คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1 - หนึ่งวัน
เรเว่น ลุง หมอเถื่อน
หมอไร้ใบอนุญาต ผู้สามารถรักษา บำบัด ฟื้นฟู มนุษย์และสัตว์ได้ด้วยยาเพียงไม่กี่เข็ม ในราคาเป็นมิตร…
งี่เง่าเป็นบ้า
สารพัดคำเยินยอมากมายที่เคยได้ยินนั่นทำเขาหัวเราะเยาะ มีแต่พวกโง่ที่ยกย่องเขา
“อาแปะ กาแฟดำแก้ว”
“ลื้อพูกชักๆน่อ อั๊วฟังม่ายลู้เลื่อง”
ประโยคตอบรับจากอาแปะขายกาแฟนั่นทำเรเว่นคิ้วกระตุก แต่แล้วแก้วกาแฟดำร้อนๆก็ถูกยื่นพรวดมาให้จนแทบจะชนหน้า
ไอ้แก่วอนเท้า…
การนั่งกินลมชมวิวที่ร้านกาแฟของไอ้แปะนี่ไร้ประโยชน์...อันที่จริง การพยายามหาที่นั่งชมวิวในนี้มันไร้ประโยชน์…
ชั้นใต้ดิน เขตศูนย์ แห่งเมโทรโปลิส
จากบริเวณนี้ เขาเห็นแต่ความเสื่อมโทรม อาจเพราะ เพิงกาแฟ บ้านี่ตั้งอยู่ในย่านสลัม สภาพรอบตัวจึงมีแต่ของไม่น่าพิศมัย
หุ่นดรอยด์ตกรุ่น ตึกรามโทรมๆ รถเก่าๆลอยบนอากาศ ดูแล้วเสียวว่าจะร่วงลงมาใส่หัว และ ...ท้องฟ้าหลอกลวง
ชั้นใต้ดิน จะคาดหวังอะไรกับภาพจำลองท้องฟ้า?
เพิงกาแฟนี่ก็เหมือนซากจากอารยธรรมโบราณ...
จ่ายเงิน และอดแขวะเบาๆ เมื่อเห็นจอโฮโลแกรมแบบติดตั้งบนพื้นผิวที่แสดงหน้าข่าวไม่ได้
“แก่ขนาดนี้ ยังมองเห็นตัวหนังสือด้วยเหรอวะ แปะ?”
ได้ผลนิดหน่อย อาแปะหันขวับ ชูกำปั้นใส่เขาแล้วแยกเขี้ยว “เก๋าเจ้ง! หยักดงติงอั๊วม้าย???”
ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีช้าๆอย่างจงใจ และทำท่าสบายจนเกินเหตุเมื่อหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ของร้าน
คำขู่ประมาณ “มาคาวหน้าอั้วจะถุยน้ำลายใส่แก้วลื้อ” หรืออะไรทำนองนี้ลอยมาตามหลัง โดยมีชายหนุ่มผมชี้...เหมือนเขาแพะ...ผู้มาต่อคิวรอกาแฟ ต้องรับเคราะห์จากน้ำลายตาแก่ที่กระเด็นใส่หน้าแทน
เขาไม่ได้สนใจนัก เลือกที่จะหันไป กางมือซ้ายแล้วโบกไปในอากาศ หน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้น เลือกคำสั่ง >>> อ่าน เดอะ พัมกินซ์ ไทม์ <<<
>>> มอนสเตอร์บ้าคลั่ง!!!--- ชาวบ้านตื่นตระหนก --- ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด <<<
หน้ายังคงนิ่ง แม้หัวคิ้วจะเลิกขึ้นเล็กน้อย คงเอายูนิคอร์นมาขายไม่ได้สักพัก
ที่ทำให้เข้าต้องสนใจคือข่าวที่เด่นกว่า
>>> สนธิสัญญาสงบศึกไม่มีผล --- “เราไม่มีทางอยู่ร่วมกับพวกไร้การศึกษา” --- เมโทรโปลิส --- เตาปฏิกรณ์ ---วาร์ป --- คัดค้าน --- เวอร์กัส --- เชสเซอร์ --- แฟนตาเซีย -- ส่อแววสงคราม หลังจาก 500 ปี <<<
นี่ข่าวใหญ่…
โลก ใบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือพวกเขา เมโทรโปลิส ฝั่งที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ยานบิน จักรกล หุ่นดรอยด์ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถติดต่อกับต่างดาว
อีกส่วนคือ แฟนตาเซีย ...ที่เขาสามารถอธิบายได้ง่ายๆว่า “พวกคลั่งไสยศาสตร์”
ในขณะที่เมืองเขามีตึกสูง เทคโนโลยีการเดินทางด้วยรถที่ลอยตัวเหนือพื้นดินด้วยหลักการทางควอนตัม สื่อสารด้วยการติดต่อผ่านสัญญาณเครือข่ายที่เห็นชัดทั้งภาพและเสียง ดูหนังด้วยระบบโฮโลแกรมที่ทำให้เหมือนหลุดเข้าไปยืนในบรรยากาศนั้น…
พวกคลั่งไสยศาสตร์นั่น...เชื่อในสิ่งที่เรียกว่า “เวทมนต์”
ไร้สาระ…
ทุกอย่างมีหลักการของมัน และแม้เขาจะเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ แต่การเรียนการสอนก็ครอบคลุมมากพอที่จะทำให้เขารู้จักคำว่า วิทยาศาสตร์
พวกแฟนตาเซียนั้นต่างออกไป เขาเคยเจอพวกมันหนหนึ่งเมื่อมีงานลักลอบขนสัตว์ขนาดใหญ่ พวกนั้นสวดภาวนา มีเครื่องราง และ ร่ายเวทมนต์
งี่เง่า
เรเว่นกระดกกาแฟจนหมดแก้ว -กาแฟชงด้วยมืออร่อยกว่าเครื่ีองชงอัตโนมัติอย่างไม่ต้องสงสัย- แล้วเดินลากรองเท้าสลิปเปอร์ออกจากเพิงกาแฟ
สงคราม...การต่อสู้ระหว่างสองประเทศ
นั่นหมายถึงอาวุธ ภาวะขาดแคลนที่อาจจะตามมา โรคติดต่อ...
ชายหนุ่มยกฝ่ามือถูหนวดเคราของตน
เขาคงต้องทำยาบำรุงไว้มากกว่าที่เคยทำอีกหน่อย…พวกทหารคงมาซื้อของอีกตามเคย
สองข้างทางมีตึกสูงจนจรดเพดานสลับอาคารหลังเล็ก รถลอยอยู่เหนือขึ้นไป อันที่จริงเขาเห็นมอเตอร์ไซค์บางลำกำลังโดนหุ่นดรอยด์ของทางการไล่กวดด้วยข้อหาบินต่ำกว่ากำหนด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้สัญจรบนท้องถนน
เวทมนต์อะไรกัน…
วิทยาศาสตร์สิ...ที่สัมผัสได้
ความรู้คือความเชื่อ แม้เขาจะเรียนไม่จบ แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่ และสัมผัสได้เหล่านี้ต่างหาก คือของจริง
สองเท้าในสลิปเปอร์พาเขาเดินออกจากย่านเสื่อมโทรม หุ่นยนต์และผู้คนพลุกพล่านกว่าเดิม จอฉายภาพสาธารณะขนาดใหญ่บนตึกกำลังแสดงภาพโฆษณาร้านอาหารคินคาเสะ ก่อนจะตัดไปภาพสินค้าสวยๆงามๆของผู้หญิง
แม้จะมีพาหนะโดยสารให้เรียก แต่สภาพเขาไม่เหมาะกับการโบกเท่าไหร่นัก...ตัวเขากำลังสั่น
สี่ชั่วโมงกว่าแล้วนับจากยาโดสล่าสุด สายตาเขาเริ่มพร่าเลือน…
โลกกลายเป็นสีเทา…
เสียงผู้คนรอบกายห่างไกลออกไป...
กระทั่งร่างกายตัวเองก็เหมือนจะไม่เชื่อฟัง
ไม่มีแรง...หิวข้าว...
เวียนหัว...ง่วงนอน…
มือสั่นเทาล้วงเข้าไปด้านในเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่...สัมผัสของหลอดยาที่เรียงกันทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น
เวทมนต์อะไรนั่น...งมงาย ไร้สาระ…
เขาเลือกมันขึ้นมาหลอดหนึ่ง หยิบเอาไซริงค์แบบอัตโนมัติความยาวเท่าฝ่ามือขึ้นมา เปิดสวิตช์ นำไปแนบกับฝ่าขวด
ตัวเลขแสดงผลบนอุปกรณ์ประมวลอยู่ชั่ววินาที แล้วเข็มก็ทิ่มเข้าไปในขวด ดูดเอายาสีฟ้าใสออกมาจนเกลี้ยง ตามด้วยการสลัดเข็มเก่าทิ้งโดยทันที
มือสั่นเทาจับปลายด้านล่างของตัวอุปกรณ์นั้นแนบสนิทกับลำคอ เลือกเอาบริเวณที่เส้นเลือดใหญ่อยู่ ความเย็นจากตัวเครื่องนั่นช่วยให้รู้สึกปลอดภัย แล้วเข็มก็แทงทะลุเข้าไป
ยานั่นกำลังไหลเข้ามา… ความรู้สึกอุ่นๆนั่นบอกเขาได้ดี...ขอพักสิบนาทีก็พอ…
มันเป็นสิบนาทีที่เขาทำได้แค่ยืนนิ่งอย่างง่วงงุน...สมองไม่สามารถประมวลผลอะไร...รู้สึกถึงใครสักคนที่เดินชนและหันมาด่าเขาเรื่องยืนขวางทาง แต่เขาไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะโต้ตอบ
ความรู้สึกอุ่นวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายผ่านทางกระแสเลือด…
โลกเริ่มมีสีสันอีกครั้ง…
ไม่ง่วง ไม่หิวอีกต่อไป...
ยาของเขาต่างหาก…สัมผัสได้…มันเป็นของจริง…
เรี่ยวแรงที่ฟื้นฟูขึ้นมาทำให้เขาสามารถก้าวต่อไปได้ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งยืนนิ่งอยู่ใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ข้างๆมันมีหญิงสาวอีกคนในชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลเคลื่อนที่กำลังพยายามเรียกเขา
“…ณ…คุณ...ได้ยินฉันรึเปล่า?”
สายตาว่างเปล่าของชายหนุ่มเบือนลงมองหน้าเธอที่ตัวเตี้ยกว่า คนของรัฐ
“ได้ยิน” ตอบกลับเสียงเรียบ...หญิงสาวดูสบายใจขึ้นเล็กน้อย
“ดิฉันเรียกคุณเกือบห้านาที คุณไม่ตอบรับ ดิฉันเลยนึกว่า…” ปลายเสียงเงียบไป ก่อนหล่อนจะโพล่งขึ้นมาใหม่ “ท่าทางคุณเหมือนไม่ได้นอนมานาน...มาก...รอยบนคอคุณก็ดู...”
จุ้นจ้านวุ่นวายเป็นบ้า!
เรเว่นถอนหายใจหนึ่งเฮือกยาวๆ และหรี่ตาลง ตั้งคำถาม
“คุณกำลังจะบอกว่า…?”
“ดิฉันกำลังจะถามว่า...คุณได้ใช้ยาหรือสารเคมีอะไรในช่วงนี้บ้างรึเปล่าคะ?”
นั่นไง...สู่รู้…
“ถูกของคุณ ผมไม่ได้นอนมาสักพักแล้ว” รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปาก “ช่วงนี้มอนสเตอร์อาละวาด และผมเป็นนักวิจัย”
“นักวิจัย?” หัวคิ้วของหญิงสาวขมวดลง นั่นหมายความว่าเธอไม่เข้าใจ “คะ?”
“นักวิจัยด้านสัตววิทยา อันที่จริงวันนี้เป็นวันหยุด และผมกำลังจะกลับบ้าน” เพิ่มข้อมูลที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายเชื่ออีกเล็กน้อย “ผมต้องหาสาเหตุของอาการผิดปกติ ที่นิ่งไปเมื่อครู่เนื่องจากผมกำลังคิด ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโรคระบาดบางอย่าง ซึ่งดูค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมอนสเตอร์แต่ละชนิดมีความแตกต่างทางกายภาพกันอย่างมาก”
ใช้คำศัพท์และวิธีพูดที่ดูเป็นทางการขึ้นอีกนิด ให้หญิงสาวกระตุกไป พยักหน้ายอมรับอย่างลังเล
นักวิจัย...พูดจาไม่รู้เรื่อง…
เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนมักคิดอย่างนี้
“ส่วนรอยช้ำที่คุณถามถึง…” น้ำเสียงยังคงไว้ในโทนเดิม กดปลายเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย และรอยยิ้มเหยียดบนริมฝีปาก “ถ้าคุณต้องทำงานโดยไม่ได้กินและนอนติดกันเกินสองอาทิตย์ คุณคงพอเข้าใจ”
หญิงสาวทำท่าเข้าอกเข้าใจขึ้นมาแม้จะมีรอยลังเล
ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม หล่อนไม่กล้าปฏิเสธว่าไม่รู้ ศักดิ์ศรีชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลเคลื่อนที่มันค้ำคออยู่
ส่วนเขากำลังเป็นนักวิจัย ด้วยเสื้อกาวน์ที่สวมใส่ น้ำเสียงที่ใช้ และท่าทางวางตัวสูงกว่าเจ้าหล่อน
“ถ้าไม่ว่าอะไร ผมง่วงเต็มทีแล้ว ขอตัวก่อน”
ไม่รอคำตอบรับ เขาเดินจากเจ้าหล่อนและหุ่นยนต์ตัวนั้นออกมา ฝีเท้าสม่ำเสมอ
พวกน่ารำคาญ…
ลับสายตาหญิงสาว เรเว่นเปลี่ยนจังหวะการเดิน ลากรองเท้าสลิปเปอร์เอื่อยเฉื่อยดังเดิม
หวังว่าคงไม่ทันนึกเรื่องรองเท้าของเขาก็พอ
ทุกอย่างมันวุ่นวายมากเกินไป...เขาควรจะกลับไปที่คลินิก และหาอะไรอย่างอื่นทำ ตัวยาที่แช่ไว้ในตู้ตั้งแต่เมื่อวานกำลังจะถึงเวลานำมาสกัดต่อในอีกไม่กี่ชั่วโมง
ยกมือขึ้นโบก ภายในไม่กี่วินาที แท็กซี่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติลำหนึ่งก็พุ่งมาจอดตรงหน้า ให้ก้าวขึ้นรถและระบุพิกัดโดยไม่ต้องคิด
“ถนนย่อยที่48 บล็อคที่5”
ระบบทำการประมวลผล และเขาระบุรายละเอียดลงไปอีกนิด
“อาคารไร้ชื่อ หัวมุมถนน”
นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ไอ้หัวขาวจะมาที่ร้านเขาหนึ่งวัน...
เป็นแค่วันธรรมดา…ที่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆเลย
ความคิดเห็น