คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : นิติเวชวิทยา ตอนที่ 9 : การเสียชีวิตจากกระแสไฟฟ้า
การเสียชีวิตจากกระแสไฟฟ้า
จำนวนกระแสไฟฟ้าที่ทำให้เสียชีวิตคือปริมาณกระแสไฟฟ้า 100 มิลลิแอมแปร์ในเวลา 5 วินาทีเนื่องจากกระแสไฟฟ้าดังกล่าวจะทำให้ หัวใจเต้นริก (ventricular fibrillation) แต่ถ้าได้รับกระแสไฟฟ้าในปริมาณที่สูงมากเช่นได้รับกระแสไฟฟ้าถึง 2 แอมแปร์หรือมากกว่าหัวใจอาจจะ หยุดเต้นทันที
ตามสูตรการคำนวณปริมาณกระแสไฟฟ้าตามหลักฟิสิกส์ คือ
A= V/R
A=กระแสไฟฟ้า หน่วยเป็น แอมแปร์
V=ความต่างศักย์ไฟฟ้า หน่วยเป็นโวลต์,
R=ความต้านทานไฟฟ้า หน่วยเป็นโอห์ม
กระแสไฟฟ้าที่ทางการไฟฟ้าส่งมาให้ใช้ตามบ้านเรือนในขณะนี้ ประเทศไทยใช้ส่งกระแสโดยความต่างศักย์ 220 โวลต์ ส่วนในประเทศอื่นๆอาจจะใช้ประมาณใน ช่วง 110-220 โวลต์ แล้วแต่ความเหมาะสมภายในของแต่ละประเทศ กระแสไฟฟ้าที่เข้าสู่ร่างกายจึงขึ้นอยู่กับความต้านของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ ไฟฟ้าผ่านก่อนรั่วออกมาบวก กับความต้านทานของร่างกาย ความต้านทานของร่างกายมีเฉพาะที่ผิวหนังเท่านั้น แต่ผิวหนังร่างกายของคนเรานั้นมีความต้านทานสูงมาก โดยเฉพาะบริเวณผิวหนังที่แห้ง และหยาบกร้านอาจจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าสูงถึง 100,000 โอห์ม หากลองคำนวณโดยใช้สูตร
ดังกล่าว จะได้กระแสไฟฟ้าเพียง 2.2 มิลลิแอมแปร์เท่านั้น คือ
กระแสไฟฟ้า(แอมแปร์) = ความต่างศักย์ (220 โวลต์)/ ความต้านทาน(100,000 โอห์ม)
= 220/100,000
= .0022 แอมแปร์
= .0022 x 1,000 มิลลิแอมแปร์
= 2.2 มิลลิแอมแปร์
ซึ่งกระแสไฟฟ้าปริมาณเท่านี้เพียงทำให้ร่างกายพอรู้สึกได้เท่านั้น แต่ในบริเวณที่ผิวหนังอ่อนนุ่มหรือยิ่งถ้าเปียกชื้นแล้วละก็ ความต้านทานกระแสไฟฟ้าจะลดลงเป็นร้อยเท่าเพราะน้ำเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ร่างกายได้รับจะกลายเป็น 220 มิลลิแอมแปร์ และทำให้ถึงตายในเวลาอันรวดเร็ว จึงไม่น่าสงสัยเลยว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ ไฟฟ้ารั่วเข้าสู่ร่างกายเมื่อสัมผัสให้เรารู้สึกกระตุกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ไม่ทำอันตรายอะไร อยู่มาวันหนึ่งเมื่อเราพึ่งออกจากห้องน้ำ ตัวยังเปียกๆอยู่เกิดไปสัมผัสมันเข้า กลับทำให้เสียชีวิต
กระแสไฟฟ้าระดับน้อยๆมีผลต่อร่างกายดังนี้
5 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อกระตุก
15 มิลลิแอมแปร์ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว
50 มิลลิแอมแปร์ อาจทำให้ผิวหนังไหม้พองเล็กน้อย
75-100 มิลลิแอมแปร์ อาจทำให้หัวใจเต้นริกและตายได้
การที่มีคนจับสายไฟฟ้าและเกิดไฟฟ้าลัดวงจรเข้าสู่ฝ่ามือ ทำให้ปล่อยมือจากสายไฟฟ้าไม่ได้จนถูกไฟฟ้าดูดตาย ซึ่งก็เพราะการที่กระแสไฟฟ้าทำให้กล้ามเนื้อหดตัว นี่เอง ไม่ใช่เกิดจากการตกใจจนลนลานไม่ ซึ่งจะเป็นผลให้กระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกายจำนวนมากพอที่ทำให้เกิดหัวใจเต้น ริก
ในกรณีสายไฟฟ้าแรงสูง ซึ่งเป็นสายไฟที่ความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงตามชื่อ เนื่องจากต้องส่งกระแสไฟฟ้าเป็นระยะทางไกลๆ เช่นส่งจากเขื่อนกำเนิดไฟฟ้าไปยังจังหวัดต่างๆเป็นระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ศักย์ไฟฟ้าในสายไฟเหล่านี้อาจสูงถึง 100,000 โวลต์(ในสายไฟฟ้าที่วิ่งมาตามถนน อาจจะถึง60,000-70,000 โวลต์) หรือเป็นสายไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกันไปมาภายในแหล่งผลิตไฟฟ้า หรือภายในสถานีจำหน่ายไฟฟ้าย่อยต่างๆ การมีศักย์ไฟฟ้าสูงมากๆนั้น ไฟฟ้าสามารถวิ่งฝ่าอากาศ(หรือจะเรียกว่ากระโดดก็ได้)ไปยังอีกที่หนึ่งโดยไม่ ต้องมีสายไฟฟ้า ระยะห่างที่ไฟฟ้าสามารถ"กระโดด" ได้ขึ้นอยู่กับศักย์ไฟฟ้าในสิ่งนั้นๆดังนี้
ศักย์ไฟฟ้า 1,000 โวลต์ สามารถ "กระโดด" ได้เป็นระยะทาง 2 - 3 มิลลิเมตร
ศักย์ไฟฟ้า 5,000 โวลต์ สามารถ "กระโดด" ได้เป็นระยะทาง 1 เซนติเมตร
ศักย์ไฟฟ้า 20,000 โวลต์ สามารถ "กระโดด" ได้เป็นระยะทาง 6 เซนติเมตร
ศักย์ไฟฟ้า 100,000 โวลต์ สามารถ "กระโดด" ได้เป็นระยะทาง 30 เซนติเมตร
กรณีฟ้าผ่า ก็เป็นปรากฏการณ์การ”กระโดด”ของไฟฟ้านี่เอง เนื่องจากศักย์ไฟฟ้าในอากาศในขณะนั้นอาจสูงถึง 1,000,000 โวลต์ และการ"กระโดด" ทำให้เกิดเสียงดัง และมีพลังงานความร้อนเกิดขึ้นด้วย ผู้ที่อยู่ใกล้หรือถูกฟ้าผ่าจึงมักมีร่างกายไหม้เกรียม ฉะนั้นผู้ที่ถูกกระแสไฟฟ้าจากการ"กระโดด"จากสายไฟแรงสูงก็จะมีสภาพเช่นเดียว กัน โดยปกติสายไฟแรงสูงจะถูกโยงไว้สูงจากพื้นดินมากและสถานที่ที่มีสายไฟแรงสูง ก็มักจะมีรั้วกั้นแบ่งเขตไว้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว หาควรที่จะฝ่าฝืนเข้าไปในเขตหวงห้ามแต่อย่างใด
ผู้เสียชีวิตจากไฟฟ้าถูกกระแสไฟฟ้า หรือที่เรียกว่าไฟฟ้า”ลัดวงจร”นี้ มักจะได้รับจากกระแสไฟฟ้าภายในบ้านนั้นเอง อีกส่วนหนึ่งจะเป็นผู้ใช้เครื่องมือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการปรับศักย์ไฟฟ้า ให้สูงขึ้นเพื่อใช้ในการทำงานบางอย่างซึ่งคนงานเหล่านี้อาจไม่ได้รับคำแนะนำ ให้ระมัดระวังอย่างดีพอ และอีกส่วนหนึ่งคือ ผู้ที่ใช้ไฟฟ้ากับน้ำ เช่น ใช้ไฟฟ้าช๊อตปลา ทำให้กระแสไฟฟ้าไหลเข้าร่างกายได้อย่างง่ายดายถ้าเผอิญส่วนหนึ่งส่วนใดของ ร่างกายสัมผัสกับน้ำซึ่งเป็นอันตราย อย่างยิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายกรณีนี้คือถ้ามีน้ำท่วมปลั๊กไฟฟ้าภายในบ้านและไฟฟ้าใน บ้านยังไม่ถูกตัด ผู้อยู่ในน้ำใกล้ปลั๊กไฟฟ้าก็จะได้รับผลเช่นเดียวกัน ในทำนองเดียวกันผู้เขียนเคยตรวจศพผู้ตายชาวต่างประเทศสองคนสามีภรรยาเสีย ชีวิตจากกระแสไฟฟ้า เพราะเดินไปดูไฟไหม้ที่ใกล้โรงแรมที่พัก แล้วสัมผัสกับสายไฟฟ้าที่หักลงมาอยู่ก่อนแล้วและพื้นก็นองด้วยน้ำที่ใช้ดับ ไฟอยู่
การใช้เครื่องตัดไฟอัตโนมัติเมื่อเกิดไฟฟ้ารั่วติดตั้งภายในบ้านมีประโยชน์ อย่างมากในการรักษาชีวิตเมื่อสัมผัสกับกระแสไฟโดยไม่เจตนา
ในทางพยาธิสภาพอาจจะแบ่งออกเป็นพยาธิสภาพของการถูกกระแส ไฟฟ้าที่มีความต่างศักย์ต่ำ (ต่อไปจะเรียก"ไฟ แรงต่ำ") กับ ความต่างศักย์สูง ("ไฟแรงสูง") ในรายที่ถูกกระแสไฟแรงต่ำและเกิดอาการหัวใจเต้นริกนั้นผู้ตายอาจจะยังไม่หมด สติทันทีและมักพบว่ามีเวลาร้องเตือนผู้อื่นหรือร้องขอความช่วยเหลืออยู่ชั่ว ขณะหนึ่งก่อนเสียชีวิต เชื่อว่าสมองสามารถขาดออกซิเจนได้ 15 วินาทีก่อนจะหมดสติ การที่หัวใจเต้นริกจากถูกไฟแรงต่ำนี้หัวใจอาจจะกลับคืนมาเต้นเป็นปกติเอง ได้ หรือการใช้การกระตุ้นหัวใจด้วยไฟฟ้าก็อาจจะช่วยได้เช่นกัน
ในรายถูกกระแสไฟแรงสูง กระแสไฟมักทำอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆด้วย เช่น สมอง ซึ่งอาจจะเกิดจากผลของการเกิดความร้อนขันในร่างกาย เช่น ผู้ตายอาจจะมีหัวใจเต้นได้จากการรักษาหรือบางรายสามารถกลับเต้นได้เอง แต่อวัยวะอื่นเช่นการหายใจไม่กลับคืนเพราะศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองถูก ทำลายไปเสียแล้ว
บาดแผลที่ผิวหนัง ในพวกถูกไฟแรงสูงทุกรายจะมีแผลผิวหนังไหม้เกรียม หรือไหม้พอง แต่ในรายที่ถูกไฟแรงต่ำมีเพียง 50 %ซึ่งมักจะเกิดบริเวณ จุดที่กระแสไฟเข้ากับจุดที่ไฟออกจากร่างกายที่ใดที่หนึ่งหรือมีทั้งสองที่ ในกรณีที่กระแสไฟเข้าโดยตัวนำไฟฟ้ามีพื้นผิวกว้างอาจจะไม่พบแผล แต่มักจะพบถ้าสัมผัสกับวัตถุที่มีพื้นผิวเล็กๆ เช่น การถูกไฟฟ้าขณะอยู่ในอ่างน้ำ หรือ ขณะกำลังจับปลาด้วยไฟฟ้า แต่ถ้านิ้วมือถูกสายไฟฟ้าหรือเอานิ้วมือถูกน้ำที่มีกระแสไฟฟ้าเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้เกิดแผลได้ และแผลทางเข้าส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณฝ่ามือ ขณะที่แผลออกมักจะเป็นที่เท้า ลักษณะด้วยตาเปล่าที่รุนแรงน้อยที่สุดคือเริ่มพบว่ามีผิวหนังบริเวณนั้นมีสี ขาวผิดกับส่วนที่อยู่ข้างเคียง ขอบแผลจะนูนสูงขึ้นและเว้าลงที่ตรงกลางแผล มากขึ้นจะพบว่าอาจมีเปลี่ยนเป็นสีไหม้เหลือง หรือสีดำเกรียมจากความร้อน มากขึ้นอาจพบว่าการไหม้นั้นไหม้ลึกเข้าเนื้อ เนื้อส่วนนั้นบุ๋มลงไป กลายเป็นแผลไหม้เว้าลงตื้นๆมีขอบไม่เรียบ บางครั้งรอบแผลอาจมีบริเวณที่มีสีแดงจากการคั่งเลือด โดยทั่วไปแผลมักมีขนาดเล็กไม่เกิน 1 - 2 ซม. ทางกล้องจุลทรรศน์ ผิวหนังจะมีลักษณะ Swiss cheese ความร้อนที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่กระแสะไฟฟ้าพบสิ่งที่มีความต้านทาน ผิวหนังของผู้ที่ตายแล้วก็มีความต้านทาน ทำให้ผิวหนังได้รับความร้อนและมีการเปลี่ยนแปลงของผิวหนังด้วยเช่นกัน จึงไม่สามารถวินิจฉัยว่าแผลไหม้นี้เกิดจากเพราะถูกกระแสไฟก่อนตายหรือหลัง ตายในแผลที่ไหม้เพราะไฟฟ้าลัดวงจรนี้อาจจะตรวจพบเศษส่วนเล็กๆของสิ่งที่นำ ไฟฟ้ามาได้โดยการใช้แสกนนิ่งอีเล็คตรอนไมโครสโคป (scanning electronmicroscope)
ฉะนั้นถ้าพบผู้ตายที่คิดว่าถูกกระแสไฟฟ้า แต่ไม่พบบาดแผลทางเข้า แปลว่าผู้ตายอาจจะถูกไฟฟ้าที่ไม่แรงสูงและพื้นที่ที่สัมผัสกับกระแสไฟฟ้า กว้าง
ในรายที่ถูกกระไฟแรงสูง จะพบว่ามีความร้อนเกิดขึ้นอย่างมาก ผู้ตายอาจจะไหม้เกรียมทั้งตัวจนเป็นตอตะโก หรือถึงแม้ว่าทางเข้าจะเป็นการสัมผัสกับพื้นที่มีผิวหน้ากว้าง ผิวหนังก็ยังไหม้ หรือไหม้ระดับสามขึ้นไป (third degree burn) และอวัยวะภายในจะถูกทำลายด้วยความร้อน ถ้าพบเป็นจุดไหม้หลายๆแห่งไม่ต่อเนื่องกันบนผิวหนังอาจจะเกิดเพราะการกระโดด ของกระแสไฟที่มีความต่างศักย์สูงดังกล่าวข้างต้น
พยาธิสภาพทางกล้องจุลทรรศน์ อาจจะเห็นผิวหนังปรากฏเป็นถุงน้ำเล็กๆหลายอัน หรือกรณีที่ไม่ตายทันทีเซลล์ของผิวหนังอาจมีการเรียงตัวของนิวเคลียสมาขนาน กัน(streaming of nuclei)
การตายจากกระแสไฟฟ้าเกือบทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ การฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรมโดยวิธีนี้พบน้อยมาก
พยาธิสภาพของการตายจากฟ้าผ่า ตามที่กล่าวแล้วว่าจะมีความร้อนเกิดขึ้นอย่างมาก และกระแสไฟฟ้าที่แรงสูงมากกระแทกเข้าร่างกาย จะพบว่าผู้ถูกฟ้าผ่ามีเสื้อผ้าฉีกขาด รองเท้าอาจแตกด้วย ผมมีสภาพหงิกงอ สิ่งของที่ติดกายที่เป็นโลหะจะทำให้เกิดการไหม้ที่ผิวหนังเป็นรูปนั้น เช่น ซิป ปากกา แก้วหูแตก บางครั้งจากการที่เสื้อผ้าฉีกขาด รองเท้าขาดและผู้ถูกฟ้าผ่านอนตายอยู่ข้างถนนอาจมีคนเข้าใจผิดว่าเป็นรถชน ได้ การตายเกิดจากกระแสแรงสูงทำให้หัวใจหยุดเต้นทันที หรือเกิดจากความร้อนทำลายอวัยวะต่างๆ หรือเป็นทั้งสองอย่างก็ได้
ถ้าฟ้าผ่าไม่ถูกตัวแต่ผ่าลงใกล้ๆ อาจจะรอดชีวิตได้ แต่ผู้นั้นมักจะมีบาดแผลแดงเป็นทางบนผิวหนังเนื่องจากประจุไฟฟ้าบวกผ่านไปบน ผิวหนัง ลักษณะจะเป็นเส้นสีแดงเป็นแฉกคล้ายรากไม้ เกิดขึ้นภายในหนึ่งชั่วโมงหลังฟ้าผ่า และมักจะจางหายไปใน 24 ชั่วโมง เรียกว่า "arborescent"
เขียนขึ้นโดย : โดย พลตำรวจตรี เลี้ยง หุยประเสริฐ พบ.,อว.(นิติเวชศาสตร์) ผู้บังคับการ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ
ความคิดเห็น