ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dramatical Murder Anthology:Resume

    ลำดับตอนที่ #3 : Fanfiction Clear x Aoba Good End Sequel : Waltz of the Sunflowers By RinNe

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 57



    Clear x Aoba Good End Sequel

    Title : Waltz of the Sunflowers
    Writer : RinNe

     
     

                ((สำหรับตัวคุณแล้ว คิดว่าปาฏิหาริย์คืออะไรเหรอครับ))
     

                สิ่งที่กระทบเข้าสู่โสตประสาทนั้นราวกับไม่ใช่เสียงของมนุษย์ แต่เป็นความรู้สึกราวกับเสียงชิ้นส่วนของเศษแก้วกระทบกัน แม้จะแผ่วเบา แต่กลับก้องสะท้อนจนไม่สามารถจับทิศทาง ทั้งหนักหน่วง แต่ก็เปราะบาง..ราวกับถ้าเอื้อมมือไปไขว่คว้าเมื่อใด ก็ได้แต่จะสลายหายไปเพียงเท่านั้น

                เสียงนั้นอีกแล้ว..

                “ผมไม่รู้หรอกครับ..เรื่องแบบนั้น”

                ริมฝีปากขยับขึ้นลงเล็กน้อยเพื่อเปล่งเสียงตอบกลับไป แต่กลับไม่มีความรู้สึกว่าเสียงที่เอ่ยนั้นลอดผ่านออกมาจากลำคอของตนแม้แต่น้อย ราวกับเป็นการสื่อสารที่ถ่ายทอดจากผู้ส่งถึงผู้รับได้โดยไม่ต้องการสื่อกั้นกลาง ทุกสิ่งทุกอย่างช่างบิดเบี้ยวและขัดแย้งกับสิ่งที่ควรจะเป็นไปเสียหมด

                ((บ้างก็บอกว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ที่กำเนิดจากแรงศรัทธา บ้างก็บอกว่าเป็นของขวัญที่ประทานมาจากฟากฟ้า แต่เคยคิดแบบนี้บ้างหรือเปล่าครับ..ว่ามันเป็นการทำ สิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ให้เกิดขึ้นมาน่ะ))

                ท่ามกลางความเวิ้งว้างที่ไม่มีทั้งจุดเริ่มต้นทั้งจุดสิ้นสุด เขาไม่รู้..ไม่รู้ว่าเสียงนั้นกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าสติสัมปชัญญะของตนยังคงอยู่หรือไม่ ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งจะยืนยันว่าตัวเขาที่อยู่ ณ ที่นี้ยังคงเป็นตัวเขา ไม่รู้อะไรเลยสักนิด..

                ((หากจะพูดให้ฟังดูยิ่งใหญ่เกินไปสักหน่อย จะว่าเป็นการแทรกแซงกฎของจักรวาลก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีหรอกนะครับ ไม่สิ..เรียกว่าตัวผมไม่มีสิทธิจะตัดสินเรื่องนี้ได้คงจะถูกกว่า))

                ถ้อยคำแปลกประหลาดที่ไม่เข้าใจความหมายยังคงดำเนินต่อไป เขารู้สึกได้ว่าตัวเองพยายามจะขยับริมฝีปากเพื่อเปล่งเสียงตอบกลับ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะปล่อยให้สลายหายไปกับความเงียบงันเช่นเดิม ภายในห้วงเวลาที่ยากจะบอกว่าผ่านไปเพียงเสี้ยวนาทีหรือยาวนานชั่วกัปกัลป์ เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ดำเนินวนเวียนไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา

                ((แล้วสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็น ผลงานของปาฏิหาริย์อย่างคุณ คิดว่ายังไงบ้างเหรอครับ))

                เป็นสถานที่ที่ตัวเขาไม่รู้จัก แต่ในขณะเดียวกันก็กลับรู้สึกคุ้นเคยเสียเหลือเกิน

                “คุณ..เป็นใครกันเหรอครับ”

                เสียงที่ราวกับไม่ได้ผ่านลำคอออกมานั้นแทบจะเลือนหายไปกับบรรยากาศอันหนักอึ้ง แม้จะพยายามหันมองรอบกายสักเพียงใด สิ่งที่เห็นก็มีเพียงความมืดมิดไม่มีที่สิ้นสุด ไร้ซึ่งกลิ่นอาย ไร้ซึ่งวี่แววของผู้คน หากแต่ไม่รู้เพราะเหตุใดตัวเขาถึงรู้สึกได้ว่า
     

                ใครคนหนึ่งกำลังยิ้มให้ตัวเขาอยู่ตรงนั้น..

     

     

                “เคลียร์...เคลียร์!

                และแล้วก็เป็นอีกเสียงหนึ่ง ที่ดึงตัวเขาออกมาจากอีกฝากฝั่งของความมืดมิด..

                “วะ..หวา”

                อยู่ๆทัศนียภาพรอบข้างก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วราวกับโลกหมุนในชั่วเสี้ยววินาที ชายหนุ่มเผลอสะดุ้งสุดตัวจนจานใบหนึ่งที่ถืออยู่ลื่นหลุดจากมือ โชคดีที่ปฏิกิริยาตอบสนองของเขายังไวพอที่จะคว้าไว้ก่อนที่จานใบสวยจะได้แปรเปลี่ยนไปเป็นเพียงเศษกระเบื้องในถังขยะ

                เมื่อกวาดมองพื้นที่รอบกาย เขาก็พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่มองอย่างไรก็เป็นเพียงห้องครัวของบ้านที่ไม่ได้มีอะไรผิดแผก เสียงที่กระทบเข้าสู่โสตประสาทก็มีเพียงเสียงน้ำที่ไหลผ่านท่อโลหะลงสู่เบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วงอย่างที่ควรจะเป็น

                “มีอะไรเหรอครับอาโอบะซัง อย่าทำให้ผมตกใจสิครับ..” ผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ที่แห่งนี้ไม่มีทั้งความมืดมิด ไม่มีทั้งเสียงของเศษแก้วที่ก้องสะท้อน แม้แต่เสียงที่อื้ออึงอยู่ในโสตประสาทนั้นก็ราวกับอันตรธานหายไปในพริบตา

                “คนที่ตกใจมันฉันต่างหากเล่า นายรีบปิดน้ำนั่นก่อนเถอะ!

                “เหวอ!

                ยามเห็นคู่สนทนายังคงชี้มือมาทางเขาด้วยท่าทีตื่นตกใจ นัยน์ตาของชายหนุ่มจึงเบนกลับไปยังอ่างล้างจานซึ่งขณะนี้เป็นพื้นที่ทำงานของตน ก่อนจะแทบสะดุ้งสุดตัวอีกรอบเมื่อเห็นว่าเสียงน้ำที่ควรจะไหลลงกระทบกับพื้นอ่างนั้น ยามนี้กลับเอ่อล้นจนกระทบกับพื้นห้องครัวเสียแทน

                “อะ..หวา แย่แล้ว ทำยังไงดี ทำยังไงดีล่ะ”

                มือใหญ่ตะปบหมับเข้าที่ก๊อกน้ำก่อนจะบิดไปยังทิศทางตรงกันข้ามอย่างรวดเร็ว หากแต่แม้จะหยุดปริมาณการเพิ่มขึ้นได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าแอ่งน้ำเจิ่งนองบนพื้นจะหายไปด้วย “ทำยังไงดีล่ะครับอาโอบะซัง ถ้าทาเอะซังมาเห็นเข้า ผมต้องโดนดุแน่ๆเลย”

                “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันช่วยเอง รีบเก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อนที่คุณยายจะเข้ามาก็แล้วกัน” นัยน์ตารื้นๆของลูกหมาน้อยตัวโตเร่งเร้าให้คนมองต้องรีบพับแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น เมื่อเห็นท่าทางที่เปลี่ยนเป็นระริกระรี้ด้วยความดีใจกับสายตาที่มองเขาราวกับพระเจ้ามาโปรดของอีกฝ่ายแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

                ถึงตอนแรกจะตกใจอยู่บ้าง แต่พอได้เห็นสีหน้าท่าทางหลากหลายในเหตุการณ์ที่ไม่ได้จะเกิดขึ้นบ่อยๆของเคลียร์แบบนี้แล้ว บางทีเรื่องวุ่นวายเล็กๆแบบนี้ก็อาจจะไม่ได้เลวร้ายเท่าไหร่นัก

                แต่ก็เพราะการที่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ มันจึงทำให้เขารู้สึกตะขิดตะขวงใจอยู่บ้างเช่นกัน

                ไม่ใช่ว่าเคลียร์ไม่เคยทำผิดพลาด กลับกันคือหลังจากเคลียร์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา ในช่วงแรกแทบจะเรียกได้ว่าเกิดเรื่องให้เขากับยายหัวปั่นแทบไม่เว้นวัน แต่ด้วยความมุ่งมั่นและความพยายามของเคลียร์ ใช้เวลาเพียงไม่นานก็สามารถมอบหมายงานบ้านทั้งหมดให้ดูแลได้แล้ว

                แม้อยากจะคิดว่านี่เป็นเพียงความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆที่ไม่ได้เห็นมานานเท่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมจิตใจของเขาถึงไม่สงบเอาเสียเลย

                “ว่าแต่..นายเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะเคลียร์ อยู่ๆก็ยืนนิ่งไปเฉยๆแบบนั้น..” ภาพแรกที่สะท้อนเข้าสู่สายตายามที่เขาตั้งใจจะเดินเข้ามาเรียกอีกฝ่ายที่ห้องครัว คือเคลียร์ที่ยืนอยู่หน้าอ่างล้างจานตามปกติ หากแต่แทนที่จะเห็นนัยน์ตาที่จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าอย่างขะมักเขม้นเหมือนทุกครา กลับเห็นว่าสายตาคู่นั้นทอดยาวออกไปที่ใดสักแห่ง

                แม้จะอยู่ตรงหน้า แม้จะสามารถเอื้อมมือไปสัมผัส แต่ในวินาทีนั้น มันช่างราวกับอีกฝ่ายหายไปยังโลกอื่นที่เขาไม่รู้จัก “ไม่ได้..รู้สึกไม่ดีตรงไหนใช่ไหม”

                คำถามกับสายตาที่แสดงออกได้ชัดเจนถึงความเป็นห่วงทำให้เจ้าของเรือนผมสีงาช้างนิ่งไปเล็กน้อย “ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ แค่เหม่อไปหน่อยเท่านั้นเอง” เลือกที่จะคลี่รอยยิ้มตอบกลับไป แม้สีหน้าของอาโอบะจะยังไม่คลายความกังวลลง แต่เมื่ออีกฝ่ายยืนยันเช่นนั้น เขาจึงทำเพียงพยักพเยิดให้โดยไม่ได้ซักไซ้อะไรอีก

                เขารู้สึกได้ว่าเคลียร์ไม่ได้โกหก แต่มันเป็นความรู้สึกแปลกๆที่ตัวเขาเองก็อธิบายไม่ถูกเช่นกัน

                “ถ้านายรู้สึกไม่ดีตรงไหนล่ะก็..บอกฉันได้นะ” มือเรียวเอื้อมไปแตะเบาๆที่ใบหน้าคมของอีกฝ่าย “ถึงจะไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้หรือเปล่าก็เถอะ ฉันจะพยายามทำทุกอย่างที่ทำได้ดู”

                อยากจะสัมผัส อยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าเคลียร์ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนี้กับเขา ไม่ใช่เรื่องทั้งหมดเป็นเพียงฝันดีที่แสนยาวนานเพียงเท่านั้น..

                “อาโอบะซังเป็นห่วงผมเหรอครับ อุหวา..ดีใจที่สุดเลย” ทั้งคำพูดและการกระทำที่แสดงถึงความห่วงใยนั้นทำเอาคนฟังถึงกับน้ำตาคลอเบ้า ก่อนจะโถมเข้ากอดเขาเอาไว้ทั้งตัว “แค่มีอาโอบะซังอยู่ผมก็ไม่ต้องการอย่างอื่นแล้วล่ะ”

                “อย่าพูดอะไรโอเวอร์พรรค์นั้นเลยน่า” ถ้อยคำที่แสนซื่อตรงนั้นเรียกสีเลือดฝาดจางๆให้ปรากฏบนใบหน้า แม้การแสดงความรู้สึกออกมาอย่างจริงใจอยู่เสมอของเคลียร์มักจะทำให้เขารู้สึกขัดเขินจนไม่รู้จะรับมือเช่นไร แต่ไม่ว่าเมื่อไหร่อ้อมกอดของอีกฝ่ายก็ให้ความรู้สึกดีๆอยู่เสมอ

                เคลียร์ของเขาก็ยังคงเป็นเคลียร์คนเดิม ดูเหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไป..

                ใบหน้าหวานจนเกือบจะติดสวยระบายรอยยิ้มบางด้วยความโล่งอก ถึงจะอยากตักตวงช่วงเวลาแบบนี้ต่ออีกสักนิด แต่ดูเหมือนสถานการณ์จะไม่เป็นใจเท่าใดนัก

                “เหวอ ถ้าไม่รีบออกจากบ้านตอนนี้ต้องแย่แหงๆ” เมื่อเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์จวนเจียนจะไปทำงานสายเสียแล้ว

                เมื่อได้ยินเช่นนั้นลูกหมาตัวโตที่ยังคงคลอเคลียอยู่จึงต้องยอมปล่อยมืออย่างเสียมิได้ แม้สีหน้าจะยังแสดงออกชัดเจนว่ายังไม่อยากปล่อยก็เถอะ ไม่รู้เจ้าตัวจะรู้หรือเปล่าว่าสำหรับคนมองแล้วภาพเบื้องหน้ามันน่ารักขนาดไหนกัน

                “งั้น..ฉันไปก่อนนะเคลียร์”

                เดินมาถึงหน้าประตูโดยมีเคลียร์ตามมาส่งเฉกเช่นทุกที หลังจากเล่นเกมจ้องตารีรอกันอยู่สักพัก สุดท้ายเขาก็เป็นฝ่ายโน้มตัวไปแตะริมฝีปากที่แก้มของอีกฝ่ายเบาๆ แม้การกระทำเช่นนี้จะเป็นเหมือนอีกหนึ่งกิจวัตรประจำวัน ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยังรู้สึกขัดเขินอยู่ดี

                “ไปดีมาดีนะครับ อาโอบะซัง” ความรู้สึกราวกับขนนกปัดผ่านข้างแก้มแทนการตอบรับเช่นเคย ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้ก็ยังคงเป็นเช้าที่สงบสุขอีกวันหนึ่ง

                ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรผิดแผก เขาได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น..

                หากแต่ส่วนลึกของจิตใจกลับบอกว่า ความปรารถนาเพียงเล็กน้อยของเขาในยามนี้ช่างเป็นสิ่งที่อยู่ไกลห่างเสียเหลือเกิน





     

    (Preview)

    ได้ยินหรือเปล่า ท่วงทำนองของลำนำดอกทานตะวัน..

    “ในที่สุดผมก็รู้แล้วล่ะครับ ว่าคุณเป็นใคร”
    “ขอบคุณ..แล้วก็ลาก่อนนะครับ..”

    “ปาฏิหาริย์อะไรนั่น ผมไม่ต้องการอีกแล้วล่ะ”
    “นายนี่เหมือนกับดอกทานตะวันจริงๆนะ เคลียร์”

     

    Illust By ถังว์ ระเบิด https://www.facebook.com/aekanya.yongsawat?fref=ts







     











































    ติดตามต่อในเล่มค่ะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×