ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Demons Aliance พันธมิตรรักร้าย

    ลำดับตอนที่ #8 : lesson 8 : บังเอิญ

    • อัปเดตล่าสุด 19 เม.ย. 57


     

    8

    บังเอิญ

     

    ต้องขอบคุณไซม่อนที่ทำให้ฉันรอดจากปากเหยี่ยวปากกามาได้ ส่วนโรสนั้นเอาแต่เงียบ ชวนคุยด้วยก็หลบหน้า ฉันก็พอเข้าใจนะว่าคนที่เจอเรื่องไม่ดีอะไรแบบนี้มาคงไม่อยากจะคุยกับใคร ไม่อยากแม้แต่จะเอ่ยปากเล่าเพราะสู้หน้าไม่ได้ ส่วนฉันนี่แย่กว่า นอกจากจะถูกจับทรมานแล้ว ยังจูบปากกับไอ้น้องที่คลานตามกันมาอย่างมาเล่ด้วย

    วันนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันกับมาเล่กลับบ้านด้วยกัน ตอนนี้ภาพของฉันกับมาเล่ที่แพร่ไปทั่วอินเตอร์เนตจากการกระทำของอสูรทำให้คนทั่วไปคิดว่าฉันกับมาเล่คบกัน ฉันเหนื่อยมากเกินกว่าจะแก้ตัวอะไรได้เลยปล่อยให้เลยตามเลยไปก่อน

    “โดนเตะโดนต่อยยังไม่เจ็บปวดเท่าจูบปากกับตัวเลย” มาเล่เอ่ยขึ้นพร้อมทั้งหันหน้าไปด้านนอกอย่างกระดากอาย

    “คิดว่าเค้ามีความสุขที่ได้จูบปากกับตัวอย่างนั้นเหรอ เค้าเป็นพี่สาวตัวนะเว้ย!

    “ก็นั่นแหละ จะอ้วก! >O< ตอนนี้คนอื่นเขาคงคิดกันว่าฉันโรคจิตไปแล้วที่จูบกับพี่สาวตัวเอง”

    “ยังไม่มีใครรู้สักหน่อยว่าเราเป็นอะไรกัน”

    “อย่ามาพูดว่าเรานะ ขนลุก อี๋ๆๆๆ”

    หมอนี่มันคิดว่าฉันพิสวาสขาดดิ้นกับจูบของมันหรือไง พูดนี่ไม่ได้ดูเลยนะว่าขนแขนฉันแสตนด์อัพไปถึงไหน แถมกลิ่นปากก็ไม่รัญจวนใจ คิดแล้วขมคอเหมือนกันนะยะ!

    เราทั้งคู่ลงจากแท็กซี่ที่ปากซอยหน้าบ้านแล้วเดินเคียงข้างกันด้วยการเดินห่างกันเกือบเมตรเพราะยังรู้สึกแขยงกันไม่หาย ขณะที่กำลังเดินก้าวขาจะถึงเขตบ้านของตัวเอง เสียงกรี๊ดกรีดร้องของใครสักคนทางด้านหลังเราทำให้ขาหยุดชะงัก

    “ไม่จริง!!!

    ฉันกับมาเล่หันไปดูต้นเสียงแล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อแนนนี่มายืนกรี๊ดกรีดร้องทำหน้าเหมือนโลกกำลังจะแตก ธรณีกำลังจะสูบอย่างไรอย่างนั้น

    “เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงน่ะ” มาเล่

    “ฉันต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมเธอสองคนถึงอยู่ด้วยกัน”

    “ก็นี่มันทางกลับบ้านฉัน” ฉัน

    “ใช่ นี่ก็ทางกลับบ้านฉัน”มาเล่

    “ไม่ต้องมาโกหกตอแหล มันไม่บังเอิญไปหน่อยเหรอที่บ้านของเธอสองคนจะอยู่ด้วยกัน”

    “จะว่าบังเอิญก็ได้นะ” มาเล่

    “อืม บังเอิญเราอยู่บ้านเดียวกันจริงๆนั่นแหละ” ฉันพูดอย่างไม่คิดอะไร แต่ไม่คาดคิดว่าคำตอบของฉันจะทำให้แนนนี่ลมแทบจับได้ขนาดนั้น =__=

    “มาเล่ ฉันคิดมาตลอดว่านายไม่มีใคร ถึงจะเจ้าชู้ยังไงก็ไม่มีทางหิ้วผู้หญิงเข้าบ้าน ฉันที่หลงรักนายมาตั้งแต่ ม.ต้นนายยังไม่เคยพาฉันมาบ้านเลยสักครั้ง”

    “ก็เธอไม่ใช่แฟนฉัน และต่อให้เป็นแฟนฉันก็ไม่พามาบ้านหรอก อายพ่อแม่ =__=

    “แล้วยัยเมลานีนี่เป็นใครนายถึงหิ้วเข้าบ้าน ห๊า!

    “ฉันเดินมาเอง ไอ้นี่ไม่ได้หิ้วฉันนะ” ฉันโบกไม้โบกมือปฎิเสธ ก็เห็นเดินอยู่ด้วยกันเรียกว่าหิ้วได้ไง

    “เธอจะบอกว่าสมยอมอย่างนั้นเหรอ!

    “เสียงดังเอะอะอะไรกัน”

    พี่ไมโลที่กลับมาถึงบ้านก่อนเราทั้งคู่เดินออกมาจากบ้านแล้วมองไปทางแนนนี่ “เธอเองหรอกเหรอส่งเสียงดัง”

    “นี่รุ่นพี่ก็บังเอิญอยู่ระแวกนี้เหรอ”

    “ใช่ แล้วทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ”

    “ยัยนี่ตามพวกเรามา” มาเล่อธิบาย

    “ทำไมพวกเธอสามคนถึงได้มาอยู่ที่นี่ด้วยกันอย่างบังเอิญ”

    ฉันที่ขี้เกียจจะต่อปากต่อคำเลยเฉลย อากาศข้างนอกมันร้อนเกินไป แถมเสียงยัยนี่กำลังทำให้ฉันหงุดหงิด -*-

    “บังเอิญเราสามคนเป็นพี่น้องพ่อแม่เดียวกัน บังเอิญกินข้าวหม้อเดียวกัน และบังเอิญอยู่บ้านเดียวกัน”

    =[]= ไม่จริง บังเอิญเกินไปแล้ว พวกเธอสามคนจะเป็นพี่น้องกันได้ยังไง...เธอจะบอกว่าเธอเป็นพี่สาวของมาเล่เหรอ”

    “เออ =__=

    “และเธอกำลังจะบอกว่าเป็นน้องสาวของรุ่นพี่ไมโลด้วย”

    “จ้า ^^” พี่ชายใหญ่

    “และมาเล่ก็บังเอิญเป็นน้องคนเล็กของบ้าน”

    “แม่นแล้ว -*-“ มาเล่

    “บังเอิญว่าฉันเข้าใจผิดหมดเลย เธอไม่ได้เป็นแฟนมาเล่ แต่เป็นพี่สาวแท้ๆพ่อแม่เดียวกันอะไรแบบนั้นเหรอ”

    (_ _) (_ _) (_ _)” เราสามคน

    “บังเอิญว่า...คร่อก!

    แนนนี่ทิ้งตัวลงนอนกับพื้นถนนต่อหน้าต่อตาพวกเราแล้วสลบไปราวกับเป็นเรื่องบังเอิญ...

    ชีวิตมันมีเรื่องบังเอิญเยอะนะ ว่ามั้ย? =__=

     

    พวกเราทั้งหมดอันประกอบไปด้วย พ่อ แม่ พี่ชายใหญ่ ฉัน และมาเล่ ต่างรอคอยการฟื้นคืนชีพของแนนนี่ราวกับลุ้นว่าเมื่อถูกแวมไพร์กัดแล้วจะฟื้นขึ้นมาแล้วกลายเป็นผีอย่างในหนังหรือไม่อะไรแบบนั้น ขณะที่พวกเรากำลังประชุมกันว่าจะเอาน้ำสาดหน้าหรือเอาไฟช็อตเจ้าหล่อนดีเพื่อปลุกให้ตื่น แนนนี่ก็ฟื้นขึ้นมาเสียก่อนราวกับรู้ =__=

    “ที่นี่ที่ไหนกัน”

    “บ้านฉันเอง” ฉันชี้มาที่ตัวเองแล้วผายมือแนะนำทุกคนในครอบครัว “และก็บ้านของทุกคนด้วย”

    “สรุปว่าฉันไม่ได้ฝันไปเหรอที่เธอกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกับมาเล่และรุ่นพี่ไมโลน่ะ”

    “ไม่ได้ฝัน ของแท้และการันตีโดยฉันเอง”

    แนนนี่ทำหน้าเหมือนเห็นผี จากสายตาที่เคยเกลียดฉันตลอดเวลากลายเป็นความหวาดหวั่นพรั่นพรึง แล้วสิ่งที่ไม่ได้คิดก็เกิดขึ้น นางกระโดดลงจากโซฟาแล้วคุกเข่าเตรียมพร้อม จากนั้นก็กอดขาฉันเอาไว้ราวกับเป็นทาสในเรือนเบี้ย

    “อภัยให้ฉันเถอะ ฉันผิดไปแล้ว อย่าโกรธอย่าเกลียดฉันเลย”

    =[]=

    “หากฉันรู้สักนิดว่าเธอเป็นน้องสาวของรุ่นพี่ไมโล เป็นพี่สาวของมาเล่ ฉันจะไม่แม้แต่จะเอาปลายนิ้วของฉันไปสัมผัสผิวเธอให้เป็นร่องรอย”

    “คือไม่คิดจะแตะฉันเพราะขยะแขยงอะไรแบบนั้นเหรอ =__=

    “ไม่ใช่! กรี๊ด! ทำไมถึงแปลเจตนาของฉันเป็นอื่น” แนนนี่ลุกขึ้นแล้วเอามือถึงผมตัวเอง “ถ้าเธอเกลียดฉันและมีอคติต่อฉันจะทึ้งผมตัวเองให้หมดหัวเป็นการขอโทษ”

    “ทำสิ -__-

    มาเล่ที่ฟังอยู่นานคงจะเกิดอาการหมั่นไส้เพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน แนนนี่หันมาทำหน้ายักษ์ใส่

    “ใจร้าย!!! ที่ฉันทำตัวนิสัยไม่ดี ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าฉันหึง นายรู้ดีว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย!

    “ฉันไม่อยากฟัง”

    “ฉันรักนายยยยยย”

    “ประกาศขนาดนี้ทำไมไม่ลงข่าวหนังสือพิมพ์ไปซะเลยล่ะว่ารักฉันน่ะ”

    “ฉันทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ถ้าทำแล้วจะรับรักฉันหรือเปล่า”

    “น่ารำคาญ -*-“

    ความใจร้ายของมาเล่ทำให้ฉันที่ฟังอยู่นานอดสงสารแนนนี่ไม่ได้ที่น้องชายฉันเย็นชาเกินไป เลยกอบกู้สถานการณ์ด้วยการพูดคุยกับเธอเอง

    “ฉันไม่ได้เกลียดเธอ...ขนาดนั้นหรอก แต่สิ่งทีเธอทำกับฉันมันลืมยาก”

    “ก็ฉันไม่รู้ว่าเธอเป็นคนสำคัญกับมาเล่ขนาดนี้ เขาปกป้องเธอ เขาเอาแต่ดีกับเธอ เป็นใครก็หึงใช่มั้ยล่ะ”

    “เธอหึงแรงนะ ^^;;;

    “เพราะฉันเป็นผู้หญิงที่จริงจังในความรักต่างหากล่ะพี่สะใภ้”

    “พี่สะใภ้เหรอ O_o

    “แล้วนี่ฉันก็เซอร์ไพรส์เหมือนกันนะที่ได้รู้ว่ารุ่นพี่ไมโลเป็นพี่ชายของมาเล่ ทำไมไม่เห็นมีข่าวหลุดออกมาเลย”

    “นามสกุลเหมือนกันก็น่าจะฉุกใจคิดสักนิดนะ” มาเล่เสริมอย่างรำคาญจริงจัง ทำราวกับว่าแนนนี่มีคำว่าโง่ติดอยู่บนหัวตัวโตๆ ผ่านทางสีหน้ากันเลยทีเดียว

    “ใครๆในโรงเรียนเราก็นามสกุลซ้ำกันทั้งนั้น บางทีก็เป็นญาติ แต่ไม่รู้จักกันก็มี ฉันก็นึกว่าพี่ไมโลกับมาเล่จะเป็นกรณีหลัง นามสกุลเดียวกันแต่ไม่รู้จัก...โทษฉันไม่ได้นะ ก็พวกนายไม่เคยแสดงออกอะไรเลยนี่นา!!!

    “ต่อให้เมลานีไม่ได้เป็นพี่สาวฉัน เธอก็ไม่มีสิทธิ์ไปทำร้ายคนอื่นอย่างนั้น”

    “ฉันผิดไปแล้ว TT^TT

    “แต่เธอก็ยังคิดจะทำอีกใช่มั้ยล่ะ”

    “ขอโทษที่ฉันหึงแรงไปหน่อย”

    “คนเราจะหึงกันได้มันต้องคบกันก่อนไม่ใช่หรือไง”

    มาเล่เองก็เริ่มจะของขึ้น ไม่รู้ว่าในหัวกำลังนึกถึงโรสที่ถูกรังแกอยู่หรือเปล่าเลยเอาไปลงกับแนนนี่ซะหมด โชคช่วยแนนนี่เพราะเป็นจังหวะที่แม่มาตามไปทานอาหารเย็นด้วยกันพอดี จึงไม่มีการโต้คารมเกิดขึ้น

    ว่าแต่น้องชายฉันนี่เสน่ห์แรงไม่เบาแฮะ

    จริงมั้ยล่ะ ถึงขนาดทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวร้ายแค่ไหน เพียงเพราะ หึง คำเดียว หลังจากเห็นสิ่งที่แนนนี่ทำกับฉันและโรสแล้ว ฉันบอกได้เลยว่า...ฉันจะไม่ทำอย่างนี้กับใครแม้ว่าฉันจะหึงมากมายก็ตาม!

    โต๊ะอาหารถูกจัดอย่างสวยงาม แม่ที่มักจะดีใจเสมอถ้ามีเพื่อนของลูกมาเยี่ยมบ้านเลยโทรสั่งอาหารซะโอเว่อร์อย่างต้องการประกาศว่าบ้านเรารวยมากกกก อย่างหูฉลามน้ำแดง รังนกที่ไม่ได้เข้ากับเมนู ไหนจะอาหารฝรั่ง อิตาเลียน เอามาวางเรียงกันเป็นบุฟเฟ่ต์ เราสามคนพี่น้องมองอาหารแล้วรู้สึกระอา ผิดกับแนนนี่ที่พอเห็นเมนูต่างๆแล้วยิ่งทำท่าโอเวอร์แอคติ้งราวกับว่าครอบครัวฉันคือเทวดามาจุติ

    “เพอร์เฟคที่สุด นี่คืออาหารที่กินกันตามปกติเหรอคะ”

    “ใช่แล้วจ้ะ พวกเรากินกันอย่างนี้ทุกวันเลย”

    (  -_-)  (-_-  ) พี่น้องที่มองหน้ากันเองแล้วถอนหายใจดัง เฮ้อ

    มาเล่เปลี่ยนบทสนทนาแล้วเข้าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ทันที

    “ว่าแต่ทำไมรุ่นพี่ไซม่อนถึงเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องนี้ได้ล่ะเฮีย ปกติแล้วรุ่นพี่กับรุ่นน้องจะไม่ยุ่งกันนี่”

    “พี่ไปขอร้องให้เพื่อนช่วย”

    “แต่ต่อให้อยากช่วยยังไงพี่ไซม่อนก็ไม่น่าจะยุ่งป่ะ ใครๆก็รู้ว่าพี่ไซม่อนโลกส่วนตัวสูงแค่ไหน และชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ที่ตัวเองตั้งไว้อย่างกับอะไรดี ทำไมคราวนี้ยอมแหกกฎได้”

    “เพราะพี่เคยมีบุญคุณกับหมอนั่นมาก่อน นี่เป็นการตอบแทนบุญคุณครั้งใหญ่ของมัน”

    แนนนี่ที่นั่งกินข้าวยอมฟังอย่างเงียบๆราวกับเก็บข้อมูล มาเล่ที่สังเกตเห็นเหมือนที่ฉันสังเกตก็แสยะยิ้มใส่เจ้าหล่อนอย่างเหนือกว่า

    “ตอนนี้ญาติของเธอเดือดร้อนมากๆแล้วล่ะเพราะรุ่นพี่ไซม่อนลงมาเล่นเกมนี้ด้วย ฉันว่าคราวนี้อาจจะมีการปฎิวัติกฎเกณฑ์เกิดขึ้นในโรงเรียนของเรา ถ้าอสูรแพ้ เธอจะกลายเป็นหมาหัวเน่าไปด้วย บอกเลย!

    แนนนี่นั่งตัวลีบเหมือนตุ๊กต๊าลมที่ไม่มีลมจะเป่าอย่างไรอย่างนั้น พ่อกับแม่ฉันที่ฟังเรื่องราวแต่จับใจความไม่ได้เลยถามขึ้น

    “ปฎิวัติอะไรกันเหรอ” พ่อ

    “ปฎิวัติการปกครองยิบย่อยในโรงเรียนครับ”

    พี่ไมโลอธิบายรวบรัดพร้อมกับยิ้ม นั่นหมายถึงว่า...ต่อให้ถามต่อก็ไม่มีคำตอบให้ ซึ่งคนในครอบครัวฉันรู้ดีว่าพี่ไมโลเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น พ่อกับแม่เลยได้แต่มองหน้ากันแล้วไม่ถามต่อ

    ก็มันอธิบายได้แค่นี้จริงๆนี่นา...

    หลังจากกินข้าวเสร็จ รถที่บ้านของแนนนี่ก็มาจอดรอรับคุณเธอที่หน้าบ้าน แนนนี่ที่เคยทำตัวเป็นนางพญา ไม่เกรงกลัวผู้ใดหน้าไหนทั้งนั้น ณ ตอนนี้ เวลา 20.12 น. ละครหลังข่าวกำลังจะมา แนนนี่เกาะแขนฉันราวกับสนิทกันมานานกว่าสามพันปีแสง

    “พรุ่งนี้รุ่นพี่จะไปเรียนกี่โมงคะ”

    “อ่า...ก็เวลาปกติ”

    ฉันกลายเป็นรุ่นพี่ของนางไปแล้วด้วย สรรพนามเปลี่ยน กริยาเปลี่ยน ทุกอย่างเปลี่ยน -__-

    “อยากกินอะไรเป็นพิเศษมั้ยคะ เดี๋ยวแนนนี่จะเตรียมจากที่บ้านไปให้ พ่อครัวของแนนนี่เป็นเชฟฝีมือดี สั่งได้เลย >_<

    “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอก แหะๆ”

    “งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะคะ แนนนี่จะรอ”

    ไม่ว่าเปล่า นางพุ่งมาสวมกอดฉันอย่างสนิทชิดเชื้อก่อนจะขึ้นรถแล้วโบกมือราวกับนางสาวไทยได้ตำแหน่ง มาเล่ที่ซุ่มมองอยู่นานจากในบ้าน พอเจอหน้าฉันก็เบ้ปากใส่

    “ญาติดีกับยัยนั่นแล้วเหรอ”

    “ตัวเห็นเค้าแสดงกริยาอาการดีอกดีใจหรือไงที่สนิทกับยัยนั่น อย่ามาหาเรื่อง!

    “ผู้หญิงนี่เปลี่ยนกันได้ง่ายๆเหมือนพลิกฝ่ามือเลยเนอะ”

    “แต่เค้าว่าโรสไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียวนะ เคยเกลียดผู้ชายยังไงก็เกลียดอย่างนั้น แล้วยิ่งฟาโรห์ไปทำกับนางอย่างนั้น เลยพาลเกลียดผู้ชายทั้งโลกเลย”

    “ยัยนั่นน่ะบ้า! ก็ไม่ใช่ทุกคนที่นิสัยไม่ดีสักหน่อย อย่างน้อยก็เค้าที่เป็นคนดี ยอมขึ้นไปช่วยแถมยังโดนซ้อมยับกลับมาอีก ไม่สำนึกบุญคุญกันบ้าง!

    “นายดูแคร์โรสนะ ใส่อารมณ์น่าดูเชียวพอพูดถึงเรื่องนี้”

    “ตัวพูดอะไร ไม่คุยด้วยแล้ว!

    “ทำไมต้องโมโห”

    “ไม่คุย!

    “ตัวชอบโรสเหรอ”

    “หุบปากไปเลย!

    แล้วมาเล่ก็เดินหนีขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองแล้วปิดประตูเสียงดังอย่างประชดประชัน

    โอ๊ะโอ...น้องฉันน่าสนใจนะเนี่ย

     

    วันต่อมา...

    ใช่ ผู้หญิงเราสามารถเปลี่ยนกันได้เพียงพลิกฝ่ามือถ้ามีอะไรมากระตุ้นให้รู้สึกอยากจะทำ ตัวอย่างก็มีให้เห็นทนโท่ในตอนนี้เองนั่นก็คือ...โรสวิ่งเข้ามาหาฉันแล้วกอดอย่างเป็นมิตร แถมยังสั่งให้เพื่อนทีมเชียร์หลีดเดอร์เต้นสะบัดพู่ต้อนรับฉันในขณะที่ย่างกรายเข้ามา

    ต้องทำขนาดนี้เลยเรอะ =[]=!!!

    “ฉันคิดถึงรุ่นพี่จังเลย”

    “เหรอจ๊ะ”

    ฉันจะตอบอะไรได้ล่ะ >O< มีคนบอกว่าดีใจที่ได้เจอฉัน นอกจากยิ้มแล้วมีอะไรให้ฉันตอบแทนความใจดีของนางได้ อย่าหมั่นไส้ฉันกันเลย ฉันทำตัวไม่ถูกจริงๆ

    บรรยากาศในวันนี้เปลี่ยนไป ขณะที่เดินผ่านแต่ละคนๆที่สวนกัน แม้จะไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนแต่ก็สัมผัสได้ว่ามันมีอยู่จริงเหมือนอากาศ สายตาคนพวกนั้นที่มองมาทางฉันอย่างเต็มไปด้วยคำถาม คงจะแปลกใจเรื่องที่แนนนี่กับฉันกลายเป็นพันธมิตรกัน และไหนจะเรื่องที่ไซม่อนออกตัวช่วยฉันอีก

    “แนนนี่!

    รุ่นน้องคนหนึ่งพุ่งตรงมาทางเราแล้วหยุดหอบแฮ่กตรงหน้าเหมือนหมาหิวน้ำ ท่าทางรีบร้อนทำให้แนนนี่ยอมปล่อยแขนจากฉันแล้วเท้าสะเอวถามจิกๆใส่คนที่วิ่งมา

    “มีอะไรก็รีบๆพูด มาหอบอยู่ได้น่ารำคาญเสียเวลา!

    แนนนี่ก็ยังคงเป็นแนนนี่สินะ นางพญานิสัยเสีย =__=

    “รุ่นพี่ไซม่อนบอกให้ตามตัวเธอ”

    “เอ๋?” น้ำเสียงของแนนนี่เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง นางเอื้อมมือมาคล้องแขนฉันอย่างอัติโนมัติอย่างหวาดหวั่น “ท...ทำไมต้องตามตัวฉันล่ะ”

    “รุ่นพี่ไซม่อนต้องการให้เธอตามตัวอสูรมาเจอให้ได้”

    “ฉันจะไปตามตัวอสูรได้ยังไงกัน”

    “ฉันไม่รู้ เธอรีบไปหาไซม่อนเถอะ เขาบอกว่าถ้าเธอช้าเขาจะตามหาตัวเธอเอง”

    แนนนี่นางพญานิสัยเสียทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตอนที่ได้ยินคำพูดสุดท้ายว่าไซม่อนจะตามหาตัวเธอเอง ฉันเห็นท่าทางหวาดกลัวของแนนนี่แล้วรู้สึกสงสาร

    “ฉันจะทำยังไงดี”

    “ฉันไปกับเธอ ไม่ต้องกลัวหรอก”

    “รุ่นพี่ไซม่อนจะไม่ทำอะไรฉันใช่มั้ย”

    “ไปก่อนเถอะ ค่อยไปลุ้นกันว่าจะเกิดอะไรตอนนั้นดีกว่า”

    “พี่จะช่วยฉันใช่มั้ยคะถ้ารุ่นพี่ไซม่อนทำอะไร”

    “ฉันจะช่วยได้...เท่าที่ทำได้”

    T^T

    “โอเค ช่วย!

     

    ไปๆมาๆฉันกลายเป็นลูกไล่ยัยนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เมื่อวานยังเป็นศัตรูที่ค่อนขอดกระแนะกระแหนกันอยู่ แต่วันนี้ฉันกลายเป็นรุ่นพี่ที่พร้อมจะปกป้องรุ่นน้องยามมีภัย

    พอเราทั้งคู่ปรากฏกายต่อหน้าไซม่อนที่โถงตึกกลางซึ่งตอนนี้มีนักเรียนทุกระดับชั้นรายล้อม ก็สร้างความฮือฮากันใหญ่ ไม่รู้ว่าที่ฮือฮาคือแปลกใจที่ฉันกับแนนนี่เป็นมิตรกันหรือตื่นเต้นที่ไซม่อนจะสำเร็จโทษแนนนี่ยังไงดี

    “มาเสียที รอจนเหงือกแห้งหมดแล้ว”

    รุ่นพี่ไซม่อนพูดอย่างหงุดหงิดตอนเห็นแนนนี่เดินก้าวเข้ามา ก่อนจะเบนสายตามาทางฉันแล้วเลิกคิ้ว

    “พวกเธอสองคนเป็นมิตรกันเหรอ แนนนี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกับอสูรนะ เธอไม่รังเกียจหรือไงกัน”

    “ฉัน...แยกแยะได้ค่ะ ว่าแต่รุ่นพี่ไซม่อนจะตามตัวแนนนี่มาทำไมเหรอคะ”

    “ก็...”

    รุ่นพี่ไซม่อนตบมือส่งสัญญาณอะไรสักอย่าง พวกลูกไล่ที่ยืนเหมือนบังอะไรกันก็แหวกออก ร่างของฟาโรห์กับเอเดนที่ถูกมัดติดกันพร้อมกับรอยเขียวเป็นจ้ำๆตรงใบหน้าบ่งบอกว่าผ่านสมรภูมิตีนมามากขนาดไหน

    “ฉันอยากเจออสูรมันเร็วๆ แต่ไม่รู้จะทำยังไงเลยจับตัวเพื่อนมันเอาไว้ แต่จับแล้ว ส่งคนไปบอกก็แล้วมันก็ยังไม่มา ฉันเลยคิดจะจับตัวลูกพี่ลูกน้องมันอีกคน...ยืนทำอะไรอยู่ ไปจับยัยนั่นเอาไว้สิ”

    ลูกไล่ที่ถูกสั่งวิ่งมาทางแนนนี่แล้วหิ้วปีกคนละข้างแบกไปเหมือนไก่ย่างที่ถูกเผาแล้ว ฉันได้แต่ฟังเสียงร้องไห้ของแนนนี่อย่างทำอะไรไม่ได้ เพราะสิ่งที่พี่รุ่นพี่ไซม่อนทำอยู่นั้นคือการแก้แค้นให้ฉันคนนี้ แต่...ก็ไม่น่าจะลากคนที่ไม่เกี่ยวข้องมาด้วยเลยนี่นา

    “อย่าแตะต้องน้องสาวของฉันนะ!

    เสียงกึ่งตะคอกของอสูรดังขึ้นด้านหลังฉัน ร่างของเขาอยู่ห่างจากฉันไม่ถึงคืบ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่สนใจฉันด้วยซ้ำนอกจากมองเพื่อนที่บาดเจ็บกับน้องสาวที่กำลังจะถูกจับไปด้วยสายตาโกรธจัด นี่เขามาโรงเรียนสารรูปแบบนี้ได้ยังไงกัน โดนพันอย่างกับมัมมี่อาบน้ำยาขนาดนี้ O_o

    “มาเสียทีไอ้ขี้ขลาด ต้องใช้วิธีโจรสินะถึงจะโผล่มา”

    “รุ่นพี่ต้องการอะไร”

    “แกนี่ไม่อ้อมค้อมเลยนะ ดี...ฉันก็ขี้เกียจอธิบายมาก”

    “...”

    “กระทืบมัน!

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×