คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : lesson 8 : บังเอิญ
8
บังเอิญ
ต้องขอบคุณไซม่อนที่ทำให้ฉันรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ ส่วนโรสนั้นเอาแต่เงียบ ชวนคุยด้วยก็หลบหน้า ฉันก็พอเข้าใจนะว่าคนที่เจอเรื่องไม่ดีอะไรแบบนี้มาคงไม่อยากจะคุยกับใคร ไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยปากเล่าเพราะสู้หน้าไม่ได้ ส่วนฉันนี่แย่กว่า นอกจากจะถูกจับทรมานแล้ว ยังจูบปากกับไอ้น้องที่คลานตามกันมาอย่างมาเล่ด้วย
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันกับมาเล่กลับบ้านด้วยกัน ตอนนี้ภาพของฉันกับมาเล่ที่แพร่ไปทั่วอินเตอร์เนตจากการกระทำของอสูรทำให้คนทั่วไปคิดว่าฉันกับมาเล่คบกัน ฉันเหนื่อยมากเกินกว่าจะแก้ตัวอะไรได้เลยปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน
“โดนเตะโดนต่อยยังไม่เจ็บปวดเท่าจูบปากกับตัวเลย” มาเล่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งหันหน้าไปด้านนอกอย่างกระดากอาย
“คิดว่าเค้ามีความสุขที่ได้จูบปากกับตัวอย่างนั้นเหรอ เค้าเป็นพี่สาวตัวนะเว้ย!”
“ก็นั่นแหละ จะอ้วก! >O< ตอนนี้คนอื่นเขาคงคิดกันว่าฉันโรคจิตไปแล้วที่จูบกับพี่สาวตัวเอง”
“ยังไม่มีใครรู้สักหน่อยว่าเราเป็นอะไรกัน”
“อย่ามาพูดว่าเรานะ ขนลุก อี๋ๆๆๆ”
หมอนี่มันคิดว่าฉันพิสวาสขาดดิ้นกับจูบของมันหรือไง พูดนี่ไม่ได้ดูเลยนะว่าขนแขนฉันแสตนด์อัพไปถึงไหน แถมกลิ่นปากก็ไม่รัญจวนใจ คิดแล้วขมคอเหมือนกันนะยะ!
เราทั้งคู่ลงจากแท็กซี่ที่ปากซอยหน้าบ้านแล้วเดินเคียงข้างกันด้วยการเดินห่างกันเกือบเมตรเพราะยังรู้สึกแขยงกันไม่หาย ขณะที่กำลังเดินก้าวขาจะถึงเขตบ้านของตัวเอง เสียงกรี๊ดกรีดร้องของใครสักคนทางด้านหลังเราทำให้ขาหยุดชะงัก
“ไม่จริง!!!”
ฉันกับมาเล่หันไปดูต้นเสียงแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อแนนนี่มายืนกรี๊ดกรีดร้องทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตก ธรณีกำลังจะสูบอย่างไรอย่างนั้น
“เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ” มาเล่
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมเธอสองคนถึงอยู่ด้วยกัน”
“ก็นี่มันทางกลับบ้านฉัน” ฉัน
“ใช่ นี่ก็ทางกลับบ้านฉัน”มาเล่
“ไม่ต้องมาโกหกตอแหล มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่บ้านของเธอสองคนจะอยู่ด้วยกัน”
“จะว่าบังเอิญก็ได้นะ” มาเล่
“อืม บังเอิญเราอยู่บ้านเดียวกันจริงๆนั่นแหละ” ฉันพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่ไม่คาดคิดว่าคำตอบของฉันจะทำให้แนนนี่ลมแทบจับได้ขนาดนั้น =__=
“มาเล่ ฉันคิดมาตลอดว่านายไม่มีใคร ถึงจะเจ้าชู้ยังไงก็ไม่มีทางหิ้วผู้หญิงเข้าบ้าน ฉันที่หลงรักนายมาตั้งแต่ ม.ต้นนายยังไม่เคยพาฉันมาบ้านเลยสักครั้ง”
“ก็เธอไม่ใช่แฟนฉัน และต่อให้เป็นแฟนฉันก็ไม่พามาบ้านหรอก อายพ่อแม่ =__=”
“แล้วยัยเมลานีนี่เป็นใครนายถึงหิ้วเข้าบ้าน ห๊า!”
“ฉันเดินมาเอง ไอ้นี่ไม่ได้หิ้วฉันนะ” ฉันโบกไม้โบกมือปฎิเสธ ก็เห็นเดินอยู่ด้วยกันเรียกว่าหิ้วได้ไง
“เธอจะบอกว่าสมยอมอย่างนั้นเหรอ!”
“เสียงดังเอะอะอะไรกัน”
พี่ไมโลที่กลับมาถึงบ้านก่อนเราทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านแล้วมองไปทางแนนนี่ “เธอเองหรอกเหรอส่งเสียงดัง”
“นี่รุ่นพี่ก็บังเอิญอยู่ระแวกนี้เหรอ”
“ใช่ แล้วทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”
“ยัยนี่ตามพวกเรามา” มาเล่อธิบาย
“ทำไมพวกเธอสามคนถึงได้มาอยู่ที่นี่ด้วยกันอย่างบังเอิญ”
ฉันที่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำเลยเฉลย อากาศข้างนอกมันร้อนเกินไป แถมเสียงยัยนี่กำลังทำให้ฉันหงุดหงิด -*-
“บังเอิญเราสามคนเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน บังเอิญกินข้าวหม้อเดียวกัน และบังเอิญอยู่บ้านเดียวกัน”
“=[]= ไม่จริง บังเอิญเกินไปแล้ว พวกเธอสามคนจะเป็นพี่น้องกันได้ยังไง...เธอจะบอกว่าเธอเป็นพี่สาวของมาเล่เหรอ”
“เออ =__=”
“และเธอกำลังจะบอกว่าเป็นน้องสาวของรุ่นพี่ไมโลด้วย”
“จ้า ^^” พี่ชายใหญ่
“และมาเล่ก็บังเอิญเป็นน้องคนเล็กของบ้าน”
“แม่นแล้ว -*-“ มาเล่
“บังเอิญว่าฉันเข้าใจผิดหมดเลย เธอไม่ได้เป็นแฟนมาเล่ แต่เป็นพี่สาวแท้ๆพ่อแม่เดียวกันอะไรแบบนั้นเหรอ”
“(_ _) (_ _) (_ _)” เราสามคน
“บังเอิญว่า...คร่อก!”
แนนนี่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นถนนต่อหน้าต่อตาพวกเราแล้วสลบไปราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ...
ชีวิตมันมีเรื่องบังเอิญเยอะนะ ว่ามั้ย? =__=
พวกเราทั้งหมดอันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชายใหญ่ ฉัน และมาเล่ ต่างรอคอยการฟื้นคืนชีพของแนนนี่ราวกับลุ้นว่าเมื่อถูกแวมไพร์กัดแล้วจะฟื้นขึ้นมาแล้วกลายเป็นผีอย่างในหนังหรือไม่อะไรแบบนั้น ขณะที่พวกเรากำลังประชุมกันว่าจะเอาน้ำสาดหน้าหรือเอาไฟช็อตเจ้าหล่อนดีเพื่อปลุกให้ตื่น แนนนี่ก็ฟื้นขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ =__=
“ที่นี่ที่ไหนกัน”
“บ้านฉันเอง” ฉันชี้มาที่ตัวเองแล้วผายมือแนะนำทุกคนในครอบครัว “และก็บ้านของทุกคนด้วย”
“สรุปว่าฉันไม่ได้ฝันไปเหรอที่เธอกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกับมาเล่และรุ่นพี่ไมโลน่ะ”
“ไม่ได้ฝัน ของแท้และการันตีโดยฉันเอง”
แนนนี่ทำหน้าเหมือนเห็นผี จากสายตาที่เคยเกลียดฉันตลอดเวลากลายเป็นความหวาดหวั่นพรั่นพรึง แล้วสิ่งที่ไม่ได้คิดก็เกิดขึ้น นางกระโดดลงจากโซฟาแล้วคุกเข่าเตรียมพร้อม จากนั้นก็กอดขาฉันเอาไว้ราวกับเป็นทาสในเรือนเบี้ย
“อภัยให้ฉันเถอะ ฉันผิดไปแล้ว อย่าโกรธอย่าเกลียดฉันเลย”
“=[]=”
“หากฉันรู้สักนิดว่าเธอเป็นน้องสาวของรุ่นพี่ไมโล เป็นพี่สาวของมาเล่ ฉันจะไม่แม้แต่จะเอาปลายนิ้วของฉันไปสัมผัสผิวเธอให้เป็นร่องรอย”
“คือไม่คิดจะแตะฉันเพราะขยะแขยงอะไรแบบนั้นเหรอ =__=”
“ไม่ใช่! กรี๊ด! ทำไมถึงแปลเจตนาของฉันเป็นอื่น” แนนนี่ลุกขึ้นแล้วเอามือถึงผมตัวเอง “ถ้าเธอเกลียดฉันและมีอคติต่อฉันจะทึ้งผมตัวเองให้หมดหัวเป็นการขอโทษ”
“ทำสิ -__-“
มาเล่ที่ฟังอยู่นานคงจะเกิดอาการหมั่นไส้เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน แนนนี่หันมาทำหน้ายักษ์ใส่
“ใจร้าย!!! ที่ฉันทำตัวนิสัยไม่ดี ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าฉันหึง นายรู้ดีว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย!”
“ฉันไม่อยากฟัง”
“ฉันรักนายยยยยย”
“ประกาศขนาดนี้ทำไมไม่ลงข่าวหนังสือพิมพ์ไปซะเลยล่ะว่ารักฉันน่ะ”
“ฉันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ถ้าทำแล้วจะรับรักฉันหรือเปล่า”
“น่ารำคาญ -*-“
ความใจร้ายของมาเล่ทำให้ฉันที่ฟังอยู่นานอดสงสารแนนนี่ไม่ได้ที่น้องชายฉันเย็นชาเกินไป เลยกอบกู้สถานการณ์ด้วยการพูดคุยกับเธอเอง
“ฉันไม่ได้เกลียดเธอ...ขนาดนั้นหรอก แต่สิ่งทีเธอทำกับฉันมันลืมยาก”
“ก็ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นคนสำคัญกับมาเล่ขนาดนี้ เขาปกป้องเธอ เขาเอาแต่ดีกับเธอ เป็นใครก็หึงใช่มั้ยล่ะ”
“เธอหึงแรงนะ ^^;;;”
“เพราะฉันเป็นผู้หญิงที่จริงจังในความรักต่างหากล่ะพี่สะใภ้”
“พี่สะใภ้เหรอ O_o”
“แล้วนี่ฉันก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันนะที่ได้รู้ว่ารุ่นพี่ไมโลเป็นพี่ชายของมาเล่ ทำไมไม่เห็นมีข่าวหลุดออกมาเลย”
“นามสกุลเหมือนกันก็น่าจะฉุกใจคิดสักนิดนะ” มาเล่เสริมอย่างรำคาญจริงจัง ทำราวกับว่าแนนนี่มีคำว่าโง่ติดอยู่บนหัวตัวโตๆ ผ่านทางสีหน้ากันเลยทีเดียว
“ใครๆในโรงเรียนเราก็นามสกุลซ้ำกันทั้งนั้น บางทีก็เป็นญาติ แต่ไม่รู้จักกันก็มี ฉันก็นึกว่าพี่ไมโลกับมาเล่จะเป็นกรณีหลัง นามสกุลเดียวกันแต่ไม่รู้จัก...โทษฉันไม่ได้นะ ก็พวกนายไม่เคยแสดงออกอะไรเลยนี่นา!!!”
“ต่อให้เมลานีไม่ได้เป็นพี่สาวฉัน เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายคนอื่นอย่างนั้น”
“ฉันผิดไปแล้ว TT^TT”
“แต่เธอก็ยังคิดจะทำอีกใช่มั้ยล่ะ”
“ขอโทษที่ฉันหึงแรงไปหน่อย”
“คนเราจะหึงกันได้มันต้องคบกันก่อนไม่ใช่หรือไง”
มาเล่เองก็เริ่มจะของขึ้น ไม่รู้ว่าในหัวกำลังนึกถึงโรสที่ถูกรังแกอยู่หรือเปล่าเลยเอาไปลงกับแนนนี่ซะหมด โชคช่วยแนนนี่เพราะเป็นจังหวะที่แม่มาตามไปทานอาหารเย็นด้วยกันพอดี จึงไม่มีการโต้คารมเกิดขึ้น
ว่าแต่น้องชายฉันนี่เสน่ห์แรงไม่เบาแฮะ
จริงมั้ยล่ะ ถึงขนาดทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหน เพียงเพราะ ‘หึง’ คำเดียว หลังจากเห็นสิ่งที่แนนนี่ทำกับฉันและโรสแล้ว ฉันบอกได้เลยว่า...ฉันจะไม่ทำอย่างนี้กับใครแม้ว่าฉันจะหึงมากมายก็ตาม!
โต๊ะอาหารถูกจัดอย่างสวยงาม แม่ที่มักจะดีใจเสมอถ้ามีเพื่อนของลูกมาเยี่ยมบ้านเลยโทรสั่งอาหารซะโอเว่อร์อย่างต้องการประกาศว่าบ้านเรารวยมากกกก อย่างหูฉลามน้ำแดง รังนกที่ไม่ได้เข้ากับเมนู ไหนจะอาหารฝรั่ง อิตาเลียน เอามาวางเรียงกันเป็นบุฟเฟ่ต์ เราสามคนพี่น้องมองอาหารแล้วรู้สึกระอา ผิดกับแนนนี่ที่พอเห็นเมนูต่างๆแล้วยิ่งทำท่าโอเวอร์แอคติ้งราวกับว่าครอบครัวฉันคือเทวดามาจุติ
“เพอร์เฟคที่สุด นี่คืออาหารที่กินกันตามปกติเหรอคะ”
“ใช่แล้วจ้ะ พวกเรากินกันอย่างนี้ทุกวันเลย”
( -_-) (-_- ) พี่น้องที่มองหน้ากันเองแล้วถอนหายใจดัง ‘เฮ้อ’
มาเล่เปลี่ยนบทสนทนาแล้วเข้าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทันที
“ว่าแต่ทำไมรุ่นพี่ไซม่อนถึงเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ได้ล่ะเฮีย ปกติแล้วรุ่นพี่กับรุ่นน้องจะไม่ยุ่งกันนี่”
“พี่ไปขอร้องให้เพื่อนช่วย”
“แต่ต่อให้อยากช่วยยังไงพี่ไซม่อนก็ไม่น่าจะยุ่งป่ะ ใครๆก็รู้ว่าพี่ไซม่อนโลกส่วนตัวสูงแค่ไหน และชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้อย่างกับอะไรดี ทำไมคราวนี้ยอมแหกกฎได้”
“เพราะพี่เคยมีบุญคุณกับหมอนั่นมาก่อน นี่เป็นการตอบแทนบุญคุณครั้งใหญ่ของมัน”
แนนนี่ที่นั่งกินข้าวยอมฟังอย่างเงียบๆราวกับเก็บข้อมูล มาเล่ที่สังเกตเห็นเหมือนที่ฉันสังเกตก็แสยะยิ้มใส่เจ้าหล่อนอย่างเหนือกว่า
“ตอนนี้ญาติของเธอเดือดร้อนมากๆแล้วล่ะเพราะรุ่นพี่ไซม่อนลงมาเล่นเกมนี้ด้วย ฉันว่าคราวนี้อาจจะมีการปฎิวัติกฎเกณฑ์เกิดขึ้นในโรงเรียนของเรา ถ้าอสูรแพ้ เธอจะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปด้วย บอกเลย!”
แนนนี่นั่งตัวลีบเหมือนตุ๊กต๊าลมที่ไม่มีลมจะเป่าอย่างไรอย่างนั้น พ่อกับแม่ฉันที่ฟังเรื่องราวแต่จับใจความไม่ได้เลยถามขึ้น
“ปฎิวัติอะไรกันเหรอ” พ่อ
“ปฎิวัติการปกครองยิบย่อยในโรงเรียนครับ”
พี่ไมโลอธิบายรวบรัดพร้อมกับยิ้ม นั่นหมายถึงว่า...ต่อให้ถามต่อก็ไม่มีคำตอบให้ ซึ่งคนในครอบครัวฉันรู้ดีว่าพี่ไมโลเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น พ่อกับแม่เลยได้แต่มองหน้ากันแล้วไม่ถามต่อ
ก็มันอธิบายได้แค่นี้จริงๆนี่นา...
หลังจากกินข้าวเสร็จ รถที่บ้านของแนนนี่ก็มาจอดรอรับคุณเธอที่หน้าบ้าน แนนนี่ที่เคยทำตัวเป็นนางพญา ไม่เกรงกลัวผู้ใดหน้าไหนทั้งนั้น ณ ตอนนี้ เวลา 20.12 น. ละครหลังข่าวกำลังจะมา แนนนี่เกาะแขนฉันราวกับสนิทกันมานานกว่าสามพันปีแสง
“พรุ่งนี้รุ่นพี่จะไปเรียนกี่โมงคะ”
“อ่า...ก็เวลาปกติ”
ฉันกลายเป็นรุ่นพี่ของนางไปแล้วด้วย สรรพนามเปลี่ยน กริยาเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน -__-
“อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ เดี๋ยวแนนนี่จะเตรียมจากที่บ้านไปให้ พ่อครัวของแนนนี่เป็นเชฟฝีมือดี สั่งได้เลย >_<”
“ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก แหะๆ”
“งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ แนนนี่จะรอ”
ไม่ว่าเปล่า นางพุ่งมาสวมกอดฉันอย่างสนิทชิดเชื้อก่อนจะขึ้นรถแล้วโบกมือราวกับนางสาวไทยได้ตำแหน่ง มาเล่ที่ซุ่มมองอยู่นานจากในบ้าน พอเจอหน้าฉันก็เบ้ปากใส่
“ญาติดีกับยัยนั่นแล้วเหรอ”
“ตัวเห็นเค้าแสดงกริยาอาการดีอกดีใจหรือไงที่สนิทกับยัยนั่น อย่ามาหาเรื่อง!”
“ผู้หญิงนี่เปลี่ยนกันได้ง่ายๆเหมือนพลิกฝ่ามือเลยเนอะ”
“แต่เค้าว่าโรสไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียวนะ เคยเกลียดผู้ชายยังไงก็เกลียดอย่างนั้น แล้วยิ่งฟาโรห์ไปทำกับนางอย่างนั้น เลยพาลเกลียดผู้ชายทั้งโลกเลย”
“ยัยนั่นน่ะบ้า! ก็ไม่ใช่ทุกคนที่นิสัยไม่ดีสักหน่อย อย่างน้อยก็เค้าที่เป็นคนดี ยอมขึ้นไปช่วยแถมยังโดนซ้อมยับกลับมาอีก ไม่สำนึกบุญคุญกันบ้าง!”
“นายดูแคร์โรสนะ ใส่อารมณ์น่าดูเชียวพอพูดถึงเรื่องนี้”
“ตัวพูดอะไร ไม่คุยด้วยแล้ว!”
“ทำไมต้องโมโห”
“ไม่คุย!”
“ตัวชอบโรสเหรอ”
“หุบปากไปเลย!”
แล้วมาเล่ก็เดินหนีขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองแล้วปิดประตูเสียงดังอย่างประชดประชัน
โอ๊ะโอ...น้องฉันน่าสนใจนะเนี่ย
วันต่อมา...
ใช่ ผู้หญิงเราสามารถเปลี่ยนกันได้เพียงพลิกฝ่ามือถ้ามีอะไรมากระตุ้นให้รู้สึกอยากจะทำ ตัวอย่างก็มีให้เห็นทนโท่ในตอนนี้เองนั่นก็คือ...โรสวิ่งเข้ามาหาฉันแล้วกอดอย่างเป็นมิตร แถมยังสั่งให้เพื่อนทีมเชียร์หลีดเดอร์เต้นสะบัดพู่ต้อนรับฉันในขณะที่ย่างกรายเข้ามา
ต้องทำขนาดนี้เลยเรอะ =[]=!!!
“ฉันคิดถึงรุ่นพี่จังเลย”
“เหรอจ๊ะ”
ฉันจะตอบอะไรได้ล่ะ >O< มีคนบอกว่าดีใจที่ได้เจอฉัน นอกจากยิ้มแล้วมีอะไรให้ฉันตอบแทนความใจดีของนางได้ อย่าหมั่นไส้ฉันกันเลย ฉันทำตัวไม่ถูกจริงๆ
บรรยากาศในวันนี้เปลี่ยนไป ขณะที่เดินผ่านแต่ละคนๆที่สวนกัน แม้จะไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนแต่ก็สัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริงเหมือนอากาศ สายตาคนพวกนั้นที่มองมาทางฉันอย่างเต็มไปด้วยคำถาม คงจะแปลกใจเรื่องที่แนนนี่กับฉันกลายเป็นพันธมิตรกัน และไหนจะเรื่องที่ไซม่อนออกตัวช่วยฉันอีก
“แนนนี่!”
รุ่นน้องคนหนึ่งพุ่งตรงมาทางเราแล้วหยุดหอบแฮ่กตรงหน้าเหมือนหมาหิวน้ำ ท่าทางรีบร้อนทำให้แนนนี่ยอมปล่อยแขนจากฉันแล้วเท้าสะเอวถามจิกๆใส่คนที่วิ่งมา
“มีอะไรก็รีบๆพูด มาหอบอยู่ได้น่ารำคาญเสียเวลา!”
แนนนี่ก็ยังคงเป็นแนนนี่สินะ นางพญานิสัยเสีย =__=
“รุ่นพี่ไซม่อนบอกให้ตามตัวเธอ”
“เอ๋?” น้ำเสียงของแนนนี่เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง นางเอื้อมมือมาคล้องแขนฉันอย่างอัติโนมัติอย่างหวาดหวั่น “ท...ทำไมต้องตามตัวฉันล่ะ”
“รุ่นพี่ไซม่อนต้องการให้เธอตามตัวอสูรมาเจอให้ได้”
“ฉันจะไปตามตัวอสูรได้ยังไงกัน”
“ฉันไม่รู้ เธอรีบไปหาไซม่อนเถอะ เขาบอกว่าถ้าเธอช้าเขาจะตามหาตัวเธอเอง”
แนนนี่นางพญานิสัยเสียทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายว่าไซม่อนจะตามหาตัวเธอเอง ฉันเห็นท่าทางหวาดกลัวของแนนนี่แล้วรู้สึกสงสาร
“ฉันจะทำยังไงดี”
“ฉันไปกับเธอ ไม่ต้องกลัวหรอก”
“รุ่นพี่ไซม่อนจะไม่ทำอะไรฉันใช่มั้ย”
“ไปก่อนเถอะ ค่อยไปลุ้นกันว่าจะเกิดอะไรตอนนั้นดีกว่า”
“พี่จะช่วยฉันใช่มั้ยคะถ้ารุ่นพี่ไซม่อนทำอะไร”
“ฉันจะช่วยได้...เท่าที่ทำได้”
“T^T”
“โอเค ช่วย!”
ไปๆมาๆฉันกลายเป็นลูกไล่ยัยนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อวานยังเป็นศัตรูที่ค่อนขอดกระแนะกระแหนกันอยู่ แต่วันนี้ฉันกลายเป็นรุ่นพี่ที่พร้อมจะปกป้องรุ่นน้องยามมีภัย
พอเราทั้งคู่ปรากฏกายต่อหน้าไซม่อนที่โถงตึกกลางซึ่งตอนนี้มีนักเรียนทุกระดับชั้นรายล้อม ก็สร้างความฮือฮากันใหญ่ ไม่รู้ว่าที่ฮือฮาคือแปลกใจที่ฉันกับแนนนี่เป็นมิตรกันหรือตื่นเต้นที่ไซม่อนจะสำเร็จโทษแนนนี่ยังไงดี
“มาเสียที รอจนเหงือกแห้งหมดแล้ว”
รุ่นพี่ไซม่อนพูดอย่างหงุดหงิดตอนเห็นแนนนี่เดินก้าวเข้ามา ก่อนจะเบนสายตามาทางฉันแล้วเลิกคิ้ว
“พวกเธอสองคนเป็นมิตรกันเหรอ แนนนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอสูรนะ เธอไม่รังเกียจหรือไงกัน”
“ฉัน...แยกแยะได้ค่ะ ว่าแต่รุ่นพี่ไซม่อนจะตามตัวแนนนี่มาทำไมเหรอคะ”
“ก็...”
รุ่นพี่ไซม่อนตบมือส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง พวกลูกไล่ที่ยืนเหมือนบังอะไรกันก็แหวกออก ร่างของฟาโรห์กับเอเดนที่ถูกมัดติดกันพร้อมกับรอยเขียวเป็นจ้ำๆตรงใบหน้าบ่งบอกว่าผ่านสมรภูมิตีนมามากขนาดไหน
“ฉันอยากเจออสูรมันเร็วๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไงเลยจับตัวเพื่อนมันเอาไว้ แต่จับแล้ว ส่งคนไปบอกก็แล้วมันก็ยังไม่มา ฉันเลยคิดจะจับตัวลูกพี่ลูกน้องมันอีกคน...ยืนทำอะไรอยู่ ไปจับยัยนั่นเอาไว้สิ”
ลูกไล่ที่ถูกสั่งวิ่งมาทางแนนนี่แล้วหิ้วปีกคนละข้างแบกไปเหมือนไก่ย่างที่ถูกเผาแล้ว ฉันได้แต่ฟังเสียงร้องไห้ของแนนนี่อย่างทำอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่รุ่นพี่ไซม่อนทำอยู่นั้นคือการแก้แค้นให้ฉันคนนี้ แต่...ก็ไม่น่าจะลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วยเลยนี่นา
“อย่าแตะต้องน้องสาวของฉันนะ!”
เสียงกึ่งตะคอกของอสูรดังขึ้นด้านหลังฉัน ร่างของเขาอยู่ห่างจากฉันไม่ถึงคืบ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่สนใจฉันด้วยซ้ำนอกจากมองเพื่อนที่บาดเจ็บกับน้องสาวที่กำลังจะถูกจับไปด้วยสายตาโกรธจัด นี่เขามาโรงเรียนสารรูปแบบนี้ได้ยังไงกัน โดนพันอย่างกับมัมมี่อาบน้ำยาขนาดนี้ O_o
“มาเสียทีไอ้ขี้ขลาด ต้องใช้วิธีโจรสินะถึงจะโผล่มา”
“รุ่นพี่ต้องการอะไร”
“แกนี่ไม่อ้อมค้อมเลยนะ ดี...ฉันก็ขี้เกียจอธิบายมาก”
“...”
“กระทืบมัน!”
ความคิดเห็น