ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dr.Charlatan and Mister Loong

    ลำดับตอนที่ #2 : 1 - หนึ่งวัน

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 57




               เรเว่น ลุง หมอเถื่อน

    หมอไร้ใบอนุญาต ผู้สามารถรักษา บำบัด ฟื้นฟู มนุษย์และสัตว์ได้ด้วยยาเพียงไม่กี่เข็ม ในราคาเป็นมิตร

    งี่เง่าเป็นบ้า

    สารพัดคำเยินยอมากมายที่เคยได้ยินนั่นทำเขาหัวเราะเยาะ มีแต่พวกโง่ที่ยกย่องเขา
     

    อาแปะ กาแฟดำแก้ว
     

    ลื้อพูกชักๆน่อ อั๊วฟังม่ายลู้เลื่อง 

    ประโยคตอบรับจากอาแปะขายกาแฟนั่นทำเรเว่นคิ้วกระตุก แต่แล้วแก้วกาแฟดำร้อนๆก็ถูกยื่นพรวดมาให้จนแทบจะชนหน้า
     

    ไอ้แก่วอนเท้า 

    การนั่งกินลมชมวิวที่ร้านกาแฟของไอ้แปะนี่ไร้ประโยชน์...อันที่จริง การพยายามหาที่นั่งชมวิวในนี้มันไร้ประโยชน์

    ชั้นใต้ดิน เขตศูนย์ แห่งเมโทรโปลิส

    จากบริเวณนี้ เขาเห็นแต่ความเสื่อมโทรม อาจเพราะ เพิงกาแฟ บ้านี่ตั้งอยู่ในย่านสลัม สภาพรอบตัวจึงมีแต่ของไม่น่าพิศมัย

    หุ่นดรอยด์ตกรุ่น ตึกรามโทรมๆ รถเก่าๆลอยบนอากาศ ดูแล้วเสียวว่าจะร่วงลงมาใส่หัว และ ...ท้องฟ้าหลอกลวง

    ชั้นใต้ดิน จะคาดหวังอะไรกับภาพจำลองท้องฟ้า?

    เพิงกาแฟนี่ก็เหมือนซากจากอารยธรรมโบราณ...

    จ่ายเงิน และอดแขวะเบาๆ เมื่อเห็นจอโฮโลแกรมแบบติดตั้งบนพื้นผิวที่แสดงหน้าข่าวไม่ได้

    แก่ขนาดนี้ ยังมองเห็นตัวหนังสือด้วยเหรอวะ แปะ?”

    ได้ผลนิดหน่อย อาแปะหันขวับ ชูกำปั้นใส่เขาแล้วแยกเขี้ยวเก๋าเจ้ง! หยักดงติงอั๊วม้าย???”

    ชายหนุ่มเบือนหน้าหนีช้าๆอย่างจงใจ และทำท่าสบายจนเกินเหตุเมื่อหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้ของร้าน

    คำขู่ประมาณมาคาวหน้าอั้วจะถุยน้ำลายใส่แก้วลื้อหรืออะไรทำนองนี้ลอยมาตามหลัง โดยมีชายหนุ่มผมชี้...เหมือนเขาแพะ...ผู้มาต่อคิวรอกาแฟ ต้องรับเคราะห์จากน้ำลายตาแก่ที่กระเด็นใส่หน้าแทน

    เขาไม่ได้สนใจนัก เลือกที่จะหันไป กางมือซ้ายแล้วโบกไปในอากาศ หน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้น เลือกคำสั่ง >>> อ่าน เดอะ พัมกินซ์ ไทม์ <<<
     

    >>> มอนสเตอร์บ้าคลั่ง!!!--- ชาวบ้านตื่นตระหนก --- ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด <<<

     

    หน้ายังคงนิ่ง แม้หัวคิ้วจะเลิกขึ้นเล็กน้อย คงเอายูนิคอร์นมาขายไม่ได้สักพัก

     ที่ทำให้เข้าต้องสนใจคือข่าวที่เด่นกว่า
     

    >>> สนธิสัญญาสงบศึกไม่มีผล --- “เราไม่มีทางอยู่ร่วมกับพวกไร้การศึกษา” --- เมโทรโปลิส --- เตาปฏิกรณ์ ---วาร์ป --- คัดค้าน --- เวอร์กัส --- เชสเซอร์ --- แฟนตาเซีย -- ส่อแววสงคราม หลังจาก 500 ปี <<<
     

    นี่ข่าวใหญ่ 

    โลก ใบนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

    ส่วนแรกคือพวกเขา เมโทรโปลิส ฝั่งที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ยานบิน จักรกล หุ่นดรอยด์ คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีการสื่อสารที่สามารถติดต่อกับต่างดาว

    อีกส่วนคือ แฟนตาเซีย ...ที่เขาสามารถอธิบายได้ง่ายๆว่า พวกคลั่งไสยศาสตร์

    ในขณะที่เมืองเขามีตึกสูง เทคโนโลยีการเดินทางด้วยรถที่ลอยตัวเหนือพื้นดินด้วยหลักการทางควอนตัม สื่อสารด้วยการติดต่อผ่านสัญญาณเครือข่ายที่เห็นชัดทั้งภาพและเสียง ดูหนังด้วยระบบโฮโลแกรมที่ทำให้เหมือนหลุดเข้าไปยืนในบรรยากาศนั้น

    พวกคลั่งไสยศาสตร์นั่น...เชื่อในสิ่งที่เรียกว่าเวทมนต์

    ไร้สาระ

    ทุกอย่างมีหลักการของมัน และแม้เขาจะเรียนไม่จบการศึกษาภาคบังคับ แต่การเรียนการสอนก็ครอบคลุมมากพอที่จะทำให้เขารู้จักคำว่า วิทยาศาสตร์

    พวกแฟนตาเซียนั้นต่างออกไป เขาเคยเจอพวกมันหนหนึ่งเมื่อมีงานลักลอบขนสัตว์ขนาดใหญ่ พวกนั้นสวดภาวนา มีเครื่องราง และ ร่ายเวทมนต์

    งี่เง่า

    เรเว่นกระดกกาแฟจนหมดแก้ว  -กาแฟชงด้วยมืออร่อยกว่าเครื่ีองชงอัตโนมัติอย่างไม่ต้องสงสัย-  แล้วเดินลากรองเท้าสลิปเปอร์ออกจากเพิงกาแฟ

    สงคราม...การต่อสู้ระหว่างสองประเทศ

    นั่นหมายถึงอาวุธ ภาวะขาดแคลนที่อาจจะตามมา โรคติดต่อ...

     

    ชายหนุ่มยกฝ่ามือถูหนวดเคราของตน 

    เขาคงต้องทำยาบำรุงไว้มากกว่าที่เคยทำอีกหน่อยพวกทหารคงมาซื้อของอีกตามเคย

     

    สองข้างทางมีตึกสูงจนจรดเพดานสลับอาคารหลังเล็ก รถลอยอยู่เหนือขึ้นไป อันที่จริงเขาเห็นมอเตอร์ไซค์บางลำกำลังโดนหุ่นดรอยด์ของทางการไล่กวดด้วยข้อหาบินต่ำกว่ากำหนด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้สัญจรบนท้องถนน 

    เวทมนต์อะไรกัน

    วิทยาศาสตร์สิ...ที่สัมผัสได้

    ความรู้คือความเชื่อ แม้เขาจะเรียนไม่จบ แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่ และสัมผัสได้เหล่านี้ต่างหาก คือของจริง

    สองเท้าในสลิปเปอร์พาเขาเดินออกจากย่านเสื่อมโทรม หุ่นยนต์และผู้คนพลุกพล่านกว่าเดิม จอฉายภาพสาธารณะขนาดใหญ่บนตึกกำลังแสดงภาพโฆษณาร้านอาหารคินคาเสะ ก่อนจะตัดไปภาพสินค้าสวยๆงามๆของผู้หญิง

    แม้จะมีพาหนะโดยสารให้เรียก  แต่สภาพเขาไม่เหมาะกับการโบกเท่าไหร่นัก...ตัวเขากำลังสั่น

    สี่ชั่วโมงกว่าแล้วนับจากยาโดสล่าสุด สายตาเขาเริ่มพร่าเลือน

     

    โลกกลายเป็นสีเทา 

    เสียงผู้คนรอบกายห่างไกลออกไป...

              กระทั่งร่างกายตัวเองก็เหมือนจะไม่เชื่อฟัง

    ไม่มีแรง...หิวข้าว...

    เวียนหัว...ง่วงนอน

    มือสั่นเทาล้วงเข้าไปด้านในเสื้อกาวน์ที่สวมอยู่...สัมผัสของหลอดยาที่เรียงกันทำให้รู้สึกสบายใจขึ้น

    เวทมนต์อะไรนั่น...งมงาย ไร้สาระ

    เขาเลือกมันขึ้นมาหลอดหนึ่ง หยิบเอาไซริงค์แบบอัตโนมัติความยาวเท่าฝ่ามือขึ้นมา เปิดสวิตช์ นำไปแนบกับฝ่าขวด

    ตัวเลขแสดงผลบนอุปกรณ์ประมวลอยู่ชั่ววินาที แล้วเข็มก็ทิ่มเข้าไปในขวด ดูดเอายาสีฟ้าใสออกมาจนเกลี้ยง ตามด้วยการสลัดเข็มเก่าทิ้งโดยทันที

    มือสั่นเทาจับปลายด้านล่างของตัวอุปกรณ์นั้นแนบสนิทกับลำคอ เลือกเอาบริเวณที่เส้นเลือดใหญ่อยู่ ความเย็นจากตัวเครื่องนั่นช่วยให้รู้สึกปลอดภัย แล้วเข็มก็แทงทะลุเข้าไป

    ยานั่นกำลังไหลเข้ามา ความรู้สึกอุ่นๆนั่นบอกเขาได้ดี...ขอพักสิบนาทีก็พอ

    มันเป็นสิบนาทีที่เขาทำได้แค่ยืนนิ่งอย่างง่วงงุน...สมองไม่สามารถประมวลผลอะไร...รู้สึกถึงใครสักคนที่เดินชนและหันมาด่าเขาเรื่องยืนขวางทาง แต่เขาไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะโต้ตอบ

    ความรู้สึกอุ่นวิ่งพล่านไปทั่วร่างกายผ่านทางกระแสเลือด

    โลกเริ่มมีสีสันอีกครั้ง

    ไม่ง่วง ไม่หิวอีกต่อไป...

    ยาของเขาต่างหาก…สัมผัสได้…มันเป็นของจริง…

     

    เรี่ยวแรงที่ฟื้นฟูขึ้นมาทำให้เขาสามารถก้าวต่อไปได้ หุ่นยนต์ตัวหนึ่งยืนนิ่งอยู่ใกล้ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ข้างๆมันมีหญิงสาวอีกคนในชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลเคลื่อนที่กำลังพยายามเรียกเขา

    “…ณ…คุณ...ได้ยินฉันรึเปล่า?”

    สายตาว่างเปล่าของชายหนุ่มเบือนลงมองหน้าเธอที่ตัวเตี้ยกว่า คนของรัฐ

    ได้ยินตอบกลับเสียงเรียบ...หญิงสาวดูสบายใจขึ้นเล็กน้อย

    ดิฉันเรียกคุณเกือบห้านาที คุณไม่ตอบรับ ดิฉันเลยนึกว่า…” ปลายเสียงเงียบไป ก่อนหล่อนจะโพล่งขึ้นมาใหม่ท่าทางคุณเหมือนไม่ได้นอนมานาน...มาก...รอยบนคอคุณก็ดู...”

    จุ้นจ้านวุ่นวายเป็นบ้า!

    เรเว่นถอนหายใจหนึ่งเฮือกยาวๆ และหรี่ตาลง ตั้งคำถาม

    คุณกำลังจะบอกว่า…?”

    ดิฉันกำลังจะถามว่า...คุณได้ใช้ยาหรือสารเคมีอะไรในช่วงนี้บ้างรึเปล่าคะ?”

    นั่นไง...สู่รู้

    ถูกของคุณ ผมไม่ได้นอนมาสักพักแล้วรอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากช่วงนี้มอนสเตอร์อาละวาด และผมเป็นนักวิจัย

    นักวิจัย?” หัวคิ้วของหญิงสาวขมวดลง นั่นหมายความว่าเธอไม่เข้าใจ “คะ?”

    นักวิจัยด้านสัตววิทยา อันที่จริงวันนี้เป็นวันหยุด และผมกำลังจะกลับบ้านเพิ่มข้อมูลที่น่าจะทำให้อีกฝ่ายเชื่ออีกเล็กน้อยผมต้องหาสาเหตุของอาการผิดปกติ ที่นิ่งไปเมื่อครู่เนื่องจากผมกำลังคิด ถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดโรคระบาดบางอย่าง ซึ่งดูค่อนข้างจะเป็นไปได้ยาก เนื่องจากมอนสเตอร์แต่ละชนิดมีความแตกต่างทางกายภาพกันอย่างมาก

    ใช้คำศัพท์และวิธีพูดที่ดูเป็นทางการขึ้นอีกนิด ให้หญิงสาวกระตุกไป พยักหน้ายอมรับอย่างลังเล

    นักวิจัย...พูดจาไม่รู้เรื่อง

    เป็นเรื่องปกติที่ผู้คนมักคิดอย่างนี้

    ส่วนรอยช้ำที่คุณถามถึง…” น้ำเสียงยังคงไว้ในโทนเดิม กดปลายเสียงให้ต่ำลงเล็กน้อย และรอยยิ้มเหยียดบนริมฝีปากถ้าคุณต้องทำงานโดยไม่ได้กินและนอนติดกันเกินสองอาทิตย์ คุณคงพอเข้าใจ

    หญิงสาวทำท่าเข้าอกเข้าใจขึ้นมาแม้จะมีรอยลังเล

    ไม่ว่าจะเข้าใจหรือไม่ก็ตาม หล่อนไม่กล้าปฏิเสธว่าไม่รู้ ศักดิ์ศรีชุดเจ้าหน้าที่พยาบาลเคลื่อนที่มันค้ำคออยู่

    ส่วนเขากำลังเป็นนักวิจัย ด้วยเสื้อกาวน์ที่สวมใส่ น้ำเสียงที่ใช้ และท่าทางวางตัวสูงกว่าเจ้าหล่อน

    ถ้าไม่ว่าอะไร ผมง่วงเต็มทีแล้ว ขอตัวก่อน

    ไม่รอคำตอบรับ เขาเดินจากเจ้าหล่อนและหุ่นยนต์ตัวนั้นออกมา ฝีเท้าสม่ำเสมอ
     

    พวกน่ารำคาญ 

    ลับสายตาหญิงสาว เรเว่นเปลี่ยนจังหวะการเดิน ลากรองเท้าสลิปเปอร์เอื่อยเฉื่อยดังเดิม

    หวังว่าคงไม่ทันนึกเรื่องรองเท้าของเขาก็พอ

    ทุกอย่างมันวุ่นวายมากเกินไป...เขาควรจะกลับไปที่คลินิก และหาอะไรอย่างอื่นทำ ตัวยาที่แช่ไว้ในตู้ตั้งแต่เมื่อวานกำลังจะถึงเวลานำมาสกัดต่อในอีกไม่กี่ชั่วโมง

    ยกมือขึ้นโบก ภายในไม่กี่วินาที แท็กซี่ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติลำหนึ่งก็พุ่งมาจอดตรงหน้า ให้ก้าวขึ้นรถและระบุพิกัดโดยไม่ต้องคิด

    ถนนย่อยที่48 บล็อคที่5”

    ระบบทำการประมวลผล และเขาระบุรายละเอียดลงไปอีกนิด

    อาคารไร้ชื่อ หัวมุมถนน

    นั่นเป็นเหตุการณ์ก่อนที่ไอ้หัวขาวจะมาที่ร้านเขาหนึ่งวัน...

    เป็นแค่วันธรรมดา…ที่ไม่ได้มีความสำคัญใดๆเลย

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×