คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บันทึกการเดินทาง 07 : はじめまして How do yaa do [Tokyo,Japan] >100%
Take a Time,let’s say bye EU
DIARY:07 [TOKYO,JAPAN]
はじめまして (How do yaa do’)
Cause I never met a girl like you before
You don’t think you’re perfect
But you’re everything I want and more
And I’ll try to make you mine
เพราะฉันไม่เคยเจอผู้หญิงแบบเธอที่ไหนมาก่อน
คุณไม่ต้องคิดหรอกว่าคุณไม่เพอร์เฟ็กต์พอ
แต่คุณคือทุกอย่างสำหรับผมและอื่นๆ แล้วนะ
และผมจะพยายามทำให้คุณยอมเป็นของผมซะดีๆ♥
มีคนเคยบอกฉันไว้ว่า...
ถ้าสมมุติว่าเรากำลังสับสน งุงงงหรืออะไรก็ตามที่ทำให้เราปวดหัว ให้เรานับหนึ่งถึงสิบแล้วความคิดเครียดๆ ทั้งหมดนั้นจะค่อยๆ ระบายออกไปจากสมองของเรา แต่...
ฉันนับหนึ่งถึงร้อยแล้วโว้ยแต่ก็ยังเครียดอยู่อ่ะ TWT))
เมื่อคืนฉันนอนหลับ หลับปุ๋ยเลยด้วยฝันดีอีกต่างหาก เฮ้! แต่อย่าเข้าใจผิดฉันไม่ได้ชอบเขาจริงๆ นะ แค่...แค่เขินเหมือนผู้หญิงทั่วไปเขาเขินกัน ปัดโธ่! มีผู้ชายมาพูดว่า ‘อดใจไม่ไหว’ นี่จะไม่ให้ก้อนเนื้อในอกเต้นบ้างหรือไงเล่า เดี๋ยวก็เป็นเส้นเลือดอุดตันพอดีน่า
ตอนนี้ข้อสงสัยว่าเขาจะผิดเพศเริ่มหายไปจากหัว แต่ตอนนี้คำถามในหัวของฉันคือจะเขินทำไม นี่เมื่อคืนฉันก็นอนห่างกับเขาเป็นเมตรเลยนะ...แล้วเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีกเลยเมื่อเช้า ต่างคนก็ต่างเงียบใส่กันฉันเงียบ เขาเงียบ จนมาถึงตอนนี้ ตอนที่อยู่สนามบินแล้ว เย้! แดนยุ่นรอเราอยู่
ขอเล่าย้อนสักนิดคือการวางทริปของฉันคือจะไปที่ที่ไกลที่สุดก่อนแล้วค่อยมาที่ที่ใกล้ทีหลัง ฉันเลยเลือกที่จะไปแถบเอเชียก่อนละกันเนอะ และก็มาถึงวันนี้จนได้วันที่ฉันต้องลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่สีชมพูพร้อมสัมภาระมากมายหลายประการ ตลอดหกวันที่อังกฤษมันสนุกมากนะถ้าไม่มีเรื่องรบกวนหัวจิตหัวใจ
ฉันย่างก้าวเข้ามาที่ประตูทางเข้าสนามบิน เมื่อรถของเพื่อนเขามาส่ง อ้อ! เพื่อนไนออลคนนี้เป็นผู้หญิงน่ะ น่ารักสุโค่ย ซีเลบสุดๆ จ้า ไม่ยักกะรู้ว่าคนแบบเขาจะมีเพื่อนเป็นผู้หญิงที่สวยและน่ารักจนนางแบบยังหลีกให้ แต่ฉันก็ไม่ได้ถามชื่อเธอเพราะไม่กล้าเอ่ยอะไรไปมากเท่าไหร่นระหว่างทางที่มา
“รักษาตัวด้วยนะไนล์ แล้วก็เธอ...ดูแลมันดีๆ ด้วยล่ะ” น้ำเสียงหวานพูดกับไนออลจบก็หันหน้ามาพูดกับฉัน และฉันเองก็พยักหน้าที เธอยิ้มบางๆ เชิงการกล่าวลาแล้วเธอก็เดินออกไป
“ไม่ไปหรือไง” เขากระแทกศอกเบาๆ ที่แขนของฉันสื่อความหมายให้เดินตามเขาไป แต่คนร่างสูงก็เดินนำฉันไปก่อนที่เคาน์เตอร์และอยากจะบอกว่า...
เขาพูดเป็นประโยคกับฉันรอบแรกของวันแล้ว XD
เมื่อเขาบอกดังนั้นฉันจึงลากขาพาตัวเองเดินตามเขาไปที่เคาน์เตอร์รับตั๋วโดยทันทีพร้อมดึงกระเป๋าเดินทางใบหนาข้างกายตามไปด้วย ฉันยื่นพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่กับไนออลแต่เจ้าตัวกลับชักสีหน้าอย่างหงุดหงิดขึ้นมาทันทีที่ฉันนำหนังสือเดินทางของฉันไปไว้กับของเขา
“เธอเป็นครอบครัวเดียวกับฉันหรือไง” เงิบ...ดอกแรกของวัน U__U; เอาสิ! จะด่าอะไรก็ด่าเลยวันนี้ฉันฉาบหนังหน้ามาอย่างหนาแล้วเว้ย เชอะ!
“อ่าวก็ฉัน ..Y_Y..” ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยคเสียงของเขาที่บอกกับพนักงานก็ขัดขึ้นมาซะก่อน
“ผมขอนั่งคนเดียวนะครับเอาแบบไม่ติดกับใครเลย” เขากระแทกเสียงตรงที่บอกว่าไม่อยากนั่งติดกับใครเลย นั่นก็แปลว่าเขาอยากแยกนั่งกับฉันอ่ะดิ เกร้ดดดดดดดด เขารังเกียจฉันหรือไงเนี่ย ตัวฉันเหม็นหรอ กลิ่นปากแรง แต่ฉันว่าฉันเช็คทุกอย่างว่าสะอาดเรียบร้อยก่อนออกมาแล้วนะ
“เฮ้ยนายจะไปไหนอ่ะ” ฉันกำลังจะตะโกนเรียกเขาให้หยุดรอ แต่ฉันกลับฉุกคิดได้ว่าเขาไม่ได้อยากนั่งกับฉันนี่คงไม่อยากอยู่กับฉันด้วย เห็นป่ะ...พอได้ตั๋วเสร็จก็ชิ่งเดินหนีออกไปก่อนเลย อาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากอยู่ข้างนอกนานๆ คงกลัวแฟนคลับรุมด้วยล่ะมั้ง (คิดแง่ดีสุดๆ แล้ว)
ช่างเถอะเดี๋ยวเข้าข้างในก็เจอกันอยู่แล้วแหละเนอะ ว่าแต่...หิวจังฉันควรไปซื้ออะไรกินหรือจะรออาหารบนเครื่องดีนะ ฉันจะได้ประหยัดเงินไปช้อปปิ้งที่ญี่ปุ่นด้วยแม้จะแค่อาหารมื้อเดียวก็เถอะ ตามความเชื่อที่กล่าวไว้ว่าดวงตาไม่เคยหยุดนิ่ง...ออร่าแพรวพราวที่เขาคนนั้น ไนออลนั่งอยู่ในร้านกาแฟชื่อดังร้านหนึ่งพร้อมกับกาแฟแก้วเล็กข้างๆ มือ
“ไฮ” ฉันเดินเข้าไปอย่างถือวิสาสะ ทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าเงยหน้าขึ้นมามองอย่างช้าๆ และทำหน้าเบื่อหน่ายทันทีเมื่อเห็นฉัน โอเคคงเหม็นขี้หน้ากันจริงๆ ด้วย “เอ่อ…ฉันไม่กวนนายดีกว่า ฮะๆ” ฉันหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะลุกขึ้นและหันหลังไป
“นั่งก่อนดิ” ร่างสูงพูดเบาๆ และไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาสบตาพลางแกะหลอดกาแฟและดื่มเชิงไม่ใส่ใจ ถึงกิริยาเขาจะเป็นแบบนั้นแต่คำพูดของเขาก็ทำให้ฉันดีใจขึ้นมาไม่น้อย “ไปสั่งอะไรกินก่อนสิคงไม่ต้องให้ฉันพาไปสั่งหรอกใช่ไหม”
“ขอบคุณจ้า >W< ฮ่าๆ งั้นเดี๋ยวไปสั่งแปปน้า” ฉันเดินไปที่เคาน์เตอร์ขายกาแฟที่อยู่ด้านใน กลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟสดลอยมาแตะจมูกฉันเมื่อหายใจเข้าเบาๆ ข้างในตกแต่งเป็นร้านสีทึบๆ เน้นสีส่วนใหญ่เป็นน้ำตาลอย่างเช่นเค้กช็อคโกแล็ตทีอยู่ในตู้นั่นซึ่งส่วนผสมที่เห็นอยู่ตรงหน้าเค้กคือโอรีโอ้ ของโปรดฉันเลยล่ะ
ที่ฉันสั่งไปก็มีเค้กช็อคโกแล็ตโลยด้วยผงโอริโอ้บดมีวาฟเฟิลร้อนๆ ราดด้วยน้ำเชื่อมวางอยู่ใกล้ๆ กับช็อคโกแล็ตเย็นปั่น ถือซะว่านี่เป็นอาหารเย็นไปแล้วกันเนอะ เมื่อถาดถูกส่งมาตรงหน้าฉันเอาจริงๆ มันทำให้ฉันน้ำลายย้อยตรงนั้นได้เลยอ่ะแล้วก็...
บอกได้คำเดียวว่า...ฟิน ♥
“ทั้งหมด 17 ปอนด์ค่ะ” เสียงพนักงานสาวที่กำลังกดเครื่องคิดเงินตรงหน้าดังขึ้นมาเมื่อบิลออก (ถ้าเป็นเงินไทยก็ประมาณ 900 กว่าบาทเลยนะ)
บอกได้คำเดียวว่า...ไม่ฟิน
ฉันลืมดูราคาก่อนนี่นา แง้! ToT โครตแพงเลยอ่ะ นี่ถ้าสิบเจ็ดปอนด์แล้วได้เยอะกว่านี้นี่จะไม่บ่น แต่นี่อัลไล เค้กโง่ๆ กับน้ำปั่นแก้วเล็กๆ นี่อ่ะนะ ไม่เป็นไรถือว่าเลี้ยงส่งท้ายก่อนจากอังกฤษละกันจ้า
“ค่ะ” ฉันทำหน้ามู่ไม่พอใจเล็กๆ แล้วเปิดกระเป๋าเตรียมจะควักเงินออกมา แต่ทว่า...
แปะ
“นี่ครับ” เสียงทุ้มต่ำหันไปพูดกับพนักงานสาวในร้านนั่นพลางวางแบงค์ 20 ปอนด์ตรงเคาน์เตอร์แล้วยิ้มบางๆ ชนิดใครเห็นต้องละลายกองอยู่ตรงนั้นทำเอาพนักงานสาวไม่เป็นอันทำงานเลยทีเดียว เอ๊ะ! แล้วเขามาจ่ายให้ฉันทำไมกัน “ทำหน้าทู่อย่างนั้นทีหลังดูราคาด้วยว่าตัวเองมีปัญญามากพอที่จะจ่ายหรือเปล่าน่ะ” เขาหันมาพูดรัวๆ แกมสั่งสอนฉัน ปล้ำลู. ดอกที่สองของวัน
“ฉันมีปัญญาโว้ย…แค่ลังเลนิดหน่อยเท่านั้นเอง” ฉันก้มหน้างุดไม่กล้าเถียงอะไรมากกลัวจะเจอดอกที่สามของวันอีกไง TT_TT//
“ไปก่อนละที่เหลือทิปแล้วกัน” เขาพูดต่อแล้วหยิบแว่นกันแดดสีชาที่เหน็บอยู่ตรงคอเสื้อขึ้นมาใส่แล้วเดินออกไปจากร้านโดยไม่แม้แต่จะหันมาแลฉันสักนิดเดียว ฉันได้แต่เกาหัวแกรกๆ แล้วรับเงินทอนที่เหลือเข้ากระเป๋าสตางค์ของตนเองพลางหยิบถาดขนมที่วางอยู่ตรงหน้าไปด้วย
ฉันเดินหย่อนก้นตรงที่นั่งเดิมของไนออลก่อนที่เขาจะเดินออกไปเมื่อกี้นี้ ฉันจัดการกินขนมตรงหน้าอย่างไม่รอช้า ว่าแต่วันนี้ฉันยังไม่เจอแวนดี้เลยอ่ะ หลังจากมาสนามบินเธอก็หายไป...หายไปแบบไร้ร่องรอย พอฉันกินเสร็จก็เตรียมจะลุกออกไปจากร้านแต่ทว่า...
ครืด...ครืด
‘Daddy♥’
ฉันก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์เครื่องหรูของฉันก็พบว่ามันเป็นเบอร์ที่คุ้นเคย ฉันยิ้มร่าขึ้นมาทันทีที่พ่อของฉันโทรมาหาและไม่ลังเลที่จะกดรับสายนั้นเลย...แม้แต่สักนิด
“สวัสดีค่ะพ่อ” ฉันเอ่ยเสียงกระริกกระรี้ตื่นเต้นที่จะได้คุยกับพ่อของตัวเองที่สุดในสามโลก > <’
[หวัดดีเจ้าหนู เป็นไง] เสียงต่ำสำเนียงผู้ชายกลางคนสัญชาติไอริชกระแอมนิดหน่อยก่อนจะตอบกับมา
“ก็ดีนะพ่อแต่เงินในกระเป๋ามันไม่พอแล้วอ่ะทำไงดี ฮือ” ฉันโอดครวญใส่ผู้เป็นพ่อเพื่อขอความเห็นใจ
[ยังเหมือนเดิมเลยนะ...คือพ่อจะมาบอกไว้ว่าเดี๋ยวพ่อกับแม่จะไปดูงานกับลุงบ็อบ] ฮะ =0= อะไรกันพ่อนิ่งเฉยกับคำพูดออดอ้อนที่ฉันขอเงินพ่อ ปกติแล้วพ่อไม่เคยเป็นแบบนี้นี่นา...แถมยังเปลื่ยนเรื่องด้วย
“เรื่องนั้นไว้ก่อนพ่อหนูไม่มีเงินทานข้าวแล้ว”
[เอ้า! มีเจ้าไนล์ลูกเพื่อนพ่ออยู่ด้วยทั้งคนกลัวอะไรเล่า เพื่อนกันทั้งนั้น]
“อื้อหือ รายนั้นเขาเคยใจดีให้ด้วยเหรอคะพ่ออย่างมากก็ให้ค่าเบเกอรี่นิดหน่อยเท่านั้นเอง” แน่ใจว่านิดหน่อย...แหม! ก็แค่ 17 ปอนด์เองขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอกเนอะ
[นั่นแหละน่า...ตอนเด็กๆ เล่นด้วยกันบ่อยออก เล่นซะจนนึกว่าโตมาจะเป็นแฟนกันด้วย]
“ตอนเด็กๆ ยังไงคะพ่อ” ฉันทวนคำด้วยน้ำเสียงสงสัยในสิ่งที่พ่อพูด
[อ้อ! นิกกี้กับเฮเลนฝากความคิดถึงมาด้วยนะ แล้วนี่จะไปญี่ปุ่นนี่ดูแลตัวเองด้วยนะพ่อกับแม่รักลูกเสมอ เฮ้! บ็อบรอเดี๋ยว พ่อไปแล้วนะรักลูกที่สุด] พ่อทิ้งท้ายไว้อย่างงงๆ เอ๊ะ! ไม่เคลียร์เลย...
ตอนเด็กฉันเคยเป็นเพื่อนกับไนออล?
ตกลงพ่อจะให้ฉันอาศัยเขากินก่อน?
พ่อกับแม่จะไปดูงานที่ไหน?
ทุกคำถามในหัวสมองของฉันมารวมเป็นวงใหญ่ๆ ที่ทีทำให้ทุกอย่างในสมองตีกันไปหมด ฉันกดเบอร์โทรกลับแต่สิ่งที่ได้กลับมาก็มีแต่เสียงหวานของผู้หญิงคนเดิมวนไปวนมา ไม่ใช่พ่อปิดเครื่อง ไม่ใช่ฝากข้อความแย่กว่านั้นคือ...เงินหมด
ให้ตายเถอะพระเจ้า!
เงินหมดคืออะไรน่ะหรอ...สำหรับฉัน...อืม....มันคือหายนะมาเยือนไงล่ะ! ขาดจากการติดต่อของใครหลายๆ คนนี่คือปัญหาใหญ่สำหรับฉัน แล้วฉันจะทำยังไงต่อไปฟร้ะ T//T
ตั้งสติเอาไว้...แค่โทรศัพท์เงินหมดเองไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ฉันเน้นคำว่าตั้งสติตัวโตๆ ในหัวของตัวเองเผื่อมันจะมีอะไรดีขึ้นมาบ้างแต่ไงล่ะ..ผลสุดท้ายมันก็เท่าเดิม ทำไงดี...ทำไงดี ฉันครุ่นคิดหนักหัวสมองจู่ๆ ก็ว้าวุ่นขึ้นมาซะอย่างงั้น ตอนนี้เท่ากับว่าฉันเหมือนคนโดดเดี่ยวเดียวดาย ตรงตามคอนเซ็ปต์ ‘สาวน้อยท่องโลกกว้าง’ เลยสินะ ฉันหลับตาปี๋เผื่อจะมีความคิดเจ๋งๆ โลดแล่นเข้ามาในหัวบ้าง
................มามะเซลล์สมอง
ไนออล!
ไนออล ฮอแรน...แสงสว่างในความมืดเพียงคนเดียวในตอนนี้ จะหวังพึ่งเพื่อนใหม่คงจะยากในเมื่อวันนี้ยังไม่เห็นหน้าค่าตากันสักนิดเลย เพราะฉะนั้นตัวเลือกสุดท้าย (และตัวเดียว) ของฉันนั่นก็คือเขา ว่าแต่ตอนนี้เขาอยู่ตรงไหนล่ะ =_=// ฉันต้องใช้ความคิดสักแพ๊พส์...อยู่ในเกต! ฉันต้องเข้าไปหาในเกท
ฉันก้าวขาฉับเร่งความเร็วเข้าตรงเข้าไปที่เกทจัดการยื่นพาสปอร์ทกับตั๋วเครื่องบินให้เจ้าหน้าที่เสร็จสับ ฉันกวาดสายตามองหาใบหน้าขาวเนียนอยู่สักพักและ...โป๊ะเช้ะ! ฉันเจอแล้วคนหัวทองนั่งอยู่ตรงมุมอับภายในเกทในมือมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง...สงสัยเขาคงไม่อยากให้ใครมายุ่งล่ะมั้ง ฉันจับตามองเขาอยู่ระยะหนึ่งสังเกตได้ว่าในเกทไม่ค่อยมีใครมายุ่งสุงสิงกันเท่าไหร่ช่วงนี้อาจจะไม่ใช่ช่วงท่องเที่ยว จึงมีแต่นักธุรกิจวัยกลางคนซะส่วนมาก
“สะ..สวัสดี” ฉันเอ่ยเสียงกุกกักแล้วนั่งลงตรงที่นั่งข้างๆ เขา “ขอยืมโทรศัพท์นายหน่อยสิ” ฉันพูดเสียงค่อยต่อเขา นิ่งแล้วลดหนังสือพิมพ์ตรงหน้าลงแล้วขมวดคิ้วใส่ฉัน
“เอาไปทำไม” เขาถามสั้นๆ
“ก็โทรหาพ่อไงโทรศัพท์ฉันแบตหมดน่ะ” แค่แบตหมดก็พอแล้วล่ะ...เดี๋ยวเขาจะสมเพชฉันว่าไม่มีเงินจ่ายค่าโทรศัพท์อีก ฉันกระพริบตาปริบๆ เพื่ออ้อนเขาแต่ว่า...
“งั้นขอเบอร์เธอหน่อย”
“ฮั่นแน่! จะจีบฉันล่ะสิ >W<” ฉันพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงแต่เมื่อมองกลับไปตรงหน้าฉันจึงลดความร่าเริงลงเพราะสังเกตเห็นความเย็นชาตรงหน้าของฉัน “โอเคไม่เล่นแล้ว เบอร์...” ฉันบอกเบอร์ของฉันไปให้เขาที่กำลังจิ้มโทรศัพท์อยู่จึกๆ แล้วสักพักเขาเลยยกโทรศัพท์ทาบหู
ครืด...ครืด
โทรศัพท์ที่อยู่ในมือของฉันดังขึ้น...ดังขึ้น เฮ้ย! ลืมไปว่าฉันโกหกเขาว่าแบตหมดนี่นา แบตหมดคือต้องไม่มีเสียงเข้ามาไม่มีแบตเตอรี่ดูยูโนวววว เฮือก!
“อ้อ! โทรศัพท์เธอนี่เจ๋งดีนะแบตหมดก็มีเสียงด้วย”
“ใช่เลยรุ่นใหม่ล่าสุดน่ะคิดค้นโดยนายสติ ฟันจอบเลยนะถ้านายสนใจฉันไปติดต่อซื้อให้ได้นะ T T;” ฉันรีบพูดกลบเกลื่อนสาธุ! ขอให้เขาเชื่อเถอะ... เหตุผลของฉันมันสมเหตุสมผลมากที่สุดแล้วนะ
“นี่…ถ้าคิดจะมาหลอกเอาโทรศัพท์ฉันไปค้นขอบอกเลยว่ายาก…มุกแป้กๆ ของเธอมันเชยมากใครๆ ก็จับไต๋ออกจะบอกให้นะ อยากไปไหนก็ไปเลยไปฉันอยากพักแล้ว” จึก! เพิ่งรู้ว่าตัวเองเล่นมุกแล้วมันแป้กอ่ะ เจ็บจุงเบย แล้วนี่ก็แสดงว่าเขาก็ไม่ให้ฉันยืมแล้วอ่ะดิ โฮฮฮฮ
“ไม่ๆๆ คือโทรศัพท์ฉันเงินหมดคราวนี้จริงๆ นะไม่ได้โกหก” ฉันจับแขนเขาไว้เพื่อเป็นการขอร้อง
“ไปหยอดตู้เอาสิหรือเงินหมดอีกล่ะ ฉันไม่อยากจะสงเคราะห์เธอด้วยเศษเงินหรอกนะ” ดอกที่เท่าไหร่ไม่รู้และนับไม่ถ้วนของวัน เฮือก! “หยุด...เธออย่ามาบอกว่าเครือข่ายสัญญาณของเธอล่มหรืออะไรอีกเลยเถอะฉันปวดหัว ไป๊!” ฉันกำลังจะอ้าปากพูดต่อแต่ขาดันรู้ทันพูดดักไว้ทุกทาง เครือข่ายล่ม...นั่นมุกใหม่ของฉันเลยนะ
โอเคไม่ยุ่งก็ได้! ฉันเดินไปนั่งที่อื่นทันทีอย่าไห้ฉันเรียกร้องนะเฟร้ยยยยยยย! จนกระทั่งฉันขึ้นเครื่องฉันก็จะไม่พูดกับเขาเลยคอยดู...คอยดูเถอะไนออล ฮอแรน นายจะต้องหงุดหงิดและเหงาหงอยเมื่อไม่มีฉัน >[]<//
.
.
.
.
TOKYO , JAPAN♥
เหงาจังเลย T _ T// ขอเล่าหน่อยว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่โตเกียวประเทศญี่ปุ่นแล้วค่ะ ฟินมากกกก...แต่ที่ไม่ฟินคือตลอดเวลาก่อนที่เครื่องบินจะบินมาเทียบท่าที่สนามบินโอตะฉันต้องนั่งกับผู้โดยสารชาวอินเดียซึ่งฉันไม่รู้จักและไม่กล้าสนทนากับเขาด้วย มันเลวร้ายมว๊ากคือไอ้คนอินเดียนั่นหน้าอย่างกับโจรใต้รับจ้างโรยตะปูตามท้องถนนแล้วมันก็นั่งโรคจิตยิ้มให้ฉันตลอดเวลาเลย ฮือ...แต่ก็รอดพ้นมาได้แล้ว me./*โบกธงแบบผู้ชนะ*
เมื่อผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้วฉันก็เข้าไปรับสัมภาระแล้วเดินออกมาทันที ฉันยิ้มร่าราวกับได้เกิดใหม่สูดอากาศของประเทศยุ่นให้เต็มปอด...ว่าแต่ฉันต้องทำยังไงต่อเนี่ยฉันนิ่งอึ้งอยู่สักพักก่อนจะนึกอะไรออก ฉันต้องหาที่พัก! ฉันหยิบโทรศัพท์ที่เสียบอยู่ตรงกระเป๋ากางเกงยีนส์สีเข้มของฉันออกมาและ...นึกขึ้นได้ว่าเงินหมด ใบหน้าของฉันหม่นลงทันทีเมื่อนึกถึงคำพูดของยัยโอเปอเรเตอร์ของบริษัทนั่น...ทุกคนจำได้ใช่ไหม ฮะ! จำไม่ได้..ทวนความจำสักนิดแล้วกันเนอะ U__U’
‘น้องคืออย่างนี้นะพ่อของน้องจ่ายให้น้องแบบธรรมดาน่ะ’
‘แบบธรรมดาจะไม่มีการรับผิดชอบที่อยู่ให้ทั้งสิ้นน่ะค่ะธรรมดาน้องก็ต้องหาที่อยู่เองไม่สามารถพึ่งบริษัทได้เลยจ่ะ’
เยี่ยม! นี่คือสิ่งที่ฟ้าประทานให้ฉันมาเจอสินะและทางเดียวเหมือนกับที่อยู่ที่อังกฤษคือ...
“ไนออล! ทางนี้” ฉันตะโกนเรียกเจ้าของผมบลอนด์ทองอร่ามระกับใบหน้าเนียนมีสีแดงระเรื่อปน ทำให้เขาหันมามองทางต้นเสียงอย่างฉัน ฉันรีบลากกระเป๋าเดินทางใบโตเข้าไปหาเขา “ขอไปอยู่ด้วยสิ ^^” ฉันเอ่ยเสียงหวาน
“อะไรของเธอที่อยู่ใครก็ที่อยู่มันสิ” เขาทำท่าจะเดินออกไปแต่ท่อนแขนของเขาก็ถูกฉันรั้งเอาไว้เสียก่อน
“อย่าทำอย่างนี้สิ! นี่นายจะใจร้ายเกินไปแล้วนะ” ฉันแผดเสียง
“เรื่องของฉัน...เธอจะเป็นยังไงก็เรื่องของเธอไอ้ทริปบ้าๆ นี่ฉันก็ไม่ได้อยากมาอยู่แล้วฉันขอใช้ชีวิตสงบๆ คนเดียวดีกว่า ฉันไม่ได้อยากจะยุ่งกับเธอสักเท่าไหร่อยู่แล้วเมื่อกี้ที่อ่านหนังสือพิมพ์ก็มีรูปหลุดฉันกับเธอ...พอใจยัง กลับไปฉันก็ต้องเคลียร์กับผู้จัดการวงอีก เหนื่อยเข้าใจป่ะ” คราวนี้เขาไม่ได้พูดเล่นๆ น้ำเสียงของเขาเย็นเฉียบมันทำให้ขาของฉันอ่อนระทวยขึ้นมา เขา...จะทำร้ายจิตใจกันเกินไปแล้วนะ!
“เออได้! ไม่ยุ่งแล้วก็ได้” ฉันตะเบ็งเสียงใส่เขาแล้วเดินออกไปไม่เหลียวหลังกับมามองคนหัวทองว่าจะทำสีหน้ายังไง ฉันกัดริมฝีปากแดงสดของตัวเองเพื่อระบายอารมณ์ชั่วครู่ ก่อนจะเดินออกมาจากตรงนั้นระยะพอสมควร
ตอนนี้
-ฉันไม่มีที่อยู่
-เงินโทรศัพท์ฉันหมด
-ฉันไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนเติมเงินยังไง
-เงินในกระเป๋าฉันมีไม่ถึง 40 ปอนด์
-ฉันหาเพื่อนไม่เจอสักคน
-และ...ฉันกำลังร้อง...ร้องไห้!
"ฮึก" ฉันหย่อนตัวลงที่ม้านั่งตัวหนึ่งเเถวนั้น มีต้นไม้ใบเขียวชะอุ่มสีสดใสที่เป็นเพื่อนกันอารมณ์หมองหม่นของฉันเเละสัมภาระอีกมากมายฉันยกมือขึ้นปาดน้ำตา เเต่ทุกคนเคยได้ยินไหมว่า 'ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ' น่ะ มันก็พอๆ กับ 'ยิ่งห้ามยิ่งไหล'
เเต่ทว่า...มีมือหนาของใครบางคนยื่นเข้ามาตรงหน้าฉัน ด้วยความสงสัยฉันจึงรีบปาดน้ำตาลวกๆ เเล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง มันเป็นเขา...ใบหน้าหล่อเหลาภายใต้เเว่นกันเเดดสีชาที่ซ่อนนัยน์ตาสีสวยไว้
"เร็วสิ อยากไปพักกับฉันไม่ใช่หรอ" เขาพูดเเต่ไม่ได้มองหน้าฉันทำเป็นมองไปรอบๆ นั้นเเล้วดันเเว่นกันเเดดให้เข้ากับรูปหน้าที
"ใครบอกฉันอยากไปพักกับนาย...ฉันเเค่...ไม่มีที่ไป" ฉันเสียงค่อยประโยคหลัง คนอย่างเขานี่ก็เเปลกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เมื่อกี้ยังไล่ฉันปาวๆ ราวกับฉันเป็นไก่กาอยู่เลย "เมื่อกี้นายยังว่าฉันอยู่เลยนี่ ถ้าคิดจะมาช่วยเพราะพ่อล่ะก็ฉันหาที่นอนเองได้ย่ะ" ฉันปากเก่งจัง U_U
"อ๋อหรอ" เขาลากเสียงยาวเเกมประชด "เเล้วผู้หญิงคนเมื่อกี้ที่นั่งร้องไห้ปาดขี้มูกไปไหนเเล้วล่ะ เอ..หาไม่เจอเลย อ้อ! อยู่ตรงนี้นี่เอง" เขาใช้นิ้วชี้เเตะจมูกของฉันเบาๆเหมือนฉันเป็นเด็กน้อยเเล้วยิ้มมุมปากบางๆให้
"ฉันไม่รบกวนนายหรอก ไปละ" ฉันลุกขึ้นเเล้วลากกระเป๋าเเสร้งไม่สนใจ เเต่ท่อนเเขนเเกร่งของเขากลับรั้งฉันไว้ก่อน
"เฮ้! อะไรของเธอเนี่ย เอาล่ะๆ เมื่อกี้ฉันพูดเเรงไปก็ขอโทษเเล้วกัน" ฉันไม่สนใจเเละก้าวเดินต่อไป "เธอเข้าใจบ้างดิ...คือเข้าใจป่ะ...ฉันทิ้งเธอไม่ได้" คำพูดของเขารัวใส่หน้าฉันเป็นช็อตๆ ประโยคหลังมันทำให้ก้อนเนื้อในอกมันเร่งความเร็วขึ้นมาทันทีทันใด ดวงตาของฉันเบิกกว้าง จู่ๆ ความรู้สึกเศร้าก็หายไปโดยไม่มีวี่เเวว
"..."
"เข้าใจตรงกันนะ คือไม่ใช่เกี่ยวกับพ่อเธอเเต่ เฮ้ย..คือทิ้ง-เธอ-ไม่-ได้ เก็ทป่ะฉันไม่อยากอธิบายยาว" พูดจบเขาก็เเย่งกระเป๋าเดินทางที่ฉันถืออยู่ไปอย่างวิสาสะ ฉันเเอบตกใจนิดหน่อยกับกิริยาของเขา
"งั้นก็ขอบคุณนายเเล้วกัน" ฉันยื่นมือเข้าไปจับมือของอีกฝ่ายที่ยื่นมารอแล้วเมื่อสักครู่
"อย่าร้องไห้อีกนะ...ฉันไม่ชอบเห็นน้ำตาของใครที่เกิดขึ้นเพราะฉันเลย ฉันรู้สึกเเย่นะเด็กน้อย" เขาถอนหายใจเบาๆ เมื่อฉันได้ยินดังนั้นฉันจึงพยักหน้ารับเเละไม่สนใจว่าเขาจะเรียกสรรพนามฉันว่าอะไร
เสียงนุ่มๆ ที่บอกกล่าวว่าไม่ให้ฉันร้องไห้ ทั้งที่มันเป็นเสียงของผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งเเต่รู้ไหมว่า...
มันมีอิทธิพลต่อฉันมากเเค่ไหน
ฉันยอมรับว่า...อันที่จริงเขาก็เป็นเพื่อนที่ดีคนนึงเลยนะ
แล้วก็สวัสดียุ่นสุดที่ร้ากกกกกกก♥
สวัสดีค่ารีดเดอร์ที่น่ารักของเดีย ;D ไม่ได้เจอกันมากี่วันนะ...ช่างมันเถอะ55555555 คิดถึงรีดเดอร์มากเลยต้องมายาวๆ >W<; เข้าเรื่องเลยดีกว่า ตอนแรกอาจจะดูดราม่าไปนิด (หรือไม่ดราม่าเลย) อิไนล์ทำร้ายจิตใจกันมากกกกกก...ดูเป็นคนที่แร้งน้ำใจสุดๆ แต่สุดท้ายไงล่ะ...อิเดียมันจิกหมอนแต่งเลยทีเดียว 555555555 แต่ว่า...ถ้าสมมติว่าไนล์มีเหตุผล ‘บางอย่าง’ ที่ต้องจำใจช่วยรีดเดอร์คิดว่ามันเป็นอัลไล .. เอากลับไปคิดดูนะฮิฮิ
ขอบอกมันส์สุดติ่งกับการเขียนเรื่องนี้มันเป็นแนวผจญภัยนะคะไม่รู้ว่าจะถูกใจกันไหม ยังไงฝากเม้นท์ให้เดียด้วยนะคะ ขอบคุณทุกคนที่เม้นท์เลยเดียอ่านหมดแล้วขอบคุณมากค่า จุ๊บๆ >3<))
สุดท้าย. ครบ 100 เม้นท์แล้วดีใจมากกกกกกกกก จิร้องไห้ 55555555555555 ทุกยอดวิวสำคัญกับเดียมากนะเฮ้ยย
ปล้ำลู. มีคนรู้จักเพลง A girl like you ด้วยเขิน =/= ขอบคุณค่า♥
อีดิท
- ๘ เมษายน ๕๗ (อัพครบ 100%)
- ๙ เมษายน ๕๗
ความคิดเห็น