเวลาบาดเจ็บของครึ่งหลัง กุนซือมาร์เซโล ลิปปี ส่งผู้เล่น 11 คนแรกลงสนามประกอบด้วย จิอันลุยจิ บุฟฟอน (ผู้รักษาประตู), ฟาบิโอ กรอสโซ, ฟาบิโอ คันนาวาโร, อันเดรีย บาร์ซาญี, จิอันลูกา ซามบร็อตตา, เจนนาโร กัตตูโซ, เมาโร คาโมราเนซี, อันเดรีย ปิร์โล, ซิโมเน แปร์ร็อตตา, ฟรานเชสโก ต็อตติ และลูกา โทนี
ส่วนยูเครนที่ดวลจุดโทษเอาชนะสวิตเซอร์แลนด์ ในรอบ 16 ทีมสุดท้ายผ่านเข้ามาในรอบนี้ กุนซือโอเล็ก บล็อกกิน ส่งผู้เล่น 11 ตัวจริงลงสนามประกอบด้วย โอเล็กซานเดอร์ ชอฟคอฟสกี (ผู้รักษาประตู), อันเดร เนสมาชนี, อันเดร รูซอล, วีเชสลาฟ สวีเดอร์สกี, อนาโตลี ตีมอสชุก, โอเล็ก เชลาเยฟ, โอเล็ก กูเซฟ, เซอร์เก เรบรอฟ, มักซิม คาลีนีเชนโก, อาร์เต็ม มิเลฟสกี และอันเดร เชฟเชนโก โดยมี แฟรงค์ เดอ บลีคเกอร์ ชาวเบลเยียมเป็นกรรมการตัดสิน
ซามบร็อตตาซัด 25 หลานำ 1-0
ขุนพลทีมอัซซูรีอยู่ในชุดเสื้อสีน้ำเงิน กางเกงขาว ส่วนนักเตะยูเครนอยู่ในชุดเก่งสีเหลืองทั้งชุดและได้เป็นฝ่ายเขี่ยลูกก่อน เริ่มครึ่งแรกทั้ง 2 ทีมต่างเร่งจังหวะเร็ว และเป็นฝ่ายอิตาลีที่ได้โอกาสก่อนในนาทีที่ 3 คาโมราเนซีฉวยโอกาสจากจังหวะสวนกลับ ลากลูกจากกลางสนามจี้เข้าหากรอบเขตโทษแล้วสับไกยิงด้วยเท้าขวาจากระยะ 25 หลา แต่ลูกถากเสาออกไปนิดเดียว ต่อมาในนาทีที่ 6 อิตาลีก็ได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็ว จากจังหวะที่ซามบร็อตตาแย่งลูกจากผู้เล่นยูเครนจากกราบขวา เลี้ยงจี้ตัดเข้าในโดยที่ไม่มีกองหลังยูเครนเข้าประกบ ก่อนซัดด้วยเท้าซ้ายจากระยะ 25 หลา ลูกพุ่งเรียดไปที่เสาแรก ชอฟคอฟสกีนายทวารยูเครนพุ่งปัดลูกถูกแค่ปลายมือเสียบเสาเข้าไปตุงตาข่ายอย่างสวยงาม ส่งให้อิตาลีขึ้นนำ 1-0
ยูเครนเสี่ยงเติมกองหน้าสู้
หลังได้ประตูขึ้นนำ อิตาลียังไม่เพลาการบุก นาทีที่ 16 สวีเดอร์สกี กองหลังยูเครนเข้าเสียบข้างหลังลูกา โทนี ที่ระยะประมาณ 35 หลา กรรมการให้ใบเหลืองสวีเดอร์สกี ทันที ก่อนที่ต็อตติ เพลย์เมกเกอร์คนสำคัญของอิตาลีจะเป็นคนเตะฟรีคิก ซัดด้วยเท้าขวา ลูกพุ่งเรียดตรงกรอบ แต่เข้าซองชอฟคอฟสกีนายทวารยูเครนรับไว้ได้ จากนั้นรูปเกมของยูเครนยังไม่ดีขึ้น กุนซือโอเล็ก บล็อกกิน ตัดสินใจแก้เกมเปลี่ยนตัวผู้เล่นเสริมแนวรุก ถอดสวีเดอร์สกีกองหลังที่ได้ใบเหลืองออก ส่งอันเดร โวโรเบ กองหน้าลงสนามแทน นาทีที่ 21 คาลีนีเชนโก ของยูเครน ได้รับใบเหลืองไปอีกคนจังหวะที่เข้าเสียบสกัดคาโมราเนซี อย่างน่าเกลียด
ครึ่งแรกมะกะโรนีนำ 1-0
หลังปรับทัพเสริมแนวรุก ยูเครนยังทำเกมเจาะแผงหลังของอิตาลีไม่เข้า นาทีที่ 33 ตีมอสชุก มิดฟิลด์ของยูเครนได้ลูกทางกราบขวาระยะ 30 หลาหน้ากรอบเขตโทษ ทดลองส่องไกลด้วยเท้าขวาไปที่เสาไกล ลูกพุ่งแรงแต่หลุดกรอบออกไป กระทั่งช่วงท้ายเกมครึ่งแรก ยูเครนต่อบอลเข้าไปในแดนของอิตาลีได้มากขึ้น นาทีที่ 40 เชฟเชนโก ได้ลูกที่เส้นกรอบเขตโทษด้านซ้าย สับไกยิงด้วยเท้าซ้ายลูกไปแฉลบขาคันนาวาโร กองหลังอิตาลีเปลี่ยนทางไปที่เสาแรก แต่ลูกเบาไปบุฟฟอน นายทวารอิตาลีผวามาตะครุบไว้ได้ นาทีที่ 44 เชลาเยฟได้โอกาสยิงไกลด้วยเท้าขวาจากระยะ 40 หลา แต่ลูกข้ามคานออกไป ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ รูซอล กองหลังคนสำคัญของยูเครนได้รับบาดเจ็บที่เท้าขวา ต้องเปลี่ยนตัวออก ส่งวลาดิสลาฟ วาชชุก ลงสนามแทน จากนั้นทั้ง 2 ทีมทำอะไรกันไม่ได้ หมดเวลาครึ่งแรกอิตาลีนำอยู่ 1-0
บุฟฟอนเซฟลูกโหม่งได้หวุดหวิด
เริ่มเกมครึ่งหลังมาได้ไม่ถึงนาที อิตาลีมีโอกาสจากจังหวะที่ลูกา โทนี ได้บอลหลุดมาทางกราบขวาบริเวณเส้นกรอบเขตโทษ สับไกยิงด้วยเท้าขวาไปที่เสาแรก แต่ลูกพุ่งเรียดออกหลังไป จากนั้นเป็นฝ่ายยูเครนที่พยายามเดินเกมบุกเข้าใส่ นาทีที่ 49 คาลีนีเชนโกได้ลูกทางริมเส้นฝั่งซ้าย ตวัดเข้ามากลางประตู ลูกไปสะกิดขาบาร์ซาญี กองหลังอิตาลี เปลี่ยนทางผ่านหน้าประตูออกหลังไป และในนาทีต่อมา ยูเครนพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย จากการขึ้นบอลทางกราบขวาเปิดลูกโด่งไปหน้าประตู บอลตกพื้นกระเด้งไปเข้าศีรษะกูซินโหม่งคนเดียวโล่งๆ แต่บุฟฟอน นายทวารอิตาลียังไว พุ่งปัดบอลไปชนเสากระเด้งออกมาก่อนที่คาโมราเนซีจะเคลียร์บอลออกหลังไปได้
ลูกา โทนี โขกจ่อๆนำ 2-0
นาทีที่ 58 ยูเครนเกือบได้ประตูตีเสมอ จากจังหวะต่อบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของอิตาลี กูเซฟได้ซัดโล่งๆด้วยเท้าขวา ไปติดบุฟฟอน นายทวารอัซซูรีทุบบอลออกมาเข้าเท้า คาลีนีเชนโกยิงซ้ำด้วยเท้าขวาเต็มแรง ลูกพุ่งเข้ากรอบแต่ไปโดนขาซามบร็อตตา กองหลังอิตาลีสกัดทิ้งไปได้ ขณะที่ยูเครนบุกเพลิน กลับเป็นฝ่ายอิตาลีที่ได้ ประตูนำห่างในนาทีที่ 59 จากลูกเตะมุมที่ฝั่งซ้าย ต็อตติต่อบอลสั้นกับเพื่อนร่วมทีม ก่อนที่จะโยนด้วยเท้าขวาไปที่กลางประตู ลูกา โทนี พุ่งตัวโหม่งจ่อๆระยะแค่ 4 หลา เข้าประตูไปให้อิตาลีนำห่างเป็น 2-0
โทนีซัดเบิ้ลอัซซูรีนำ 3-0
หลังจากเสียไปถึง 2 ประตู ยูเครนโหมบุกหนักหวังทวงประตูตีไข่แตก นาทีที่ 61 ได้ลูกฟรีคิกที่กราบขวา คาลีนีเชนโก เปิดโด่งไปที่เสาสอง กูซิน เทกตัวขึ้นโหม่งย้อนกลับมาที่เสาแรก ลูกย้อยข้ามมือบุฟฟอน นายทวารอิตาลีไปชนคานอย่างน่าเสียดาย นาทีที่ 67 อิตาลี เปลี่ยนตัวผู้เล่นทีเดียว 2 คน ถอดคาโมราเนซีกับปิร์โล ออกส่งซิโมเน บารอเน และมัสซิโม อ็อตโต ลงสนามแทน จากนั้นนาทีที่ 69 อิตาลีบวกสกอร์เพิ่มได้อีก จากจังหวะที่ซามบร็อตตาได้ลูกทางริมเส้นฝั่งซ้าย เลี้ยงหลบกองหลังยูเครนเข้าไปในเขตโทษ ล้มตัวจิ้มบอลไปให้ลูกา โทนี ที่วิ่งไปรออยู่กลางประตูแปบอลเข้าไปอย่างง่ายดาย ให้อิตาลีนำห่างเป็น 3-0
อิตาลีต้อนขาด 3-0
นาทีที่ 71 ยูเครนเปลี่ยนตัวผู้เล่นคนสุดท้าย ถอดมิเลฟสกีออก ส่งโอเล็กซี เบลิก ลงสนามแทน นาทีที่ 75 ยูเครนยังเดินเกมบุก เชฟเชนโกได้โอกาสโหม่งโล่งๆในกรอบเขตโทษ แต่ลูกข้ามคานไป ถัดมา 2 นาที อิตาลีเปลี่ยนตัวผู้เล่นคนสุดท้าย ถอดกัตตูโซออก แล้วส่งคริสเตียน ซัคคาร์โด กองหลังอีกคนลงสนามแทน จากนั้นนาทีที่ 80 ยูเครนได้ลูกฟรีคิกจากระยะประมาณ 35 หลา เชฟเชนโกซัดด้วยเท้าขวาลูกพุ่งตรงกรอบประตู แต่ตรงตัวบุฟฟอน นายทวารอัซซูรีทุบลูกออกมาได้ ช่วงท้ายเกม อิตาลีเน้นเกมตั้งรับอยู่ในแดนตัวเอง ปล่อยให้ยูเครนต่อบอลเดินหน้าบุกเข้าหา แต่ยังไม่มีโอกาสเข้าทำได้ถนัดเพราะแผงหลังอิตาลียืนอยู่แน่นไปหมด นาทีที่ 86 กูเซฟได้ลูกหลุดมาทางกราบขวา เปิดบอลโด่งเข้าไปกลางประตูให้เบลิกเอี้ยวตัวโหม่ง แต่บอลเบาไปเข้ามือบุฟฟอนรับไว้ได้สบาย จนกระทั่งหมดเวลา 90 นาที อิตาลีเอาชนะไปได้สบายๆ 3-0 เข้าไปพบกับทีมเจ้าภาพอินทรีเหล็ก เยอรมัน ในรอบรองชนะเลิศต่อไป
อิตาลีมอบชัยชนะให้เปสซอตโต
มาร์เซโล ลิปปี กุนซืออิตาลีกล่าวว่า ทุกคนในทีมขอมอบชัยชนะนัดนี้ให้จิอันลูกา เปสซอตโต อดีตนักเตะทีมชาติอิตาลีและยูเวนตุส ที่กระโดดตึกจากชั้น 2 ของที่ทำการสโมสรจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และอาการยังน่าเป็นห่วง หลังจากเครียดกับงานในหน้าที่ใหม่เป็นผู้จัดการสโมสร ซึ่งยูเวนตุสกำลังมีปัญหาถูกสอบสวนเรื่องล้มบอล “เราทำเพื่อเปสซอตโตและครอบครัวของเขา ทุกคนในทีมคิดถึงเขาตลอดเวลา” ลิปปี ซึ่งเคยเป็นโค้ชของยูเวนตุสกล่าว
หลังจบเกมนี้ ฟาบิโอ คันนาวาโร กัปตันทีมซึ่งเป็นกองหลังของยูเว่ และชิโร แฟร์รารา ผู้ช่วยของลิปปี นำป้ายผ้าวิ่งลงไปในสนามมีข้อความว่า “เปสซอตโต... เราจะอยู่เคียงข้างนาย”
ลิปปีสดุดีเกมรับ-ลั่นไม่กลัวอินทรี
โค้ชอิตาลีกล่าวชมแผงกองหลังที่ไม่เสียประตูถึง 4 นัด จากทั้งหมด 5 นัดที่ผ่านมา และที่เสียประตูไปลูกเดียวก็เป็นเพราะทำเข้าประตูตัวเองในเกมที่เสมอกับสหรัฐฯ 1-1 “เรามีนักเตะระดับแชมเปียนส์อยู่ในแผงกองหลัง แม้กระทั่งอันเดรีย บาร์ซาญี ซึ่งลงเล่นเต็มแมตช์เป็นนัดแรก ก็เล่นได้อย่างเหนียวแน่น เพราะเขามีเพื่อนร่วมทีมที่สุดยอด คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ส่วนรอบตัดเชือกที่จะพบกับเจ้าภาพนั้น ลิปปีกล่าวว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ไม่ต้องกลัวใครอีกแล้ว เป้าหมายคือการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ให้ได้
ดาวยิง “โทนี” ดีใจทำประตูได้แล้ว
ลูกา โทนี ศูนย์หน้าอิตาลี ผู้ทำคนเดียว 2 ประตูในนัดนี้กล่าวว่า เขาดีใจมากที่ยิงประตูได้เสียที หลังจากไม่มีสกอร์ในทีมชาติมาตลอด 6 นัดก่อนหน้านี้ “ผมต้องการทำประตูอย่างยิ่ง เพราะเป็นศูนย์หน้าเพียงคนเดียวในทีมที่ยังไม่มีชื่อเป็นคนทำประตู โดยเฉพาะลูกแรกที่ผมทำได้ในบอลโลกครั้งนี้ มีความสำคัญมากที่สุดลูกหนึ่งในชีวิต เพราะโอกาสที่จะทำประตูในบอลโลกไม่ใช่เรื่องง่าย ครั้งต่อไปยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาเล่นอีกหรือไม่ ส่วนการเจอกับเยอรมันนั้น ต้องยอมรับว่าคู่ต่อสู้ได้เปรียบในฐานะเจ้าภาพ แต่อิตาลีก็เป็นทีมที่แข็งแกร่ง แพ้ยาก เราพร้อมแล้วที่จะดวลกับเยอรมัน” โทนีกล่าวหลังจากยิงให้ฟิออเรนตินา ทีมต้นสังกัดถึง 31 ประตู สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักเตะคนแรกในวงการลูกหนังอิตาลีที่ทำได้เกิน 30 ประตูต่อฤดูกาล
ทางด้านลิปปีกล่าวว่า เขาไม่เคยติดใจสงสัยในความสามารถของโทนีเลย “เขาถล่มประตูมากมายในรอบ 3 ฤดูกาลที่ผ่านมา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำไม่ได้ในเวิลด์คัพครั้งนี้”
เชฟเชนโกเชียร์อิตาลีคว้าแชมป์โลก
อันเดร เชฟเชนโก กัปตันทีมยูเครนยอมรับว่า นักเตะอิตาลีเล่นอย่างชาญฉลาด มีเกมรับที่เหนียวแน่นเป็นจุดเด่น สมควรเป็นผู้ชนะในเกมนี้ “สิ่งที่เราขาดไปก็คือ นักเตะระดับเกรดเอในแดนกลางอย่าง อันเดรีย ปิร์โล ของอิตาลี ที่สามารถทำเกมได้หลากหลาย อย่างไรก็ดี ผมภูมิใจกับผลงานของทีมในการเล่นบอลโลกครั้งแรก ทุกคนในทีมเล่นด้วยหัวใจอย่างแท้จริง ถึงตอนนี้ผมคงต้องเอาใจช่วยให้อิตาลีประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โลกได้ ในบั้นปลายต่อไป” เชฟเชนโกที่ค้าแข้งในอิตาลีกับเอซี มิลาน มาหลายปี ก่อนย้ายไปเชลซีในฤดูกาลหน้ากล่าว
ทางด้านโอเล็ก บล็อกกิน กุนซือยูเครน กล่าวว่า การพ่ายแพ้ในนัดนี้ไม่มีเรื่องดวงมาเกี่ยวข้อง เป็นฝีมือของอิตาลีล้วนๆ “พวกเขามีนักเตะชั้นยอดล้นทีม เล่นผิดพลาดน้อยมาก แต่ผมก็ภูมิใจในตัวลูกทีมทุกคน มา ถึงขั้นนี้ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วสำหรับวงการฟุตบอลยูเครน”
ส่วนประธานาธิบดีวิกเตอร์ ยุชเชงโก ของยูเครนที่มาชมเกมนัดนี้ถึงขอบสนามตามคำเชิญของบล็อกกิน, เชฟเชนโก, เกรอรี ซูร์กิส นายกสมาคมฟุตบอลยูเครน และโอเล ฟอน บัสต์ นายกเทศมนตรีเมืองฮัมบูร์ก เผยหลังจบเกมว่า แม้จะพ่ายแพ้ แต่นักเตะจะกลับบ้านในฐานะฮีโร่ผู้สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติอย่างแน่นอน
แฉเบื้องหลังมวยหมู่อินทรี-ฟ้าขาว
จากความวุ่นวายหลังจบเกมระหว่างเยอรมันกับอาร์เจนตินา ที่นักเตะและสตาฟฟ์โค้ชทั้งสองฝ่ายกรูเข้าหากัน มีการแลกเท้าแลกหมัดกันนั้น มีรายงานว่า ชนวนเหตุเริ่มต้นมาจากทิม โบรอฟสกี มิดฟิลด์เยอรมัน ที่ทำท่า “จุ๊ปาก” เย้ยนักเตะอาร์เจนตินาหลังยิงจุดโทษให้เจ้าภาพนำ 4-2 หลังจากยิงจุดโทษเสร็จสิ้นแล้ว เลอันโดร คูเฟร ตัวสำรองของทีมฟ้าขาวเข้าไปเตะ เพอร์ แมร์เตซัคเกอร์ กองหลังอินทรีเหล็ก จนล้มลงไปกอง ทำให้ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ ผู้จัดการทีมชาติเยอรมัน เข้าขวาง หลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ชุลมุน นักเตะอาร์เจนตินาวิ่งไล่ล้อมกรอบเบียร์โฮฟ ขณะที่ผู้ตัดสินลูบอส มิเชล ชักใบแดงให้คูเฟรหลังการยิงจุดโทษ และบันทึกเหตุการณ์ ไว้ในรายงานที่เสนอต่อฟีฟ่าด้วย ซึ่งฟีฟ่าจะนำไปพิจารณาหาบทลงโทษผู้กระทำผิดต่อไป
เบียร์โฮฟ อดีตฮีโร่อินทรีเหล็กชุดแชมป์ยูโร 1996 เผยว่า แฟนบอลทั้งสองฝ่ายยังเข้ากันได้ดี นักเตะก็ควรจะมีสปิริตแบบนั้นบ้าง “แมร์เตซัคเกอร์โกรธมากที่นักเตะอาร์เจนตินาทำแบบนั้น ทำให้ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายเปิดฉากมีเรื่องกัน ผมพยายามเข้าไปห้ามทัพ น่าเศร้าจริงๆที่ภาพแบบนี้ปรากฏออกไปทั่วโลก”
ความคิดเห็น