ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความทรงจำที่ดีของมัลฟอยและเฮอร์ไมโอนี่

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอน : THE END [Chapter : 1-17]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.22K
      17
      22 เม.ย. 50




    + - บทที่ 1 - +

                    เช้าวันนี้ ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศนั้นหนาวและสดใสเป็นพิเศษ กิจกรรมอย่างแรกที่เฮอร์ไมโอนี่เลือกที่จะทำในวันนี้ ก็คือ การบิดขี้เกียจอยู่นานราวห้านาที ก่อนที่สายลมเย็นๆ ที่พัดผ่านหน้าต่างห้องนอนเข้ามาจะนำพาความง่วงของเธอให้จางหายไปเฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ เลื่อนตัวลงมาจากเตียง และลากขาไปที่ห้องน้ำ เพื่อชำระล้างร่างกายของตนเองให้สะอาด (รวมทั้งจะได้สดใสกว่านี้ด้วย)…

                    หลังจากเวลาผ่านไปยี่สิบนาที เฮอร์ไมโอนี่ก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสดใส กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ที่เธอประพรมมาเล็กน้อย ส่งกลิ่นหอมน่าหลงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เด็กสาวไม่ได้ใส่เครื่องแบบนักเรียนในวันนี้ (เพราะ วันนี้โรงเรียนไม่มีการเรียนการสอน จึงอนุญาตให้นักเรียนแต่งตัวได้ตามสบาย) เธอจึงเลือกสวมเสื้อคอเต่า แขนยาวสีครีมและกระโปรงสีดำที่ทำมาจากผ้ากำมะหยี่เนื้อนุ่มยาวเกือบคลุมหัวเข่า ซึ่งคุณลุงเธอส่งมาให้เป็นของขวัญในวันคริสมาสต์

    "ว้าว! เฮอร์ไมโอนี่ เธอดูดีจัง" ปาราวตีที่พึ่งตื่นทักขึ้น เฮอร์ไมโอนี่ชำเลืองมองไปที่เด็กสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ซึ่งตอนนี้สภาพผมเผ้าของเธอดูยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง

    "เธอก็ดูดีไม่แพ้กันเลย ปาราวตี" เฮอร์ไมโอนี่แกล้งหยอก พลางเดินไปนั่งบนเตียงเดียวกับเพื่อนสาว

    "แน่นอน…" ปาราวตียิ้มรับ และใช้มือเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าปรกตาขึ้น

    "ช่วยถักผมให้ชั้นหน่อยสิ" เฮอร์ไมโอนี่พูดเป็นเชิงขอร้อง

    "ได้สิ" ปาราวตีตอบสั้นๆ พลางเริ่มถักผมเปียให้เพื่อนสาว "ผมเธอดูสวยขึ้นนะ มันดูไม่ฟูฟ่องเหมือนแต่ก่อน"

    "จริงเหรอชั้นไม่เคยสังเกตเลย" เธอบอก พลางใช้นิ้วม้วนลูกผมที่ตกลงมาข้างหน้าเล่น

    "อืม…" ปาราวตีคราง "ชั้นถักผมเธอง่ายขึ้นเยอะเลย"

    "งั้นเหรอ" เธอพูด พลางส่งหนังยางผ้ากำมะยี่สีดำให้กับเพื่อน จากนั้นไม่นานนัก ปาราวตีก็ถักผมให้เธอเสร็จ

    "เสร็จแล้วจ๊ะ" ปาราวตีบอก เฮอร์ไมโอนี่รีบลุกขึ้นจากเตียง และเดินไปส่องกระจกบานใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง

    "ฝีมือเธอนี่ ไม่เคยตกเลยนะ แถมยังถักเร็วอีกต่างหาก" เด็กสาวกล่าวชม เมื่อเห็นภาพสะท้อนผมเปียตะขาบที่ถักอย่างสวยงามอยู่บนศีรษะ

    "ขอบใจจ๊ะ" ปาราวตีพูด และมองผมเปียของเฮอร์ไมโอนี่อย่างชื่นชมในผลงานของตน ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เริ่มหันซ้ายหันขวามองไปทั่วห้อง

    "เอ๊ะ! ผ้าพันคอชั้นหายไปไหนเนี่ย" เธอพึมพำ พลางเดินไปที่หีบเสื้อผ้าของตน

    "หาอะไรเหรอ เฮอร์ไมโอนี่" ปาราวตีถาม

    "ผ้าพันคอผืนโปรดของชั้นน่ะ" เธอบอก พลางเริ่มค้นของหีบ "ไม่รู้ว่าหายไปไหน!"

    "อืม…" ปาราวตีคราง แล้วเริ่มครุ่นคิด "ชั้นจำได้ว่าเธอเคยบ่นว่าทำหายไป ไม่ใช่เหรอ!?"

    "เออนั่นสิ ชั้นลืมไปเลย ขอบคุณมากนะที่เตือนสติ" เฮอร์ไมโอนี่พูด และหยิบข้าวของที่ค้นออกมาจากหีบเก็บไว้ดังเดิม

    "ไม่เป็นไร…" ปาราวตีพูด พลางยิ้มให้ด้านหลังของเพื่อนสาวที่กำลังเดินไปที่เก้าอี้ที่มีเสื้อคลุมสีดำตัวยาวพาดเอาไว้ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นชุดที่ลุงของเธอให้เป็นของขวัญวันคริสมาสต์อีกเช่นกัน

    "งั้นชั้นไปก่อนนะ แล้วเจอกัน" เฮอร์ไมโอนี่บอก พลางฉวยเสื้อคลุมขึ้นมาพาดไว้บนแขนและเดินออกไปจากหอนอน

    …+*+*+…

                    เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกของสายลมยามเช้า ได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เธอเดินผ่านพ้นออกมาจากหอนอน อากาศในวันนี้หนาวเป็นพิเศษ จนเรียกได้ว่า หนาวที่สุดในรอบเดือนเฮอร์ไมโอนี่กระชับเสื้อคลุมที่เธอพึ่งสวมเมื่อครู่ในแน่นขึ้นเพื่อบรรเทาความหนาว พร้อมกับรีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เพื่อไปถึงห้องโถงใหญ่ให้เร็วที่สุด

                    เมื่อมาถึงห้องโถง เฮอร์ไมโอนี่พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ทยอยกันมาเกือบครบแล้ว เธอกวาดสายตาไปทั่วห้องโถง เพื่อมองหาเพื่อนรักทั้งสอง แต่แล้วสายตาของเธอก็ไปสะดุดอยู่ที่เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างของกอยล์ลูกสมุนตัวโตของเดรโก แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่เพ่งมองอีกครั้ง เธอก็ได้รู้ว่า เด็กสาวคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจาก 'แพนซี่ พาร์กินสัน' ซึ่งวันนี้ มีบางสิ่งในตัวของเธอที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งนั้นก็คือ ผมสีดำขลับที่เคยสั้นเหมือนแต่ก่อน กลับยาวเป็นลอนสลวยถึงกลางหลังแพนซี่สวมหมวกไหมพรมสีดำ ซึ่งเข้าชุดกับเสื้อคลุมสีเดียวกันเฮอร์ไมโอนี่ถอนสายตาออกมาจากบริเวณนั้นได้อย่างยากลำบาก เพราะ เธอเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของแพนซี่ 'เดรโก มัลฟอย' นั่นเอง

                    มัลฟอยสวมเสื้อคอเต่า แขนยาวสีดำที่ทำจากไหมพรมคุณภาพดี ซึ่งเข้ากับกางเกงขายาวสีดำที่เข้าคู่เหมาะสมกันเป็นอย่างดีเด็กหนุ่มกำลังนั่งทอดสายตามองไปทางหน้าต่างอีกฝั่งหนึ่งของห้องโถงอย่างเหม่อลอย โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่า มีสายตาหลายสิบคู่กำลังจ้องมองมาทางเขา ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเฮอร์ไมโอนี่รวมอยู่ด้วยเด็กสาวอมยิ้มกับภาพที่เธอกำลังมองอยู่ตรงหน้า การที่ได้เห็นเดรโก มัลฟอยเหม่อลอยนั้น เป็นภาพที่หาดูได้ยากสำหรับเธอ

    "เฮอร์ไมโอนี่!!" เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับสะดุ้ง เมื่อมีคนเดินมาโผล่มาข้างหลังอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้

    "วะว่าไง มารีน" เธอถาม และหันไปหามารีน ที่กำลังยิ้มกว้างมาให้เธอ

    "มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ" มารีนถาม เพราะ  เธอเห็นเฮอร์ไมโอนี่ยืนอยู่หน้าประตูห้องโถงนานแล้ว

    "อ้อ!! ชั้นกำลังหาแฮร์รี่กับรอนอยู่น่ะ ไม่รู้หายไปไหนกันทั้งคู่เลย" เธอตอบ พลางทำท่าหันซ้ายหันขวามองหาเพื่อนรัก

    "งั้นเหรอชั้นนึกว่าเธอมองเดรโกอยู่ซะอีก" มารีนบอกด้วยสีหน้านิ่งเฉย พลางยักไหล่ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เริ่มรู้สึกเหมือนเลือดที่หล่อเลี้ยงร่างกายของเธอนั้น ไหลขึ้นมารวมกันอยู่บนหน้า

    "เปล่าซักหน่อย" เธอแก้ตัว และมองไปทางอื่น

    "อืมชั้นอยากเชื่อนะ แต่ทำใจยาก" มารีนแกล้งครางให้เฮอร์ไมโอนี่ได้ยิน และหลิ่วตาให้ เพื่อแหย่เธอ

    "เธอจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ นั่นเป็นสิทธิของเธอ" เฮอร์ไมโอนี่บอก และเริ่มรู้สึกว่าหน้าของตนแดงขึ้นเรื่อยๆ

    "งั้นชั้นขอไม่เชื่อดีกว่า" มารีนแกล้งแหย่เธออีกครั้ง แต่ก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะทันพูดตอบกลับ มารีนก็พูดแทรกขึ้นมาอีก

    "ว่าแต่ เมื่อวานเธอกับเดรโก ไปแกล้งอะไรแพนซี่ล่ะ…?" มารีนเปลี่ยนเรื่อง ด้วยน้ำเสียงที่อยากรู้

    "แกล้งเหรอ?" เฮอร์ไมโอนี่ทวนคำอย่างแปลกใจ

    "อืมใช่ก็ที่แพนซี่ร้องไห้เมื่อวานไง" มารีนตอบ และจ้องเธอเพื่อรอคำตอบ

    "อ้อ!! ชั้นน่ะ ไม่ได้แกล้งหรอกแต่ที่แกล้งน่ะ มัลฟอยต่างหาก" เฮอร์ไมโอนี่ตอบ

    "งั้นเหรอ…" มารีนครางในลำคอ พลางทำท่าครุ่นคิด

    "ว่าแต่มีอะไรหรอ ถึงถามเรื่องนี้" เฮอร์ไมโอนี่ถามบ้าง

    "อ้อ! ก็คือว่า เมื่อวานน่ะ ชั้นไปเจอแพนซี่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ในห้องน้ำถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบว่าเป็นอะไร ได้แต่พูดซ้ำๆ ว่า 'จำไว้นะ เดรโก เกรนเจอร์!' ชั้นรำคาญ ก็เลยจัดการใช้วิธีรุนแรงน่ะสิ…" มารีนบอก และชำเลืองมองไปที่แพนซี่ที่กำลังนั่งดื่มน้ำฟักทองอยู่

    "รุนแรงเหรอ อะไรล่ะ?" เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างใคร่รู้

    "ก็แค่ใช้คาถา 'เพ็ตตริฟิคัส โททาลัส' (คาถาที่ทำให้ร่างติดกัน) แต่ยัยนั่นยังมีความสามารถในการสะอื้นในลำคออีกชั้นก็เลยต่อด้วย 'ซิเลนซีโอ' (คาถาที่ทำให้พูดไม่ได้)…และคาถาสุดท้ายหลังจากที่ชั้นควบคุมสติอารมณ์ได้แล้ว ก็คือ 'ออบลิเวียต' (คาถาลบความจำ) ให้ยัยนั่นลืมเรื่องเมื่อ 20 นาทีก่อนให้หมด" มารีนอธิบาย ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่พอจะทราบว่า มารีนเก่งกาจและชำนาญในเรื่องคาถามากเพียงใด

    "ถึงว่าสิ วันนี้แพนซี่ถึงนั่งข้างมัลฟอยได้" เฮอร์ไมโอนี่พึมพำ

    "นั่นสิ…" มารีนคราง และหัวเราะน้อยๆ

    "แล้วอแมนด้าไปไหนซะล่ะ ชั้นยังไม่เห็นเธอเลย" เฮอร์ไมโอนี่ถาม

    "อ้อ! กำลังแต่งตัวอยู่น่ะอแมนด้าไม่ค่อยชินที่จะต้องยืมชุดของชั้น ก็เลยอาจจะนานสักหน่อย" มารีนพูด ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกแปลกใจว่าทำไมอแมนด้าถึงต้องยืมชุดของมารีนใส่ด้วย

    "เออวันนี้ เธอไปฮอกมี้ดกับเดรโกไม่ได้ใช่มั๊ย" มารีนถามขึ้นอีก ทำให้เฮอร์ไมโอนี่ลืมเรื่องที่เธอกำลังสงสัยไปในทันที

    "ใช่" เฮอร์ไมโอนี่ตอบ "เธอรู้ได้ยังไง!?"

    "เรอคลอฟบอกน่ะ" มารีนตอบ และยิ้มให้กับเด็กสาว

    "อืมแล้วเธอรู้รึเปล่า ว่าทำไมมัลฟอยถึงไปฮอกมี้ดกับชั้นไม่ได้!?" เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงเรียบ

    "รู้…" มารีนเว้นช่วงเพื่อให้เฮอร์ไมโอนี่กลั้นใจรอคำตอบ "แต่ชั้นไม่บอกเธอหรอก"

    "โธ่! มารีนบอกเถอะนะ" เด็กสาวอ้อนวอน

    "ไม่ได้หรอก…" มารีนพูด แล้วยิ้มมุมปาก

    "บอกนิดนึงก็ได้นะนะจ๊ะ" เฮอร์ไมโอนี่พูด ด้วยน้ำเสียงขอร้องอย่างถึงที่สุด

    "เดี๋ยวเธอก็ได้รู้เอง" มารีนกล่าว พร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนที่จะเดินจากไปที่โต๊ะอาหารของบ้านสลิธีริน และนั่งลงระหว่างเพื่อนสาวทั้งสองของเธอ

    "ใจร้าย! ปิดบังกันทุกคนเลย"

    …+*+*+…

                    เฮอร์ไมโอนี่นั่งรอแฮร์รี่และรอนอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะเดินเข้ามาในห้องโถง พร้อมกับเชมัส ดีนและเนวิลล์เฮอร์ไมโอนี่สังเกตอาการผิดปกติของเนวิลล์หลังจากที่เขาได้ยลโฉมรูปลักษณ์ใหม่ของแพนซี่ หน้าของเด็กหนุ่มกลายเป็นสีแดงจัดราวกับลูกมะเขือเทศโดยที่เขาไม่ทันตั้งตัว และนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่อดที่จะแอบหัวเราะน้อยๆ กับท่าทีของเขาไม่ได้

    "เนวิลล์ นายเป็นไข้เหรอ?" แฮร์รี่ที่กำลังนั่งลงข้างๆ เฮอร์ไมโอนี่ถามขึ้น หลังจากที่เขาพึ่งสังเกตเห็นสีหน้าของเนวิลล์ที่ค่อยๆ นั่งลงตรงฝั่งตรงข้าม

    "ปะเปล่าหนิ" เนวิลล์ตอบไม่เต็มเสียง

    "งั้นเหรอ ไปห้องพยาบาลดูก็ดีเหมือนกันนะหน้านายแดงหยั่งกับลูกมะเขือเทศแหนะ" รอนเสริม ในขณะที่เริ่มตักอาหารใส่จานของตน

    "เหรอ…" เนวิลล์ถามอย่างตกใจ และยกมือขึ้นจับหน้า

    "แต่ชั้นคิดว่าไม่ต้องไปหรอกเพราะ จากที่ดูๆ แล้วนะ อาการของนายแค่เป็นโรคแพนซี่กำเริบเท่านั้นเอง" เฮอร์ไมโอนี่แกล้งแหย่ และชำเลืองมองไปทางโต๊ะสลิธีริน

    "อ้อ! ชั้นเข้าใจล่ะ" แฮร์รี่ร้อง หลังจากที่เขาพึ่งได้เห็นแพนซี่เป็นครั้งแรก

    "ชั้นไม่ยักรู้ว่ายัยนั่นทำผมอย่างนี้ แล้วจะดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย" รอนกล่าว นั่นคือคำชมของเขา

    "อือ" เนวิลล์ครางรับเบาๆ "วันนี้เธอไปฮอกมี้ดกับใครเหรอ เฮอร์ไมโอนี่" เขารีบเปลี่ยนเรื่อง

    "ไม่มีหรอกชั้นไม่ไปฮอกมี้ดวันนี้" เธอตอบ และเริ่มกินขนมปังปิ้งที่อยู่ในมือ

    "อ้าว! ทำไมถึงไม่ไปล่ะ" รอนและแฮร์รี่ถามพร้อมกัน พวกเขาพึ่งได้รู้เมื่อครู่นี้เองว่า เธอไม่ได้ไปฮอกมี้ด

    "งานเยอะน่ะเยอะมาก!" เธอพูด และเน้นสองคำสุดท้าย

    "งั้นเหรอ ไม่เป็นไรเดี๋ยวพวกเราจะซื้อขนมมาฝากล่ะกัน" แฮร์รี่พูด และยิ้มให้เธอ

    "ว่าแต่พวกเราที่ว่าเนี่ย ใครบ้างเหรอ?" เฮอร์ไมโอนี่ถาม อย่างมีเลศนัย

    "ก็ชั้นแล้วก็รอนไงล่ะ" เขาตอบ และรีบก้มหน้าก้มตาหั่นแฮมที่อยู่บนจาน เมื่อรู้ว่าถูกเด็กสาวแกล้งแซว

    "แค่นั้นเหรอ" เฮอร์ไมโอนี่ถามอีก สีหน้าของเธอใสซื่อราวกับเด็กไร้เดียงสา

    "เอ่อก็มีอแมนด้าอีกคนหนึ่งน่ะแล้วก็…" แฮร์รี่พูดเสียงอู้อี้อยู่ในลำคอ โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา

    "นายจะอายอะไรล่ะ แฮร์รี่ก็บอกไปสิว่าจินนี่ไปด้วย" รอนพูดเสียงดังเป็นเชิงจงใจจะให้จินนี่ที่นั่งอยู่บริเวณนั้นได้ยิน

    "อะไรเหรอค่ะ พี่รอน" จินนี่หันมาถามรอน โดยที่สายตาของเธอมองไปที่แฮร์รี่

    "อ้อ! แฮร์รี่เค้าเรียกเธอน่ะ" รอนตีหน้าซื่อบอกน้องสาว ในขณะที่แฮร์รี่กำลังเงยหน้าขึ้นไปมองจินนี่ช้าๆ

    "มีอะไรเหรอค่ะ?" เธอถาม และส่งยิ้มให้เขา

    "คือพี่กำลังจะไปเดินเล่นข้างนอกน่ะไปด้วยกันไหม?" แฮร์รี่แก้สถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว

    "ไปสิค่ะ" จินนี่ตอบ และลุกขึ้นยืน ในขณะที่กลุ่มเพื่อนสาวสามคนของเธอกำลังนั่งกรี๊ดกร๊าดอยู่ข้างหลัง

    "เดินให้สนุกนะ…" รอนพูดเสียงกวนอวยพร และตบบ่าเพื่อนรักเบาๆ

    "ขอบใจ…" แฮร์รี่หันมากัดฟันตอบ และเดินออกไปนอกห้องโถงพร้อมกับจินนี่

    "นายไม่น่าแกล้งแฮร์รี่เลย" เฮอร์ไมโอนี่พูด และส่ายหัวน้อยๆ "อาหารยังไม่ได้แตะซักคำ"

    "อ้าว! ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเจ้านั่นอยากจะเดินเล่นข้างนอกพอดี" รอนพูด แล้วขำน้อยๆ

    "ว่าแต่นายเถอะ ไม่อยากไปเดินเล่นบ้างเหรอ" เฮอร์ไมโอนี่ถามเรียบๆ

    "อยากมันก็อยากล่ะนะแต่คนที่อยากเดินเล่นด้วย ดันไม่อยู่น่ะสิ" เด็กหนุ่มเอ่ยเศร้าๆ

    "อ้าว! อแมนด้ายังไม่มาอีกเหรอเนี่ย" เธอพึมพำ แล้วชะเง้อคอมองที่โต๊ะสลิธีริน ซึ่งเป็นจังหวะพอดีกับที่เธอเห็นมัลฟอยลุกขึ้นจากโต๊ะสลิธีริน พร้อมๆ กับที่แพนซี่ลุกขึ้นตามไปด้วย

    "ยังหรอกเขาบอกให้ไปเจอกันที่ฮอกมี้ดเลย" รอนบอก แต่เฮอร์ไมโอนี่ไม่ได้สนใจฟังเลยแม้แต่น้อย เพราะ สิ่งที่เธอกำลังสนใจอยู่ตอนนี้นั่นคือ มัลฟอย กับแพนซี่ลุกขึ้นจากโต๊ะไปพร้อมกันทำไม? 'หรือว่าที่มัลฟอยไปฮอกมี้ดกับเราไม่ได้ เพราะ เขาจะไปกับแพนซี่!?' เฮอร์ไมโอนี่เริ่มคิดอย่างกังวล

    + - บทที่ 2 - +

                    เฮอร์ไมโอนี่ใช้ความพยายามอย่างมากที่จะลืมเรื่องราวที่กำลังกวนใจของเธอทั้งหมดในตอนนี้ แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย ยิ่งเธอพยามลืมมันมากเพียงใด มันก็ยิ่งทวีความกังวลใจให้เธอเพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเด็กสาววางช้อนและส้อมลงบนจานทอง และทอดสายตามองออกไปเบื้องหน้าอย่างเหม่อลอย… 'ไม่มีอะไรหรอกน่า เฮอร์ไมโอนี่ เธอคิดมากไปเอง! เราต้องเชื่อใจมัลฟอยสิ!' นั่นคือสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจตลอดเวลา

    "เฮอร์ไมโอนี่!" เสียงของชายคนหนึ่งเรียกเธอ ซึ่งนั่นทำให้เด็กสาวผละออกจากความคิดของเธอทันที

    "หืมอะไรเหรอ" เธอครางตอบ และหันไปมอง 'ฌอน คาร์เตอร์' ที่ขณะนี้ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ

    "แปดโมงจะครึ่งแล้วนะ เธอนัดชั้นให้ไปรอเธอที่หน้าห้องโถงตั้งแต่แปดโมง แถมกำชับว่า 'อย่าสาย' แต่เธอกลับเป็นฝ่ายที่มาสายซะเอง อย่างนี้หมายความว่าอะไร" ฌอนบ่นเสียยืดยาว 'เหมือนกับมัลฟอยไม่มีผิด' เธอคิด

    "เอ่อขอโทษล่ะกัน" เธอกล่าว และก้มหน้าอย่างสำนึกผิด

    "อืมไม่เป็นไร" เขาพูดเสียงอ่อนลง หลังจากที่เห็นท่าทีผิดปกติของเธอ "ว่าแต่เธอเป็นอะไรรึเปล่า วันนี้ดูซึมๆ ผิดปกติ"

    "เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร…" เธอตอบ ด้วยน้ำเสียงที่พยามทำให้มันสดชื่นที่สุด

    "อืมถ้ามีอะไรในใจก็เล่าให้ชั้นฟังได้นะ ชั้นยินดีเป็นที่ปรึกษาเสมอ" ฌอนบอก และนั่นสามารถเรียกร้อยยิ้มของเธอกลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง

    "ขอบใจจ๊ะ" เฮอร์ไมโอนี่พูดอย่างจริงใจ

    "เฮอร์ไมโอนี่ ชั้นไปก่อนนะ" รอนที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอพูดขึ้น พลางมองมาที่ฌอนด้วยสีหน้ากวนประสาท ก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องโถง

    "เค้าเป็นอะไรน่ะ" ฌอนหันมาถามเด็กสาว

    "อ้อ! รอนคงนึกว่านายเป็นมัลฟอยล่ะมั้ง" เฮอร์ไมโอนี่บอก และอมยิ้ม "ผ้าพันแผลที่แขนเธอหายไปไหนซะล่ะ" เธอถาม เมื่อสังเกตเห็นว่าผ้าพันแขนของเด็กหนุ่มหายไป

    "มาดามพอมฟรีย์ถอดออกแล้วล่ะเธอบอกว่าแผลหายแล้ว แต่ก็จะยังมีแผลเป็นเหลืออยู่" ฌอนพูด และถกแขนเสื้อไหมพรมสีน้ำตาลเข้มของตนขึ้น ปรากฏให้เห็นรอยแผลเป็นเส้นยาวสี่ห้าเส้นบนท่อนแขนของเขา

    "โอ้ว! ดูท่าจะเจ็บนะ" เฮอร์ไมโอนี่อุทาน และเอื้อมมือไปแตะแผลของฌอนเบาๆ "ทำไมนายไม่ให้มาดามพอมฟรีย์เอาแผลเป็นออกให้ล่ะ ชั้นคิดว่ามาดามทำได้นะ" เธอเสนอ

    "ตอนแรกชั้นก็อยากให้มาดามลบแผลให้เหมือนกันแหละ แต่พอคิดไปคิดมา เก็บไว้เป็นบทเรียนน่าจะดีกว่า" เขาบอก และดึงแขนเสื้อลงตามเดิม

    "ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้ไม่ไปเดินซุ่มซ่ามอีก" เธอพูดพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ

    "อือแล้วหนังสือที่อ้างอิงรายงานของเธอหายไปไหนหมดล่ะ" ฌอนถาม และนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามของเธอ ในขณะที่ห้องโถงเริ่มว่างเปล่า เหลือเพียงเฮอร์ไมโอนี่ ฌอนและนักเรียนในห้องโถงอีกเจ็ดแปดคน

    "เอ่อชั้นลืมหยิบมาจากหอน่ะเรา…" เธออธิบายยังไม่ทันจบ ฌอนก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน

    "ชั้นคิดอยู่แล้วเชียวยังไม่ทันแก่เลย ขี้ลืมซะแล้ว…" เด็กหนุ่มแกล้งว่าเสียงดุ

    "อ้าว! แล้วใครจะไปความจำดีอย่างนายล่ะ" เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

    "ชั้นพูดเล่นน่า" ฌอนพูด และขยี้หัวเธอเล่นอย่างเอ็นดู

    "นายนี่ชอบทำอะไรเหมือนมัลฟอยทุกอย่างเลยนะ" เฮอร์ไมโอนี่บอก และยิ้มให้เขา

    "จริงเหรอ…" ฌอนพูด พร้อมกับสีหน้าแปลกใจ

    "จริงสิ ชั้นโกหกนายแล้วได้ทองรึไง…" เฮอร์ไมโอนี่ตอบกวนๆ พลางลุกขึ้นยืนจากโต๊ะอาหาร

    "อืม…" ฌอนครางในลำคอ ก่อนที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะ และเริ่มออกเดิน

    "รอชั้นด้วยสิ!" เฮอร์ไมโอนี่ร้อง และวิ่งไปหาเด็กหนุ่มที่หยุดเดินเพื่อรอเธอ

    "ฌอน!" เสียงของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับที่เฮอร์ไมโอนี่และฌอนหันไปมอง

    "เรอคลอฟ" เฮอร์ไมโอนี่ครางเสียงแผ่ว และมองเรอคลอฟที่รีบเดินอย่างรวดเร็วมาทางพวกเขา

    "ว่าไงฮะ พี่เรอคลอฟ!" ฌอนทักทายอย่างสนิทสนม คล้ายกับว่าพวกเขาเคยรู้จักกันมาแล้ว

    "พวกเธอสองคนรู้จักกันด้วยเหรอเนี่ย" เรอคลอฟถาม พร้อมกับรอยยิ้ม

    "ครับพึ่งรู้จักกันเมื่อวาน" ฌอนตอบ ด้วยท่าทีสุภาพเหมือนกับครั้งแรกที่เขารู้จักเฮอร์ไมโอนี่

    "รู้จักกันเมื่อวานเองเหรอ ดูพวกเธอสนิทสนมกันเหมือนคบกันมาเป็นสิบปีเลยนะ" เรอคลอฟบอก

    "ฮะว่าแต่ พี่รู้จักเฮอร์ไมโอนี่ด้วยเหรอฮะ" ฌอนเป็นฝ่ายถามบ้าง

    "รู้จักสิเขาเป็นคนพิเศษของเพื่อนพี่น่ะ ก็เลยรู้จัก" เรอคลอฟพูด และหลิ่วตามาให้เฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งหลบสายตาในทันที

    "ครับว่าแต่พี่มีเรื่องอะไรจะคุยกับผมรึเปล่าฮะ" ฌอนถาม

    "คือชั้นอยากให้นายช่วยอะไรหน่อย" เรอคลอฟกล่าว สีหน้าจริงจังขึ้นมาทันที เรอคลอฟหันมามองเฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งถ้าเธอเข้าใจไม่ผิด เด็กหนุ่มคงจะขอร้องว่า 'ขอคุยกับฌอนตามลำพังแป๊บหนึ่งนะ?'

    "เอ่อฌอน เดี๋ยวชั้นไปหยิบหนังสือมาจากหอก่อนล่ะกัน แล้วเจอกันที่หน้าห้องสมุดนะ" เฮอร์ไมโอนี่พูด ก่อนที่จะหันไปยิ้มกับเรอคลอฟ และกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากห้องโถง

    …+*+*+…

                    เฮอร์ไมโอนี่เดินก้าวอย่างเชื่องช้า เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังหอกริฟฟินดอร์สิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ในตอนนี้ คือ เพื่อนรักทั้งสองเดินทางไปถึงฮอกมี้ดแล้วหรือยัง? พวกเขากำลังมีความสุขกันอยู่หรือเปล่า? เมื่อเธอคิดรอยยิ้มของเธอก็เริ่มปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง แต่แล้วรอยยิ้มนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนักเมื่อเธอเดินผ่านหน้ารูปปั้นกริฟฟินที่ตั้งอยู่บนระเบียงทางเดินชั้นสามที่มืดสลัวร่างของชายหญิงคู่หนึ่งยืนโอบกอดกันอย่างแนบชิดอยู่ภายใต้เงามืดของรูปปั้นกริฟฟิน

    "มะมัลฟอย" เฮอร์ไมโอนี่กระซิบเสียงแผ่ว ภาพที่เธอกำลังมองอยู่ในตอนนี้ เป็นภาพที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นตลอดชีวิตมัลฟอยกำลังยืนกอดกับเด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่จำด้านหลังของเธอได้ผมสีดำยาวเป็นลอนสลวยถึงกลางหลัง สวมเสื้อคลุมสีดำ เข้าชุดกับหมวกไหมพรมสีเดียวกัน 'แพนซี่ พาร์กินสัน'!

    สมองของเฮอร์ไมโอนี่สั่งการให้เธอวิ่งไป ก่อนที่จะได้เห็นภาพเช่นนี้ต่อไปอีกแต่ขาของเธอไม่ยอมขยับ มันยังคงนิ่งอยู่กับที่ และเริ่มไร้เรี่ยวแรงดวงตาของเธอเริ่มพร่ามัว เพราะ น้ำตาที่เริ่มเอ่อล้นออกมา เคลือบดวงตาสีน้ำตาลของเธอเอาไว้ภาพที่เธอมองเห็นผ่านม่านน้ำตา ในขณะนี้ คือ ภาพลางๆ ของเด็กหนุ่มที่โน้มลงไปจูบเด็กสาวอย่างอ่อนโยนเฮอร์ไมโอนี่หายใจกระตุกทันทีที่เธอได้เห็นภาพนั้น เด็กสาวยกมือขึ้นปิดปากอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง น้ำตาของเธอหลั่งไหลราวกับธารน้ำตก และในที่สุดสมองของเธอก็บังคับให้ขาที่แทบจะไร้เรี่ยวแรงของเธอออกวิ่งได้สำเร็จ!

    เฮอร์ไมโอนี่วิ่งย้อนกลับไปยังทิศทางเดียวกับที่เธอเดินมาเมื่อครู่ความรู้สึกเสียใจระคนตกใจวนเวียนอยู่ทั่วจิตใจ เธอพยามไม่เชื่อสิ่งที่เธอเห็น แต่มันทำได้ยากเต็มที… 'ชั้นอยากจะเชื่อใจนายนะ มัลฟอย แต่สิ่งที่นายทำ มันทำให้ชั้นเชื่อใจนายไม่ได้!' เฮอร์ไมโอนี่คิด ในขณะที่เธอวิ่งผ่านกลุ่มนักเรียนหญิงบ้านสลิธีรินสามคนที่ยืนคุยกันอยู่ตรงระเบียงทางเดินชั้นสาม โดยเรื่องที่เฮอร์ไมโอนี่วิ่งร้องไห้ผ่านหน้าพวกเธอนั้นกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกเธอเม้าท์กันสนุกปากยิ่งขึ้น

                    เฮอร์ไมโอนี่ยังคงวิ่งอย่างไร้จุดหมายต่อไปเธอวิ่งลงบันไดจากระเบียงทางเดินชั้นสามไปสู่ระเบียงชั้นสอง ในขณะที่น้ำตายังคงไหลต่อไปอย่างไม่ขาดสาย และในที่สุดเรี่ยวแรงทั้งหมดของเธอก็ถูกทิ้งลงหลังเงามืดของรูปปั้นหมูป่าเด็กสาวทิ้งตัวลงนั่งบนพื้นที่หนาวเย็น และปล่อยให้น้ำตาให้ไหลพรากอย่างไร้การควบคุม ร่างกายทุกส่วนของเธอสั่นเทิ้ม มือและเท้าเริ่มชา จากอากาศที่หนาวเย็นเฮอร์ไมโอนี่อยากจะให้สิ่งที่เธอเห็นเป็นเพียงฝันร้าย เพื่อเธอจะได้ตื่นขึ้นมาและกลับมา 'เชื่อใจ' คนที่เธอรักอีกครั้ง

    "เฮอร์ไมโอนี่ เธอร้องไห้ทำไม..." เสียงอ่อนโยนของเด็กหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น บัดนี้เขานั่งคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของเด็กสาว  เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้ามองเขาอย่างช้าๆ เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปแตะข้างแก้มของเธออย่างเบามือ ก่อนที่จะใช้นิ้วหัวแม่มือเช็ดน้ำตาออกไปจากใบหน้าของเด็กสาวดวงตาสีฟ้าอ่อนที่ดูทั้งเยือกเย็นและสดใสของเขากำลังจ้องมองมาที่เฮอร์ไมโอนี่อย่างเป็นห่วง เธอจดจำเจ้าของดวงตาที่อบอุ่นนี้ได้

    "ฌอน!" เฮอร์ไมโอนี่ร้องเสียงสั่น และโผเข้ากอดเด็กหนุ่ม

    "เธอร้องไห้ทำไม? เฮอร์ไมโอนี่ใครทำอะไรเธอ" ฌอนถามอย่างเป็นห่วง พลางยกมือขึ้นโอบกอดเด็กสาวแต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากปากของเธอ เฮอร์ไมโอนี่ซุกหน้าลงไปบนหน้าอกอันอบอุ่นของเด็กหนุ่ม และปลดปล่อยความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่เต็มหัวใจทั้งหมด ให้ไหลออกมาพร้อมกับธารน้ำตา

    + - บทที่ 3 - +

    สายลมหนาวยามเช้าพัดเข้ามาปะทะใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่…. เด็กสาวผู้ซึ่งบัดนี้กำลังนอนหลับอยู่ภายในอ้อมกอดอันอบอุ่นของฌอนเด็กหนุ่มลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา เขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ แต่สิ่งที่เขารับรู้อยู่เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ คือ ความเป็นห่วงที่เขามีต่อเธอนั้นมากเกินกว่าที่จะมาคิดเรื่องอื่นใด
    พลังงานความเงียบคืบคลานเข้ามาปกคลุมบริเวณระเบียงทางเดินชั้นสองอย่างเชื่องช้า ภายใต้เวลาที่ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ยินแม้แต่เสียงของสายลมที่ยังคงพัดผ่านเข้ามาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด

    นกฮูกอินทรีย์ตัวใหญ่บินอย่างแผ่วเบาลงมาเกาะอยู่บนส่วนหัวของรูปปั้นหมูป่า สายตาอันคมกริบของมันจ้องมองไปที่ร่างทั้งสองที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่ภายใต้เงามืดนกฮูกอินทรีย์กางปีกออกอีกครั้ง พร้อมกับร่อนลงไปยืนอยู่บนพื้นหินอ่อนอย่างสง่างาม มันค่อยๆ ปล่อยจดหมายที่คาบไว้ในปากลงกับพื้น ก่อนที่จะหันหลังกลับและบินออกไปพร้อมกับสายลม
    …+*+*+…

    เฮอร์ไมโอนี่ลืมตาตื่นขึ้น เพราะ ความหนาวเหน็บที่เข้ามาเกาะกุมร่างกายของเธออย่างไม่ปรานี สายตาของเด็กสาวกำลังจับจ้องไปยังม้วนกระดาษที่วางอยู่บนพื้นเบื้องหน้า ซึ่งก็คือจดหมายที่เจ้านกฮูกอินทรีย์ได้เอามาทิ้งไว้ก่อนที่เธอจะตื่นเด็กสาวขยับตัวน้อยๆ เมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่านอนทับอยู่บนตัวของฌอน และในขณะเดียวกันเด็กหนุ่มก็สะดุ้งตื่นขึ้นพอดี

    "ขอโทษถ้าชั้นทำให้นายตื่น" เธอกล่าวเสียงแผ่วเบา รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากดวงตาที่เพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
    "ไม่เป็นไรหรอกว่าแต่เธอเถอะ ตื่นนานรึยัง" ฌอนถาม พลางใช้แขนทั้งสองข้างยันตัวเองลุกขึ้นนั่งพิงกำแพงอันหนาวเหน็บ
    "ไม่นานเท่าไหร่" เฮอร์ไมโอนี่ตอบ ในขณะที่สายตาของฌอนกำลังมองไปยังม้วนกระดาษที่วางอยู่บนพื้น
    "กระดาษอะไรน่ะ" เขาถามอย่างสงสัยใคร่รู้
    "ไม่รู้สิ จดหมายมั้ง" เด็กสาวยักไหล่ พลางเอามือกอดอกเพื่อไล่ความหนาวที่ทำให้เธอสั่นเล็กน้อย
    "งั้นหรอ" ฌอนกล่าว พร้อมกับลุกขึ้นจากพื้นอย่างเชื่องช้า ในขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังม้วนกระดาษนั้น ราวกับกลัวว่ามันจะหายไป
    "อือ…" เฮอร์ไมโอนี่ครางเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ และมองเด็กหนุ่มที่กำลังก้มลงหยิบม้วนกระดาษนั้นขึ้นมาจากพื้น
    "จดหมายจริงๆ ซะด้วย" เขาพึมพำ พลางคลี่ม้วนกระดาษออกอ่าน เด็กหนุ่มไล่สายตาลงไปยังตัวอักษรสีเขียวมรกตบนแผ่นกระดาษ ซึ่งเป็นลายมือหวัดๆ ของเรอคลอฟที่เขียนอย่างเร่งรีบ ราวกับเค้าเกรงว่าโลกจะต้องแตก ถ้าหากเขาไม่รีบเขียนจดหมายฉบับนี้ 'ฌอนตอนนี้นายอยู่ที่ไหนเนี่ย รู้ไหมว่าทุกคนเค้ากำลังรอนายอยู่ รีบหน่อยนะ ชั้นหวังว่าตอนนายได้รับจดหมายฉบับนี้นายคงไม่ได้แอบหนีไปอยู่ที่ฮอกมี้ดล่ะ ถ้าเป็นอย่างนั้น ชั้นจะฆ่านาย.. ถ้าหากว่านายเจอเฮอร์ไมโอนี่ล่ะก็ ช่วยพาเค้ามาที่นี่หน่อยนะ เดรโกกำลังตามหาเธออยู่' เมื่ออ่านจดหมายจบ เด็กหนุ่มจึงถอนสายตาออกมาจากแผ่นกระดาษในมือ ก่อนที่จะถอนหายใจหนักๆ
    "ชั้นตายแน่" เขาพึมพำเบาๆ และกลอกลูกตาลงมามองเฮอร์ไมโอนี่ที่ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนจากพื้น แต่ยังไม่ทันที่เธอจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น เด็กสาวก็ถูกกระชากอย่างแรง เธอหันไปมองอย่างตกใจ และสิ่งที่เธอคาดเดาไว้ไม่ผิด คนที่กระชากเธอนั้นคือ 'มัลฟอย'
    "เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ เกรนเจอร์" มัลฟอยตวาดเสียงดัง เธอไม่ได้เห็นเขาดูโมโหขนาดนี้มานานแล้ว "ชั้นตามหาเธอจนทั่วไปหมดแต่เธอกลับมาอยู่กับไอ้หมอนี่น่ะหรอ" เขาตะโกน พร้อมกับส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปให้ฌอน
    "ตามหาชั้นทำไม" เฮอร์ไมโอนี่ถามด้วยเสียงเย็นชา เธอจ้องลึกลงไปในดวงตาสีซีดของเขา ซึ่งบัดนี้กำลังจ้องมองเธออย่างพินิจ
    "ตาเธอไปโดนอะไรมา ทำไมถึงได้บวมแบบนี้" มัลฟอยถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงอย่างเป็นห่วง โดยที่ไม่สนใจในคำถามที่เด็กสาวกล่าว เค้าปล่อยมือข้างหนึ่งที่จับตัวเธอออก หมายที่จะสัมผัสดวงตาของเธออย่างเบามือ แต่เด็กสาวปัดมือของเขาออก ก่อนที่มือของเขาจะสัมผัสโดนใบหน้าของตน
    "นายตามหาชั้นทำไม" เธอเค้นเสียงออกมาจากลำคอ และเริ่มรู้สึกว่าน้ำตาของเธอเริ่มปริ่มอยู่ที่ขอบตา
    "ทำไมเธอพูดแบบนั้น" เขากล่าว พร้อมกับหรี่ตามองเธออย่างไม่แน่ใจ "เฮอร์ไมโอนี่…" เค้าครางชื่อต้นเธออย่างแผ่วเบา ด้วยความไม่เข้าใจ ในขณะที่มือทั้งสองที่เกาะกุมอยู่ที่ต้นแขนของเด็กสาวค่อยๆ คลายออก
    "อย่ามาเรียกชื่อต้นของชั้นนายไม่มีสิทธิ์ มัลฟอย" น้ำตาของเด็กสาวพรั่งพรูออกมาจากดวงตาของเธอ ในขณะที่เธอเรียกชื่อของเขาในสองพยางค์สุดท้าย เฮอร์ไมโอนี่สะบัดตัววิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว โดยที่มีฌอนวิ่งตามเธอไปมัลฟอยซึ่งกำลังไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นยังคงยืนราวกับรากงอกอยู่ที่เดิม สิ่งที่สุดท้ายที่เค้าเห็นก่อนที่เด็กสาวจะวิ่งออกไปคือ ดวงตาที่แสดงความเสียใจและปวดร้าว
    …+*+*+…

      มัลฟอยยังคงใช้ความคิดพินิจดวงตาคู่นั้นของเฮอร์ไมโอนี่ตลอดทางที่เขาเดินไปยังริมทะเลสาบ คำถามร้อยแปดพันประการผุดขึ้นมาในหัวของเขาราวกับดอกเห็ด 'เกิดอะไรขึ้น?' 'เกรนเจอร์ เป็นอะไร?' 'เกรนเจอร์ โกรธเราหรือ?' 'เราทำอะไรผิดไป?' และอีกหลายๆ คำถามที่ตัวเขาเองยังไม่สามารถหาคำตอบได้

    เด็กหนุ่มนั่งอยู่ใต้ต้นบีชต้นเดิม ที่เขาและเธอเคยมานั่งด้วยกันหลายครั้งมัลฟอยหยิบก้อนหินริมทะเลสาบขึ้นมาเพ่งพินิจ ก่อนที่จะขว้างมันออกไปไกล… 'ทำไมเกรนเจอร์ถึงพูดแบบนั้น?' เขาเฝ้าย้ำคำถามนี้กับตัวเองหลายครั้ง จนกระทั่งถึงตอนนี้ คำถามนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบอยู่ดีเด็กหนุ่มค่อยๆ ชันเข่าขึ้นมา และใช้แขนสองข้างกอดมันไว้ พลางซุกหน้าลงไปบนหัวเข่าทั้งสอง

    มัลฟอยนั่งอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน โดยที่เขาไม่รู้ตัวเลยว่า ยังมีอีกชีวิตหนึ่งที่กำลังนั่งกอดเข่าอยู่บนกิ่งก้านของต้นบีชเหมือนกับเขาเธอไม่ได้ซุกหน้าลงไปบนหัวเข่าทั้งสองเหมือนมัลฟอย เพราะ ยังคงเห็นใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของเธออยู่ตลอดเวลาถึงแม้ในความเป็นจริง เฮอร์ไมโอนี่จะรู้ว่ามัลฟอยนั่งอยู่ใกล้เธอแค่เพียงเอื้อมมือเท่านั้น แต่ในจินตนาการของเธอนั้น ภาพมัลฟอยกำลังค่อยๆ เลือนลางจางหายไปทุกที

    + - บทที่ 4 - +

    "เฮ้! แล้วเดรโกกับเฮอร์ไมโอนี่ล่ะ นายเห็นพวกเขามั๊ย?" เรอคลอฟถาม เมื่อเห็นฌอนค่อยๆ เดินอย่างเชื่องช้าผ่านประตูไม้โอ๊คเข้ามาภายในห้อง

    "ผมเจอเฮอร์ไมโอนี่ครั้งสุดท้าย ที่ต้นบีชริมทะเลสาบเธอไล่ผมให้ไปห่างๆเธอคงอยากจะอยู่คนเดียว…" ฌอนบอก พลางเว้นช่วงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อ

    "ส่วนมัลฟอย…" ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ประตูไม้โอ๊คก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับร่างและใบหน้าอันซีดเซียวของ 'เดรโก มัลฟอย' ความสนใจของเรอคลอฟ ฌอนและมารีนที่อยู่ภายในห้องนั้น ถูกดึงดูดให้หันเหไปทางนั้นทันที

    "ขอโทษที่มาช้า" เขากล่าวเสียงแผ่วเบา พร้อมกับสีหน้าประหนึ่งเพิ่งเกิดเรื่องเลวร้ายที่สุดในชีวิตของเขาเมื่อไม่นานมานี้

    "อื้อ ไม่เป็นไร…" มารีนที่ยืนอยู่ข้างเรอคลอฟพูดขึ้น

    "ว่าแต่นายไปไหนมา เดรโก" เรอคลอฟถาม แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากปากของเด็กหนุ่ม

                    เขาเพียงแต่สาวเท้าอย่างรวดเร็วไปยังกล่องไม้สีดำขลับ รูปทรงคล้ายสามเหลี่ยมมนๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้กลางห้อง เด็กหนุ่มเปิดกล่องไม้นั้นอย่างเบามือ เขาจ้องมองสิ่งของที่วางอยู่บนผ้ากำมะหยี่สีแดงคล้ายกับกำลังพินิจบางสิ่ง

    "เดรโก เธอไม่เป็นไรใช่มั๊ย" มารีนถามอย่างไม่แน่ใจ พลางเดินเข้ามาหาเขา

    "เปล่าชั้นไม่เป็นไร" เด็กหนุ่มตอบ  พลางค่อยๆ ปิดกล่องไม้

    "หน้าเธอซีดๆ นะ ไปห้องพยาบาลมั๊ย" มารีนพูดอย่างเป็นห่วง เมื่อเห็นหน้าของเขาแทบไม่เหลือสี

    "ขอบใจที่เป็นห่วง" มัลฟอยพูดเพียงเท่านั้น ก่อนที่จะหยิบกล่องไม้ขึ้นมา แล้วเดินออกไปจากห้อง ทิ้งมารีนให้ยืนมองตามเขาไปอย่างไม่เข้าใจ

    "นายช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ชั้นฟังหน่อยได้มั๊ย" มารีนหันไปถามฌอนที่ยืนอยู่ข้างๆ เรอคลอฟ

    …+*+*+…

    เสียงดนตรีที่บรรเลงในท่วงทำนองเศร้า แว่วเข้ามาในโสตประสาทของเฮอร์ไมโอนี่เด็กสาวค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างยากลำบาก เธอยกมือขึ้นมากุมดวงตาทั้งสองข้าง เพราะ ความเจ็บปวด

    "ตื่นแล้วหรอ เฮอร์ไมโอนี่" เสียงที่เฮอร์ไมโอนี่คุ้นเคยดังขึ้น เธอปล่อยมือออกจากดวงตา และเพิ่งรู้สึกตัวว่านอนอยู่บนเตียงอันใหญ่โต

    "เอ่อ…" เฮอร์ไมโอนี่คราง พร้อมกับยันตัวลุกขึ้นนั่ง

    "เฮ้! อย่าเพิ่งลุกขึ้นสิ  นอนลงก่อน" เจ้าของเสียงร้องอย่างตกใจ พร้อมกับร่างอันใหญ่โตที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาค่อยๆ ประคองเธอให้นอนลงเหมือนเดิม

    "แฮกริดคะ" เด็กสาวเรียก

    "หือ" แฮกริดครางตอบ ก่อนจะหันไปรินชาลงในถ้วยที่เตรียมไว้บนโต๊ะ

    "หนูมาอยู่ที่ไหนได้ยังไงคะ" เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างสงสัย "หนูจำได้ว่า…"

    "นั่งอยู่บนต้นบีชใช่มั๊ย" แฮกริดแทรกขึ้น พลางวางกาน้ำชาลงบนโต๊ะ

    "ใช่ค่ะ" เธอตอบ

    "แล้วหลังจากนั้นล่ะ จำอะไรได้อีกมั๊ย" แฮกริดถามหันมาต่อ

    "เอ่อ…." เฮอร์ไมโอนี่คราง พลางใช้ความคิด "ไม่ค่ะ…"

    "เธอตกลงมาจากต้นบีช…" แฮกริดบอก "แต่ยังไม่ทันถึงพื้นหรอกนะมีคนเขาช่วยเธอเอาไว้ได้ทัน" เขารีบเสริม เมื่อเห็นหน้าของเธอซีดลง

    "แล้วใครช่วยหนูไว้คะ" เด็กสาวถามต่อ รู้สึกโล่งอก

    "ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกันนะชั้นหันไปมองไม่ทัน คือเขาอยู่บนปราสาทน่ะ" แฮกริดตอบ พลางเกาหัว

    "อ้อ…" เฮอร์ไมโอนี่ครางตอบ 'ใครกันนะ?' เด็กสาวคิดในใจ พร้อมกับดันตัวเองลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง ซึ่งแฮกริดก็ไม่ได้ห้ามเธอแต่อย่างใด เขาเพียงแต่ส่งถ้วยชาใบใหญ่ให้กับเธอ

    "ขอบคุณค่ะ" เธอกล่าว ก่อนที่จะรับถ้วยชามาไว้ในมือ ในขณะนั้นเอง เสียงดนตรีที่ปลุกให้เธอตื่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง ด้วยท่วงทำนองเศร้า เด็กสาวพยามฟังอย่างตั้งใจ

    "เฮอร์ไมโอนี่!" แฮกริดเรียก เมื่อเห็นเธอเหม่อลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์

    "คะ?…" เฮอร์ไมโอนี่ตอบรับอย่างตกใจ และในขณะเดียวกัน เสียงเพลงนั้นก็เงียบหายไปแล้ว

    "เดี๋ยวชั้นจะเข้าไปในป่าสักหน่อยเธออยู่ที่นี่คนเดียวได้มั๊ย?" แฮกริดถาม พลางเดินไปหาเจ้าเขี้ยวที่นอนอยู่บนพรมเช็ดเท้าหน้าประตู

    "ได้ค่ะ" เด็กสาวรับคำ พลางวางแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะข้างเตียง

    "แต่ถ้าเธออยากจะกลับไปก่อนก็ได้นะ…" แฮกริดพูด พลางเปิดประตูแล้วเดินออกไปพร้อมกับเจ้าเขี้ยว

    "ค่ะ" เฮอร์ไมโอนี่ครางในลำคอ

    "อ้อ! แล้วก่อนจะกลับ อย่าลืมล๊อคประตูบ้านให้ชั้นด้วยล่ะ แม่สาวน้อย" เสียงแฮกริดกำชับ ก่อนที่จะปิดประตูลง

    + - บทที่ 5 - +

                    เฮอร์ไมโอนี่นั่งครุ่นคิดถึงเสียงดนตรีที่เธอได้ยินไปเมื่อสักครู่นี้อย่างพินิจพิเคราะห์ ไม่นานนัก เธอก็สามารถมั่นใจได้ว่า เธอไม่ได้หูฝาดไปอย่างแน่นอน เพราะ เสียงดนตรีนั้น เริ่มบรรเลงขึ้นอีกครั้ง... เด็กสาวพยายามฟังอย่างตั้งใจเพื่อค้นหาต้นทางของเสียงนั้น... เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงขนาดยักษ์อย่างเชื่องช้าราวกับตกอยู่ในภวังค์...

    ...+*+*+...

    เด็กสาวกำลังก้าวเดินอยู่บนพื้นหิมะอันเย็นยะเยือก โดยปราศจากสิ่งห่อหุ้มเท้าของเธอแต่อย่างใด แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกหนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย ดวงตาเหม่อลอยของเฮอร์ไมโอนี่ยังคงมองจ้องลึกเข้าไปข้างในป่าต้องห้ามราวกับต้องการเดินทางไปค้นหาบางสิ่ง พร้อมกับขาทั้งสองที่ยังคงก้าวเดินมุ่งหน้าไปยังทางต้นทางของเสียงดนตรีที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ ตามจังหวะการเดินของเด็กสาว

    …+*+*+…

                    ในที่สุด เฮอร์ไมโอนี่ก็หยุดเดิน... สายตาของเธอจับจ้องไปยังร่างของหญิงสาวที่สวมหน้ากากสีขาวปิดบังใบหน้าด้านซ้ายเอาไว้ เธอสวมเสื้อคลุมขนเฟอร์สีขาวสะอาดตา กำลังนั่งเล่นไวโอลินซึ่งทำจากเนื้อไม้สีน้ำตาลอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว...  ดวงตาสีมรกตของหญิงสาวกำลังมองเฮอร์ไมโอนี่ผ่านหน้ากากสีขาวของเธออย่างพินิจ ในขณะที่นิ้วเรียวงามของเธอบรรจงกดลงไปบนสายไวโอลินอย่างนุ่มนวล

                    ผึง!!! สายไวโอลินสายหนึ่งขาดออก

                    นั่นทำให้สติสัมปชัญญะทุกประการของเฮอร์ไมโอนี่กลับเข้ามาสู่หัวสมองของเธออีกครั้ง ในฝ่าเท้าที่เจ็บระบมจากการเดินย่ำหิมะของเธอ เริ่มประท้วง... ความเจ็บปวดเกาะกุมขาทั้งสองข้างของเธออย่างรวดเร็ว จนเด็กสาวไม่ทันตั้งตัว และในที่สุด เธอก็ล้มลงไปกองอยู่บนพื้นหิมะอันหนาวเหน็บ... สมองของเธอเริ่มตั้งคำถามมากมายขึ้นในหัว... 'เรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?' และตามมาด้วยคำถามอีกหลายประการซึ่งเธอเองไม่สามารถค้นหาคำตอบได้...  

    "เจ้าคือเฮอร์ไมโอนี่ ใช่ไหม" หญิงสาวคนนั้นถามเสียงนุ่ม โดยมีไวโอลินที่สายขาดวางอยู่บนหน้าตัก เฮอร์ไมโอนี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยความสงสัย

    "คะ...คุณ... คือ... ใคร?" ลำคอของเฮอร์ไมโอนี่แห้งผาก จนแทบไม่เหลือเสียง

    "ข้าน่ะหรือ…" หญิงสาวทวนคำถาม พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ "ข้ามีนามว่า... สเกเชียส"

    "สเกเชียส?" เด็กสาวทวนคำเสียงแห้ง "แล้ว... ชั้นมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง" เธอคราง

    "ก็เพราะ... ข้า... ต้องการพบเจ้าน่ะสิ" สเกเชียสคลี่ยิ้ม พลางใช้ปลายนิ้วลูบไล้ไปบนไวโอลินอย่างแผ่วเบา

    "คุณต้องการอะไร?" เฮอร์ไมโอนี่ถาม พร้อมกับความรู้สึกหวาดระแวงที่เริ่มก่อตัวขึ้น สเกเชียสหัวเราะในลำคอ ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมกับถือไวโอลินไว้ในมือแล้วเดินตรงเข้ามาหาเด็กสาว นั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่สังเกตเห็นว่าสเกเชียสไม่มีเงาของตัวเธอทอดอยู่บนพื้นหิมะ… (เทพและปีศาจจะไม่มีเงา)

    "ข้าต้องการเจ้าน่ะสิ" สเกเชียสย่อตัวลงมากระซิบที่ข้างหูเฮอร์ไมโอนี่ ด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำคล้ายกับเสียงของชายหนุ่ม เด็กสาวผงะเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของสเกเชียส

    "ไม่ต้องตกใจ สาวน้อย…" สเกเชียสกระซิบด้วยเสียงที่เปลี่ยนกลับไปเป็นเสียงนุ่มของหญิงสาว พร้อมกับลูบผมสีน้ำตาลของเฮอร์ไมโอนี่เป็นเชิงปลอบ เด็กสาวจ้องสเกเชียสอย่างไม่เข้าใจ

    "ข้าแค่ต้องการให้เจ้าไปอยู่กับข้าข้าเหงาเหลือเกิน เฮอร์ไมโอนี่" สเกเชียสคราง ด้วยเสียงของชายหนุ่มที่แหบห้าว

                    สเกเชียสลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปนั่งบนก้อนหินที่เป็นสีขาวโพลน พร้อมกับไวโอลินในมือ ก่อนจะเริ่มบรรเลงเพลงอีกครั้งถึงแม้ว่าสายไวโอลินจะขาดไป แต่ก็ยังสามารถบรรเลงเพลงออกมาเป็นท่วงทำนองเช่นเดิม - - เฮอร์ไมโอนี่ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ในตอนนี้ เธอรู้สึกเคลิบเคลิ้มราวกับต้องมนต์สะกด เด็กสาวหลับตาลง พร้อมกับภาพความทรงจำมากมายที่หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมองภาพทุกภาพล้วนแล้วแต่เป็นความทรงจำที่ไม่เคยสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอได้... เป็นความทรงจำที่เธออยากลบออกจากใจเป็นความทรงจำที่เธออยากจะทิ้งและเป็นความทรงจำที่มักจะเกิดขึ้นจากการกระทำของเด็กหนุ่มเพียงคนเดียว

                    ผึง!!! สายไวโอลินขาดออกอีกสาย พร้อมกับที่เฮอร์ไมโอนี่สะดุ้งตื่นจากห้วงความทรงจำ

    "มัลฟอย!!!" เฮอร์ไมโอนี่ครางเสียงแผ่ว ในขณะที่น้ำตาของเธอเริ่มปริ่มขอบตาอีกครั้ง

    "เฮอร์ไมโอนี่…" สเกเชียสเรียกชื่อเธอ ด้วยเสียงของหญิงสาว เฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้นมองสเกเชียส พร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตา เธออยากจะยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาเหลือเกิน แต่มือที่ฝังอยู่บนพื้นหิมะนั้น ชาจนไม่รับรู้ถึงความรู้สึกหนาวเหน็บและเจ็บปวดอีกแล้ว

    "ไปกับข้า…" สเกเชียสกล่าว เสียงของเธอยังคงเป็นเสียงของหญิงสาวเช่นเดิม น้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่หยดลงกระทบพื้นหิมะขาวสะอาด

    "ไปกับข้า…" เสียงของสเกเชียสกลายเป็นเสียงชายหนุ่ม ในขณะเดียวกันเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังสับสนเด็กสาวกัดริมฝีปากแน่น เธอรู้สึกราวกับถูกครอบงำ สมองของเธอสั่งการให้ตอบตกลง แต่หัวใจของเธอกำลังคัดค้านอย่างสุดกำลัง 'ไม่ไม่ชั้นไม่ไป'

    "ไปกับข้า…" เสียงของสเกเชียสเปลี่ยนเป็นเสียงหญิงสาว

    "ไปกับข้า…" สเกเชียสพูด ด้วยเสียงของชายหนุ่ม

    "ไปกับข้า…" เสียงของสเกเชียสยังคงดังก้อง ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงเธอรับรู้ถึงรสชาติของเลือดที่ไหลเข้าไปในปาก ถึงกระนั้น เธอยังคงกัดริมฝีปากแน่น เด็กสาวกำลังพยามสั่งการให้สมองของเธอตอบปฏิเสธ และในที่สุด

    "ไม่" เฮอร์ไมโอนี่กรีดเสียง ด้วยพละกำลังทั้งหมดเท่าที่มี

                    ผึง!!! สายไวโอลินสายที่สามขาดออก แม้ว่าสเกเชียสจะวางไวโอลินไว้บนตัก โดยที่ไม่ได้แตะต้องมันเลย และในขณะเดียวกันร่างกายอันเย็นเฉียบของเฮอร์ไมโอนี่ก็ล้มลงไปบนพื้นหิมะที่หนาวเหน็บ พร้อมกับจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา

    "สายไปแล้ว สาวน้อย..."

    + - บทที่ 6 - +

                    รอยยิ้มอย่างผู้ชนะปรากฏขึ้นบนใบหน้าข้างขวาที่ไร้หน้ากากปิดบังของสเกเชียส แต่แล้วสิ่งหนึ่งก็ทำให้เขาหยุดชะงัก*นกเครนบิรอฟขนสีขาวสะอาดบินมาเกาะอยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ก้านใบครึ้มอย่างสง่างาม ดวงตาสีอำพันของมันมองไปยังร่างไร้สติของเฮอร์ไมโอนี่ที่นอนอยู่บนพื้นหิมะขาวโพลนสเกเชียสจ้องนกเครนบิรอฟอย่างพินิจ และเขาก็ค้นพบว่าสิ่งที่กรงเล็บของนกเครนบิรอฟจิกลงไปนั้น หาใช่กิ่งก้านของต้นไม้ใหญ่แต่อย่างใด หากแต่เป็นไหล่กว้างของชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทที่นั่งอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้ต่างหากชายหนุ่มกระโดดลงมายืนประจันหน้ากับสเกเชียส พร้อมกับนกเครนบิรอฟที่ร่อนลงมายืนอยู่ข้างร่างกายที่เย็นราวกับน้ำแข็งของเฮอร์ไมโอนี่

    "ข้าคิดแล้ว ว่าเจ้าต้องมา..." สเกเชียสแสยะยิ้ม เมื่อเห็นใบหน้าภายใต้หมวกคลุมศีรษะของชายหนุ่ม  "เดรโก มัลฟอย…"

    "ฉลาดดีหนิ" มัลฟอยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะเลิกหมวกคลุมศีรษะลง เผยให้เห็นใบหน้าเรียวยาวของเขา

    "ไม่ได้พบกันเสียนานนะ" สเกเชียสเริ่มพูด คล้ายกับชวนคุย

    "ชั้นไม่เคยรู้จักแก" เด็กหนุ่มพูดเสียงเย็น พร้อมกับจ้องสเกเชียสอย่างไม่วางตา

    "งั้นหรือเจ้าลองนึกดูให้ดี เดรโกเราเคยพบกันแล้ว" มัลฟอยมองรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าด้านที่ปราศจากหน้ากากปิดบังของสเกเชียสอีกครั้ง เขารู้สึกคุ้นกับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้

    "ถอดหน้ากากออกซิ" มัลฟอยออกคำสั่ง แต่สเกเชียสส่ายหน้า พร้อมกับรอยยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย

    "ถ้าข้าถอดหน้ากากออกตอนนี้มันก็ไม่สนุกน่ะสิ" น้ำเสียงของสเกเชียสบ่งบอกว่าต้องการยั่วคู่สนทนา เด็กหนุ่มกัดฟันแน่น

    "แกต้องการอะไร?" เขาถามขึ้นในที่สุด เด็กหนุ่มหรี่ตามองสเกเชียสที่กำลังนั่งฉีกยิ้มยั่วประสาทอยู่ตรงหน้า

    "ไม่เอาน่า…" สเกเชียสร้องปราม พลางลุกขึ้นจากก้อนหิน "อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิ เดรโกเกมเพิ่งจะเริ่มเองนะ"

    "ชั้นถามว่าแกต้องการอะไร?" มัลฟอยเน้นประโยคหลังอย่างชัดเจน ด้วยอารมณ์โมโหที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกาย สเกเชียสถอนหายใจอย่างล้อเลียน ดวงตาเป็นประกายอย่างนึกสนุก

    "ข้าก็ไม่รู้หรอกว่าข้าต้องการอะไรแต่ข้ารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่เจ้าต้องการ" สเกเชียสกล่าว ไม่มีคำตอบโต้ใดๆ หลุดออกมาจากปากของเด็กหนุ่ม เขาเพียงแต่มองสเกเชียสที่ประคองไวโอลินในมือขึ้นมาตรงระดับสายตา และลูบไล้ลงไปบนผิวไวโอลินอย่างรักใคร่ พลันความคิดหนึ่งก็เข้าสู่หัวสมองของมัลฟอย… 'หญิงสาวสวมหน้ากากเพียงข้างเดียวกำลังก้มลงมอบไวโอลินที่ทำจากเนื้อไม้ขัดมันสีน้ำตาลเข้มให้แก่เด็กชายผมสีบลอนด์ทองคนหนึงเขานั่นเองเด็กชายกล่าวขอบคุณหญิงสาวอย่างกระตือรือร้น หญิงสาวยิ้มในหน้าก่อนจะลูบศีรษะของเด็กชายอย่างเอ็นดู…' เขาแทบจะลืมไปแล้วว่า เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้อยู่ในความทรงจำ

    "สเกเชียส…" เด็กหนุ่มเอ่ยชื่อของผู้ที่อยู่ตรงหน้าอย่างแผ่วเบา สเกเชียสชะงักมือที่กำลังลูบไล้ไวโอลิน ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองเด็กหนุ่มพร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นเอกลักษณ์

    "จำข้าได้แล้วหรือ?" น้ำเสียงของสเกเชียสดูแปลกใจไม่น้อย น้ำเสียงจากหญิงสาวที่นุ่มนวลเปลี่ยนไปเป็นเสียงชายหนุ่มที่แหบห้าว ไม่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องปิดบัง ในเมื่อมัลฟอยรู้แล้วว่าเขาคือใคร

    "แกทำร้าย เกรนเจอร์ ทำไม?" เด็กหนุ่มถามขึ้นโดยที่ไม่ตอบคำถามของสเกเชียส เขามองร่างของเฮอร์ไมโอนี่อย่างเจ็บปวด... ความรู้สึกที่เคยนับถือสเกเชียสราวกับเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งได้เหือดหายไปจนหมดสิ้น

    "บิดาเจ้าขอร้องให้ข้ามา" สเกเชียสตอบ มัลฟอยรู้สึกชาวาบไปทั้งตัวเขาประเมินนายลูเซียสต่ำไป

    "เพื่ออะไร?" มัลฟอยถาม ถึงแม้ว่าจะรู้คำตอบอยู่แล้วก็ตาม

    "ก็เพื่อ…" สเกเชียสพูดเพียงเท่านั้น ดวงตาที่เคยแววโรจน์ กลับเปลี่ยนไปในทันที แววตาอันแสนเศร้าหมองปรากฏขึ้นแทนที่ แต่สเกเชียสยังคงรักษาท่าทีเอาไว้อย่างเป็นปกติมากที่สุด "ขัดขวางความรักอันไม่เหมาะสมของพวกเจ้านะสิ"

                    มัลฟอยรู้สึกเย็นเฉียบไปทั่วร่าง สิ่งที่เขาเคยคาดคิดไม่อยากให้เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นแล้ว พ่อของเขารู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นระหว่างเขาและเฮอร์ไมโอนี่ เด็กหนุ่มรู้นิสัยของนายลูเซียส มัลฟอยเป็นอย่างดีหากเขาต้องการสิ่งใด เขาจะต้องได้เด็กหนุ่มกัดริมฝีปาก รู้สึกถึงมือทั้งสองข้างชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาควรจะทำอย่างไร สมองของเขาครุ่นคิด ในขณะที่ภายในจิตใจยังว้าวุ่นไปด้วยเรื่องราวมากมายนกเครนบิรอฟที่ยืนอยู่ข้างกายของเฮอร์ไมโอนี่ กางปีกออกและบินมาเกาะอยู่บนไหล่ของมัลฟอยราวกับจะให้กำลังใจ

    …+*+*+…

    "ลองดูไวโอลินตัวนี้สิ เดรโก" สเกเชียสกล่าวขึ้นในที่สุด หลังจากปล่อยให้สายลมหวีดหวิวบรรเลงบทเพลงแห่งความวังเวงอยู่นาน มัลฟอยมองไปยังไวโอลินในอ้อมแขนของสเกเชียส เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าไวโอลินนั้น เหลือสายอยู่เพียงสายเดียว ความรู้สึกสงสัยผุดขึ้นภายใต้จิตใจส่วนลึกของเขา แต่เด็กหนุ่มก็ไม่ได้ถามออกไป สเกเชียสยิ้มพราย ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงอันแข็งแกร่งของชายหนุ่ม "เจ้ารู้ไหมว่ามันเป็นสิ่งตัดสิน ความเป็น ความตาย ของใครต่อใครมานักต่อนัก…"

    "หมายความว่าอะไร…" มัลฟอยถาม อย่างไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่นั้น จะตรงกับคำตอบของสเกเชียสหรือไม่ สเกเชียสหัวเราะในลำคอ

    "ข้าก็หมายความอย่างที่พูดหากสายไวโอลินสายสุดท้ายขาด..." สเกเชียสตอบด้วยน้ำเสียงชายหนุ่ม มองมัลฟอยที่หลับตาลงอย่างพยายามจะข่มอารมณ์ให้เย็นลงด้วยความสะใจ "ข้าคิดว่า... เจ้าคงเดาสิ่งที่ข้าจะพูดต่อไปได้ไม่ยากนะเดรโก"

    "แกกำลังจะบอกชั้นว่าชีวิตของเกรนเจอร์ทั้งหมดอยู่ในมือของแก" เด็กหนุ่มกล่าว น้ำเสียงบ่งบอกถึงอารมณ์ของเขาได้อย่างชัดเจน

    "ถูกต้องที่สุดและอีกนัยหนึ่งก็คือ ถ้าหากเจ้าคิดจะทำร้ายข้า เพื่อช่วยหล่อนล่ะก็ข้าขอแนะนำให้เจ้าคิดเสียใหม่ เพราะสิ่งที่เจ้าจะต้องเสียไป มันไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่เจ้าจะได้มาหรอกนะ" สเกเชียสขู่ด้วยน้ำเสียงของชายหนุ่มแสนราบเรียบ แต่นั่นส่งผลให้ความคิดที่เด็กหนุ่มกำลังคิดจะทำนั้นพังทลายลงอย่างไม่มีชิ้นดี ความเงียบอย่างน่ากลัวคืบคลานเข้ามาครอบคลุมบริเวณนั้นอีกครั้ง แววตาเห็นใจปรากฏขึ้นในดวงตาสีมรกตของสเกเชียสหากนายลูเซียส มัลฟอยไม่ได้เป็นผู้มีพระคุณ เขาก็คงจะไม่กระทำการตามคำขอร้องที่คล้ายกับจะเป็นการตอกย้ำอดีตของตนเช่นนี้หรอก

    "เดรโก..." สเกเชียสกระซิบด้วยน้ำเสียงของหญิงสาวที่สั่นเครือ จนมัลฟอยรู้สึกประหลาดใจ เด็กหนุ่มละสายตาจากร่างบนพื้นหิมะของเฮอร์ไมโอนี่ ขึ้นมามองสเกเชียสอย่างไม่เข้าใจ "ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าดี... เจ้าคงทรมานใจมากสินะ"

    "แล้วชั้นทำอะไรได้บ้างล่ะ... นอกจากรอดูความตายของ ยัยนี่" มัลฟอยโพล่งออกมาอย่างสุดทน ตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมา เด็กหนุ่มไม่เคยรู้สึกสับสนมากมายเท่านี้มาก่อน... แค่เพียงเพราะ เขาไม่สามารถจะช่วย 'เฮอร์ไมโอนี่' ได้ เขายังรู้สึกเจ็บปวดมากถึงขนาดนี้... แล้วถ้าหากเขาจะต้องเสียเธอไป เขาคงจะไม่ตายเลยหรือ? ความคิดเหล่านี้ทำให้ มัลฟอยเข้าใจความรู้สึกที่มีให้ต่อเฮอร์ไมโอนี่ตลอดเวลาที่ผ่านมา... ความรู้สึกที่เขาสามารถทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องเธอ... คำตอบของหัวใจที่เขาใช้เวลาค้นหามาเนิ่นนาน... เขารักเธอแล้วหมดทั้งหัวใจ

    (*เครนบิรอฟ คือ นกที่เกิดจากนกอินทรีย์และนกกระเรียนผสมกัน มีรูปร่างเหมือนนกอินทรีย์ แต่สีขนเหมือนกับนกกระเรียน เครนบิรอฟเป็นนกที่มั่นคงต่อความรัก ถ้าหากคู่ของมันตกอยู่ในอันตรายมันก็จะสละชีวิตเพื่อช่วยอย่างสุดความสามารถ และหากคู่ของมันตายไป มันก็จะเฝ้าคู่ของมันอยู่อย่างนั้นไม่ไปไหนจนตัวตาย)

    + - บทที่ 7 - +

                    สเกเชียสหลุบตาลงต่ำ เสียงของเด็กหนุ่มยังคงสะท้อนก้องอยู่ในหู นี่เขาคิดถูกแล้วหรือ? ที่คิดจะพรากความรักจากคนทั้งสอง ยิ่งคิดมากขึ้นเท่าไร ความเจ็บปวดในอดีตที่ฝังลึกอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจก็เริ่มหวนกลับมาอีกครั้ง... ความรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจราวกับถูกจี้ด้วยเหล็กรนไฟแล่นเข้ามาอย่างรวดเร็วอย่างที่เขาไม่ทันตั้งตัว ภาพเหตุการณ์ในอดีตที่เจ็บปวดย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง ถึงแม้ว่าจะผ่านมานานหลายทศวรรษแล้วก็ตามมือเรียวบางข้างหนึ่งของสเกเชียสเกาะกุมหน้าอกที่เคลื่อนขึ้นลงตามจังหวะการหายใจที่ถี่รัว เขากัดฟันแน่นพยามข่มความเจ็บปวดที่จู่โจมเข้ามารวดเร็วปานสายลมหนาว

    "เคยรักใครไหม?" มัลฟอยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ความเงียบสงบถูกทำลายลงพร้อมกับความเจ็บปวดของสเกเชียสที่เลือนหายไปในพริบตา เด็กหนุ่มจ้องหน้าคู่สนทนาด้วยสายตาที่มีแต่ความชิงชังและความเจ็บปวด สเกเชียสหลบสายตาในทันที มือชื้นเหงื่อที่วางอยู่บนหน้าอกนั้นกำแน่นจนรู้สึกเจ็บ

    "ไม่" เขาโกหก แววตาสั่นระริกมองพื้นหิมะสีขาวอย่างพร่ามัว

    ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายพูดปด แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากพูดคำใดๆ นอกเสียจากยืนนิ่งเพื่อที่จะข่มอารมณ์ว้าวุ่นมากมายที่วนเวียนผ่านไปมาในจิตใจ... สเกเชียสเม้มริมฝีปากแน่นจนไม่เหลือสี เขากำลังลังเลกับสิ่งที่จะต้องทำในอนาคต ความกลัวและหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายเย็นเฉียบที่แข็งทื่อราวกับต้องคำสาป 

                    'เดรโก มัลฟอย' แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามอ่อนที่กำลังโปรยปรายหิมะลงมาสู่เบื้องล่าง ภายในใจกำลังอ้อนวอนภาวนาให้เหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไปด้วยดี ในขณะเดียวกับที่เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา เสี้ยววินาทีหลังจากนั้น หยดน้ำใสๆ ก็ไหลรินออกมาจากดวงตาสีซีดของเขา... เด็กหนุ่มนิ่งไปเล็กน้อยกับน้ำตาที่ไหลออกมาโดยที่ไม่ทันตั้งตัว เขาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับใครมาก่อนในชีวิต และไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาจะต้องเสียน้ำตาเพื่อ ผู้หญิงที่เขาเคยเกลียดชังนักหนา 'เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์'

                    สเกเชียสแอบลอบชำเลืองมองมัลฟอยหลังจากที่สามารถควบคุมตนเองไม่ให้หวาดกลัวกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่แล้วเขาก็ต้องตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่เห็น... ใช่... เขาไม่ได้ตาฝาดอย่างแน่นอน... น้ำตาใสบริสุทธิ์กำลังไหลอาบแก้มทั้งสองของ เดรโก มัลฟอย... เด็กหนุ่มช่างเหมือนกับเขาเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาไม่มีผิด... พลันเหตุการณ์ในอดีตอันแสนทรมานที่ยังตรึงอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจของเขาก็หวนกลับมาในห้วงคำนึงอีกครั้ง

    ...+*+*+...

                    ร่างสูงสง่าของชายหนุ่มในชุดสีขาวแบบกรีกโบราณยืนนิ่ง ใบหน้าคมสันแหงนขึ้นรับละอองหิมะที่โปรยปรายลงมาจากเบื้องบน ข้างกายของเขามีม้ายูนิคอร์นรูปร่างปราดเปรียวที่ยืนกางปีกข้างหนึ่ง ราวกับจะคอยปกป้องร่างกายอันบอบบางของหญิงสาวผิวขาวนวลละเอียดที่นอนอยู่บนพื้นหิมะอันหนาวเหน็บเบื้องล่าง

                    ร่างของชายหนุ่มยังคงนิ่งราวกับรูปปั้นหินงามวิจิตร แม้ว่าลมหนาวจะพัดมาต้องผิวกาย... ไม่นานนัก น้ำใสก็ไหลรินลงมาอาบแก้มทั้งสองของเขาเป็นทางยาว ชายหนุ่มหลับตาลง พยามข่มน้ำตาแห่งความเป็นชายที่กำลังจะเอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีเขียวมรกต... เขารู้สึกตกใจไม่น้อยกับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ... บ่อยครั้งที่เขาสามารถควบคุมตนไม่ให้เสียน้ำตากับความเจ็บปวดได้ แต่สำหรับครั้งนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถห้ามน้ำตาเพื่อที่จะไม่ร้องไห้ต่อไปได้ แต่เขาก็ไม่อาจที่จะเยียวยาหัวใจอันอ่อนแอที่กำลังร่ำไห้เพื่อปลดปล่อยความรู้สึกอันแสนทรมานเหล่านี้ได้

                   

    "การ์ดอน…" เทพหนุ่มรูปงาม ผู้ซึ่งลอยอยู่ในอากาศเอ่ยเรียกชื่อของชายหนุ่ม เปลือกตาที่ห่อหุ้มดวงตาคู่สวย เปิดออกช้าๆ ก่อนที่จะมองตรงไปยังร่างที่มีรัศมีเจิดจ้าทอประกายของเทพหนุ่ม

    "เจ้าก็รู้... ว่าความรักระหว่างเทพ และ ปิศาจมันเป็นไปไม่ได้" เทพผู้นั้นกล่าว น้ำเสียงราบเรียบ หากแต่กรีดลึกลงไปถึงจิตใจของ 'การ์ดอน' บุตรชายแห่งเจ้าปิศาจทั้งปวง ปิศาจหนุ่มไม่ปริปากเอ่ยคำใดๆ เขาเพียงแต่จ้องมองเทพหนุ่มด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

    "ใช่ว่าข้าจะไม่เห็นใจเจ้านะ แต่โซเฟียเป็นคู่หมั้นของข้า และตัวของเจ้าเองก็เป็นปิศาจ ข้าทำทุกอย่าง ก็เพื่อตัวของเจ้าเองนะ การ์ดอน... ข้าไม่อยากให้เจ้าและโซเฟียต้องก้มหน้ารับโทษทัณฑ์จากเบื้องบน มันคงจะทรมานมากทีเดียว หากเจ้าและโซเฟียต้องอาญาจากสวรรค์..." เทพหนุ่มพูด ทุกคำที่เลือกสรรมาคล้ายกับพยามจะปลอบประโลม แต่น้ำเสียงกลับเย้ยหยันอยู่ในที รอยยิ้มที่ดูบริสุทธิ์นั้นคล้ายกับแฝงบางอย่างไว้

    "ข้าไม่ได้ขอร้องให้ท่านช่วย... หากแต่ท่านเข้ามาจัดการกับเรื่องระหว่างเราทั้งสองเองกระมัง เรื่องทั้งหมดถึงได้ดูวุ่นวายถึงเพียงนี้... ข้าและโซเฟียรักกันด้วยจิตใจบริสุทธิ์ หาได้มีสิ่งใดแอบแฝงไม่... ข้ามิได้ต้องการที่จะครอบครองพิภพอย่างที่เทพองค์อื่นคิด หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าอาภรณ์ทุกอย่างที่เป็นของนาง ข้าก็หาอยากได้ไม่... หากแต่สิ่งหนึ่งที่ข้าต้องการมากที่สุด ก็คือ ความรักของนางที่ข้าจะสามารถทะนุถนอมดูแลตราบจนถึงวันที่สวรรค์จะทรงเมตตาเราทั้งสอง" การ์ดอนกล่าวราวกับอัดอั้นมานาน เขารู้ดีว่าเทพหนุ่มตนนี้จะต้องไม่ปล่อยต่อไปเป็นแน่ หากแต่เขาไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ ปิศาจหนุ่มก้มหน้าลงมองเทพธิดาสาวที่เขารัก 'โซเฟีย' ผู้ซึ่งนอนหลับใหลอยู่ภายใต้ปีกอันแข็งแรงของยูนิคอร์นหนุ่ม

    "ในเมื่อเจ้าเลือกเอง..." เทพหนุ่มกล่าว น้ำเสียงเกรี้ยวกราด "ถ้าอย่างนั้น... ข้าขอสาปเจ้า ให้ร่างกายเปลี่ยนจากชายกลายเป็นหญิง  ให้ใบหน้าเปลี่ยนจากหญิงกลายเป็นชาย และสิ่งสุดท้าย ขอให้กายของเจ้าทั้งสองอยู่คู่กันตลอดไป!!!"

                    สิ้นเสียงคำสาป ร่างของการ์ดอนก็ล้มลง พร้อมกับสติสัปชัญญะที่ล่องลอยออกไปไกล คล้ายกับเวลาผ่านไปเร็วราวกับติดปีกบิน ในที่สุดรัตติกาลก็โรยตัวเข้ามาครอบคลุมพื้นป่า ทำให้มองเห็นต้นไม้ใหญ่เป็นเพียงเงาตะคุ่มสีดำจางๆ ร่างของการ์ดอนที่นอนอยู่บนพื้นหิมะค่อยๆ ขยับเล็กน้อย เปลือกตาที่หนักอึ้งเปิดขึ้นช้าๆ พร้อมกับดวงตาที่มองไปรอบๆ อย่างตกใจ

    "โซเฟีย!" เขาครางเรียกชื่อเทพธิดาสาว ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา เขาค่อยๆ ยันร่างอันเย็นเฉียบให้ลุกขึ้นจากพื้นหิมะ พร้อมๆ กับที่สายตาเริ่มชินกับความมืด และชายหนุ่มก็ค้นพบว่า เขายังคงอยู่ในป่าแห่งเดิม... และเขาก็เริ่มพยามปะติดปะต่อเรื่อง เสียงคำสาปยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท

    ให้ร่างกายเปลี่ยนจากชายกลายเป็นหญิงการ์ดอนคิด ก่อนจะรวบรวมความกล้า เขาค่อยๆ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมอง และเขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนไป มือทั้งสองข้างของเขาเล็กลง และเรียวบางราวกับมือหญิงสาว ความตื่นเต้นถาโถมเข้าใส่การ์ดอนจนสติของเขาแทบกระเจิดกระเจิง เขาค่อยๆ ใช้มือเรียวบางนั้นสัมผัสลงไปบนอก และ... โอ้!! ไม่ เป็นไปไม่ได้ การ์ดอนแทบจะกรีดร้องออกมาไม่เป็นภาษา เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายอันแข็งแกร่งของเขา??... และหลังจากที่ใช้เวลานานพอสมควรในการสงบสติ การ์ดอนก็ทวนคำสาปต่อไป

    ให้ใบหน้าเปลี่ยนจากหญิงกลายเป็นชายการ์ดอนกลืนน้ำลาย ก่อนที่จะใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างสัมผัสใบหน้า ตั้งแต่ดวงตา สันจมูก ปาก และสิ่งสุดท้ายซึ่งทำให้เขามั่นใจ นั่นก็คือ แผลเป็นรูปตะขาบที่ข้างแก้มขวา... ใบหน้าคมสันของเขายังคงเป็นชาย การ์ดอนนึกภาพของตนในตอนนี้ไม่ออกว่าจะมีอะไรผิดประหลาดอีกไหม...

    และสิ่งสุดท้าย ขอให้กายของเจ้าทั้งสองอยู่คู่กันตลอดไป... คำสาปประโยคสุดท้ายฟังดูน่ายินดี การ์ดอนยิ้มน้อยๆ หลังจากที่ความสุขของเขาเกือบเหือดแห้งไปจากใจ เขาไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป ขอเพียงแค่ได้อยู่กับโซเฟีย หญิงสาวที่เขา เขาก็พอใจ แต่.... เธออยู่ที่ไหนกัน คิดได้เท่านั้นการ์ดอนก็ยันกายลุกขึ้นยืน ก่อนที่จะป้องปากและตะโกนเสียงดังลั่นผืนป่า

    "โซเฟีย!!"

    "การ์ดอน" เสียงที่ตอบกลับมานั้นแผ่วเบา คล้ายกับว่าเธออยู่ใกล้ๆ เขา การ์ดอนหมุนตัวมองหาเธอรอบทิศ แต่กลับพบแต่ความว่างเปล่า

    "โซเฟีย!!"

    "การ์ดอน" เสียงของโซเฟียจริงๆ แต่เธออยู่ที่ไหนกัน เหตุใดเธอจึงไม่ปรากฏให้เขาเห็นเล่า

    "โซเฟีย!!"

    "การ์ดอน" โซเฟียกระซิบตอบ การ์ดอนตั้งใจฟังเงียบๆ หากแต่ใจของเขากำลังเต้นรัว "การ์ดอน เราอยู่ด้วยกันแล้ว... ข้าอยู่กับท่านแล้ว การ์ดอน"

                    การ์ดอนเงียบไปพักใหญ่ ถ้าหากสิ่งที่เขาเข้าใจไม่ผิดพลาด นั่นก็หมายความว่า โซเฟีย และ เขา คือ ร่างกายเดียวกัน... การ์ดอนยิ้มให้กับความมืดและความเงียบสงบของพื้นป่า


     ทำไมสววรค์ต้องกลั่นแกล้งเราด้วย

    ...+*+*+...

    (การ์ดอน เป็นปิศาจที่มีความสามารถในการพูด เรียกได้ว่า มีวาทศิลป์ และการ์ดอนยังมีความสามารถในการลบความทรงจำบางส่วนของผู้คน ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนต่อจิตใจมาก)

    (โซเฟีย เป็นเทพธิดาแห่งเครื่องดนตรี และเครื่องดนตรีที่เธอโปรดปรานก็คือ ไวโอลิน นั่นเอง)

    (การ์ดอนและโซเฟียที่อยู่ในร่างเดียวกัน มีอีกชื่อ ก็คือ สเกเชียส)

    + - บทที่ 8 - +

                    สายลมหนาวพัดผ่านบาดผิว ปลุกสเกเชียสให้ตื่นจากห้วงความทรงจำอันแสนทรมาน มือทั้งสองของเขาถูกันไปมาเพื่อบรรเทาความหนาว ในขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มสั่นน้อยๆ ด้วยความหนาวเหน็บและอาจจะเป็น เพราะ ความเจ็บปวดจากการย้อนกลับไปนึกถึงอดีตเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมาถ้าหากเป็นไปได้เขา 'อยากจะลืมอยากจะลบความทรงจำทั้ง…'

                    สเกเชียสชะงักความคิดเอาไว้เพียงเท่านั้นพลันความคิดหนึ่งก็เขามาแทรกในสมองของเขา พร้อมกับหัวใจพี่เต้นรัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล'ใช่สิ... การลืม...'  เขานึกอยากจะลงโทษตัวเองนักที่มองข้ามพรสวรรค์ของตนไปได้ '...การลบความทรงจำ... จริงสิ... ข้าสามารถทำได้... ข้าสามารถลบความทรงจำได้...' คิดได้ดังนั้น หัวใจของสเกเชีสก็เต้นรัวราวกับจังหวะกลอง รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างดีใจและโล่งใจไปพร้อมๆ กัน 'ในที่สุด ข้าก็หาทางออกได้'

     "เดรโก!" สเกเชียสกล่าว น้ำเสียงหญิงสาวที่เปี่ยมไปด้วยนุ่มนวลของเขา สั่นเครืออย่างไม่สามารถควบคุมได้ มัลฟอยชำเลืองมองสเกเชียสด้วยสายตาเย็นชา คราบน้ำตายังคงมีให้เห็นอยู่บนใบหน้าเรียวยาวของเด็กหนุ่ม

    "ข้ารู้ว่าความตายเป็นการพรากจากที่โหดร้าย และเจ้ามิอาจมีชีวิตอยู่ได้ หากข้าพรากหล่อนไป..." สเกเชียสกล่าว ด้วยน้ำเสียงชายหนุ่มแสนราบเรียบ ขณะที่ดวงตาจับจ้องไปยังร่างของเฮอร์ไมโอนี่ "ข้าจะไว้ชีวิตหล่อน..."

    หัวใจที่หม่นหมองของมัลฟอยกลับพองโตขึ้นอีกครั้งราวกับถูกชุบชีวิตขึ้นใหม่ ความรู้สึกดีใจนั่นท่วมท้นเกินกว่าจะเอ่ยคำใดๆ ออกมาได้ในตอนนี้ ทุกสิ่งรอบตัวดูสดใสขึ้นทันตาคล้ายกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังแหวกม่านของหมู่เมฆให้พ้นจากดวงอาทิตย์... นกเครนบิรอฟบนบ่าของมัลฟอย ส่งเสียงร้องสดใสราวกับต้องการจะสื่อว่าเข้าใจในสิ่งที่สเกเชียสบอก... มันรีบบินถลาไปทางร่างของเด็กสาวทันที ก่อนที่จะใช้จงอยปากสะกิดแก้มสีชมพูเข้มที่เกิดจากความหนาวจัด

    "แต่..." สเกเชียสเอ่ยเสียงแผ่ว แต่มันก็ดังพอที่จะทำให้มัลฟอยได้ยิน "ข้าขอแลกกับ ความทรงจำ... ของเจ้า"

    "ของชั้นงั้นหรอ" มัลฟอยถาม ในขณะเริ่มที่หายใจไม่เป็นจังหวะ

    "ใช่... เพียงความทรงจำของเจ้า... มิใช่ความทรงจำทั้งหมดในชีวิตของเจ้า หากแต่ข้าต้องการเพียง ความทรงจำของเจ้า เกี่ยวกับ... หล่อน" สเกเชียสบอก

    "ทำไม... ทำไมถึงต้องทรมานพวกเราด้วย... ทำไม... ทำไมถึงไม่ลบความทรงจำของทั้งชั้น แล้วก็เกรนเจอร์... ทำไมกัน... ถ้าลบความทรงจำของเราทั้งคู่ ก็จะไม่มีใครที่ต้องเจ็บปวดอีก... แต่นี่... ถ้าหากทำอย่างนี้ เกรนเจอร์จะต้องเป็นฝ่ายที่เจ็บปวด... เจ็บปวดที่จะต้องเฝ้ามองผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่มีภาพเธออยู่ในความทรงจำ... นายรู้ไหม ว่ามันจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน..." มัลฟอยโพล่งออกไปอย่างเหลือทน ใบหน้าของเขาซีดขาว ในขณะที่สเกเชียสคอยรับฟังอย่างสงบนิ่ง

    "ข้าเข้าใจดี เดรโก... แต่เจ้าจะต้องเสียใจ หากข้าทำเช่นนั้น" รอยยิ้มบางๆ ระบายอยู่บนใบหน้าซีกหนึ่งของสเกเชียสซึ่งไร้หน้ากากปิดบัง... ถึงแม้เด็กหนุ่มจะไม่เข้าใจในความหมายที่แอบแฝงมากับคำพูดนั้น แต่เขาก็สามารถสัมผัสถึงความจริงใจที่ปะปนมากับน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้

    "แล้วชั้นจะแน่ใจได้อย่างไร ว่าเกรนเจอร์จะปลอดภัย" มัลฟอยพูดขึ้นในที่สุด หลังจากที่นิ่งเงียบมานาน

    "ด้วยเกียรติของข้า... ข้าสัญญาว่าหล่อนจะไม่เป็นอะไร ขอเจ้าจงวางใจ"  สิ้นเสียงของสเกเชียส สายไวโอลินสายสุดท้ายก็ขาดออกในทันใด

                    มัลฟอยทรุดตัวลงบนพื้นหิมะอย่างไร้เรี่ยวแรง น้ำตาแห่งความเจ็บปวดเอ่อล้นออกมาจากดวงตาสีซีดของเขามากมายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน... เด็กหนุ่มค่อยๆ เอื้อมมือออกไปหมายที่จะสัมผัสร่างของเด็กสาวอีกครั้ง ก่อนที่ภาพของเธอจะเลือนหายไปจากความทรงจำ... ภายในหัวของเขาปวดร้าว ราวกับมันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ... และในที่สุด ปลายนิ้วมือเรียวยาวของเขาก็สัมผัสลงบนมือเล็กๆ ของเธอ ในขณะเดียวกันกับที่เปลือกตาหนักอึ้งของเขาเลื่อนลงมาปิดดวงตาที่ฉ่ำเย็นไปด้วยน้ำตาแห่งความเสียใจ... สิ่งสุดท้ายที่เขาสามารถทำได้ ก็แค่เพียงจดจำความรู้สึกอบอุ่นที่มือของเด็กสาวไว้ในความทรงจำของเขาและเธอตลอดไป...

    'ลาก่อน ยัยเลือดสีโคลน….'

    + - บทที่ 9 - +

                    เวลาผ่านไปราวกับสายน้ำที่ไม่เคยหวนกลับ...แม้เวลาจะผ่านไปนานหลายชั่วโมง แต่ร่างของหนุ่มสาวที่นอนอยู่ในห้องพยาบาลก็ยังนอนนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง... เปลือกตาของทั้งคู่ปิดสนิท ใบหน้านิ่งเฉยราวกับไม่ต้องการรับรู้สิ่งใดๆ อีกต่อไป... มีเพียงเสียงลมหายใจอันแผ่วเบาเท่านั้นที่เป็นสัญญาณบ่งบอกถึง 'การมีชีวิต'… ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาในห้องพยาบาล ก็ดังสะท้อนจากพื้นหินอ่อนอย่างแผ่วเบา แต่นั่นก็ดังพอที่จะปลุกเด็กสาวบนเตียงพยาบาลริมหน้าต่างให้ตื่นขึ้นอย่างอ่อนเพลีย

    "เฮอร์ไมโอนี่" ร่างของผู้มาเยือนกล่าวแผ่วเบา เด็กสาวพลิกตัวหันไปมองในอย่างเชื่องช้า

    "แฮกริด" เธอเอ่ย เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของแฮกริดยืนอยู่ข้างเตียง

    "เป็นยังไงบ้าง เฮอร์ไมโอนี่" แฮกริดถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง

    "ก็..." เธอพูด ก่อนจะคิดอย่างลังเลว่า 'ควรจะพูดปดเพื่อความสบายใจของอีกฝ่ายดีไหม' "เอ่อ... รู้สึกดีขึ้นมากแล้วค่ะ" เธอตอบ พร้อมกับลุกขึ้นนั่ง

    "ดีแล้ว..." แฮกริดพูดอย่างโล่งอก ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

    "ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่ห้องพยาบาลคะ?" เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างสงสัย

    "แล้วว่าแต่เธอเถอะ...ไปทำอะไรในป่าต้องห้าม" เขาถามกลับ

    "คะ?" เด็กสาวร้องอย่างแปลกใจ

    "อ้าว... เธอไม่รู้หรอกหรือ" ชายร่างยักษ์ถามอย่างไม่ได้แปลกใจน้อยไปกว่าเธอเลย

    "ไม่ค่ะ... หนูไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย" คำตอบของเฮอร์ไมโอนี่ยิ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจมากขึ้นไปอีก "หนูจำได้ว่า นอนอยู่บนเตียงในบ้านคุณ แล้วหลังจากนั้นก็... หนูหนูจำไม่ได้ค่ะ"

    "น่าแปลกจริงๆ... คือ หลังจากที่ชั้นกลับมาจากในป่าต้องห้ามแล้ว ชั้นก็เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ แล้วก็ไม่เห็นเธออยู่ในบ้าน มีแต่รองเท้าของเธอที่ยังถอดเอาไว้ข้างเตียง...ชั้นก็เลยออกมาข้างนอก และยังโชคดีที่ชั้นเห็นรอยเท้าเดินเข้าไปในป่าต้องห้าม... ชั้นก็เลยตัดสินใจเดินตามรอยเท้านั่นไป แล้วสิ่งที่ชั้นพบก็คือ" แฮกริดเว้นช่วงเล็กน้อย ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ต่อมสงสัยของเฮอร์ไมโอนี่เริ่มทำงาน "เธอกับเดรโก มัลฟอยนอนหมดสติอยู่ข้างกัน แล้วที่หน้าแปลกก็คือ...แถวนั้นมีดอก Forgermenot ขึ้นเต็มไปหมด... เฮ้! เธอฟังชั้นอยู่รึเปล่า เฮอร์ไมโอนี่"

                    เฮอร์ไมโอนี่หายใจกระตุก เธอเริ่มกวาดสายตาไปทั่วห้องพยาบาลที่มืดสลัว... และในที่สุด สายตาของเธอก็ไปหยุดอยู่ที่ เตียงพยาบาลข้างเตียงของเธอ ซึ่งถูกร่างของแฮกริดบดบังไปแล้วครึ่งหนึ่ง... เด็กสาวค่อยๆ พินิจอย่างใจเย็น และในที่สุดเธอก็ได้รับคำตอบ...

    "มัลฟอย..." เธอครางเสียงแผ่ว ความโกรธทั้งหมดทั้งปวงก่อนหน้านี้มลายไปจนหมดสิ้น "เขาจะเป็นอะไรมากมั๊ยคะ?" เธอเริ่มตั้งคำถาม

    "อ้อ! คงไม่หรอก... ก็คงแค่หมดสติไปเท่านั้นเอง" แฮกริดกล่าว พยามทำให้น้ำเสียงฟังเป็นปกติมากที่สุด แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจขึ้นเลย

    "ค่ะ หนูก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น" เฮอร์ไมโอนี่พูดเสียงแผ่ว ก่อนที่จะค่อยๆ ไถลตัวลงจากเตียง และเมื่อเธอเห็นแฮกริดทำถ้าจะขัด เธอจึงหันไปพูดกับเขาด้วยสีหน้าอ้อนวอน "ขอหนูดูอาการเขาสักนิด ได้ไหมคะ"

    "ได้สิ" แฮกริดบอก แล้วถอยออกไปเพื่อให้เธอลุกไปยังเตียงข้างๆ ได้สะดวกยิ่งขึ้น

                   เฮอร์ไมโอนี่พยายามอย่างมากที่จะไม่คิดในแง่ร้าย เมื่อเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มภายใต้ความมืดสลัวของห้องพยาบาลที่ไม่มีแสงไฟจากเทียนไขแม้สักเล่ม แต่แล้ว...เธอก็เห็นใบหน้าของเขาชัดเจนขึ้น เมื่อแฮกริดเดินไปเปิดม่านตรงหน้าต่างของห้องพยาบาลออก ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้เฮอร์ไมโอนี่ใจหาย... ใบหน้าของเขาซีดจนเรียกได้ว่าไม่เหลือสี อีกทั้งริมฝีปากก็แห้งมากจนมีเลือดซึมออกมา...

                    เด็กสาวดึงเก้าอี้ไม้ตัวเล็กที่อยู่ใต้เตียงออกมา ก่อนที่จะนั่งลงเฝ้าเด็กหนุ่มที่ข้างเตียง เธอคว้ามือเรียวของเขามากุมไว้ ก่อนที่จะก้มลงไปจูบลงบนหลังมือของเขาอย่างแผ่วเบา และนั่นก็ทำให้เธอสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติบนนิ้วมือของทั้งเขาและเธอ...

                    'แหวน'… แหวนวงเล็กขนาดพอดีกับนิ้วก้อยของทั้งเขาและเธอ มีลักษณะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน... มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่างกัน ก็คือ แหวนอยู่บนนิ้วก้อยมือซ้ายของเขา แต่อยู่บนนิ้วก้อยมือขวาของเธอ... เฮอร์ไมโอนี่เริ่มพินิจแหวนบนนิ้วมือของทั้งคู่... มันมีลักษณะคล้ายกับ... 'เส้นลวด' ที่นำมาพันไว้บนนิ้วมือของทั้งสอง... เธอไม่รู้ว่า ได้มันมาจากที่ใด เพราะ เมื่อเช้านิ้วมือของเธอยังว่างเปล่า... 'แปลกจริง...'

    "เฮอร์ไมโอนี่!" แฮกริดตบไหล่ของเธอเบาๆ "อย่ากังวลมากเลยนะ" เขาปลอบ

    "ค่ะ... หนูไม่ได้คิดอะไรมาก" เธอพูดปด เพื่อให้เขาสบายใจ

    "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี ชั้นจะได้หายห่วง" เขาพูด อย่างโล่งอก

    "แล้วนี่แฮร์รี่กับรอนรู้เรื่องรึยังคะ" เฮอร์ไมโอนี่เปลี่ยนเรื่อง

    "อ้อ ยังหรอก... พวกนั้นยังไม่กลับมาจากฮอกมี้ดเลย" แฮกริดบอก แล้วส่งยิ้มให้

    "อ๋อ... ค่ะ... อย่าบอกพวกเค้านะคะ หนูไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง" เธอขอร้อง ซึ่งแฮกริดก็พยักหน้าให้แทนคำตอบ

    "มิสเกรนเจอร์!!" เสียงเรียกเธอดังมาจากหน้าห้องพยาบาล เมื่อเธอหันไปจึงพบว่าเจ้าของเสียงคือ ศาสตราจารย์มักกอนนากัลนั่นเอง

    "มีอะไรหรอคะ ศาสตราจารย์" เธอถาม มือของเธอยังไม่ปล่อยจากมือของเด็กหนุ่ม

    "เธอเป็นยังไงบ้าง... หายดีแล้วหรือยัง" ศาสตราจารย์ถาม แล้วมองมาที่เธออย่างพินิจ

    "หนูปกติแล้วล่ะค่ะ แต่มัลฟอย..." เธอพูดได้แค่นั้น แล้วก็ต้องชะงักไปอย่างไม่มีเหตุผล

    "ฉันเข้าใจ... แต่ฉันรับรองวันนี้เขาจะต้องหายเป็นปกติแน่" ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดอย่างมั่นใจ

    "อาจารย์แน่ใจได้ยังไงคะ" เด็กสาวถาม

    "เชื่อชั้นเถอะ..." มักกอนนากัลบอก "เอาล่ะ... มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า คือว่า วันนี้อาจารย์ใหญ่จะจัดงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อเป็นการเซอร์ไพรส์อาจารย์วิชาปรุงยาของพวกเธอ...จึงให้นักเรียนเดินทางไปฮอกมี้ดเพื่อเตรียมการ"

    "วันเกิดสเนปหรอคะ?" เฮอร์ไมโอนี่โพล่งขึ้นอย่างลืมตัว

    "ศาสตราจารย์สเนป มิสเกรนเจอร์..." มักกอนนากัลพูดเสียงตำหนิ

    "ขอโทษค่ะ..." เด็กสาวครางเสียงแผ่ว

    "อันที่จริง... อาจารย์ใหญ่ต้องการให้นักเรียนทุกระดับชั้นได้ร่วมงาน และจะจัดเป็นปาร์ตี้ชุดนอนจึงไม่ได้บอกนักเรียนไว้ล่วงหน้า" อาจารย์ยังคงพูดต่อไป ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะดูไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไรนัก

    "ปาร์ตี้ชุดนอน?" น้ำเสียงของเฮอร์ไมโอนี่ฟังดูแปลกใจ

    "เป็นความคิดของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์…" ศาสตราจารย์มักกอนนากัลรีบบอก "แล้วในงานเลี้ยงครั้งนี้เธอจะต้องเป็นตัวแทนของบ้านของเรา เพื่อร่วมร้องเพลงอวยพรให้กับศาสตราจารย์สเนป…"

    "ร้องเพลง?... โอ้... หนูไม่เอาด้วยหรอกค่ะ" เฮอร์ไมโอนี่บอก พลางส่ายหน้า

    "ก็แค่เพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ธรรมดา... ร้องตั้งหลายคนไม่ต้องกลัวหรอกน่า..." มักกอนนากัลพูด "แล้วหน้าที่ของเธอยังไม่หมดแค่นั้นนะ... เธอจะต้องเต้นรำเปิดฟลอร์กับศาสตราจารย์สเนปด้วย"

    "อะไรนะคะ? เต้นรำ? ไหนอาจารย์บอกว่าเป็นปาร์ตี้ชุดนอนไม่ใช่รึไงคะ?" เฮอร์ไมโอนี่ร้องถามอย่างตกใจ

    "ก็ใช่... แต่อาจารย์ใหญ่ต้องการให้มีการเต้นรำด้วย เขาอ้างว่า นักเรียนตั้งแต่ปีสามลงไปไม่มีโอกาสได้ร่วมงานเมื่อครั้งที่แล้ว จึงเป็นการจัดชดเชยให้..." ศาสตราจารย์มักกอนนากัลพูดด้วยน้ำเสียงคัดค้านในความคิดของดัมเบิลดอร์อย่างถึงที่สุด

    "คงตลกน่าดูนะคะ... หนูเต้นรำกับศาสตราจารย์สเนปในชุดนอน... ทุกคนต้องหัวเราะจนเป็นบ้าแน่ๆ" เฮอร์ไมโอนี่พูด พลางกลอกลูกตาไปทางอื่นอย่างไม่อยากจะคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต "ทำไมไม่ให้พวกบ้านสลิธีริน อย่างเช่น... แพนซี่ หรือมารีน หรือใครก็ได้มาเต้นรำแทนหนู"

    "ก็เพราะ เธอเป็นคู่ขวัญของงานเต้นรำวันคริสมาสต์ไงจ้ะ" อาจารย์ตอบ

    "แล้วทำไมไม่ให้มัลฟอยเต้นกับสเนปล่ะคะ ในเมื่อเขาก็เป็นคู่ขวัญเหมือนกัน" เด็กสาวร้อง

    "มิสเกรนเจอร์..." มักกอนนากัลส่งเสียงปราม

    "ค่ะๆ ถ้าอาจารย์ต้องการอย่างนั้น ก็ได้...แต่สเนปคงถูกใจมากถ้าต้องเต้นรำกับนักเรียนที่เขาเกลียด!"

    + - บทที่ 10 - +

    "แย่หน่อยนะ เฮอร์ไมโอนี่" แฮกริดพูดขึ้น หลังจากที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลออกไปแล้ว

    "ไม่หน่อยล่ะค่ะ แย่มากๆ เลย แฮร์รี่กับรอนต้องหัวเราะท้องแข็งแน่ ถ้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น" เฮอร์ไมโอนี่คราง

    "เอาน่า ก็แค่แป๊บเดียวเอง หลังจากนั้น เธอก็สนุกกับปาร์ตี้ได้จริงไหม?" แฮกริดพูด เป็นเชิงปลอบใจ

    "เกรนเจอร์... ปลอดภัย..." เสียงมัลฟอยดังขึ้นอย่างแผ่วเบา เฮอร์ไมโอนี่รีบหันไปหาเขาทันที

    "มัลฟอย... มัลฟอย" เธอบีบมือของเขาที่กุมอยู่ไว้แน่น และใช้มืออีกข้างเขย่าตัวเขาเบาๆ

    "ลาก่อน..." เขายังคงครางอย่างไม่ได้สติ

    "มัลฟอย... ตื่นสิ... ตื่นขึ้นมาพูดกับชั้น" เฮอร์ไมโอนี่ร้อง และยิ่งเขย่าตัวเขาแรงขึ้น และในที่สุดเปลือกตาหนักอึ้งของมัลฟอยก็ค่อยๆ เปิดขึ้น เขาหันมองร่างพร่ามัวของคนที่นั่งกุมมืออยู่ข้างๆ เตียง และในที่สุดภาพตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจนกลายเป็นใบหน้าของเฮอร์ไมโอนี่

    "เธอเป็นใคร?" มัลฟอยถามขึ้นและสะบัดมือที่เด็กสาวกุมอยู่ออกในทันทีที่ตาของเขาปรับโฟกัสชัดเจน ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับถูกผลักตกลงไปในเหวลึก

    "ไม่เอาน่า อย่าล้อชั้นเล่นสิ" เธอพูด หลังจากที่ตั้งสติได้ "ชั้นก็ 'เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์' ไง" เด็กสาวบอก และเริ่มไม่แน่ใจในลางสังหรณ์บางอย่างที่คืบคลานเข้ามาปกคลุมหัวใจ

    "เธอจะเป็นใครมาจากไหน ชั้นไม่สนหรอกนะ... แต่ชั้นรำคาญเต็มทนแล้ว กับพวกผู้หญิงแปลกหน้าที่ชอบมาทำตัวสนิทสนมทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกัน... เลิกยุ่งกับชั้นสักที" มัลฟอยพูดอย่างรำคาญ พลางพลิกตัวนอนตะแคงข้าง ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกชาไปทั้งร่าง

    "มะ... มัลฟอย" เด็กสาวครางชื่อของเขาอย่างแผ่วเบา แต่นั่นก็ดังพอที่จะรบกวนเด็กหนุ่มที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อครู่ให้อารมณ์เสียเป็นครั้งที่สองได้ เขาจึงพลิกตัวกลับมาก่อนที่จะระเบิดอารมณ์ใส่เด็กสาว

    "หุบปากซักทีได้มั๊ย... หรือถ้าจะให้ดีก็ ออกไปซะ" คำพูดของเด็กหนุ่มเป็นราวกับมีดกรีดบาดแผลในใจของเด็กสาวให้ยิ่งลึกมากขึ้นไปอีก และโดยไม่ต้องรอให้เขาไล่อีกครั้ง เด็กสาวจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากที่นั่ง

    "ถ้าอย่างนั้น นายก็ดูแลตัวเองให้ดีล่ะกัน" เธอชำเลืองมองมัลฟอยที่หันมองเธออย่างเย็นชา แต่แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาจากดวงตาของเธออย่างไม่รู้ตัว ซึ่งนั่นทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกผิด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวอะไร เธอก็รีบสาวเท้าออกไปจากห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว

    "ขอโทษนะ…" เขาเพียงกระซิบแผ่วเบา โดยที่เด็กสาวไม่อาจได้ยิน

    ...+*+*+...

                    เฮอร์ไมโอนี่เดินมาเรื่อยๆ ตามระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่าไร้ผู้คน เธอจำไม่ได้ว่าใช้หลังมือขึ้นมาปาดน้ำตาไปกี่ครั้งแล้วตลอดเวลาที่เดินไปอย่างไม่มีจุดหมาย เธอเข้าใจแล้วว่า ลางสังหรณ์ของเธอกลายเป็นจริง... ลางสังหรณ์ที่บอกเธอว่า 'เขาสูญเสียความทรงจำ' และในที่สุด เฮอร์ไมโอนี่ก็เพิ่งรู้ตัวว่าเธอเข้ามาหยุดอยู่ในห้องน้ำหญิงเมื่อได้ยินเสียงของเมอร์เทิลจอมคร่ำครวญ

    "สวัสดี เฮอร์ไมโอนี่ โอ้ว! ดูเธอสิ ทำไมเศร้าอย่างนั้นล่ะ" เมอร์เทิลกล่าว คล้ายกับจะปลอบใจแต่ก็มีความสะใจปนมาในน้ำเสียง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ จากปากของเธอ

    "โอ้!!!! เธอคงไม่คิดจะมาฆ่าตัวตายที่นี่หรอกนะ" เมอร์เทิลร้องเสียงดังอย่างตกใจในข้อสันนิษฐานของตน

    "เป็นความคิดที่ดี เมอร์เทิล" เฮอร์ไมโอนี่ประชด

    "โอ้!!! ทำไมวันนี้มีแต่คนแปลกๆ นะ เมื่อกี้ก็เด็กผู้ชายในห้องน้ำของห้องพยาบาลก็คนหนึ่งล่ะ แล้วนี่ก็เธออีกคน" เมอร์เทิลบอก พลางทำหน้าเซ็งสุดชีวิต แต่คำพูดนั้นทำให้เฮอร์ไมโอนี่หันมามองอย่างสนใจ

    "เด็กผู้ชายที่ห้องน้ำห้องพยาบาลหรอ?" เด็กสาวทวนคำ เธอมั่นใจว่าตอนนี้มีเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวที่อยู่ในห้องพยาบาลซึ่งนั่นก็คือ เดรโก มัลฟอย

    "ใช่ ทำไมหรอ" เมอร์เทิลถาม สีหน้าแปลกใจ

    "เค้าเป็นอะไร คือ ชั้นหมายถึง ทำไมเธอถึงบอกว่าเค้าแปลกล่ะ" เฮอร์ไมโอนี่ถาม

    "ทำไมเธอถึงอยากรู้ล่ะ?" เมอร์เทิลถามอีกครั้ง ด้วยสีหน้าสงสัยใคร่รู้

    "เปล่า ชั้นแค่ถามไปอย่างนั้น ก็แค่อยากรู้ว่าวันนี้มีคนอาการแปลกๆ เหมือนชั้นด้วย!" เด็กสาวพูดปด และนั่นก็ทำให้เมอร์เทิลเชื่อ

    "อื้ม เธอนี่แปลกจริงๆ ด้วย... คือ เด็กคนนั้นไม่รู้หรอกนะ ว่าชั้นอยู่ในห้องน้ำด้วยน่ะ... คือชั้นโผล่เข้าไปในนั้นตอที่เขากำลังพึมพำกับตัวเอง ฟังได้ความประมาณว่า 'ขอโทษ' อะไรใครสักคน แล้วสักพักเขาก็ทรุดลงไปกองกับพื้น แล้วก็จับหัวตัวเองใหญ่เลย ร้องโวยวายเหมือนโดนคำสาปกรีดแทง เค้าคงปวดหัวหรืออะไรสักอย่าง แล้ว... แล้วชั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงต่อ เพราะ ชั้นกลัว ไม่กล้าแอบดู" เมอร์เทิลพูดเสียงเล็กเสียงน้อย เหมือนเล่านิทาน โดยไม่ได้เลยสังเกตว่า เฮอร์ไมโอนี่นั่งตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหินไปแล้ว

    "เค้าแปลกใช่มั๊ยล่ะ" เมอร์เทิลลอยเข้ามาประชิดตัว จึงทำให้เฮอร์ไมโอนี่เลิกเหม่อ

    "ชะ...ใช่ แปลกจริงๆ ด้วยสิ"

    ...+*+*+...

                    เฮอร์ไมโอนี่ออกมาจากห้องน้ำหญิงหลังจากที่ปล่อยให้เมอร์เทิลเล่าเรื่องต่างๆ อย่างออกรสเกี่ยวกับว่าเธอไปเจออะไรมาบ้างตลอดชีวิตหลังความตายในห้องน้ำของฮอกวอตส์ แต่เสียงเจื้อยแจ้วของเมอร์เทิลก็ทำได้แค่เพียงผ่านเข้าไปทางหูซ้าย และออกมาทางหูขวาของเธอเท่านั้น เพราะ เด็กสาวไม่ได้ตั้งใจฟังที่เมอร์เทิลเล่าเลยแม้แต่น้อย เธอกำลังใช้เวลาเหล่านั้นคิดถึงอนาคตที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

    "เฮอร์ไมโอนี่!!" เสียงเพื่อนรักของเธอดังขึ้นทางด้านหลัง และตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาหาเธอ ดังนั้น เด็กสาวจึงต้องรีบเปลี่ยนสีหน้าให้สดใสขึ้นในทันที เพื่อที่เพื่อนๆ ของเธอจะได้ไม่สงสัย

    "เป็นไง ไปเที่ยวกันสนุกมั๊ย?" เฮอร์ไมโอนี่ถามเพื่อนรักทั้งสองและจินนี่ที่วิ่งมาขนาบข้าง 

    "ก็สนุกดี แต่ถ้าจะให้สนุกกว่านี้ ถ้าเธอไปกับเราด้วย" รอนพูด และยิ้มอย่างทะเล้น

    "แล้วนี่ เธอทำงานเสร็จรึยังล่ะ" แฮร์รี่ถามขึ้นบ้าง

    "ก็... เอ่อ... ใกล้เสร็จแล้วล่ะ" เด็กสาวพูดปด

    "อืม ก็ดี เธอนี่ยังขยันเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน" รอนชม แต่นั่นทำให้เธอรู้สึกผิดเล็กๆ กับคำพูดนั้นของเพื่อนรัก

    "แล้วนี่ อแมนด้าไปไหนแล้วล่ะ" เฮอร์ไมโอนี่เปลี่ยนเรื่อง

    "อ๋อ เค้ารีบไปหาพี่ชายเค้าน่ะ" รอนบอก ซึ่งนั่นทำให้เด็กสาวหายใจกระตุก

    "อะไรนะ?" เธอโพล่งออกมาอย่างลืมตัว อแมนด้าจะรู้สึกยังไง หากว่าเธอรับรู้ความจริงที่ว่าพี่ชายของเธอสูญเสียความทรงจำไป

    "ก็... อแมนด้าไปหามัลฟอย... ทำมะ..." ยังไม่ทันที่รอนจะพูดจบ เฮอร์ไมโอนี่ก็วิ่งออกไปเสียแล้ว

    + - บทที่ 11 - +

                    เด็กสาวร่างสูงระหงในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มกำลังยืนคุยกับมาดามพอมฟรีย์ด้วยใบหน้าเคร่งเครียดอยู่ที่หน้าประตูห้องพยาบาล เธอชำเลืองมองไปทางเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงพยาบาลเป็นระยะด้วยใบหน้าที่ระบายไว้ด้วยความห่วงใยอย่างมากมาย

    "ไม่ต้องเป็นห่วงจ้ะ… มิสเตอร์มัลฟอยไม่เป็นอะไรมากหรอก ชั้นตรวจดูอย่างละเอียดแล้วล่ะ…เค้าก็แค่ปวดหัวนิดหน่อย… นี่ทานยาไปแล้ว ให้เค้านอนพักสักหน่อย อีกไม่นานก็คงอาการดีขึ้นแล้วล่ะ" มาดามพอมฟรีย์กล่าว พลางนึกไปถึงที่มัลฟอยร้องเสียงดังและล้มลงในห้องน้ำของห้องพยาบาล ตอนนั้นเธอยอมรับว่าตกใจมาก แต่เมื่อตรวจดูอาการของเขาอย่างละเอียด ก็ไม่พบอะไรนอกจาก อาการปวดหัวธรรมดาที่ดูเหมือนจะรบกวนเด็กหนุ่มอยู่เพียงอย่างเดียว

    "ค่ะ" เด็กสาวรับคำด้วยสีหน้ากังวล ก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้ตัวเล็กข้างเตียงของมัลฟอยที่นอนหลับสนิท แล้วความเงียบอย่างน่ากลัวคืบคลานเข้ามาในห้องพยาบาล ชวนให้เด็กสาวรู้สึกหดหู่มากขึ้นไปอีก แล้วไม่นานนักประตูหน้าห้องพยาบาลก็ค่อยๆ เปิดออกช้าๆ และเมื่อเด็กสาวหันไปมองหัวใจของเธอก็กลับมาพองโตขึ้นอีกครั้งด้วยความดีใจ

    "พี่เฮอร์ไมโอนี่!!!!" เธอตะโกนสุดเสียง เฮอร์ไมโอนี่ที่ยืนอยู่หน้าห้องพยาบาลถึงกับสะดุ้งน้อยๆ ด้วยความตกใจ แต่แล้วความแปลกใจก็เข้ามาแทนที่ความรู้สึกตกอกตกใจเสียสิ้น เพราะ เด็กสาวคนที่เรียกชื่อเธอนั้น มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ แถมเธอยังไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังรู้สึกคุ้นหน้าเด็กสาวคนนี้อยู่มาก

    "พี่คะ! พี่เดรโก… เค้า…" เด็กสาวร้องเพียงเท่านั้นพร้อมกับวิ่งเข้ามาหาเธอ และก่อนที่เฮอร์ไมโอนี่จะทันตั้งตัว เด็กสาวก็โผเข้ากอดเธออย่างแรง พร้อมกับพึมพำบางอย่างด้วยเสียงสะอึกสะอื้นอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่เข้าใจ แต่เพียงเท่านี้ เฮอร์ไมโอนี่ก็ได้รับคำตอบแล้วว่าเด็กสาวคนนี้เป็นใคร

    "อแมนด้า… อย่ากังวลเลยนะ พี่ชายเธอไม่เป็นอะไรมากหรอก" เฮอร์ไมโอนี่ครางเสียงแผ่วเป็นเชิงปลอบ

    "แต่พี่คะ… หนูนั่งเฝ้าพี่เค้าตั้งนาน ตอนนี้ยังไม่ฟื้นเลย…" อแมนด้าที่กลายเป็นสาวแรกรุ่นแย้งเสียงสะอื้น ในอ้อมแขนของเฮอร์ไมโอนี่

    "เชื่อพี่เถอะ เขาไม่เป็นอะไรมากหรอก…" เฮอร์ไมโอนี่บอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน 'เขาไม่เป็นอะไรมากหรอก อแมนด้า… แต่พี่ไม่แน่ใจว่า ถ้าเธอรู้ว่าเขาสูญเสียความทรงจำแล้วเธอจะรับได้รึเปล่า' เด็กสาวคิดในใจ ในขณะที่ประตูห้องพยาบาลเปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับแฮร์รี่ รอนและจินนี่ที่ยืนอยู่หน้าห้องพยาบาล ทั้งเฮอร์ไมโอนี่และอแมนด้าที่กอดกันอยู่จึงผละออกจากกัน และหันไปหาคนทั้งสามแทน

    "อแมนด้า เธอร้องไห้ทำไม?" รอนถามขึ้นทันทีที่เห็นดวงตาของอแมนด้าแดงก่ำ พลางดึงตัวเด็กสาวเข้ามาใกล้ แต่ยังไม่ทันที่อแมนด้าจะตอบคำถาม 'แพนซี่ พาร์กินสัน' ในชุดเสื้อคลุมคล้ายกับอแมนด้าพร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองคนก็เดินนวยนาดผ่านหน้าพวกเขาเข้าไปในห้องพยาบาล แต่แพนซี่ก็ยังไม่ลืมที่จะหันมาหาเรื่องเฮอร์ไมโอนี่

    "เกรนเจอร์ เมื่อเช้าเธอเศร้ามากเลยหรอ ถึงได้วิ่งร้องไห้ ไม่อายประชาชีอย่างนั้นน่ะ โธ่!!! น่าสงสารจริงๆ คงโดนแฟนทิ้งสินะ อ๊ะ! แต่ว่าหน้าอย่างเธอน่ะ คงไม่มีแฟนหรอก คงจะเป็นประเด็นแอบรักเขาข้างเดียวมากกว่า จริงมั๊ย? มิลลิเซนต์!" แพนซี่พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย โดยมีเพื่อนสาวอีกสองคนคอยเป็นกองหนุนอยู่ข้างๆ

    "เธอหมายความว่ายังไง?" เฮอร์ไมโอนี่สวนกับไปอย่างไม่เข้าใจ

    "เอ้า! นี่เธอไม่รู้ตัวเลยหรอเนี่ย ต๊ายตาย! เดี๋ยวนี้ถึงขั้นสติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเชียวหรอ เกรนเจอร์… ก็เธอน่ะ วิ่งร้องไห้ผ่านหน้าพวกเราไปที่ระเบียงชั้นสาม…" แพนซี่บอกด้วยน้ำเสียงมันส์ในอารมณ์อย่างถึงที่สุด ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เริ่มรู้สึกชาไปทั้งตัว

    "พวกเธอ? หมายถึง พวกเธอสามคนน่ะหรอ?" เฮอร์ไมโอนี่ถามอย่างรวดเร็ว พลางชำเลืองมองไปทางเพื่อนร่างโตทั้งสองของแพนซี่

    "ใช่ พวกเราสามคน แล้วทำไม?" แพนซี่ถามเสียงห้วน แต่น้ำเสียงอย่างนั้นไม่มีผลต่อเฮอร์ไมโอนี่เลยแม้แต่น้อย เพราะ เธอกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด… สิ่งที่แพนซี่พูดมาทั้งหมดทำให้ความเข้าใจที่เฮอร์ไมโอนี่ตัดสินว่าถูกตั้งแต่แรก กลายเป็นความเข้าใจผิด ถึงแม้เฮอร์ไมโอนี่จะจำไม่ได้ว่าเธอวิ่งผ่านแพนซี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่การที่แพนซี่ยืนยันว่า เธออยู่กับเพื่อนสาวของเธอและเห็นเฮอร์ไมโอนี่วิ่งร้องไห้ผ่านไป ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าในตอนนั้นมัลฟอยไม่ได้กอดกับแพนซี่อย่างที่เธอคิด แสดงว่าเธอเข้าใจเด็กหนุ่มผิดอีกแล้ว

    "ปะ…เปล่า ขอบใจนะ" เฮอร์ไมโอนี่กล่าว ซึ่งนั่นทำให้คิ้วของแพนซี่ผูกกันเป็นโบว์

    "ประสาท!" แพนซี่สบถ ก่อนจะเดินไปที่เตียงของมัลฟอยพร้อมกับสมุนทั้งสอง

    "ยัยพาร์กินสันนี่มองด้านหลังเหมือนกับอแมนด้าเลยนะ" จินนี่บอก แล้วหันไปหาแฮร์รี่คล้ายกับต้องการความคิดเห็น

    "นั่นสิ! นี่ถ้าอแมนด้าไม่ได้อยู่กับเราด้วย พี่ก็คงคิดว่าเป็นอแมนด้าล่ะ" แฮร์รี่รีบเสริม

    "จริงหรอคะ? พี่ว่าเหมือนหรอ?" อแมนด้าถาม พลางหมุนตัวหันหลังกลับมาหาพวกเขา และเมื่อเฮอร์ไมโอนี่ได้มองแพนซี่และอแมนด้าอย่างพินิจแล้ว เธอก็ค้นพบความจริงที่ว่าทั้งสองคนใส่เสื้อคลุมและหมวกไหมพรมคล้ายกัน ต่างกันตรงที่ชุดของอแมนด้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม แต่แพนซี่เป็นสีดำสนิท และสิ่งที่ทำให้ด้านหลังของพวกเธอทั้งสองคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออกก็คงจะเป็นผมสีดำยาวเป็นลอนถึงกลางหลังของคนทั้งคู่ ซึ่งดูราวกับว่าถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกัน แล้วความคิดหนึ่งก็จุดประกายขึ้นในสมองของเฮอร์ไมโอนี่ 'หรือว่าคนที่กอดกับมัลฟอยจะเป็นอแมนด้า!?'

    "อแมนด้า!" เฮอร์ไมโอนี่ร้องเสียงดัง และนั่นทำให้อแมนด้าสะดุ้งน้อยๆ ก่อนจะหันมาหาเธออย่างตกใจ "พี่ขอคุยด้วยหน่อยได้ไหมจ้ะ?" เฮอร์ไมโอนี่ถาม และโดยไม่รอคำตอบเธอก็เดินนำลิ่วออกไปข้างนอกห้องพยาบาล

    "มีอะไรคะพี่?" อแมนด้าที่เดินตามมาถามขึ้น

    "เอ่อ… เมื่อเช้าน่ะ เธอได้คุยกับมัลฟอยบ้างรึเปล่า?" เฮอร์ไมโอนี่พยายามถามให้ตรงประเด็นมากที่สุด

    "ก็คุยบ้างค่ะ มีอะไรหรอคะ?" อแมนด้าตอบ แล้วถามกลับด้วยความสงสัย

    "แล้ว… เอ่อ… เธอ… คือมันอาจจะเป็นเรื่องส่วนตัวของเธอกับมัลฟอย แต่พี่อยาก…" เฮอร์ไมโอนี่พูดยังไม่ทันจบ อแมนด้าก็ขัดขึ้นเสียก่อน

    "สำหรับพี่เดรโกน่ะ ไม่มีคำว่า 'ความลับ' กับพี่หรอกค่ะ" อแมนด้าบอก แล้วยิ้มให้กับเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังคิดประชดในใจ 'ไม่มีคำว่า 'ความลับ' ที่ไหนล่ะ เมื่อวานยังบอกว่า 'เป็นความลับ' กับเราอยู่เลย'

    "ถ้าอย่างนั้น… พี่ขอถามตรงๆ เลยนะ… คือ เมื่อตอนเช้าน่ะ เธอ…เอ่อ… กอดกับมัลฟอยรึเปล่า?" เฮอร์ไมโอนี่ถามตะกุกตะกัก ในขณะที่รอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ

    "อ๋อ เมื่อเช้าหรอคะ? เอ… พี่แอบดูหนูหรอคะเนี่ย?" อแมนด้าแกล้งหยอก ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็ทำได้แค่เพียงยิ้มเจื่อนๆ ให้กับเด็กสาวที่กำลังทำท่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง "ค่ะ พี่เค้ากอดหนู ก็… ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่เค้าก็แค่ให้ของขวัญวันเกิดกับหนูเท่านั้นเอง" เฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า ในขณะที่หัวใจเต้นระทึก

    "แล้วพี่เค้ายังจุ๊บหนูอีกต่างหาก พี่เดรโกบอกว่าพี่เฮอร์ไมโอนี่เคยให้ของขวัญแบบนี้กับเขาเหมือนกัน" อแมนด้าบอกยิ้มๆ ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกราวกับหัวใจกำลังจะหยุดเต้น "นี่ถ้าใครไม่รู้คงนึกว่าหนูจูบกับพี่เดรโกแน่ๆ สงสัยถ้าพวกสาวๆ เห็นคงกรี๊ดกันสลบ พี่ว่าไหมคะ?"

                    เฮอร์ไมโอนี่ยืนนิ่งไม่ไหวติงหลังจากที่เธอได้รู้ความจริงว่า คนที่เธอเข้าใจผิดว่าเป็น 'แพนซี่ พาร์กินสัน' กลับกลายเป็น 'อแมนด้า บอสตันเนส' น้องสาวสุดที่รักของมัลฟอย แล้วความรู้สึกมากมายก็ถาโถมเข้าสู่ร่างของเธออย่างไม่ทันตั้งตัว… เป็นความรู้สึกที่ยากจะบรรยายราวกับว่าเธอรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจภายในนาทีเดียว… ความรู้สึกดีใจที่ได้รู้ว่าเขายังคงไม่เปลี่ยนไป แต่เสียใจที่ตัวของเธอเองไม่เคยเชื่อใจเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว

    "เฮอร์ไมโอนี่! อแมนด้า! มัลฟอยฟื้นแล้ว!!" รอนที่วิ่งออกมาจากห้องพยาบาลร้องเสียงดัง เป็นผลทำให้เฮอร์ไมโอนี่ตื่นจากห้วงความรู้สึกมากมายภายในจิตใจ

    "จริงหรอคะ?" อแมนด้าร้อง พลางทำท่าจะวิ่งเข้าไปข้างใน

    "เดี๋ยวก่อน!" เฮอร์ไมโอนี่รั้งแขนเด็กสาวเอาไว้ ในขณะที่เธอกำลังตัดสินใจว่า ควรจะบอกอแมนด้าเรื่องที่พี่ชายของเธอสูญเสียความทรงจำดีหรือไม่?

    "มีอะไรคะ?" อแมนด้าหันมาถามเฮอร์ไมโอนี่ที่เม้มริมฝีปากแน่นอย่างครุ่นคิด  แล้วสีหน้าสงสัยใคร่รู้ของอแมนด้าก็ยิ่งทำให้เธอตัดสินใจได้เร็วขึ้น 'ให้อแมนด้ารู้ความจริงด้วยตัวเองดีกว่า บางทีมัลฟอยอาจจะหายแล้วก็ได้'

    "ว่าไงคะ?" อแมนด้าถามซ้ำ ด้วยน้ำเสียงที่เจือความสงสัยเอาไว้

    "เปล่าจ้ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ" เฮอร์ไมโอนี่บอก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ก้าวเดิน เสียงของศาสตราจารย์มักกอนนากัลก็ดังขึ้นจากสุดระเบียงทางเดิน

    "มิสเกรนเจอร์" ศาสตราจารย์กล่าว พลางสาวเท้าเข้ามาหาเธอ

    "เธอเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป" เฮอร์ไมโอนี่หันไปบอกอแมนด้า และแทบจะในทันทีที่อแมนด้าพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องพยาบาลอย่างไม่ลังเล

    "มิสเตอร์มัลฟอยฟื้นหรือยัง?" ศาสตราจารย์มักกอนนากัลถาม น้ำเสียงบ่งบอกถึงความกังวลอย่างเห็นได้ชัด

    "ฟื้นแล้วค่ะ" เฮอร์ไมโอนี่ตอบ พลางนึกสงสัยอาการกังวลที่เธอไม่เคยเห็นบนใบหน้าของอีกฝ่าย

    "งั้นหรือ" ศาสตราจารย์รับคำ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพยาบาลอย่างเร่งรีบ โดยที่ทิ้งให้เฮอร์ไมโอนี่ยืนจมอยู่กับความสงสัยอยู่ตรงนั้น แต่แล้วเด็กสาวก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อรู้สึกเหมือนกับมีวัตถุเย็นๆ มาแนบที่ข้างแก้มจากทางด้านหลัง

    "สวัสดี เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ ไม่น่าเชื่อเลยว่าเธอจะมีชีวิตรอดอยู่ถึงตอนนี้" เสียงเย็นเยียบดังขึ้นจากทางข้างหลังของเด็กสาว ซึ่งนั่นเป็นผลทำให้หัวใจของเธอตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ถ้าหากสัญชาตญาณของเธอบอกไม่ผิด เจ้าของเสียงเยียบเย็นราวกับว่าถอดออกมาจากพิมพ์เดียวกันกับ เดรโก มัลฟอย อย่างนี้มีเพียงคนเดียว…

    "ลูเซียส มัลฟอย!" เฮอร์ไมโอนี่ครางในลำคอ แต่นั่นก็ดังพอที่จะทำให้อีกฝ่ายได้ยิน

    "ฉลาดเหมือนกันหนิ" ลูเซียสพูด พลางเดินวนกลับมายืนอยู่ข้างหน้าเด็กสาว ก่อนจะใช้ไม้เท้าหัวเหล็กของตน เชยคางเฮอร์ไมโอนี่ขึ้น "ทั้งสวย ทั้งฉลาดขนาดนี้ มิน่าล่ะ เดรโกถึงได้หลง…"

    "ปล่อยชั้น!" เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยเสียงเย็นชา ประกายสดใสที่เคยปรากฎในดวงตาของเธอหายไปในพริบตา  แต่ถึงอย่างนั้น นายลูเซียสก็ทำราวกับว่าไม่รับรู้สิ่งที่เธอพูด

    "หึ แต่น่าเสียดายที่เป็นพวกเลือดสีโคลน!!" ลูเซียสพูดอย่างเหยียดหยาม ดวงตาสีซีดของเขาคมกริบจนบาดลึกลงไปในหัวใจของเด็กสาว

    "ปล่อยชั้น!" เฮอร์ไมโอนี่ย้ำด้วยเสียงอันสั่นเทา ก่อนจะยกมือขึ้นปัดไม้เท้าของเขาออกไป และเหตุการณ์ที่เฮอร์ไมโอนี่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น… นายลูเซียสใช้มืออีกข้างที่ว่างเปล่าของเขา ตะครุบลำคอของเด็กสาวเอาไว้ ก่อนจะดันเธอไปชิดกำแพงหินที่เย็นเฉียบ

    "ชั้นขอเตือนเธอนะ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์… อย่าพยายามเข้าใกล้เดรโกอีก เพราะถ้าเธอทำอย่างนั้น เธอจะต้องเสียใจ" ลูเซียสบอกด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้ต่างจากเดิม

    "คุณรู้… ?" เฮอร์ไมโอนี่พูดด้วยเสียงแหบพร่า เพราะ นายลูเซียสเกร็งนิ้วมือที่กำอยู่รอบคอของเธอไว้

    "แน่นอน มีเหตุผลอะไรที่ชั้นจะไม่รู้เรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับลูกชายคนเดียวของชั้นล่ะ" ลูเซียสบอกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "เดรโกเดินตามเส้นทางชีวิตที่ชั้นเขียนให้มาโดยตลอด เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเดินออกไปนอกกรอบเลยแม้แต่ครั้งเดียว เพราะว่า เขารู้… รู้ว่าชั้นจะคอยจับตาดูอยู่ทุกฝีก้าว แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังกล้าที่จะทรยศต่อสายเลือดบริสุทธิ์ของพวกเรา โดยการแอบคบหาสมาคมกับพวกเลือดโสโครกอย่างเธอ ตอนแรกชั้นก็ไม่รู้เรื่องนี้หรอกนะ และก็จะไม่รู้ตลอดไปด้วย ถ้าหากเดรโกรอบคอบกว่านี้สักนิด…" 

    "คุณ… หมายความว่า… อะไร" เฮอร์ไมโอนี่ถามเสียงแหบ ถ้าหากลูเซียสยังบีบคอเธอแน่นอยู่แบบนี้ ไม่นานเธอคงจะต้องขาดอากาศหายใจตายเป็นแน่

    "สิ่งเดียวที่เดรโกทำผิดพลาดก็คือไว้ใจคนรอบตัวมากเกินไป… บางทีคนที่เราไว้ใจที่สุด อาจจะเป็นคนที่อันตรายมากที่สุดก็ได้" ลูเซียสตอบในทันที เฮอร์ไมโอนี่ทำท่าจะพูดอีกครั้ง แต่นายลูเซียสยิ่งเกร็งนิ้วมือที่กุมลำคอของเธอแน่นขึ้นไปอีก

    "เธอคงสงสัยสินะ ว่าคนที่ชั้นพูดถึงเป็นใคร… ถ้าเธอคิดว่าเป็น มารีน ล่ะก็ ผิดถนัด… มารีนเลือกที่จะกัดลิ้นตัวเองดีกว่าจะทำให้เดรโกเดือดร้อน แต่คนที่ชั้นพูดถึงนี่สิ… ไม่เคยรู้ตัวเลยว่าทำร้ายพี่ชายสุดที่รักมากมายขนาดไหน… แต่ชั้น…" ลูเซียสพูดยังไม่ทันจบ เสียงตะโกนดังลั่นก็เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ทำให้ลูเซียสต้องปล่อยมือออกจากลำคอของเด็กสาวอย่างกระทันหัน และแทบจะในทันทีที่เฮอร์ไมโอนี่ทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างหมดแรง

    "ผู้ใหญ่ใจร้ายยยยยยย รังแกเด็กไม่มีทางสู้!!!!" พีฟส์ผีโพรเตอร์ไกส์ร้องลั่น พลางบินโฉบไปเฉียดมาเหนือหัวของคนทั้งคู่

    "แกหุบปากซะ!!!" ลูเซียสตะโกน พลางชี้ไม้กายาสิทธิ์ไปทางเจ้าผีตัวแสบ

    "หูยยยย ดูสิ นอกจากจะรังแกเด็กแล้ว ยังรังแกผีน้อยไม่มีทางสู้อีกกกกก!!!!" พีฟส์ร้อง พลางแลบลิ้นปลิ้นตายั่วโมโห

    "เกิดอะไรขึ้น!!" ศาสตราจารย์มักกอนนากัลที่วิ่งออกมาจากห้องพยาบาลร้องถาม

    "หยุดเดี๋ยวนี้นะ พีฟส์!!" มาดามพอมฟรีย์ที่วิ่งตามมาร้องปราม

    "ผู้ใหญ่ใจร้ายยยยย!!!!" พีฟส์ร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะบินทะลุกำแพงหายไป

    "เป็นอะไรไป มิสเกรนเจอร์" มักกอนนากัลถามทันทีที่สังเกตเห็นเด็กสาวที่นั่งกองอยู่กับพื้น

    "ปะ…เปล่าค่ะ" เธอปฏิเสธ ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้น พลางยกมือขึ้นกุมลำคอ และคล้ายกับเป็นโชคดีของเธอที่วันนี้ใส่เสื้อคอเต่า ดังนั้นรอยช้ำที่ลำคอของเธอจึงถูกซ่อนไว้ภายในคอเสื้ออย่างมิดชิด "หนูแค่ตกใจพีฟส์ ก็เลยเสียหลักล้มลงไป"

    "งั้นหรือ ทีหลังก็ระหวังหน่อยล่ะกัน เจ้าพีฟส์ยิ่งชอบเล่นอะไรแผงๆ อยู่ด้วย" มาดามพอมฟรีย์เตือนอย่างห่วงใย

    "ลูเซียส… เดรโกฟื้นแล้วล่ะ คุณจะเข้าไปเยี่ยมเขารึเปล่า?" ศาสตราจารย์มักกอนนากัลหันไปถามนายลูเซียส

    "แน่นอน มิเนอร์วา" นายลูเซียสตอบ และหันมาทางเฮอร์ไมโอนี่ "เข้าไปพร้อมกันสิ มิสเกรนเจอร์" นายลูเซียสชักชวนด้วยเสียงสุภาพ แต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา

    "ค่ะ" เฮอร์ไมโอนี่รับคำเสียงแผ่ว ก่อนจะเดินตามหลังนายลูเซียสเข้าไปในห้องพยาบาลทันที

    + - บทที่ 12 - +

                    เมื่อนายลูเซียสเดินเข้าไปในห้องพยาบาลพร้อมกับเฮอร์ไมโอนี่ ทุกคนก็หันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวราวกับเป็นเรื่องที่น่าแปลกที่สุดในโลก โดยเฉพาะแฮร์รี่และรอนที่รีบส่งสายตามาถามเธอว่า 'เกิดอะไรขึ้น?' แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ทำได้แค่เพียงเดินตามนายลูเซียสไปที่เตียงของมัลฟอยโดยที่ไม่พูดอะไร

    "เดรโก" นายลูเซียสเรียกชื่อลูกชายเสียงเรียบ และในทันทีที่เด็กหนุ่มหันมามองเขาด้วยแววตาค่อนข้างตระหนก

    "พ่อ…" เขาครางเสียงแผ่ว

    "เป็นไงบ้าง ได้ข่าวว่าแกสลบไป… ชั้นก็เลยมาดูหน่อย เผื่อว่าแกอาจจะความจำเสื่อม" ถึงแม้คำพูดของนายลูเซียสฟังดูไม่จริงจัง แต่คล้ายกับมีความหมายบางอย่างแฝงเอาไว้

    "ไม่หรอกฮะ ผมยังจำทุกคนได้" เด็กหนุ่มบอก ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ พร้อมกับคำถามมากมายที่ผุดขึ้นในหัว… นี่เธอฝันไปรึเปล่า? เขาไม่ได้สูญเสียความทรงจำหรอกหรือ?

    "งั้นหรือ แน่ใจหรือเดรโก ว่าจำได้หมดทุกคน บางทีแกอาจจะจำใครบางคนไม่ได้" นายลูเซียสกล่าวเสียงเย็น พลางปลายตาไปที่เฮอร์ไมโอนี่ ซึ่งใจหายวาบทันที 'หรือว่าเขาจะจำเราไม่ได้คนเดียว?' คิดได้ดังนั้นเธอก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว พลางภาวนาอย่าให้เรื่องที่เธอคิดเป็นจริงเลย

    "เอ่อ…" มัลฟอยคราง พลางกวาดสายตามองทุกคนในห้องพยาบาล ไล่ตั้งแต่แฮร์รี่ รอน จินนี่ มาดอมพอมฟรีย์และศาสตราจารย์มักกอนนากัลที่ยืนรวมกลุ่มกันอยู่หน้าประตู ถัดมาที่ข้างเตียงก็คือ แพนซี่ พร้อมกับเพื่อนสาวอีกสองคนของเธอ อแมนด้า นายลูเซียส และ…

    "เฮอร์ไมโอนี่! เธอจะไปไหน!?" แฮร์รี่และรอนร้อง เมื่อเด็กสาววิ่งออกไปข้างนอกห้องพยาบาลอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย โดยไม่ทันสังเกตเห็นรอยยิ้มอย่างพอใจที่มุมปากของลูเซียส

    …+*+*+…

                    เฮอร์ไมโอนี่วิ่งไปหยุดที่หน้าห้องพยาบาลพลางพยายามควบคุมสติให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เธอกลัว… กลัวที่จะรับรู้ความจริง… ไม่สิ เธอกลัวว่าสิ่งที่เธอคิดจะกลายเป็นความจริง... แล้วเด็กสาวก็ต้องตกใจอีกครั้ง เมื่อประตูห้องพยาบาลเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของ 'ลูเซียส มัลฟอย' ที่เดินเข้ามาหาเธอ

    "เป็นอะไรไป เกรนเจอร์? ไม่กล้าอยู่รอรับความจริงหรอกหรือ? ความจริงที่เดรโก…" ลูเซียสพูดน้ำเสียงเย้ยหยัน แต่เฮอร์ไมโอนี่ก็ขัดขึ้นเสียก่อน

    "เงียบนะ!!!" เด็กสาวตะโกนเสียงก้องพลางยกมือขึ้นปิดหู แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมหยุด

    "ก็แค่… เดรโกสูญเสียความทรงจำ… แต่เป็นแค่ความทรงจำเฉพาะเรื่องเธอเท่านั้น… ต่อจากนี้เดรโกก็จะจำเธอไม่ได้ และไม่มีวันจำได้ด้วย ถ้าหากเธอไม่อยากเจ็บก็เลิกยุ่งกับเขาซะ เพราะถึงยังไง เขาก็ลืมเธอไปหมดแล้ว" ลูเซียสพูดเสียงเย็น ก่อนจะเดินสะบัดชายเสื้อคลุมจากไป ทิ้งให้เด็กสาวจมอยู่กับความจริงที่เธอไม่อยากรับรู้

    "เฮอร์ไมโอนี่ เธอไม่เป็นไรนะ" แฮร์รี่ถามอย่างห่วงใย เมื่อเห็นน้ำตาไหลออกมาจากตาสีน้ำตาลของเธอเป็นสายยาว

    "อือ" เธอครางตอบเสียงเบา พลางยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตา

    "ถ้าชั้นออกมาทันนะ ชั้นจะสาปมันให้กลายเป็นเฟเร็ต" รอนพูดอย่างเคียดแค้น พลางนึกไปถึงตอนที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลและมาดามพอมฟรีย์รั้งตัวเขาและแฮร์รี่ไว้ เพื่อกำชับให้ดูแลเฮอร์ไมโอนี่ให้ดี และฝากบอกเธอให้ไปที่ห้องพักอาจารย์ตอนหกโมงเย็น

    "กลับหอกันเถอะ เธอจะได้พักผ่อนด้วย ดูสิเนี่ย!! ตอนที่เราไม่อยู่เธอร้องไห้ไปกี่ครั้งแล้ว ตาถึงได้บวมขนาดนี้พวกเรานี่แย่จริงๆ เพื่อนรักร้องไห้จนตาบวม ก็ไม่เคยสังเกตเห็น…" แฮร์รี่ตำหนิตัวเองที่ไม่ใส่ใจเฮอร์ไมโอนี่มากเท่าที่ควร

    "ไม่เป็นไรหรอก แฮร์รี่ ไม่ใช่ความผิดของพวกนายซักหน่อยที่ชั้นร้องไห้" เฮอร์ไมโอนี่กล่าว พลางเริ่มออกเดินไปพร้อมกับเพื่อนรักทั้งสอง

    …+*+*+…

    ตลอดทางที่เดินไปสู่หอคอยกริฟฟินดอร์ ทั้งแฮรรี่และรอนต่างก็ช่วยกันพยายามทำให้เฮอรไมโอนี่กลับมาร่าเริงสดใสเหมือนเดิม โดยการเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่ไปประสบพบเจอมาในวันนี้ที่ฮอกมี้ดให้กับเด็กสาวฟัง ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าพวกเขาทั้งสองทำสำเร็จไม่น้อย เพราะ ดูเหมือนเฮอร์ไมโอนี่จะทิ้งเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นภายในวันนี้เอาไว้ข้างหลัง แล้วหันมายิ้มและหัวเราะไปกับพวกเขาอย่างที่เป็นเฮอร์ไมโอนี่คนเดิมอีกครั้ง

                    เมื่อเดินมาถึงห้องนั่งเล่นรวมของบ้านกริฟฟินดอร์ แฮร์รี่และรอนก็รีบจัดแจงให้เฮอร์ไมโอนี่พักผ่อนทันที พวกเขาปฏิเสธที่จะให้เฮอรไมโอนี่ขึ้นไปนอนที่หอนอนหญิง แต่กลับอยากให้เธอนอนบนโซฟาของห้องนั่งเล่นรวมมากกว่า เมื่อเฮอรไมโอนี่ถามถึงเหตุผล พวกเขาก็อ้างว่า ต้องการดูแลเธออย่างใกล้ชิด เพราะ ที่ผ่านมาพวกเขาไม่ค่อยได้ทำหน้าที่เพื่อนที่แสนดีมากเท่าที่ควร และถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเตียงในหอนอนนุ่มกว่าเป็นไหนๆ แต่เธอก็ยอมที่จะนอนบนโซฟาที่ห้องนั่งเล่นรวมตามคำขอร้องของทั้งสองเพื่อนรัก

                    เวลาผ่านไปได้ไม่นาน ฝาแฝดวิสลี่ย์ก็ปีนผ่านช่องหลังรูปสุภาพสตรีอ้วนเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นรวมที่ค่อนข้างแน่นขนัด พวกเขากวาดสายตาไปทั่วห้องนั่งเล่นรวมเพื่อหาที่นั่ง และในที่สุดพวกเขาก็พบแฮร์รี่และรอนที่นั่งเล่นหมากรุกพ่อมดกันอยู่บนพรมหน้าเตาผิง ฝาแฝดทั้งสองจึงรีบเดินรี่เข้าไปสมทบกับพวกเขาทันที

    "เฮ้! แฮร์รี่ รอน" ฝาแฝดทั้งสองทักขึ้นพร้อมกัน ก่อนจะนั่งลงบนพรมนุ่มนิ่ม

    "เฮอร์ไมโอนี่ ไม่สบายหรอ?" เฟร็ดถาม พลางชำเลืองมองไปที่เฮอร์ไมโอนี่ที่นอนหลับสนิทอยู่บนโซฟา

    "อือ" แฮร์รี่ครางตอบ

    "แล้วเป็นอะไรมากรึเปล่า?" จอร์จถามบ้าง

    "ทางกายไม่เท่าไหร่ แต่ทางใจน่ะค่อนข้างแย่" รอนบอกน้ำเสียงสลด

    "แย่จังนะ!" เฟร็ดคราง พลางล้วงมือเข้าไปหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงสดออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม

    "นั่นอะไรน่ะ" แฮร์รี่ถาม พลางมองถุงสีสดในมือของเฟร็ดอย่างสงสัย

    "ลูกอมสมหวัง" เฟร็ดตอบสั้นๆ

    "เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของพวกเราทีเดียวล่ะ" จอร์จเสริม

    "แล้ว…? มันใช้ทำอะไรได้?" รอนถาม น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเชื่อกับสิ่งที่แฝดทั้งสองพูด

    "ก็ถ้าอม 'ลูกอมสมหวัง' เข้าไป สิ่งที่หวังประการแรกตั้งแต่ลูกอมเข้าไปในปากก็จะเป็นจริง…" จอร์จบอกอย่างเชี่ยวชาญ

    "แต่เราไม่แนะนำให้คนที่มีความสุขอยู่แล้วอมนะ เพราะ ผลที่ได้จะกลายเป็นทางลบ"  เฟร็ดเสริม

    "แล้วทำไมนายต้องมีทางลบทางบวกด้วยล่ะ" รอนถามอย่างไม่เข้าใจในความคิดของพี่ชาย

    "ก็ป้องกันพวกตะกละอย่างนายน่ะสิ" ฝาแฝดทั้งสองบอกพร้อมกัน ก่อนจะหัวเราะอย่างสนุกสนาน อันที่จริงพวกเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมคนที่สมหวังอยู่แล้วถึงอมลูกอมนี้แล้วผลออกมาเป็นทางลบ

    "เลิกขำซักทีได้ไหม!! นายก็เหมือนกัน แฮร์รี่!! ถ้านายไม่หยุด ชั้นจะไม่เล่นหมากรุกกับนายอีกต่อไป!!" รอนพูดราวกับเป็นเด็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้นแฮร์รี่ และพี่ชายทั้งสองของเขาก็เริ่มที่จะควบคุมตัวเองไม่ให้หัวเราะต่อไป

    "โอ๋ ไม่เอาน่า เราก็แค่ล้อเล่น... เอาอย่างนี้ดีไหม เราจะให้ลูกอมนายเอาไปทดลองดีมั๊ย รอน!" เฟร็ดบอก พลางหยิบลูกสีชมพูดเม็ดหนึ่งยื่นให้กับเขา

    "ขอบคุณ นี่ชั้นเห็นแก่คำขอร้องของพวกนายหรอกนะ" รอนครางน้ำเสียงเบื่อหน่าย ก่อนจะคว้าลูกอมสีสดเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว

    "สำหรับนายด้วย แฮร์รี่" เฟร็ดพูด ก่อนจะโยนลูกอมสีสวยให้เขาเม็ดหนึ่ง

    "ขอบใจ" แฮร์รี่พึมพำ และเก็บลูกอมใส่กระเป๋าเสื้อคลุมเช่นเดียวกับรอน

    "เฮ้! แล้วของเฮอร์ไมโอนี่ล่ะ" รอนถามขึ้น เมื่อเห็นเฟร็ดทำท่าจะเก็บถุงสีแดงเลือดหมูที่บรรจุ 'ลูกอมสมหวัง' ไว้ลงในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา

    "อ้อ! ลืมไป ขอโทษที" เฟร็ดบอก ก่อนจะหยิบลูกอมสีส้มขึ้นมาเม็ดหนึ่ง แล้วส่งให้รอนซึ่งรับมาแล้วเก็บใส่กระเป๋าเสื้อคลุมของเขาอีกครั้ง

    "อย่าลืมให้เฮอร์ไมโอนี่ล่ะ!!" จอร์จพูดอย่างไม่ไว้ใจ

    "รู้แล้วน่า พอเขาตื่น ชั้นจะให้เขาทันที โอเคไหม?" รอนบอกอย่างรำคาญ

    "แล้วพวกนายแน่ใจนะ ว่ากินแล้วจะสมหวัง" แฮร์รี่ถามอย่างไม่แน่ใจ เขาชักรู้สึกกลัวลูกอมสีสดพวกนี้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    "แน่สิ! พวกเราทดลองกันมาเป็นพันครั้ง รับรองว่าได้ผล แต่มีคำเตือนนิดหน่อยอยากจะเตือนเอาไว้" จอร์จบอก

    "ข้อหนึ่ง อย่างที่เราบอกไปแล้ว ห้ามอม 'ลูกอมสมหวัง' ตอนที่กำลังแฮปปี้อยู่ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พวกนายคิดอาจจะเป็นเรื่องน่าเศร้า " เฟร็ดเสริม

    "ข้อสอง ห้ามเคี้ยวเด็ดขาด!! ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น 'ลูกอม' เพราะฉะนั้น ห้ามเคี้ยว!!! แต่ถ้านายอยากจะลองเคี้ยวดูก็ได้ แต่ชั้นไม่รับประกันผลที่จะตามมา" จอร์ดพูดต่ออย่างรวดเร็ว

    "ส่วนข้อสุดท้าย ห้ามพวกนายคิดอยากจะสมหวังในเรื่องเลวร้าย อย่างเช่น อยากให้พวกชั้นเป็นใบ้ หรืออะไรทำนองนั้น... ชั้นขอเตือนว่า พวกนายจะต้องเสียใจถ้าหากคิดเรื่องแย่ๆ แบบนั้น" เฟร็ดบอก ซึ่งนั่นทำให้ความคิดของรอนที่จะแช่งพี่ชายทั้งสองเป็นอันตกลงไป

    "ลูกอมของเราไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น... ถ้าหากนายอมแล้วมีลูกตาดวงที่สามผุดขึ้นมาที่หน้าผาก ให้มาบอกเรา!! เรายินดีจะเพิ่มลูกตาดวงที่สี่ให้กับพวกนาย" จอร์จบอก ก่อนจะหัวเราะคิกคักกับฝาแฝด

    "เอาล่ะ! พวกเราต้องไปแล้ว ฝากบอกเฮอร์ไมโอนี่ด้วยนะ ว่าพวกเราเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง" เฟร็ดพูด พลางลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปฉุดจอร์ดที่กำลังหัวเราะอยู่บนพื้นให้ยืนขึ้น และไม่นานทั้งสองก็เดินหายขึ้นไปบนหอนอนชาย

    "นายว่าจะเป็นไปได้ไหม?" แฮร์รี่หันไปถามรอน ที่ก้มหน้าลงมองกระดานหมากรุกข้างหน้าอีกครั้ง

    "ไม่รู้สิ สิ่งประดิษฐ์ของเฟร็ดกับจอร์จมักจะใช้ได้ผลประมาณเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ และชั้นก็หวังว่าลูกอมที่เราได้มาคงไม่ใช่หนึ่งในสามสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือ!" รอนบอก ก่อนจะก้มลงไปมองกระดาษหมากรุกอีกครั้ง

    + - บทที่ 13 - +

                    เฮอร์ไมโอนี่ตื่นขึ้นมาจากความฝันหลังจากที่เธอนอนหลับไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเต็ม เธอรู้สึกงัวเงียอย่างมากหลังจากที่ตื่นขึ้นมา และพบว่าทั้งรอนและแฮร์รี่ยังคงเล่นหมากรุกกันอย่างขะมักเขม้น เธอพลิกตัวตะแคงข้างไปมองพวกเขาเดินหมากกันอย่างเงียบๆ และไม่นานทั้งคู่ก็เลิกเล่น เมื่อรอนโวยวายเสียงดังและกล่าวหาว่า 'แฮร์รี่เล่นขี้โกง' เฮอร์ไมโอนี่จึงลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะเดินไปล้างหน้าในห้องน้ำ ซึ่งนั่นก็ทำให้พวกเขาทั้งสองได้รู้ว่าเธอตื่นแล้ว

                    พวกเขานั่งคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักใหญ่ โดยที่รอนได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายฝาแฝด ซึ่งก็คือ ให้ 'ลูกอมสมหวัง' กับเฮอร์ไมโอนี่ทันทีที่เธอตื่น ซึ่งตอนแรกเด็กสาวก็ค่อนข้างจะงงอยู่นิดหน่อยที่ได้รับลูกอมจากฝาแฝด แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะรับแต่อย่างใด และเมื่อเข็มนาฬิกาใกล้จะชี้บอกเวลาหกโมงตรง รอนก็บอกเธอถึงเวลาที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลได้บอกไว้ให้เธอไปที่ห้องพักอาจารย์ ซึ่งเฮอร์ไมโอนี่ก็รีบวิ่งออกมาจากห้องนั่งเล่นรวมแทบจะในทันที

                    เมื่อมาถึงหน้าประตูห้องของศาสตราจารย์มักกอนนากัล เธอถึงกับหอบถี่ๆ เนื่องจากวิ่งมาเป็นระยะทางไกลโดยไม่ได้หยุดพัก และดูราวกับศาสตราจารย์จะรู้ว่าเธอมาถึง เพราะ ประตูไม้โอ๊คบานใหญ่ก็เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นห้องทรงสีเหลี่ยมคางหมูที่ดูโอ่อ่าเหมาะสมกับเป็นห้องของรองอาจารย์ใหญ่

    "เข้ามาสิ มิสเกรนเจอร์ ทุกคนกำลังรอเธออยู่" เสียงศาสตราจารย์มักกอนนากัลดังมาจากข้างใน และเมื่อเด็กสาวก้าวพ้นประตูเข้าไปภายใน เธอก็ต้องตกใจกับนักเรียนหนึ่งในสามคนที่อยู่บนพื้นยกระดับที่ปูพรมสีเข้ม

    "แพนซี่?" เด็กสาวพึมพำก่อนจะเดินเข้าไปหาศาสตราจารย์มักกอนนากัลที่มีสีหน้าเคร่งเครียด "หนูไม่ได้มาสายใช่ไหมคะ?" เธอถามเสียงแผ่ว

    "เปล่าจ้ะ เธอหายดีหรือยัง?" ศาสตราจารย์ถามด้วยเสียงห่วงใย

    "ค่ะ" เธอครางตอบ ถึงแม้ตาจะบวมอยู่นิดหน่อย

    "ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เธอไปยืนข้างมิสพาร์กินสันล่ะกัน จะได้เริ่มซ้อมกันเสียที... เราจะซ้อมกันแค่สองรอบเท่านั้นนะ เพราะ ชั้นคาดว่าพวกเธอทุกคนคงร้องเพลง Happy Birthday กันจบ..." มักกอนนากัลกล่าว ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่เดินเข้าไปยืนด้านข้างแพนซี่ "และเมื่อเพลง Happy Birthday จบ มิสเกรนเจอร์ เธอต้องออกไปเต้นรำกับศาสตราจารย์สเนปเป็นคู่เปิดฟลอร์ ส่วนคนที่เหลือก็ประสานเสียงเพลงที่เราซ้อมกันไว้ เข้าใจไหม?"

    "เอ่อ... ศาสตราจารย์คะ ให้แพนซี่เต้นรำแทนหนูไม่ได้หรอคะ... เค้าทั้งสวย ทั้งฉลาด ทั้งเก่ง... หนูว่าเค้าเหมาะสมกว่าหนูด้วยประการทั้งปวง" เฮอร์ไมโอนี่โอดครวญ เธอพร้อมที่จะพูดปดเพื่อที่จะหลุดพ้นจากการเต้นรำครั้งนี้

    "ชั้นเกรงว่าจะต้องตอบว่าไม่ มิสเกรนเจอร์" อาจารย์ตอบโดยแทบจะไม่ต้องคิด

    "ทำไมล่ะคะ?" เฮอร์ไมโอนี่ถามกลับอย่างรวดเร็ว

    "ชั้นคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กันอีกแล้วนะ"

    ...+*+*+...

                    เมื่อถึงเวลาหนึ่งทุ่มตรง ศาสตราจารย์ก็พานักเรียนหญิงสี่คนที่จะเป็นตัวแทนประสานเสียงจากบ้านต่างๆ ไปสู่ห้องโถงใหญ่... เมื่อเฮอร์ไมโอนี่มองห้องโถงจากข้างนอก เธอก็ไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ เทียนไขนับพันเล่มยังคงลอยอยู่เหนือโต๊ะประจำบ้านทั้งสี่ที่ตั้งอยู่ที่เดิม และมีนักเรียนจำนวนไม่มากนักนั่งกระจายกันอยู่ตามโต๊ะของแต่ละบ้าน และนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่คิดสงสัยในใจว่า จะให้นักเรียนไปที่ฮอกมี้ดทำไม ในเมื่อห้องโถงไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลยแม้แต่น้อย

                    แต่เมื่อเฮอร์ไมโอนี่ก้าวเข้าไปในห้องโถงเป็นก้าวแรก เธอก็สามารถสัมผัสถึงกลิ่นไอของน้ำทะเลที่ลอยเข้ามาปะทะใบหน้า 'เกิดอะไรขึ้น? นี่มันห้องโถงใหญ่ไม่ใช่หรอ?' และโดยไม่ทันตั้งตัวเธอก็รู้สึกราวกับถูกกระชากอย่างแรงจนทำให้เธอแทบจะล้มลงไปบนพื้น เด็กสาวหลับตาแน่นก่อนที่จะรู้สึกว่าแรงดึงเมื่อสักครู่นี้หมดไป เธอก็พบว่าพื้นหินแบบที่ควรจะเป็นในห้องโถงกลับกลายเป็นหาดทรายสีขาวสะอาดแทน

                    เมื่อเฮอร์ไมโอนี่เงยหน้าขึ้น เธอก็พบกับโต๊ะกลมสีเงินขนาดเล็กมากมายตั้งอยู่ทั่วบริเวณ โดยมีแจกันแก้วใสใส่ดอกกุหลาบตั้งอยู่ตรงกลางของโต๊ะทุกตัว มีนักเรียนจำนวนไม่กี่คนที่มาถึงและนั่งกระจายกันอยู่ตามโต๊ะต่างๆ และเมื่อมองผ่านโต๊ะเหล่านั้นไป เด็กสาวก็มองเห็นทะเลสีเข้มที่ทอแสงเป็นประกายยามต้องแสงเทียนนับร้อยเล่มจากชายหาด... เธอมองเกลียวคลื่นสีขาวมากมายที่ม้วนตัวเข้ามายังริมหาด ด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เธอไม่อาจเข้าใจ แล้วเด็กสาวก็เริ่มรู้สึกถึงน้ำตาที่เริ่มรื้นขึ้นมาที่ขอบตา เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามราตรีที่ค่อนข้างมืด และเธอก็พบกับดวงดาวนับร้อยดวงที่ทอแสงเป็นประกายระยิบระยับประดับอยู่บนฟากฟ้าสีนิล

                    พลันภาพความทรงจำหนึ่งก็ลอยเข้ามาในหัวเธอ ภาพความทรงจำที่เธอไม่อาจจะลืมตลอดชีวิต และไม่มีวันที่คิดจะลืม... ความทรงจำเมื่อวันคริสมาตส์ปีก่อน ภาพของเธอและมัลฟอยที่นอนอยู่บนหาดทรายสีขาวสะอาดแห่งนี้...

    วันนี้ดาวเต็มฟ้าเลยนะเธอพูด แล้วยกมือขึ้นไปหมายที่จะจับดวงดาวลงมา


    อยากได้เหรอมัลฟอยหันหน้าไปมองเธอ


    อือ ชั้นใฝ่ฝันอยากจะได้มันมาตั้งแต่ยังเล็กๆ แล้วเธอพูดราวกับเพ้อฝัน


    ฉันจะเอามันมาให้ไหมล่ะเฮอร์ไมโอนี่พยักหน้า แล้วยันตัวขึ้นนั่งกอดเข่า


    ว่าแต่นายจะมีความสามารถเอามันลงมาเหรอเธอพูดแล้วหันไปมองเขา


    ได้สิ เธอหลับตาแล้ว ฉันจะเอามันลงมาให้เธอเขาบอก ในขณะที่ เฮอร์ไมโอนี่หลับตาลงช้าๆ

     

    มัลฟอยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมของเขา ก่อนจะหยิบกล่องขนาดเล็กขึ้นมา แล้วเปิดมันออก ภายในมีแหวนรูปดาวที่ทำจากคริสตัลน้ำงาม เขาหยิบแหวนออกมาจากกล่อง แล้วบรรจงหยิบมือข้างขวาของเฮอร์ไมโอนี่ที่กอดเข่าอยู่ขึ้นมา และสวมแหวนไว้บนนิ้วนางข้างขวาของเธอ

     

    ลืมตาได้แล้ว ชั้นเอามันลงมาให้เธอแล้วล่ะเขากระซิบอย่างแผ่วเบาที่ข้างหูเฮอร์ไมโอนี่ เธอค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ และยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นแหวนที่นิ้วนางข้างขวา


    สุขสันต์วันคริสมาสต์นะเขาพูดแล้วส่งยิ้มให้เธอ


    ขอบคุณมากนะ มัลฟอยเธอพูดเสียงแผ่วเบา


    เอาไว้ให้ชั้นแต่งงานกับเธอก่อนแล้วชั้นจะสวมแหวนให้เธอข้างซ้าย

    'มันคงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะ มัลฟอย... ในเมื่อนายไม่มีภาพความทรงจำเกี่ยวกับชั้นอีกต่อไปแล้ว...'

    + - บทที่ 14 - +

    "เฮอร์ไมโอนี่" เสียงของ 'โช แชง' ดังขึ้น เด็กสาวจึงต้องหยุดคิดกลางคัน แล้วหันไปมองโชที่ยืนอยู่ตรงหน้าในกระโปรงชุดนอนสีฟ้าที่ทำมาจากผ้าชีฟองเนื้อนุ่ม ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่ประหลาดใจไม่น้อย ก็ในเมื่อตอนที่โชและเธอเดินเข้ามาในห้องโถงพร้อมกัน โชยังใส่ชุดธรรมดาอยู่เลย (โชเป็นหนึ่งในตัวแทนนักเรียนประสานเสียงทั้งสี่) และคำถามที่ตามมาก็คือ โชแอบไปเปลี่ยนชุดนอนตั้งแต่เมื่อไหร่?

    "ชุดของเธอน่ารักจัง" โชพูด แล้วยิ้มน้อยๆ ให้กับเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังงงกับคำพูดของโช แต่แล้วเด็กสาวก็ได้รับคำตอบ เมื่อเธอก้มหน้าลงไปดูชุดที่เธอกำลังใส่อยู่ในตอนนี้... 'ชุดนอน!!! เป็นไปได้ไงเนี่ย' เฮอร์ไมโอนี่หน้าซีด ไม่ใช่เพราะ ความตื่นเต้นหรือตกใจใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเพราะ ความอายที่เข้าแทรกเธอในทันทีที่เห็นชุดที่กำลังสวมอยู่น่ะสิ... ชุดกระโปรงสีแดงเลือดหมูยาวประเข่าที่มีเจ้าหมีตัวโต ขนปุกปุยสีน้ำตาลอ่อนกำลังนั่งทำหน้าน่ารักพร้อมกับแลบลิ้นอันยาวของมันออกทักทายผู้คนอยู่บนชุดของเด็กสาว 'เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นเนี่ย!!!!!'

    "เอ่อ..." เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออก เธอทำได้แค่เพียงละล่ำละลักตอบเด็กสาวไปว่า "ขะ...ขอบใจ"

    "ไม่น่าเชื่อเลยนะ ว่าเวทย์มนต์จะสามารถทำได้ถึงขนาดนี้... ตอนแรกชั้นนึกว่าจะจัดงานที่ห้องโถงซะอีก เพราะ เห็นศาสตราจารย์มักกอนนากัลเดินนำมาทางห้องโถง แถมในห้องโถงยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกต่างหาก แต่แล้วพอเดินเข้ามาข้างในนี่ ถึงได้รู้ว่านั่นเป็นแค่ภาพลวงตาที่หลอกไว้เท่านั้นเอง ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์นี่เก่งจริงๆ... ชั้นไม่แปลกใจเลยว่าทำไม 'คนที่เธอก็รู้ว่าใคร' ถึงได้กลัวเขา" โชพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชมอย่างมากมาย

    "งั้น... ที่เราเปลี่ยนชุดกันโดยไม่รู้ตัวนี่ ก็ฝีมือเขาด้วยใช่มั๊ย" เฮอร์ไมโอนี่กัดฟันถาม เธอกำลังหมายถึงอาจารย์ใหญ่ที่โชแสนจะชื่นชม

    "ใช่จ้ะ" โชตอบ อย่างร่าเริง ผิดกับเฮอร์ไมโอนี่ที่กำลังเริ่มเดือด เธอจะไม่โกรธดัมเบิลดอร์เลย ถ้าหากเขาเลือกชุดที่ไม่มีเจ้าหมีที่แสนจะน่ารักน่าชังตัวนี้ให้กับเธอ

    "นี่!! ทั้งสองคนน่ะ จะยืนคุยกันอีกนานไหม" เสียงแพนซี่ พาร์กินสันตะโกนมาจากด้านหลัง เด็กสาวทั้งสองจึงหัน และเฮอร์ไมโอนี่ก็เห็นแพนซี่กำลังยืนหน้าบึ้งอยู่ในกระโปรงชุดนอนสีเขียวซึ่งเป็นสีประจำบ้านสลิธีริน โดยมีเจ้ากบสีเขียวอ่อนนั่งยิ้มปากกว้างอยู่บนชุดของเธอ

    "ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ช่างมีอารมณ์ขันนะ" โชหันมากระซิบกับเธอ เมื่อเห็นชุดของแพนซี่ที่ยืนหน้างออยู่ตรงนั้น ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้ว่า อย่างน้อยชุดของเธอก็ไม่ได้เลวร้ายที่สุด

    ...+*+*+...

    "มิสเกรนเจอร์" เสียงของศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ดังขึ้น ก่อนที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลในชุดนอนสีแดงแปลกตาจะนัดแนะกับเธอเรื่องกำหนดการในวันนี้เป็นรอบที่สิบ

    "คะ?" เด็กสาวหันไป และเห็นร่างสูงในชุดนอนกำมะหยี่สีม่วงกำลังเดินเข้ามาหา

    "เป็นไง ชอบชุดของเธอไหม? ชั้นเลือกให้เป็นพิเศษเลยนะ" ดัมเบิลดอร์ถามหน้าตาเฉย ในขณะที่เด็กสาวเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอกำลังอยู่ในชุดนอนอันแสนจะน่ารักน่าชัง

    "อ๋อค่ะ เยี่ยมไปเลย... แต่จะดีกว่านี้ถ้าอาจารย์จะเลือกชุดที่ไม่มีเจ้าหมีตัวนี้ให้กับหนู" เฮอร์ไมโอนี่บอก พลางชี้นิ้วไปที่เจ้าหมีน้อยที่นั่งระรื่นอยู่บนชุดของเธอ

    "ไม่เอาน่า ชุดนี้น่ารักจะตาย... อย่างน้อย ก็น่ารักกว่าชุดของมิสพาร์กินสัน จริงมั๊ย?" ดัมเบิลดอร์พูด ก่อนจะหลิ่วตาไปทางแพนซี่ที่กำลังฟังกำหนดการจากศาสตราจารย์มักกอนนากัลด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย

    "ค่ะ" เด็กสาวตอบ ก่อนจะส่งยิ้มเจื่อนๆ ให้เขาที่หันกลับมามองเธอด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ผิดกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง

    "ชั้นรู้ มิสเกรนเจอร์ ชั้นรู้ดี... วันนี้มีเรื่องเลวร้ายมากมายเกิดขึ้นกับเธอ... ชั้นรู้ว่ามันยากที่เธอจะยอมรับในเรื่องต่างๆ ที่อยู่ๆ ก็ประดังเข้ามาราวกับพายุและคลื่นลูกใหญ่ที่โถมเข้าใส่เรือลำน้อยกลางมหาสมุทร... แต่เชื่อชั้นสิ ว่าเธอจะสามารถผ่านพ้นเรื่องราวพวกนี้ไปได้แน่นอน... อย่ากังวลไปเลยนะ มิสเกรนเจอร์..." ศาสตราจารย์กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน

    "อาจารย์... รู้ได้ยังไงคะ" เด็กสาวถาม สีหน้าทั้งประหลาดใจและตกใจ

    "เอาเป็นว่า... อย่าคิดมาก และสนุกกับงานวันนี้ก็เพียงพอแล้ว... แล้วก็อย่าลืมว่าท้องฟ้ามักจะสดใสหลังจากเมฆฝนได้ผ่านพ้นไปแล้วเสมอ" ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์บอก ก่อนจะเดินจากไป

    ...+*+*+…

    บรรดานักเรียนหลายร้อยคนในชุดนอนสีสันสดใสต่างพากันเข้ามาอย่างเนืองแน่นเมื่อใกล้เวลาสองทุ่ม นักเรียนหลายคนต่างพากันจับกลุ่มคุยกันอย่างตื่นเต้นกับปาร์ตี้ชุดนอนที่ไม่มีการบอกล่วงหน้าในวันนี้ และนักเรียนอีกหลายต่อหลายคนกำลังงงว่า เดินเข้ามาถูกห้องหรือเปล่า? และนั่นก็เป็นคำถามที่แฮร์รี่กำลังคิดหาคำตอบอยู่... และในที่สุด เขาก็ได้รับคำตอบจากฝาแฝดผู้พี่ของรอนซึ่งอธิบายอย่างละเอียด และเมื่อคำถามนั้นถูกไข คำถามต่อไปก็เข้าแทรกทันที... 'แล้วรอนหายไปไหน?' แล้วแฮร์รี่ก็ได้รับคำตอบจากทั้งสองแฝดอย่างที่คาดไว้ 'เราก็กำลังจะถามนายอยู่เหมือนกัน!'

                    เฮอร์ไมโอนี่นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งใกล้กับที่ว่างขนาดใหญ่ท่ามกลางโต๊ะกลมๆ สีเงินมากมาย ซึ่งที่ตรงนั้นถูกจัดไว้สำหรับเป็นฟลอร์เต้นรำจนถึงตอนนี้เธอยังไม่เห็นแม้แต่วี่แววของนักดนตรี หรือแม้กระทั่งเครื่องดนตรีสักชิ้นปรากฏในงานนี้เลย... มีเพียงฟลอร์เต้นรำที่ว่างเปล่า... เธอชักจะสงสัยว่า ปาร์ตี้จะสนุกได้อย่างไรหากไม่มีเสียงดนตรี...

    "เฮอร์ไมโอนี่!" โชสะกิดที่ต้นแขนของเธอ แล้วหันไปทางศาสตราจารย์มักกอนนากัลที่กวักมือเรียกพวกเธออย่างเร่งรีบ ทั้งสองจึงรีบลุกจากโต๊ะ และตรงเข้าไปหาเธอ

    "ประจำที่เร็ว!... ศาสตราจารย์สเนปกำลังมา" เสียงของอาจารย์ค่อนข้างห้วน ก่อนจะลากโชและเฮอร์ไมโอนี่ไปยืนริมฟลอร์เต้นรำ โดยมีแพนซี่และตัวแทนประสานเสียงอีกคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว

    "ตั้งใจนะ!! ทำตามที่เราซ้อมไว้!! อย่าตื่นเต้น!!" ศาสตราจารย์พูดอย่างรวดเร็ว แล้วทำท่าจะเดินไปที่โต๊ะกลมตัวใหญ่ของอาจารย์ แต่แล้วเธอก็ให้กลับมาอีกครั้ง พร้อมกับหน้าตาจริงจัง "เกือบลืม! อาจารย์ใหญ่ของพวกเธอเพิ่งบอกชั้นเมื่อครู่นี้ว่า ตอนที่ร้องเพลงอยู่แล้วถูกยกให้ลอยเหนือพื้นก็อย่าตกใจ เพราะ เขาเพิ่งจะเพิ่มคาถาใหม่ลงไปที่ฟลอร์..."

    + - บทที่ 15 - +

                    เสียงใสๆ ของแก้วและช้อนที่กระทบกันดังขึ้น ส่งผลให้นักเรียนที่อยู่บนชายหาดต่างพากันเงียบเงียบเสียจนได้ยินเสียงม้วนตัวของเกลียวคลื่นได้อย่างชัดเจน และไม่นานนัก ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ก็ลุกขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มอย่างอบอุ่น

    "นักเรียนที่รักของชั้น โปรดฟังทางนี้... ชั้นมีเวลาที่จะชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่กันไม่มากนัก..." ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์เว้นช่วงเล็กน้อย "สรุปสั้นๆ ก็คือ วันนี้เป็นวันเกิดของศาสตราจารย์สเนป..." สิ้นเสียงของศาสตราจารย์ เสียงพึมพำของนักเรียนก็ดังขึ้นทันที ทำให้ศาสตราจารย์มักกอนนากัลต้องส่งสัญญาณให้เงียบอีกครั้ง

    "และเราได้จัดปาร์ตี้ชุดนอนขึ้น ดังนั้น ไม่ต้องตกใจหากตอนนี้พวกเธอกำลังสวมชุดนอนลายเจ้ากระต่ายขนปุยหรือเจ้าหมีอ้วนตัวน้อย แทนที่จะเป็นเสื้อคลุมตัวโปรดที่พวกเธอมักจะชอบใส่ลงมาทานข้าว... แล้วชั้นก็ยังจัดฟลอร์เต้นรำไว้ให้ เผื่อว่านักเรียนคนไหนอยากจะโชว์ลีลาการเต้นอันแสนเร้าใจที่แอบซุ่มซ้อมมานาน... " เขากล่าวแล้วหลิ่วตาไปทางเนวิลล์ที่หน้าแดงขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล "และงานนี้ก็จะมีคู่ขวัญเหมือนกับงานที่แล้วด้วย... ขอให้ทุกคนสนุกกับปาร์ตี้!!!"  พูดจบศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ก็โบกไม่กายาสิทธิ์ของเขาหนึ่งครั้ง ส่งผลให้เทียนไขทุกเล่มดับลงในทันที

    ...+*+*+...

                    ทุกสายตาจับจ้องไปยังประตูที่เหมือนกับในห้องโถงทุกประการ เพียงแต่ตั้งอยู่บนพื้นทรายโดยที่ไม่อาศัยผนังเท่านั้น ไม่นานนัก ประตูห้องโถงก็เปิดออก พร้อมกับร่างของศาสตราจารย์สเนปที่ถูกดูดให้เข้ามายืนเซเล็กน้อยที่หน้าประตู สีหน้าของเขาดูประหลาดใจไม่น้อย... นักเรียนหลายคนต่างพากันชื่นชมศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์เมื่อเห็นชุดของอาจารย์สอนปรุงยาของพวกเขา... ชุดนอนสีเขียวเข้มลายทางสีขาว... ช่างเข้ากับผมมันเยิ้มสีดำสนิทของเขาจริงๆ และยังไม่ทันที่สมองอันชาญฉลาดของสเนปจะลำดับเหตุการณ์ได้ทัน... เสียงของตัวแทนนักเรียนทั้งสี่บ้านก็ดังขึ้น เป็นอย่างที่เฮอร์ไมโอนี่คาดไว้ไม่มีผิด... การร้องเพลง Happy Birthday ของพวกเธอในครั้งนี้ไม่มีดนตรีจริงๆ เสียด้วย... แต่เด็กสาวก็ยังแอบสงสัยอยู่ดีว่า เมื่อถึงตอนเต้นรำ ถ้าไม่มีดนตรีแล้วจะเต้นรำกันได้ยังไง?

    "Happy Birthday!!! เซเวอร์รัส!!! หวังว่าคุณจะชอบชุดที่ผมเลือกให้นะ" ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ร้องเสียงดัง เมื่อตัวแทนทั้งสี่ร้องเพลงจบ สเนปยิ้มแหยๆ ก่อนจะก้มลงมองเสื้อผ้าของตนด้วยอารมณ์ที่อยากจะแทรกแผ่นดินหนี

    "ประทับใจอย่างถึงที่สุดเลยครับ" สเนปกัดฟันตอบ และก้มหัวเป็นมันเยิ้มให้กับดัมเบิลดอร์

    "เอาล่ะ ผมยังมีเซอร์ไพร์สอีกอย่าง ที่คุณจะต้องคาดไม่ถึงเป็นแน่!" ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์กล่าวแล้วยิ้มให้กับสเนป ที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าประตู "คุณยังจำคู่ขวัญงานเต้นรำวันคริสต์มาสได้ไหม เซเวอร์รัส" สเนปพยักหน้าน้อยๆ และพยายามไม่จินตนาการล่วงหน้าไปถึงเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น

    "นั่นล่ะ... วันนี้ผมขอเชิญคุณเป็นเกียรติเต้นรำเปิดฟลอร์กับคู่ขวัญของเราหน่อย จะได้ไหม?" เป็นคำเชิญชวนแสนไพเราะ แต่คล้ายกับดัมเบิลดอร์กำลังกรอกยาพิษเข้าปากของสเนป... คู่ขวัญที่ดัมเบิลดอร์พูดถึงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก 'เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์' ซึ่งเป็นหนึ่งในนักเรียนอันดับต้นๆ ที่เขาชื่นชอบน้อยที่สุด

    "คาดไม่ถึงจริงๆ ครับ ท่านอาจารย์ใหญ่" สเนปเค้นเสียงประชดออกมาจากลำคอ

    "เอาเป็นว่า คุณตกลงใช่ไหม" ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์ถาม แล้วยิ้มให้กับสเนปอีกครั้ง

    "ผมมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธด้วยหรือครับ" สเนปตอบกลับเสียงเรียบ และยิ้มน้อยๆ คล้ายกับว่าเป็นการหยอกเล่น แต่ว่าแววตาของเขากลับตรงข้ามกับรอยยิ้มอย่างสิ้นเชิง

    ...+*+*+...

                    เฮอร์ไมโอนี่เดินออกมายืนกลางฟลอร์เต้นรำตามที่ศาสตราจารย์มักกอนนากัลได้นัดแนะไว้เกือบสิบรอบ และเธอก็รู้สึกถึงสายตามากมายที่จับจ้องมาที่ชุดของเธอ... เธอคงไม่อายเท่านี้ หากชุดนอนของเธอไม่มีเจ้าหมีตัวโตที่นั่งแลบลิ้นอยู่นี่... แต่เธอก็พยายามคิดปลอบใจตัวเองอยู่เสมอว่าอย่างน้อย ชุดของเธอก็ไม่ได้แย่ที่สุด... เฮอร์ไมโอนี่ใช้เวลาขณะที่รอสเนปอยู่มองหานักดนตรีซึ่งควรจะมาได้แล้ว แต่เธอก็ไม่เห็นแม้แต่เงาหรืออะไรสักอย่างที่จะบ่งบอกว่าจะมีนักดนตรีปรากฏตัวในงานนี้

                    สเนปค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างสุขุมมายืนที่ตรงหน้าของเฮอร์ไมโอนี่ บนใบหน้าของเขาไม่มีแม้แต่รอยยิ้มหรือแววตาที่อ่อนโยนให้กับเด็กสาวเลย... แต่ถึงอย่างนั้นเฮอร์ไมโอนี่ก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะ เธอรู้สึกชินชาเสียแล้ว... สเนปไม่ได้โค้งให้กับเธอเหมือนกับที่ผู้ชายทุกคนควรจะทำ เขายืนนิ่งและมองมาที่เฮอร์ไมโอนี่ด้วยแววตาไม่เป็นมิตร และก่อนที่จะเกิดสงครามประสาทขึ้นกลางฟลอร์ เสียงบรรเลงจากไวโอลินก็แว่วเข้ามาในโสตประสาท...

                    เฮอร์ไมโอนี่หันไปทางต้นเสียงทันที... ถึงแม้ว่าแสงสลัวๆ จากเปลวเทียนทำให้เธอมองเห็นไม่ถนัดนัก แต่เธอก็พอจะรู้ว่า นักดนตรีทั้งสี่คนสวมเสื้อคลุมสีดำสนิทพร้อมกับฮู้ดคลุมศีรษะซึ่งทำให้พวกเขาดูสงบเยือกเย็นและน่าเกรงขามไปในเวลาเดียวกัน... เสียงแสนเศร้าของไวโอลินบาดลึกลงไปในใจของเธอจนรู้สึกเหมือนกำลังจะร้องไห้... เด็กสาวก้มหน้ามองพื้นทรายอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสเนปซึ่งยังคงนิ่งเฉยเหมือนเดิม เฮอร์ไมโอนี่จึงเป็นฝ่ายย่อตัวให้เขาก่อน คล้ายกับชั่งใจอยู่พักหนึ่งสเนปจึงก้มหัวหรือจะเรียกว่าพยักหน้าอย่างรวดเร็วให้กับเธอ ซึ่งถ้าใครไม่สังเกตก็จะไม่รู้เลยว่านั่นคือการโค้งของเขา

                    เฮอร์ไมโอนี่วางมือทั้งสองอย่างเบาที่สุดลงบนไหล่และมือของสเนป ในขณะที่อีกฝ่ายก็พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่แตะโดนเอวของเธอ... และทั้งคู่ก็ขยับขาไปบนฟลอร์อย่างเสียมิได้ และเสียงปรบมือก็ดังขึ้น นักเรียนหลายคนร้องตะโกนอย่างถูกใจ เพราะ ไม่เคยได้เห็นการเต้นรำที่แปลกประหลาดอย่างนี้ ส่วนนักเรียนอีกหลายคนก็รู้สึกสงสารเธอจับใจ ที่ต้องเต้นรำกับสเนป

                    เด็กสาวพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ประสานสายตากับสเนป เธอเลือกที่จะมองข้ามไหล่ของเขาไป ตอนนี้เธอมองเห็นวงดนตรีได้อย่างชัดเจน เพราะ แสงไฟเริ่มสว่างขึ้น... ในวงดนตรีมีเครื่องดนตรีอยู่สี่อย่างคือ เปียโน วิโอลา เชลโล และไวโอลิน...

    เสียงของไวโอลินทำให้เธอรู้สึกเศร้าได้ตลอดเวลาที่ก้าวเท้าไปตามจังหวะเพลง เธอมองตามนิ้วเรียวยาวของนักไวโอลินที่กดลงไปบนสายลวดนั้น พลันหัวใจของเธอก็หล่นวูบเมื่อเห็นแหวนที่นิ้วก้อยมือซ้ายของเขา... 'มัลฟอย!?...' และความคิดของเธอก็ถูกยืนยัน เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเงยหน้าขึ้นมา และสายตาของเขาและเธอก็ประสานกัน... เด็กหนุ่มชะงักมือที่กำลังกดลงบนสายไวโอลินในทันที...

                    ความรู้สึกมากมายที่ถ่ายทอดผ่านสายตาของเขาทำให้น้ำตาของเฮอร์ไมโอนี่เอ่อขึ้นมาที่ขอบตา ถึงแม้เธอจะไม่เข้าใจมากนักว่าเขาต้องการจะบอกอะไร... เพียงแค่สายตาของเขาในตอนนี้ไม่ใช่สายตาที่เย็นชาเหมือนตอนที่อยู่ในห้องพยาบาลตอนบ่ายวันนี้ เพียงเท่านี้เธอก็รู้สึกดีใจเกินกว่าอะไรแล้ว...

     + - บทที่ 16 - +

                    มัลฟอยยืนนิ่งพร้อมกับมองเฮอร์ไมโอนี่ที่เต้นรำกับเสนปอย่างไม่วางตา ความรู้สึกผิดที่เขาตวาดเธอตอนที่อยู่ในห้องพยาบาลถาโถมเข้ามาในใจอีกครั้ง... ทำไมนะ... ทำไมเขาต้องกังวลกลัวว่าเธอจะเสียใจ... แล้วทำไม... ทุกครั้งที่เขานอนหลับจะต้องมีภาพของปรากฏเธออยู่ในความฝันเสมอ... อาจเป็นไปได้ไหมที่เขาประสบอุบัติเหตุจนความจำเสื่อม แล้วจำเธอไม่ได้... แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขายังจำทุกคนได้... จำได้แม้กระทั่ง แฮร์รี่ พอตเตอร์ เด็กหนุ่มที่เขาเกลียดแสนเกลียด...

                    ในที่สุด การเต้นรำระหว่างเฮอร์ไมโอนี่กับเสนปผ่านไป โดยที่ไม่มีใครสักคนรับรู้เลยว่าเสียงไวโอลินเงียบหายไปขณะที่เพลงกำลังบรรเลงอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นนักเรียนหลายคนก็ยังสังเกตเห็นว่านักดนตรีคนหนึ่งเดินออกไปจากวงทันทีที่การเต้นรำเปิดฟลอร์จบลง

    …+*+*+…

    มัลฟอยเดินตามแนวชายหาดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไกลพอที่จะไม่ได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ในงาน ไวโอลินสีน้ำตาลตัวโปรดที่ถืออยู่ในมือข้างหนึ่ง ถูกวางไว้บนพื้นทรายสีขาวสะอาด และตามด้วยเจ้าของที่นั่งลงข้างๆ ก่อนจะปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไปไกล... เสียงคลื่นที่ม้วนตัวเข้าหาฝั่ง ทำให้เขาไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาใกล้

    "หวัดดี มัลฟอย" เสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกตัว

    "หวัดดี..." เด็กหนุ่มพูดเสียงแผ่ว พร้อมกับภาพความทรงจำของเธอค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

    "ขอชั้นนั่งด้วยคนนะ" เฮอร์ไมโอนี่พูด พลางนั่งลงข้างๆ เขาโดยไม่รอคำตอบ ทั้งสองนั่งเงียบราวกับมีกระจกล่องหนกั้นพวกเขาออกจากกัน

    "วันนี้เธอคงเสียใจมากสินะ ถึงได้ร้องไห้" มัลฟอยพูด โดยที่ไม่หันมามองเธอ แต่นั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่ถึงกับชะงัก เพราะว่า เขาพูดเหมือนกับตอนที่เห็นเธอร้องไห้เมื่อตอนถูกกักบริเวณทุกประการ (จากตอน : การเริ่มต้น)

    "ชั้น... ชั้นไม่ได้เสียใจ... ชั้นแค่..." เด็กสาวพยายามจะแก้ตัว แต่เขาก็ขัดขึ้นมาเสียก่อน

    "ชั้นขอโทษนะที่ตวาดเธอ ชั้นไม่ได้ตั้งใจจะทำเธอร้องไห้" เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา

    "ชั้นไม่โทษนายหรอก ถ้าหากชั้นเป็นนายชั้นก็คงจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน" เฮอร์ไมโอนี่พูด และหันไปมองเขา สีหน้าของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับมัลฟอยคนเดิมที่เธอเคยรู้จัก

    "ไม่รู้ทำไม ชั้นต้องกังวลกลัวว่าเธอจะเสียใจ ทั้งๆ ที่เราก็ไม่รู้จักกัน แต่ทำไม... ชั้นต้องกังวลมากขนาดนั้นด้วย"  เขาพูด ในขณะที่เฮอร์ไมโอนี่รับฟังอยู่เงียบๆ

    "เราเคยรู้จักกันใช่ไหม?" เด็กหนุ่มถาม และหันมาจ้องหน้าเธอ เด็กสาวเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจตอบเขา

    "อือ" เฮอร์ไมโอนี่ตอบเบาๆ

    "แล้วเธอรู้ไหม... ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชั้น..." เขาพูด พลางยกมือขึ้นกุมศีรษะ คิ้วขมวดเข้าหากันอย่างสับสน "บอกที... ว่าชั้นเป็นอะไร... ทำไม... ชั้นจำอะไรเกี่ยวกับเธอ... ไม่ได้เลย..."

    "มัลฟอย..." เฮอร์ไมโอนี่คราง แล้วน้ำตาก็เริ่มปริ่มขึ้นมาที่ขอบตาอีกครั้ง

    "ทำไม ชั้นถึงนึกอะไรเกี่ยวกับเธอไม่ออกเลย... ทั้งๆ ที่ชั้นรู้สึกเหมือนว่า... เรา... เราเคย... รักกัน" คำพูดของเด็กหนุ่ม ทำให้น้ำตาของเด็กสาวร่วงลงมาราวกับสายฝน เฮอร์ไมโอนี่ยกมือขึ้นปิดหน้า พลางพยามหยุดร้องไห้ แต่แล้วน้ำตาที่กำลังจะหยุดไหลของเธอ ก็กลับพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มคว้าร่างที่กำลังสะอึกสะอื้นของเธอเข้ามากอดไว้...

    "ชั้นขอโทษ... ขอโทษที่ทำให้เธอร้องไห้..." เด็กหนุ่มกระซิบอย่างแผ่วเบา แล้วกระชับกอดให้แน่นขึ้น พลันภาพความทรงจำมากมายก็ผ่านเข้ามาในห้วงความคิด... เขาหลับตาลง พร้อมกับภาพความทรงจำเกี่ยวกับเธอที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ...

    "เลิกร้องไห้ได้แล้ว ยัยเลือดสีโคลน"

    "มัลฟอย"

    "ใครรังแกเธอ"

    "ถามได้ ก็นายน่ะสิ"

    "อยากรู้ไหมล่ะว่าคนที่ฉันชอบคือใคร"

    "อยากสิ"

    "ฉันจะใบ้ให้ล่ะกัน แล้วเธอก็ตอบ ตกลงไหม"

    "โอเค"

    "แต่มีข้อแม้นะ ถ้าเธอตอบผิด เธอต้องให้ฉันหอมแก้มหนึ่งที"

    "ไม่"

    "เธอตกลงไปแล้ว ทำยังไงได้ล่ะ"

    "แล้วก็ ถ้าเธอตอบถูก เธอต้องหอมแก้มฉันทีนึง"

    "เธออยากรู้เหรอ เอาหูมาใกล้ๆ สิ"

    "เอาล่ะ บอกได้รึยังแต่ชั้นขอเตือนนายก่อนนะ ถ้าเกิดว่านายคิดจะหอมแก้มชั้นล่ะก็ ชั้นมีไม้กายาสิทธิ์นะ" "โธ่! เธอจะไว้ใจชั้นสักครั้งได้มั๊ยเนี่ย"

    "ตกลง นายจะบอกชั้นมั๊ยเนี่ย"

    "เป็นความลับ"

    "คำขอโทษ 'คำเดียว' ใช้ไม่ได้เสมอไปหรอก"

    "ต้องให้ขอโทษซัก 'พันคำ' เลยรึไง"

    "เอาเถอะๆ"

    "ขอโทษขอโทษขอโทษ…"

    "ชั้นไม่ได้หมายความว่าหยั่งงั้นซะหน่อย ที่ชั้นพูดน่ะหมายถึง นี่!!!" (เขาพูด แล้วชี้ไปที่แก้ม)

    "บ้ากาม"

    "นั่นสินะ...ดาวสวยเนอะ"

    "อืม...สวยมากเลยล่ะ"

    "ปีนี้ชั้นไม่มีของขวัญคริสมาสต์ให้เธอนะ ยัยหัวฟู" 

    "ใครว่าล่ะ เธอพึ่งให้ของขวัญชิ้นใหญ่ให้ชั้นเมื่อกี้นี้เอง ลืมไปแล้วหรือ"

    "งั้นเหรอ?"

    "มันเป็นของขวัญที่วิเศษสุดจริงๆ นะ เป็นของขวัญที่ชั้นไม่ค่อยได้รับจากใคร และเป็นของขวัญที่ตามองไม่เห็น"

    "เอ่อ...ที่เธอหมายถึงคือ..."

    มันคือ ความสุขยังไงล่ะ... ความสุขที่ชั้นไม่เคยได้รับจากใคร นอกจากนาย…”

    "เอาไว้ให้ฉันแต่งงานกับเธอก่อนแล้วฉันจะสวมแหวนให้เธอข้างซ้าย"

    "ไม่มีทาง ฉันไม่แต่งงานกับนายหรอก"

    "ไม่แต่งงานกับฉันไม่เป็นไร แต่ถ้าเธอถอดแหวนออกเมื่อไหร่ ฉันขอให้เธอสำลักน้ำฟักทอง"

    "นี่ถือโอกาสจะแก้แค้นกันเลยใช่ไหมเนี่ย"

    "แหวน...รูปดาว" เด็กหนุ่มกระซิบ หัวใจของเฮอร์ไมโอนี่พองโตขึ้นมาอย่างดีใจ

    "นายจำได้แล้ว!!!" เฮอร์ไมโอนี่ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ พลางผละออกมาจากเขาพร้อมกับปาดน้ำตาที่อยู่บนใบหน้าด้วยหลังมือ แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหน้าของเขาซีดจนไม่เหลือสี เม็ดเหงื่อซึมอยู่ทั่วใบหน้า

    "นายเป็นอะไรรึเปล่า ไหวไหม? ไปห้องพยาบาลกันดีกว่า..." เฮอร์ไมโอนี่พูด แล้วทำท่าจะลุกขึ้น แต่เด็กหนุ่มกลับรั้งเธอเอาไว้

    "ไม่ต้องหรอก... แหวนนั่นที่ชั้นให้เธอหรอ" มัลฟอยถาม แล้วชี้ไปที่แหวนที่นิ้วก้อยมือขวาของเธอ

    "เปล่า" เฮอร์ไมโอนี่ตอบสั้นๆ ตอนนี้เธอเป็นห่วงอาการของเขามากกว่า

    "แล้วทำไม เธอไม่ใส่แหวนที่ชั้นให้ล่ะไม่กลัวสำลักน้ำฟักทองหรอ" เขาถามต่อ ทำเอาเฮอร์ไมโอนี่อึ้งไปเล็กน้อย 'นี่เขาเริ่มจำบางอย่างได้แล้วใช่ไหม?'

    "กลัวสิ แต่แหวนที่นายให้น่ะ ถูกชาวเงือกเอาไปแล้วล่ะ" เธอตอบ รู้สึกเหมือนกับว่าน้ำตากำลังจะไหลออกมาอีก

    "แล้วทำไมเธอถึงใส่แหวนวงนี้แทนล่ะ?" เด็กหนุ่มถาม

    "ชั้นว่าเราไปห้องพยาบาลกันดีกว่าไหม" เฮอร์ไมโอนี่พูด แต่เด็กหนุ่มกลับส่ายหน้า

    "ไม่ ตอบชั้นก่อน ชั้นอยากจำเรื่องราวของเราได้" เขาบอกเสียงแข็ง

    "ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าได้มายังไง จำได้ว่าเมื่อวานก็ยังไม่เคยเห็นเลย แล้ววันนี้ชั้นก็จำไม่ได้ด้วยว่าได้มายังไง แต่ที่ชั้นรู้ก็คือ นายก็ใส่เหมือนกัน" เฮอร์ไมโอนี่บอก เด็กหนุ่มจึงก้มลงมองมือของตน ก็พบแหวนลักษณะเหมือนกันอยู่บนนิ้วก้อยมือซ้ายของเขา...

    + - บทที่ 17 - +

    มัลฟอยเอื้อมมือข้างที่สวมแหวนไปสัมผัสข้างแก้มของเธออย่างเบามือ ใบหน้าที่อ่อนแรงของเขาขยับเข้ามาใกล้จนเฮอร์ไมโอนี่รู้สึกได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขาเด็กหนุ่มจ้องลึกลงไปในดวงตาสีน้ำตาลของเธอซึ่งเริ่มมีน้ำตาคลอขึ้นมาอีกครั้ง... เขาโน้มศีรษะลงไปหาเธอจนใบหน้าของทั้งสองอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ ดวงตาที่ประสานกันอยู่นั้นแทบทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้น... เด็กสาวค่อยๆ หลับตาลง พร้อมกับที่เขาก้มลงจูบเธออย่างอ่อนโยน

    เวลาก้าวผ่านบรรยากาศที่เงียบสงบไปอย่างช้าๆ ราวกับรับรู้ถึงสิ่งที่ทั้งสองปรารถนา... แล้วภาพความทรงจำซ้ำเก่าเริ่มผ่านเข้ามาในหัวของเด็กหนุ่มอีกครั้ง พร้อมกับความรู้สึกปวดหัวจนแทบจะระเบิดที่กลับมาอีกเช่นกัน... เด็กหนุ่มพยายามฝืนความรู้สึกนั้น เพื่อที่จะได้จดจำภาพความทรงจำที่ดีเหล่านั้นไว้ให้มากที่สุด จนในที่สุด ความรู้สึกนั้นก็เอาชนะความพยายามของเขาได้สำเร็จ... เด็กหนุ่มถอนริมฝีปากออกมาจากเธอทันที พร้อมกับความรู้สึกปวดหัวที่สิ้นสุดลง

    และยังไม่ทันที่ทั้งสองจะได้พูดอะไรกัน หาดทรายที่พวกเขานั่งอยู่นั้นก็สั่นไหวอย่างรุนแรง มัลฟอยคว้าตัวของเฮอร์ไมโอนี่มากอดไว้ทันที ในขณะที่เธอหลับตาแน่น และรู้สึกเหมือนมีแรงบางอย่างกระชากเธอให้สูงขึ้นจากพื้น จนในที่สุด แรงนั้นก็หายไป พร้อมกับที่ร่างของเธอหล่นลงมาอยู่ในห้องที่มืดทึบ... มีเพียงแสงจันทร์ที่ลอดผ่านช่องระหว่างผ้าม่านเท่านั้นที่พอจะทำให้เธอพอมองเห็นสิ่งต่างๆ ภายในห้อง ความกลัวคืบคลานเข้ามาหาเธออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อรู้ว่ามัลฟอยหายไป ทั้งมือและเท้าของเธอเย็นเฉียบ สายตาพยายามมองหาเด็กหนุ่มอย่างวุ่นวายใจ แล้วเธอก็ต้องตกใจจนเกือบร้องออกมา เมื่อถูกแรงกระชากไปทางด้านหลัง

    "มัลฟอย" เฮอร์ไมโอนี่กระซิบ เมื่อรู้ว่าคนที่ดึงเธอมานั้นคือเด็กหนุ่มที่เธอกำลังมองหาอยู่ "เจ็บตรงไหนรึเปล่า?"

    "ไม่... แล้ว... เธอล่ะ" เขาพูด สลับกับหอบหายใจถี่ๆ ซึ่งนั่นทำให้เฮอร์ไมโอนี่รู้สึกไม่ไว้ใจในคำตอบของเขาเลย

    "ชั้นไม่เป็นไร แต่นาย... ไม่เป็นไรแน่นะ" เด็กสาวถาม ในขณะที่เขาพยักหน้าแทนคำตอบ พลางใช้หลังมือปาดเหงื่อที่อยู่บนใบหน้า

                    ทันใดนั้น ห้องทั้งห้องก็สว่างขึ้นด้วยแสงจากเทียนไขนับสิบเล่ม พร้อมกับร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานกลางห้อง สายตาเย็นชาของเขาจ้องมองมายังเฮอร์ไมโอนี่ที่นั่งตัวแข็งทื่อเมื่อรู้ว่าเขาคือใคร...

    "พ่อ..." มัลฟอยคราง แต่เขาก็เงียบไปทันทีเมื่อเห็นสายตาเย็นชาของผู้ที่ถูกเรียกว่า 'พ่อ' ชำเลืองมา

    "ชั้นนึกว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วซะอีกนะ" เสียงเยียบเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ของนายลูเซียส มัลฟอยดังขึ้น ตามด้วยเจ้าของเสียงที่เดินมายืนอยู่ตรงหน้าเฮอร์ไมโอนี่และมัลฟอยที่นั่งอยู่พื้นหินอ่อนที่เย็นเฉียบ "แต่ก็ไม่... เธอก็ยังเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตลูกชายของชั้นเหมือนเดิม"

    "คุณไม่มีสิทธิห้ามชั้น!" เฮอร์ไมโอนี่ตะโกนออกไปเสียงดัง "เขาต่างหากที่มีสิทธิ!"

    "ถ้าเธอคิดอย่างนั้น เธอก็ควรจะปรับความเข้าใจอะไรบางอย่างซะใหม่นะ..." นายลูเซียสเว้นช่วง ก่อนจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่แฝงไปด้วยอำนาจ "สิทธิทุกอย่างในตัวของเดรโกเป็นของชั้น!"

                    ความเงียบเข้าแทรกระหว่างบทสนทนาที่เปี่ยมไปด้วยความเย็นชานั้นทันที เฮอร์ไมโอนี่นั่งนิ่งนึกหาคำพูดจะมาต่อปากต่อคำกับอีกฝ่าย แต่กว่าสิบนาทีแล้ว เธอก็ยังไม่พบกับคำพูดที่จะตอกเขากลับไปได้เสียที จนในที่สุด มัลฟอยที่นั่งอยู่ข้างเธอก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ

    "ผมว่า... พ่อนั่นแหละที่ควรเลิกยุ่งกับชีวิตผมซะที!" เด็กหนุ่มพูดอย่างอ่อนเพลีย นั่นทำให้ลูเซียสหันมาทันที

    "แกพูดว่าอะไรนะ?" ลูเซียสถามอย่างไม่เชื่อหู ใบหน้าที่เคยซีดขาวของเขากลับกลายเป็นสีแดงอย่างคนโกรธจัด

    "เลิกยุ่งกับชีวิตผมซะที!" มัลฟอยตอบกลับไปอย่างหนักแน่น และในทันทีที่ลูเซียสดึงไม้กายาสิทธิ์จากเสื้อคลุมของตนมาจ่อตรงหน้าลูกชาย เด็กหนุ่มกัดฟันแน่นจนรู้สึกเจ็บ

    "มันล้างสมองแกรึไง เดรโก!" ลูเซียสพยายามรักษาระดับเสียงให้เหมือนเดิม

    "ไม่มีใครล้างสมองผมได้หรอกฮะ พ่อ!" มัลฟอยพูด พร้อมกับใจที่เต้นไม่เป็นส่ำ

    "แกอยากจะลองดีกับชั้นรึไง!?" ลูเซียสพูดอย่างโมโห พร้อมกับจ้องลูกชายที่มองตอบกลับมาอย่างไม่เกรงกลัว

    "ได้! ถ้าแกต้องการ!! ชั้นจะลบความจำของพวกแกทั้งคู่!!" ลูเซียสพูดอย่างหมดความอดทน แต่ก่อนที่เขาจะร่ายคาถา ประตูห้องก็เปิดออก พร้อมกับไม้กายาสิทธิ์ในมือของลูเซียส มัลฟอยที่ลอยไปอยู่ในมือของใครอีกคนตรงหน้าประตู

    "ข้าจัดการเอง ลูเซียส!"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×