คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : คำสาป!!!
3
...สิบปีผ่านไป...(ไวเหมือนโกหก)...
“แมกซี่!!!!!!!!!!!!!!!!!!”
เสียงแหลมที่ร้องเรียกหวีดดังเข้าไปดึงตัวฉันออกมาจากความฝัน
เฮือก!!!
...ฝันถึงเรื่องนี้อีกแล้วเหรอเนี่ย...
“นี่แมกซ์ เธอจะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหนเนี่ย”
ฉันลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางต้นเสียงที่เริ่มจะบ่นมากขึ้นทุกที
“อะไรของพี่ห๊ะ ทำไมชอบมากวนเวลาฉันกำลังฝันดีๆ อยู่เรื่อยเลย”
พูดไปฉันก็หันไปค้อนพี่วิกกี้อย่างเคืองๆ ไม่ชอบเลยจริงๆ เวลาที่ใครเข้ามาขัดจังหวะฝัน โดยเฉพาะฝันถึงเรื่องเมื่อตอนนั้น
“นี่อย่างบอกนะว่าไอ้ ‘ฝันดีๆ’ ของเธอ คือการฝันถึงเรื่องเมื่อหลายปีก่อนนั่นน่ะ”
“จะทำไมล่ะ”
“เธอนี่มันจริงๆ เลยนะ ไม่รู้ว่าไอ้เด็กมนุษย์ผู้ชายนั่นมันไปติดตรึงหัวใจอะไรของเธอนักหนา เธอถึงฝันถึงเขาแทบจะทุกคืนแบบนี้ หรือว่าไอ้หมอนั่นมันขโมยหัวใจเธอไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”
O_O บ้าจริง พี่พูดอย่างนี้ทุกครั้งที่รู้ว่าฉันฝันถึงเหตุการณ์เมื่อสิบปีก่อน แต่จะว่าไปมันก็จริงอย่างที่ว่า ไม่รู้ว่าทำไมเหตุการณ์ครั้งนั้นถึงทำให้ฉันลืมมันไม่ลงเสียที คิดทีไรก็รู้สึกราวกับว่าหัวใจของฉันได้ลอยล่องไป ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หรือนายคนนั้นจะขโมยหัวใจฉันไปอย่างที่พี่ว่าจริงๆ
“ว่าแต่...พี่มีธุระอะไรหรือเปล่า ถึงมาปลุกฉันตั้งแต่เช้าขนาดนี้”
“เช้า...เหรอ นี่มันจะบ่ายแล้วย่ะแม่คุณ เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้เราต้องไปทำอะไรกันบ้าง”
“อะไรเหรอ?”
ฉันถามออกไปด้วยความไม่รู้จริงๆ บอกตามตรงว่าตอนนี้สติสตางค์ฉันยังอยู่ไม่ค่อยครบเท่าไร ตื่นนอนทีไรเป็นต้องเบลอแบบนี้ทุกทีเลย
“วันนี้เราทั้งสามคนต้องไปวัดตัวเพื่อตัดชุดกันแล้วนะ เธอลืมไปได้ยังไงยะ ยัยอัลไซเมอร์ -_-“
“วัดตัว? วัดทำไมอะ”
“นี่เธอ...งานเต้นรำจะมีขึ้นในอีกไม่ถึงสัปดาห์แล้วนะ เธอลืมเรื่องสำคัญแบบนี้ไปได้ยังไงกันแมกซ์”
งานเต้นรำ? งานเต้นรำเหรอ? เฮ้ย...ตายจริง สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดกำลังจะมาถึงเหรอเนี่ย อ๊าก...ทำไงดีเนี่ย
“เฮ้แมกซ์ เธอไม่สบายรึเปล่า?”
“-O-^”
พี่คงสังเกตเห็นอาการเหงื่อตกของฉันเลยถามขึ้นอย่างนั้น จะไม่ได้เหงื่อตกได้ยังไงล่ะ ในเมื่องานเต้นรำครั้งนี้ มันก็คืองานจับคู่ดีๆ นี่เอง TTOTT
“ฉันนะตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าชายจากเทรเซียจะมาร่วมงานหรือเปล่า ฉันภาวนาเช้าเย็นให้เขามาในงานนี้และสบตากับฉันเหมือนในนิทาน”
ดูพี่สาวของฉันสิ เธอกำลังฝันหวานอยู่ทีเดียวเชียว ท่าจะบ้าแฮะ
“พี่...ถ้าเกิดว่า...”
“หยุดสิ่งที่เธอกำลังคิด”
“พี่รู้แล้วเหรอว่าฉันจะพูดอะไรน่ะ”
“ฉันรู้แค่ว่าสิ่งที่เธอคิดอยู่ไม่เคยเป็นเรื่องที่น่าฟังเลยสักครั้ง เพราะฉะนั้นได้โปรดอย่าพูดเลยแมกซ์”
พี่วิกกี้หลับหูหลับตาแทบจะเดินหนีฉันไป แต่ยังไงฉันก็ยืนยันคำเดิม
“ฉันไม่อยากแต่งงาน!!!”
“แมกซ์...มันเป็นไปไม่ได้”
พี่พูดพร้อมกับหลับตาลงด้วยความระอา ฉันเข้าใจนะว่าพี่คิดยังไง แต่...เฮ้อ...ฉันต้องอธิบาย
“มันต้องเป็นไปได้สิพี่ ฉันจะบอกให้นะ การรู้จักกันครั้งเดียวในงานเต้นรำน่ะ มันไม่มีทางเกิดความรักได้หรอก ถึงเจ้าชายแห่งเทรเซียจะเกิดมาปิ๊งปั๊งพี่ก็ตามทีเถอะ แต่ทุกวันนี้พี่ยังแทบจะไม่เคยคุยกับเขาเลย แบบนี้พี่คิดว่าพี่จะแต่งงานกับเขาเหรอ พี่จะยอมให้ท่านพ่อมัดมือชกพี่แบบนี้หรือไง”
“แต่มันเป็นประเพณีที่สืบทอดมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของอาณาจักรเราแล้วนะแมกซ์ เธอคิดว่าจะหลบเลี่ยงไปได้ง่ายๆ หรือไง และอีกอย่างนะ งานเต้นรำครั้งนี้ไม่ใช่แค่งานจับคู่เท่านั้น แต่ยังมีพิธีตรวจสอบความเป็นเชื้อกษัตริย์ในงานนี้ด้วย เธอก็รู้ว่ามันสำคัญ”
“เชื้อกษัตริย์?”
“ก็ไข่มุกสามสีไงล่ะ”
ไข่มุกสามสี? O_O ฉันสะดุ้งเฮือกเหมือนคนทำความผิด รีบกุมไข่มุกเม็ดเขื่องที่ห้อยอยู่ที่คออย่างหวาดระแวง
“อย่าบอกว่าพี่หมายถึงไข่มุกที่เราสามคนใส่อยู่นะ”
ฉันลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูเพราะไม่รู้ว่ามันจะเป็นอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า
“ใช่แล้วแมกซ์ มันคือไข่มุกที่เราทั้งสามคนห้อยอยู่ที่คอมาตั้งแต่เด็ก ไข่มุกทั้งสามสีเป็นของที่สำคัญมาก เพราะเห็นป้าเจนน่าเล่าให้ฟังว่ามันเป็นของสำคัญที่ตกทอดมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ซึ่งมันคือกุญแจสำคัญในการเปิดประตูกลที่ท่านปู่ได้สร้างเอาไว้เมื่อครั้งมีชีวิตอยู่ โดยท่านปู่ได้สั่งให้จอมเวทย์ผนึกมนตร์ตรึงประตูกลนี้เอาไว้ และตรัสเอาไว้ว่าจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อหลานสาวคนโตอายุครบยี่สิบในวันงานเต้นรำประเพณี”
“นี่พี่พูดเรื่องอะไรกัน? ฉันงงไปหมด”
“เอาเถอะ สิ่งสำคัญก็คือ วันงานเต้นรำคือวันที่จะเปิดประตูกลที่ท่านปู่ได้สร้างขึ้น โดยใช้ไข่มุกสามสีที่เราแต่ละคนห้อยอยู่นี่แหละแก้มนตร์ที่จอมเวทย์ผนึกเอาไว้ ไม่มีใครรู้ว่าหลังประตูบานนั้นมีอะไร แต่คาดเอาไว้ว่าท่านปู่ได้ทิ้งสมบัติจำนวนมหาศาลเพื่อมอบให้กับพวกเราก่อนไปแต่งงาน”
“สมบัติงั้นเหรอ O_O”
ฉันตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
“ฉันคิดว่างั้นนะ เพราะว่าการเปิดประตูกลครั้งนี้เป็นการตรวจสอบเชื้อกษัตริย์โดยใช้ไข่มุกของพวกเรานี่แหละ ถ้าเป็นไข่มุกของจริงที่ตกทอดมาก็จะทำให้ประตูเปิดออกได้ เพราะฉะนั้นท่านพ่อเลยกำชับนักหนาให้เรารักษาไข่มุกของตัวเองยิ่งชีพไงล่ะ”
ฟังเรื่องที่พี่วิกกี้เล่ามาถึงตรงนี้ฉันก็เริ่มเหงื่อตก ทำไงดีฟะเนี่ย หวังว่านี่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ พี่ต้องหลอกฉันอีกแน่ๆ เลย
“พี่กุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่าเนี่ย ทำไมฉันไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย”
“ก็เธอเคยสนใจที่ไหนล่ะแมกซ์”
“-_-“
“รีบลุกจากเตียงแล้วไปขัดตัวซะ จะได้ไปวัดตัวกันซักที ชักช้าอืดอาดไม่ทันกินกันพอดี”
“พี่ออกไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วจะตามไป”
พอพี่วิกออกจากห้องไปฉันก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ จับไข่มุกที่ห้อยอยู่ที่คอด้วยความว้าวุ่น ฉันจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีนะ
ก๊อก ก๊อก~
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นทำให้ฉันสะดุ้งเล็กน้อย ฮู่~
“ใครน่ะ”
“ป้าเองค่ะคุณหนู”
“ป้าเจนน่าเหรอ เข้ามาสิคะ”
ป้าเจนน่าเป็นเหมือนแม่นมที่คอยดูแลเราสามคนมาตั้งแต่เด็กๆ พอป้าเจนน่าเข้ามาในห้องฉันก็รีบเข้าไปซักเรื่องที่พี่วิกกี้เล่าให้ฟังทันที ยัยนั่นต้องโกหกฉันแน่ๆ
“ที่พี่เล่ามาเป็นเรื่องจริงเหรอคะป้า”
“จริงค่ะคุณหนู”
“-O-“
“คุณหนูไม่เห็นต้องหนักใจนี่คะ ทำตัวให้สบายๆ เดี๋ยวงานนี้ก็จะผ่านไปด้วยดีเองค่ะ”
“แต่ว่า...”
“...”
ป้าเจนน่าเอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องนั้นดีไหม ไม่...ไม่ดีแน่ ฉันเลยบอกไปว่า
“แต่ฉันไม่อยากแต่งงานนี่นา เลื่อนการจับคู่ไปก่อนไม่ได้หรือไงคะ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ งานนี้เป็นงานใหญ่มาก พระราชาได้ส่งบัตรเชิญไปเชิญเจ้าชายเมืองอื่นๆ มาร่วมงานแล้ว ยังไงก็เลี่ยงไม่ได้ค่ะ”
ป้าเจนน่าพูดน้ำเสียงจริงจัง >_<
“ถ้าเกิดฉันจะบอกว่าฉันมีคนรักแล้วล่ะคะ”
“O_O”
ป้าเจนช็อกตาค้างกับสิ่งที่ฉันพูดออกมา
“ค่ะ...ฉันมีคนรักแล้ว”
“เจ้าชายเมืองไหนกันคะ พระราชาได้เชิญมาร่วมในงานนี้หรือเปล่า”
ฉันยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดต่อ
“ท่านพ่อไม่ได้เชิญค่ะ เพราะเขาไม่ใช่เจ้าชาย”
“ไม่ใช่เจ้าชาย? O_O”
“ค่ะ เขาไม่ใช่เจ้าชาย แต่เป็นมุษย์ผู้ชายค่ะ”
“ว้าย...นี่คุณหนูพูดอะไรออกมาคะ”
ป้าเจนน่าเหลียวซ้ายแลขวาเหมือนกลัวว่าใครจะมาได้ยิน
“ทำไมเหรอคะ เป็นมนุษย์ผู้ชายไม่ได้เหรอคะ”
“คุณหนูอย่าพูดจาเหลวไหลสิคะ มนุษย์ผู้ชายอะไรกัน”
“ล้อเล่นค่ะป้า ฮิๆ ว่าแต่พวกเราแต่งงานกับมนุษย์ไม่ได้เหรอคะ?”
ฉันถามทีเล่นทีจริง แต่ว่าป้าเจนน่ากลับทำหน้าเครียดแล้วเริ่มเล่า
“เดิมทีเคยมีชาวอาณาจักรเราไปแต่งงานกับมนุษย์เหมือนกันค่ะ แต่เป็นเพราะเธอไม่รู้เรื่องนั้น จึงได้พลาดไป”
แววตาของป้าเจนน่าดูหม่นอย่างบอกไม่ถูก
“เรื่องอะไรกันคะ”
“มันเป็นเรื่องคำสาปที่มีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษแล้วค่ะ เป็นความรักต้องห้ามที่ทุกคนต่างหวาดกลัว”
“คำสาปเหรอคะ แล้วเขาสาปว่าอะไรกัน”
ป้าเจนน่ามองหน้าฉันแปลกๆ แล้วก็เอ่ยขึ้น
“หากผู้ใดมีความรักกับมนุษย์ เมื่อถึงคราวให้กำเนิดบุตร บุตรของมันผู้นั้นจักต้อง...”
“ต้องอะไรคะ?”
“ต้องเป็น...ปลาหมึก...”
“ปลาหมึก O_O”
ฉันตะลึงไปสามวินาที ก่อนจะ...ฮ่าๆๆ ปลาหมึก ฮ่าๆๆ นี่มันนิทานหลอกเด็กชัดๆ ฉันหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความขำ
“ปลาหมึกเหรอคะป้า ฮ่าๆๆ”
“ไม่ตลกเลยนะคะคุณหนู น่าตีจริงๆ เลย”
“ไม่ขำได้ไงคะป้า ออกลูกเป็นปลาหมึก ใครเป็นคนสาปคะ อยากเห็นหน้าคนสาปจัง ฮ่าๆๆ”
-_- ป้าเจนน่าทำหน้าเหนื่อยใจ พอฉันสงบสติอารมณ์เรื่องคำสาปขำๆ ได้แล้วก็ชวนป้าเจนน่าไปขัดผิว เหมือนจะดูสบายอกสบายใจ แต่ที่จริงแล้วฉันรู้สึกวิตกอย่างบอกไม่ถูก -_-
ทั้งเรื่องนั้น...แล้วก็เรื่องนั้น...
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ตอนนี้ถ้าอ่านแล้วงงก็ขออภัยนะครับ เรื่องกำลังจะเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักแล้วครับ อีกนิดๆ
บกพร่องตรงไหนก็ช่วยชี้แนะกันด้วยนะคร๊าบบ...ขอบคุณมากๆ เลย
ความคิดเห็น