คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ต้นไม้ใหญ่ชูกิ่งก้านสูงแผ่ใบเขียวขจีกว้างปกคลุมพื้นที่นี้คือวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นแม่ของเผ่าเอลฟ์ทุกตน พวกเราเกิดมามีหน้าที่เพื่อปกป้องป่า เอลทาเนีย แห่งนี้ไว้ ฉันก้าวมายืนเบื่องหน้ามาเธอร์คุกเข่าภาวนาสาบานตนเพื่อก้าวเข้าสู้การเป็นผู้ใช้ธาตุด้านมืดระดับที่ห้า พิธีทั้งหมดจะเสร็จสิ้นหลังจากมาเธอร์หลั่งน้ำแห่งทิพย์เพื่อให้พลัง พรมบนศีรษะ และประกาศให้เอลฟทุกตนในเอลทาเนียแห่งนี้ได้ทราบว่า ฉันได้เลื่อนระดับแล้ว มันไม่ใช่หน้าที่ยิ่งใหญ่อะไรนักเทียบกับพวกนักรบแล้ว แลจะมีความสำคัญน้อยกว่ามาก เพียงได้แต่ใช้พลังแห่งธาตุต่อต้านการบุกรุกป่าเอลทาเนียจากภายนอกเท่านั้น คนที่รู้สึกเฉื่อยชาแบบฉันเหมาะกับหน้าที่แบบนี้ที่สุดละ เพียงแต่การยกระดับครั้งนี้มันกลายเป็นการดึงฉันไปพัวพันกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน
"เซรี่" นักรบชั้นสูงสวมเกราะที่งดงามบอกระดับความสำคัญในสังคมเดินเข้ามาในบริเวณวิหารพร้อมเรียกชื่อ ฉันมองเธออยู่พักหนึ่งคาดเดาไม่ออกว่าคนระดับนี่มีธุระอะไรกับผู้ใช้ธาตุระดับต่ำเช่นฉัน
"ดูเหมือนเธอยังไม่มีสมาคมสินะ เราขาดคนใช้ธาตุมืดเช่นเธออยู่" นักรบสูงศักดิ์เอ่ยปากก่อนเบื้องหลังจะปรากฏเอลฟ์หลายตนหน้าทางเข้าวิหารเดินตามกันเข้ามา ฉันอดคิดไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
"จริงแล้วไม่มีคนรับเข้าสมาคมต่างหากคะ ผู้ใช้ธาตุความมืดไม่มีความสำคัญกับสมาคมไม่ใช่เหรอค่ะ?" ฉันถามอ้อมไปถึงจุดประสงค์ นักรบสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนพูดออกมา
"ก็ไม่ถึงกับไม่มีประโยชน์ คือ...มีข่าวเกี่ยวกับระดับอาชีพที่สูงขึ้นของผู้ใช้ธาตุแห่งความมืด ในสมาคมของพวกเรามีคนไปค้นพบหนังสือความลับแห่งเอลทาเนียแผ่นที่สิบสี่เข้า บันทึกเกี่ยวกับอาชีพชั้นสูง โดยเกิดจากเอลฟ์สองตนที่รักกัน จะสามารถยกระดับตัวเองจากผู้ใช้ธาตุมืดเป็น นักรบแห่งธาตุ ใช้พลังร่วมกันควบคุม ธาตุที่ยิ่งใหญ่" เธอยื่นกระดาษเก่าๆมาให้ฉันดู เนื้อหาในนั้นเป็นไปตามที่ว่า
"จริงสิแนะนำตัวช้าไป ฉันชื่อ จิจา เป็นหัวหน้าสมาคมพิทักษ์เอลทาเนีย เธอเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ หนังสือความลับแห่งเอลทาเนีย บ้างไหม" จิจา ถามขึ้น ฉันคืนแผ่นกระดาษนั้นให้แก่เธอก่อนอธิบาย
"เป็นหนังสือที่เก็บความลับไว้ เรื่องที่บันทึกดูเหมือนจะเหลือเชื่อแต่จริงแล้วกลับเป็นเรื่องจริง" ฉันพูดเท่าที่ทราบ จิจาดูเหมือนจะโล่งใจที่เห็นฉันเข้าใจความหมายของสิ่งนั้น
"ดังนั้นพวกเราอยากจะทดสอบเกี่ยวกับ คลาสใหม่ที่ว่า จึงต้องขอให้เธอมา แน่นอนชั้นจะให้เธอเข้ามาอยู่ในสมาคมด้วย พวกเราสร้างบ้านไว้สามารถอาศัยทั้งเป็นที่เก็บของ บางวันที่อากาศหนาวเย็นจะได้ไม่ต้องวุ่นวายหาเตียงนอนที่อบอุ่น"
"ไม่ต้องเอาดิฉันเข้าสมาคมก็ได้คะ" ฉันปฏิเศษเรื่องผมตอบแทนอย่างนิ่มนวลเพราะชอบอยู่อย่างอิสระ "แต่ว่าเอลฟเรามีแต่ผู้หญิงจะเป็นคนรักกันได้อย่างไรคะ"
"น่าจะมีวิธีแต่งงานก็ทำแบบพวกมนุษย์ทำกัน" เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังเป็น หญิงสาวผมดำอยู่ในชุดนักควบคุมธาตุด้านมืดระดับมาสเตอร์ เธอชื่อ รูรุ ที่ฉันรู้ชื่อของเธอก็เพราะว่า ผู้ควบคุมธาตุระดับสูงจนเป็นมาสเตอร์มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น และชื่อของเธอก็ติดอยู่ในป้ายประกาศของเมืองมาตั้งแต่ฉันยังเป็นผู้ใช้ธาตุเริ่มต้นด้วยซ้ำ
"แต่ว่าคนนี้เหรอผู้ใช้ธาตุมืด ทำไมแต่งตัวเหมือนพวกใช้ธาตุเริ่มต้น" รูรุ เข้ามาใกล้ดิฉันสำรวจอย่างสงสัยก่อนหมวดคิ้ว
"แล้วทำไมพลังเวทย์ถึงต่ำกว่าค่าภาวนา เธอเป็นนักควบคุมธาตุด้านมืดภาษาอะไรของเธอนะ"
"เสียมรรยาทคุณไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์ดิฉันแบบนี้คะ" ฉันตอบกลับทันทีโดยไม่สนใจจะอธิบายเหตุผล
"อย่างเธอต้องไปชำระจิตใหม่แล้วละเอาความสามารถทั้งหมดเทมาทางด้านพลังเวทย์"
"ไม่คะดิฉันพอใจแบบนี้"
"นี่เป็นคำแนะนำของรุ่นพี่นะ" ฉันเงียบไม่ต่อคำอะไรอีก แต่ในใจยังไม่ยอมแพ้
"เอาน่าสองคนอย่าทะเลาะกัน ไหนว่าไง รูรุจะทำอย่างไรถึงแต่งงานกันได้" จิจาหันไปถามเอเลเมนต์มาสเตอร์คนสวย เธอเปลี่ยนท่าทีค่อยเป็นอ่อนลง
"พวกมนุษย์นี่อยู่ด้วยกันสักห้าชั่วโมงผู้ทำพิธีก็ยอมรับและให้แต่งงานแล้วคะ" รูรุอธิบาย
"เอลฟ์มีแต่ผู้หญิงแต่งงานกันได้ยังไงค่ะ" ฉันยำคำถามนี้อีกครั้ง
"มันก็แค่พิธีกรรมทำนั้นเอง ใช่ว่าจะแต่งงานกันจริงๆที่ไหน" รูรุเถียงขึ้นทันที
"แต่ต้องเป็นพิธีที่มาเธอร์ยอมรับ ไม่แบบนั้นแล้วจะมีน้ำทิพย์หลั่งมาให้ได้อย่างไรกัน"
"นี่เธอก็อย่าจริงจังมันนักเลยนี่มันก็เป็นแค่.."
"เข้าใจผิดแล้วคะ การแต่งงานละหว่างเอลฟไม่จริงจังไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก ดิฉันขอตัว" สิ้นประโยคฉันเคาะไม้เท้าย้ายตัวเองไปสู้ป่าด้านตะวันออก อดถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดไมได้
"นี่จะลองกันดูหน่อยไม่ได้เหรอ ถ้ายังไงหัวหน้าสมาคมก็จะไม่ให้เธอเสียเวลาเปล่าแน่ แล้วฉันเองก็เบื่อที่ต้องอยู่ในอาชีพนี้ทั้งที่เป็นมาสเตอร์มาตั้งนานแล้ว" เสียงรูรุดังขึ้นจากด้านหลัง ฉันเป็นแค่นักใช้ธาตุด้านมืดระดับห้าอย่างไรก็คงหนีเธอไม่พ้นอยู่แล้ว
"วิธีนั้นไม่ได้ผลหรอกคะ" ฉันหันมาคุยกับเธอในที่สุด
"เธอพูดว่าไม่ได้ผลหมายความว่ารู้วิธีสิใช่ไหม"
"ต้องเป็นคนรักกันจริงๆคะ"
"พูดเป็นเล่นน่าจะมีอะไรมาวัดว่ารักกันจริง"
"ถ้าคุณเชื่อ หนังสือความลับแห่งเอลทาเนีย นี่เป็นหน้าที่ยี่สิบแปดของหนังสือเล่มนั้น" ฉันหยิบแผ่นกระดาษให้กับ รูรุ เธอเอาขึ้นมาอ่าน ส่งเสียงในลำคออย่างขบคิดละส่งคืนให้
"เสน่ห์ของ หนังสือความลับแห่ง เอลทาเนีย คือเหมือนจะทำไม่ได้แต่ก็สามารถทำได้ แต่น่าแปลกใจมากกว่าที่เธอมีของมีค่าขนาดนี้อยู่กับตัวด้วย"
"ดิฉันดูกระจอกมากสินะคะ"
"ชั้นไมได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้น" รูรุ คล้ายจะขอโทษแต่ดูเหมือนความคิดฉันจะเร็วไปหน่อย
"คุณวัดค่าของดิฉันจากภาพภายนอก วัดจากค่าของพลังเวทย์ บอกได้เลยว่ายังไงก็แต่งงานกันไม่ได้ ดิฉันขอตัวคะ" ....
ฉันเอนตัวหลังพึงเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ ถอดแว่นออกหลับตาลงอยากพักสายตาสักสองสามนาที แต่ก็มีเสียงวิ่งตึงตังดังเข้ามาใกล้จนถึงหน้าห้อง จึงต้องขยับตัวขึ้นมาเล็กน้อย
"จิ๊ดจ๋ามีอะไรเหรอ" ฉันตะโกนถามน้องสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องโดยไม่ทันเคาะอะไร
"คุณแม่เรียกพี่ลงไปช่วยทำกับข้าวคะ" เด็กสาวตอบเสียงใสกลับมา ทำให้ต้องขยับตัวจากเก้าอีหน้าโต๊ะคอม
"อือ เดี๋ยวลงไป" ฉันตอบก่อนส่วมแว่นหันไปหน้ากระจกหยิบยางรัดผมสีฟ้ามือหนึ่งรวบผมไว้รัดเข้าด้วยยางเป็นหางม้าก่อนลงไปข้างล่าง
"โรงเรียนเป็นไงบ้างเมย์" แม่ฉันถามขึ้นบนโต๊ะอาหาร จิ๊ดจ๋าเหลือบสายตาขึ้นมาเล็กน้อยก่อนก้มไปอ่านการ์ตูนต่อพร้อมทั้งทานข้าวไปด้วย
"เหมือนเดิมละคะ แต่นี่เข้าเรียนมาจะอาทิตย์แล้วนะคะ แม่พึ่งมาถาม"
"ชั้นก็พึ่งมีเวลาได้นั่งกินข้าวกับแกนี่ละเมย์" แม่ฉันถอนหายใจออกมา ฉันเอาส้อมเสียบน่องไก่ชิ้นโตในแกงมัสสมันกลิ่นหอมไปไว้ในจากของแม่
"นี่คะทานให้มากๆ" แม่ฉันถอนหายใจออกมาอีกครั้ง "อีกสองปีหนูก็เข้ามหาวิทยาลัย อีกสี่ปีก็จบออกมา แม่ต้องทนอีกหกปีนะคะ"
"แตะฝุ่นอีกสองปีนะสิ แล้วจะเข้ามหาวิทยาลัยได้เหรอเอาแต่เล่นเกมส์" ฉันรีบหักสายตาหลบผู้เป็นมารดา "ไม่ต้องมาห่วงเรื่องชั้นหรอก ชั้นยังต้องทำงานได้อีกนาน พนักงานต้องดูแลหลายร้อยชีวิตเลิกไม่ได้ง่ายๆ แต่ฉันห่วงแก่เรื่องอื่นมากกว่าเรื่องสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียอีก แกจะหาแฟนได้เหรอเมย์ อยู่โรงเรียนหญิงล้วนตั้งแต่เด็กจนโต"
"หนูไม่สวยแบบนั้นเหรอ" ฉันย้อมถาม แม่ส่ายศีรษะ
"สวยไม่สวยมันแต่งหน้ามันช่วยได้ แต่นิสัยแกนะสิน่ากลัว ผู้ชายที่ไหนมันจะรับได้ สุดท้ายเดี๋ยวก็เหมือนแม่"
"งันพรุ่นนี้จะไปเดินโฉบแถวห้างสรรพสินค้า คุณแม่จะได้อุ้มหลานไวๆ" ฉันลองพูดขึ้น
"พี่นะเชยไม่มีหนุ่มคนไหนเค้ามองหรอก"
"ฉันเชยตรงไหนจิ๊ดจ๋า เทนโนโลยีไอทีมีเดี่ย ฉันเกาะติดตามข่าวตลอด"
"แต่งตัวเชยนะคะหนังสือวัยรุ่นพี่ไม่เคยเปิดดู อะ ในห้องมีแต่หนังสือเกมส์กับหนังสือคอม" ฉันไม่รู้จะเถียงยังไงกับน้องสาวตัวแสบ
"ผู้หญิงตัวคนเดียวลำบาก มองหาคนดีๆไว้บ้าง ตอนนี้แกก็จะสิบหกแล้ว มีเวลาอีกสิบกว่าปีเท่านั้นนะที่จะยังพอเลือกผู้ชายได้ นี่ถ้าพ่อแม่คนอื่นเขามาได้ยินต้องว่าชั้นบ้าแน่เลยที่สอนลูกแบบนี้" ฉันยิ้มตอบโดนไม่พูดอะไร แย่งหมูทอดชิ้นโตจากจานน้องสาวที่อ่านการ์ตูนอย่างตั้งใจจนไม่สนใจ แม่ส่ายศีรษะเล็กน้อยบ่นนิดหน่อยแต่ก็ถอนหายใจเหมือนรู้ว่าฉันแค่เล่นกับน้อง เรื่องที่แม่พูดฉันรู้ว่าทั้งหมดมาจากประสบการณ์ชีวิตของแม่ นั้นเป็นข้อหนึ่งที่ฉันไม่เคยเถียงแม่ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องแฟน แต่ฉันขยะแขยงผู้ชายเสียแล้ว ภาพที่แม่โดนทำร้าย สิ่งที่ผู้ชายทำไว้กับแม่ มันฝังไว้ในจิตใต้สำนึกของฉัน ...
"ชมรม" ฉันพูดอย่างตกใจเมื่อเพื่อนถามถึงเรื่องนี้ ในตอนพักกลางวัน "ตายแล้ว"
"ตายแน่ๆถ้าเธอยังไม่รีบหา ก่อนถึงช่วงกิจกรรมรับรุ่นน้อง เราต้องมีชมรมแล้วพวกรุ่นพี่จะแยกกันควบคุมเราจากชมรมที่เราอยู่ คนที่ไม่ไปเข้ากิจกรรมรับรุ่นน้อง ก็จะถือว่าไม่มีตัวตนในโรงเรียน ถ้าไม่มีชมรมก็เข้าร่วมกิจกรรมไมได้"
"แล้วคนที่ไม่อยากทำอะไรแบบฉันจะไปอยู่ชมรมอะไรได้ละแม่มณี" จริงแล้วเพื่อนฉันชื่อว่าเกตุมณี แต่ฉันเรียกเธอว่าแม่มณีตามชื่อนางเอกละครที่เอามาฉายใหม่ เธอไว้ผมยาวประบ่าผมจัดทรงมีสไตล์เป็นของตัวเอง รสนิยมทันสมัยเป็นประเภทรักความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากเป็นพิเศษ
"ไม่เลือกพวกชมรมกีฬาก็เหลือ ชมรมห้องสมุด ชมรมสังคมชั้นสูง ชมรมหมากกระดาน ชมรมธรรมะและสมาธิ ชมรมทำสวน แล้วก็ชมรมคอมพิวเตอร์"
"ห้องสมุดกับคอมพิวเตอร์ น่าสนใจ" ฉันเริ่มแยกตัวเลือก
"ชมรมสัมคมชั้นสูงเข้าท่ากว่า" แม่มณีออกความเห็น "ไว้ใช้เวลาเข้าสังคมจริงได้เป้าหมายของชมรมคือการมุ่งไปสู่การเป็นสตรีที่พร้อมสรรพ"
"แค่ฟังชื่อก็เกร็งแล้วจ้า" ฉันเบ้หน้าใส่ แม่มณีรีบโบกมืออธิบาย
"เค้าจะสอนเรื่องศิลปะ ดนตรี การเต้นรำ มรรยาท มีโอกาศใส่ชุดลีลาศสวยๆเต้นรำในงานเลี้ยงของชมรมที่จัดขึ้นทุกเดือน" ฉันถอนหายใจออกมา
"น่าเสียดายนะที่โรงเรียนมีแต่ผู้หญิงคงไม่มีเจ้าชายออกมาหรอก"
"ไม่นะ มีนักศึกษามหาวิทยาลัยในชมรมกีฬาลีลาศมาร่วมงานด้วยนะ แต่ละคนไฮโซ ใช้ได้หน้าตาก็ดี"
"แม่มณีคิดจับผู้ชาย" ฉันถามทีเล่นทีจริง
"ไม่ใช่แบบนั้น แต่แต่จะบอกว่ามีเจ้าชายและฉันก็สามารถเป็นเจ้าหญิงได้ยังไงละ" มีคนพูดว่าเด็กผู้หญิงมีความฝันอยากเป็นเจ้าหญิงกันทุกคน แต่ฉันมองว่าแค่อยากหาคนมาเอาใจและให้ความสำคัญเท่านั้นเอง
"ฉันอยากเป็นแม่มดที่ทำแอปเปิลเคลือบยาพิษ" ฉันทำหน้าตาล้อเลียน "ไม่เอาด้วยละ" ฉันสรุปในที่สุด
"อือ...แบบนั้นเหรอ แต่ยังไงไปเป็นเพื่อนกันหน่อยสิเมย์" แม่มณีขยับตัวลุกขึ้นจากที่นั่งหันไปเปิดกระเป๋าหยิบใบสมัครในซองเอกสารพลาสติดมาให้ดู
"ตายแล้วต้องติดรูปด้วยเหรอ" ฉันร้องออกมาเมื่อเห็นรูปถ่าย
"รูปถ่ายตอนสมัครเข้าเรียนน่าจะยังมีไม่ใช่เหรอ" เธอถามฉันพยักหน้ารับ
"เหลือรูปสุดท้ายแล้วนะสิอยากจะเก็บไว้ดูเล่น" แม่มณีถอนหายใจยาวออกมา
"ฉันละสงสัยหลักการในการยกเหตุผลของเธอจริงๆ เอาละไปเป็นเพื่อฉันหน่อยแล้วกัน" แม่มณีเดินนำโดยไม่รอคำตอบ ฉันเดิมตามไปในใจนั้นกำลังเลือกชมรมห้องสมุดกับคอมพิวเตอร์ซึ่ง ฉันน่าจะเลือกอย่างหลังมากว่าเพราะตัวเองชอบทางนี้อยู่แล้ว ติดอยู่ที่ว่ามองไม่ออกว่ามีกิจกรรมอะไรบ้างเท่านั้นเอง ถ้าได้นั่งเล่นเกมส์สบายๆคงดี
แม่มณีพาฉันเดินมาถึงเรือนชั้นเดียวที่สร้างจากไม้ รูปทรงง่ายๆคล้ายกับบ้านพักอาจารย์ ทาสีครีมทั้งหลัง ปลูกไว้ด้านหลังโบสถ์ แถวนี้เป็นสถานที่แปลกตาสำหรับฉันเพราะไม่เคยเดินผ่านมาเลยตั้งแต่เข้ามาเรียนกว่าสัปดาห์ มีเสียงดนตรีบรรเลงดังลอดมาสร้างบรรยากาศให้เป็นเขตที่ตัดขาดกับโรงเรียนออกไปจนไม่น่าเข้าไปยุ่ง แม่มณีเดินนำไปเปิดประตู เข้าไปพบที่วางรองเท้าอยู่ทางซ้ายมือ ป้ายประกาศทำจากกระดาษอัดติดกับฝาผนังด้านหน้า และประตูกั้นอีกชั้นหนึ่งวางถัดไป เสียงดนตรีดังชัดขึ้นจนสามารถแยกแยะคุณภาพของเสียงที่ส่งผ่านมา เดาได้ในทันทีว่านี่เป็นเสียงจากเครื่องเสียงระดับไฮเอ็ดที่หาฟังได้ง่ายที่สุดก็ตามห้างสรรพสินค้าที่ทำห้องสำหรับทดสอบลำโพง นอกนั้นคงเป็นบ้านของพวกเศษฐีที่มีอันจะกิน รองเท้าถูกจัดไว้ลงที่ชั้นวาง เปลี่ยนเป็นร้องเท้าแตะที่ใช้เดินในบ้าน แม่มณีเคาะประตูสามครั้ง เสียงเพลงเบาลงเล็กน้อยก่อนจะมีเสียงเชิญเข้ามาในห้อง เบื้องหน้าเป็นโต๊ะน้ำชาชุดสวยที่มีเก้าอีงามเข้าชุดวางอยู่สามตัว พื้นไม้สีทึบสร้างฉันให้อยู่ในอารมณ์สำรวม หญิงสาวเบื้องหน้ายกแก้วน้ำชาลงบนโต๊ะก่อนลุกขึ้นหันมามองพวกฉันอย่างสำรวจ
"มีธุระอะไรกับสมาคมนักเรียนหรือเปล่า" ท่ายืนของเธอบ่งบอกถึงอำนาจชนิดหนึ่งแสดงตนเป็นเจ้าของบริเวณ มือที่จับประสานกันด้านหน้ากลางลำตัวบอกถึงการต้อนรับขับสู้ยินดีรับใช้ เหล่านี้เป็นภาษาทางร่างกายที่สร้างอำนาจให้กับตัว แทนการพูดจามากความอธิบายกันยืดยาว แม่มณีเมื่อเห็นสภาพเช่นนั้นกลับเกิดความยำเกรงขึ้นมาไม่สามารถกล่าวอะไรในทันที การบีบบังคับจิตใจจะเกิดขึ้นโดนไม่เจตนา
"เพื่อนหนูเค้าอยากจะมาสมัครชมรมสังคมชั้นสูงนะคะ" ฉันพูดออกไปแทน หญิงสาวคนนั้นเพียงพยักหน้ารับก่อนนั่งลงที่เดิมอย่างสงบ
"ใบสมัครพร้อมแล้วใช่ไหม" เธอถามด้วยน้ำเสียงปรกติแต่การนั่งทำให้ดูมีอำนาจขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ฉันรู้สึกเลยว่าบางที่ชมรมนี้อาจจะมีอะไรมากกว่าที่ฉันตีความไปตามชื่อชมรม
"คะ" แม่มณีตอบพร้อมหยิบใบสมัครออกรีบเดินเข้าไปให้หญิงสาวคนนั้นอย่างระวัง เธอตั้งท่าอ่านอย่างตั้งใจ ก่อนวางมือลงแล้วมองมาทาง แม่มณี ไม่ช้าก็หันมามองฉัน
"แล้วคุณมาริสาละไม่สมัครพร้อมกันเลยเป็นไง" หญิงสาวคนนั้นถามขึ้นที่น่าตกใจคือเธอรู้ชื่อจริงของฉันได้อย่างไร
"หนูเลือกชมรมอื่นไว้แล้วคะ ขอโทษคะรุ่นพี่ชื่ออะไรคะ" ฉันไม่ยอมแพ้อย่างน้อยรู้เขารู้เราก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขารู้จักแต่เรา
"ดิฉันนฤมลคะ น่าเสียดายจังชมรมเราคนยิ่งน้อยๆอยู่ ใบสมัครนี้ต้องรอให้รุ่นพีเข้ามาตัดสินใจละคะ ดิฉันจะจัดการให้ทุกอย่างแล้วกันคะ" เธอยิ้มให้ เป็นรอมยิ้มที่ว่าไปตามบท "แล้วก็ดิฉันก็เป็นนักเรียนใหม่นะคะ พึ่งเข้ามาปีนี้เหมือนคุณสองคนเหมือนกัน" ฟังประโยคนี้แล้วฉันอดยิ้มตอบไม่ได้
"เหรอคะ แหม..." ฉันไปใช้คำแทนตัวว่าหนูกับคนรุ่นเดียวกัน คนฟังคงหัวเราะอยู่ในใจสินะ ฉันอยากจะกัดเป็นคำพูดประโยคเจ็บเป็นแผลลึก ไว้ให้ยัยนฤมลนี้จำฉันไม่มีวันลืมแต่ก็อดเป็นห่วงแม่มณีแสนซื่อไม่ได้ จึงได้แค่กัดฟันแทน
"แบบนั้นขอตัวก่อนแล้วกันนะคะ ดิฉันขอบคุณมากที่ช่วยเป็นธุระให้"
"ไม่เป็นไรคะ" นฤมลยิ้มรับอีกครั้ง ฉันรีบหันหลังหนีจากตรงนั้น หนีออกจากเรือนไม้สีครีมเดินก้าวเท้าอย่างเร็วหลบเข้าไปในห้องน้ำ
"เมย์เป็นไรเปล่านะ" แม่มณีวิ่งตามมาติดๆถามขึ้น ฉันไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ เข้าห้องน้ำได้ลงกลอนประตู ตะโกนสุดเสียง
"ยัยบ้า" ถึงเป็นสองคำสั้นๆแต่กลั่นออกมาจากหัวใจ ก่อนออกมา แม่มณียืนทำหน้างง
"นี่เป็นวิธีระบายอารมณ์" ฉันอธิบาย พร้อมสีหน้าเชื่อมั่นว่ามันไม่ผิด เธอพยักหน้ารับทราบ
"แปลกเหรอ" ฉันถามอีกครั้ง
"ฉันอยากเอาไปใช้บ้างจัง" เธอตอบซื่อๆ
"ชมรมอะไรเป็นไม้เบื่อไม้เมามีเรื่องกับพวกสังคมชั้นสูงอะไรนี้มากที่สุด" ฉันถามแม่มณีให้ชั่วโมงคณิตศาสตร์ เธอเขียนลงบนกระดาษทดเลขว่า คอมพิวเตอร์ ฉันเขียนชื่อชมรมในช่องทันที แม่มณีทำท่าเหมือนจะทัดทานไว้แต่เธอกลัวครูที่ยืนจ้องตาเขียวมาทางฉันจึงไม่กล้าพูดอะไร เมื่อกระดิ่งเลิกเรียนดังขึ้น ฉันกระโดดออกคว้ากระเป๋านักเรียนเดินไปสู้ห้องชมรมคอมพิวเตอร์ทันที มีเสียงแม่มณีเรียกตามหลังมาแต่ฉันไม่สนใจแล้ว ไม่มีอะไรอยู่ในหัวฉันอีกแล้วนอกจาก ยังไงต้องประกาศการเป็นศัตรูกับชมรมไฮโซอะไรนั้นให้ได้ไม่แบบนั้นคงไม่สบายใจ ความรู้สึกในตอนนั้นทำให้ฉันเปิดประตูเข้าไปในชมรมคอมพิวเตอร์โดนไม่ทันคิดหน้าคิดหลังให้ดีๆ
"มาสมัครเข้าชมรมคะ" ฉันพูดขึ้นเสียงดัง ก่อนจะได้ยินเสียงไวโอรินที่ถูกรูดคันชักสัมผัสกับสายอย่างรวดเร็วก่อนหยุดลงเตือนสติ เบื้องหน้าเป็นเด็กสาวรุ่นเดียวกันกับฉัน ผมหยักโศกอ่อนๆยาวถึงกลางหลังกับแววตาที่คมเข้มและจริงจังทำให้ฉันรู้สึกว่าได้ทำอะไรบางอย่างผิดไป แต่ว่าสีหน้านั้นดูเหมือนจะไม่ได้ตำนิโทษอะไรฉัน กลับยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเล่นไวโอรินต่อ เสียงเอื่อยที่สร้างจากเครื่องสายนั้นมีเสนห์ทำฉันวางกระเป๋านักเรียนหยุดฟังอย่างลืมตัว
"คิดว่าปีนี้จะไม่มีคนมาสมัครเสียอีก" เธอพูดขึ้นพร้อมกับขยับคันสีสร้างเสียงไวโอรินที่อ่อนโยนมาท่อนหนึ่งและหยุดมือหันมาสบตาฉัน "ขอเวลาอีกนิดได้ไหม นั่งก่อนสักพัก หวังว่าเธอคงไม่รีบร้อนอะไร"
"คะ" ฉันตอบพร้อมพยังหน้าขยับตัวเองถอยจากประตูทางเข้ามายืนพิงผนังห้อง เธอสีไวโอรินได้น่าดูมาก เพลงดูมีเนื้อหาขึ้นมาทั้งไม่มีเนื่อร้องบอกเล่าความหมาย แต่ท่าทางและสีหน้านั้นกลับเติมเต็มไปยังบรรทัดห้าเส้นของตัวโน้ตให้มีชีวิตขึ้นมา จะว่าฉันเข้ามาผิดชมรมก็ไมได้เพราะที่นี่มีเครื่องคอมเรียงยาวอยู่มากมาย แต่ความสนใจของฉันตอนนี้จับอยู่ที่ไวโอรินกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยอารมณ์ของเธอ จนกระทั้งเพลงจบลง อดไม่ได้ที่จะปรบมือแม้ว่าผู้ฟังจะมีเพียงฉัน
"พี่ไม่เล่นอังกอให้นะ" เธอใช้ทำแทนตัวว่าพี่ทำให้ฉันรู้สึกผิดคาดไปเล็กน้อย "ขอใบสมัคด้วย" เธอกล่าวพร้อมกับเก็บไวโอรินลงกล่อง ฉันหยิบใบสมัครที่พับมาในกระเป๋ากระโปรงให้ เธอรับไปอ่านอย่างตั้งใจ
"สวัสดีมาริสา พี่ชื่อ กัณยา อยู่ชั้นมอห้าห้องดอกสายหยด เป็นประธานชมรมคอมพิวเตอร์"
"สวัสดีคะ" ฉันยกมือไหว้ ธรรมเนียมเรื่องรุ่นพี่กับอาจารย์ของที่นี่เข้มงวดมาก รุ่นพี่สามารถชี้เป็นชี้ตายรุ่นน้องได้ จึงได้ความเคารพอย่างสูง ดังนั้นจึงมีมากเหมือนกันที่ตอนเป็นรุ่นน้องเก็บกดพอโตไปเป็นรุ่นพี่ก็บ้าอำนาจจนคุยภาษาคนไม่รู้เรื่อง พี่กัณยาอ่านประวัติของฉันอย่างตั้งใจก่อนเอ่ยปากขึ้น
"เพื่อนสนิทที่สามารถติดต่อได้ทำไมไม่เขียนละ"
"พึ่งเปิดเทอมมาอาทิตย์เดียวนะคะ ยังไม่สนิทกับใคร" ฉันตอบไปตามตรง
"ไม่ได้คุยกับใครเลยเหรอ" พี่กันยาดูเหมือนเป็นห่วงเสียมากกว่าจะสงสัยอะไรในส่วนที่ฉันไม่ได้กรอกข้อความลงไป
"มีคะ"
"เพื่อนในห้อง หรือเปล่า"
"คะ นั่งติดกัน แต่ว่า คำว่าเพื่อนสนิทก็น่าจะสนิทกันจริงสิค่ะ"
"ต้องรอให้คนอื่นมาบอกว่า ฉันเป็นเพื่อนสนิทเธอนะก่อนเหรอ"
"ก็ไม่คะ เพียงแค่ให้หนูแน่ใจแล้วว่าเค้าก็นับว่าเราเป็นเพื่อนสนิท" พี่กันยาฟังจบก็ลุกเดินไปหลังห้อง หายเข้าไปด้านหลังฉากกระจกทึบแสง ที่กันไว้เป็นห้องมีป้าย "เฉพาะเจ้าหน้าที่" กำกับไว้ข้างทางเข้าก่อนเดินออกมาในเวลาไม่นาน พร้อมปากกาคอแร้งสีแดงงาช้าง
"มีชื่อเล่นไหมมาริสา" พี่กันยาพูดพร้อมเดินเข้ามาหาฉัน
"เมย์คะ"
"พี่เรียกได้ไหม"
"ได้สิค่ะ" ฉันว่าเป็นคำถามที่แปลกจนวางสีหน้าไม่ถูก
"แบบนั้นเมย์ เขียนชื่อพี่ลงไปในใบสมัคร" รุ่นพี่คนสวยยื่นกระดาษใบสมัครพร้อมปากกาคอแร้งสีแดงงาช้างมาให้ ฉันรับมาไว้เพราะรุ่นน้องไม่สามารถขัดรุ่นพี่ได้ถ้าเป็นคำสั่ง แต่ใช่ว่าจะไม่สามารถปฏิเสธได้
"พี่เป็นเพื่อนกับหนูไม่ได้หรอกคะ ประเพณีเรื่องรุ่นพี่กับรุ่นน้องของที่นี่มีมายาวนานและต้องคงไว้เพื่อ ให้นักเรียนรุ่นหลังได้ปฏิบัติตาม" ฉันโต้แย้งด้วยเหตุผล
"เมย์ท่องจำมาจากหนังสือคู่มือนักเรียนสินะ" พี่กันยายิ้มออกมา ฉันรู้สึกเขินนิดที่โดนรู้ทัน "แต่ไม่มีตรงไหนห้ามเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ" เธอย้อนถาม ฉันรู้ว่าพี่กันยาเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แต่อย่างไรสถานการณ์ก็ทำให้ฉันต้องอธิบาย
"เพื่อนคือคนที่เราต้องไว้วางใจได้ ปรับทุกข์ได้ และช่วยเหลือเราได้อย่างเต็มใจ" ฉันเว้นระยะเล็กน้อยก่อนพูดต่อ "และเท่าเทียมกันคะ"
"เราเท่าเทียมกันเพียงแต่หน้าที่เท่านั้นที่แตกต่างกัน" พี่กันยาพูด ฉันคิดตามอย่างใจเย็น แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจทั้งหมด
"เมย์เป็นรุ่นน้องมีหน้าที่รักษาประเพณีตรงนี้ให้คงอยู่ พี่เป็นรุ่นพี่ของเมย์ก็มีหน้าที่ให้ประเพณีนี้ศักศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เท่ากันหรือว่าเป็นเพื่อนกันไม่ได้"
"พี่กันยามีเป้าหมายอะไรอยู่คะ" ฉันยอมรับในคำพูดของเธอถ้าในแง่ของความคิด แต่จำต้องข้ามทุกอย่างไปและถามจุดประสงค์ตรง เธอทำหน้าแปลกใจกับคำถาม ก่อนมองตาฉันอย่างใจเย็น
"ไม่ใช่การบังคับหรอก เอาใบสมัครมาสิพี่จะไปถ่ายสำเนาให้เมย์เก็บเป็นหลักฐาน" ฉันยื่นใบสมัครคืน พี่กันยาเดินกลับไปหลังห้อง เสียงเครื่องถ่ายเอกสารทำงานส่งเสียงน่ารำคาญ ไม่นานก็เดินมาพร้อมพูด
"ใช้ที่นี่ได้เต็มที่นะ คอมพิวเตอร์จะขนมาจากบ้านก็ได้ เก็บไว้ในห้องจะ เล่นเกมส์ก็ไม่ว่าอะไร สมาชิกชมรมเรามีไม่กี่คน คิดว่าอีกวันสองวันคงจะได้ประชุมกัน แล้วก็" พี่กันยาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมากดเบอร์เร็วจี๋ มือหนึ่งยื่นสำเนาเอกสารการสมัครคืนมาให้ เสียงสัญญาณเรียกเข้าโทรศัพท์ฉันดังขึ้นจากในกระเป๋ากระโปรง
"Manana(มาเนียน่า) Online?" พี่กันยาพูดชื่อเกมส์ที่ฉันเอาเพลงประกอบมาทำเป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ ทำให้รู้สึกเขินอยู่บ้างเหมือนกัน
"คะ" ฉันตอบสั้นๆก่อนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเบอร์ ดูเหมือนไม่คุ้นตาเท่าไรนัก
"นั้นเบอร์ของพี่บันทึกไว้นะ ถ้าจำได้จะดีใจมากเลย" ฉันพยักหน้ารับค่อยๆกดบันทึกชื่อของเบอร์
"จะนั่งเล่น มาเนียน่า ก่อนก็ได้นะ พี่จะอยู่ถึงหกโมงเย็นแล้วถึงจะกลับ" พี่กันยาทำหน้าเหมือนจะรู้ทัน
"หนูไม่ได้เข้าชมรมนี่เพราะหวังจะเล่นเกมส์นะค่ะ" ฉันแก้ตัวแทบไม่ทันทั้งที่นั้นเป็นจุดประสงค์แรกที่เลือกชมรมนี้
"อ๋า ขอโทษจ๊ะ ยังไงมาชมรมนี้ก็ต้องโดนใช้งานอยู่แล้วไม่ปล่อยให้เล่นเกมส์หรอก แบบนั้น เรา กลับด้วยกันเลยแล้วกัน" พี่กันยา หยิบกระเป๋าไวโอรินพร้อมพวงกุญแจ ฉันหันไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางไว้ข้างประตูขึ้นมา มองสำเนาใบสมัคร บริเวณที่ต้องเขียนชื่อของพ่อที่ฉันเว้นว่างไว้ ก่อนเปิดกระเป๋านักเรียนเก็บมันลงไป
"พี่ดูเหนื่อย นะคะแถมวันนี้กลับบ้านหลังหนูอีก" จิ๊ดจ๋า พูดขึ้นหลังจากมองหน้าฉันอยู่นานสองนาน ฉันอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เหมือนกัน
"ประธานชมรมชวนไปเดินเล่น" ฉันยกผัดผักรวมมิตรกับปลานึ่งลงบนโต๊ะ "พอดีคิดไว้ว่าต้องไปซื้อกับข้าวมาทำอาหารด้วยก็เลยตกลงไป"
"ตอนแรกหนูคิดว่าพี่จะไปเดินหาหนุ่มๆอย่างที่พูดเมื่อวานเสียอีก แต่แค่ไปซื้อของทำไมต้องทำเหมือนหมดเรียวแรงอะไรขนาดนั้น" ฉันนั่งลงใช้หลังสือสัมผัสแก้มตัวเอง
"หน้าตาพี่แย่มากแบบนั้นเลยเหรอจิ๊ดจ๋า นี่ไม่จำเป็นจริงๆจะใม่ใส่ชุดนักเรียนไปเดินห้างสรรพสินค้าอีกแล้ว เดินไปไหนก็มีแต่คนมอง ไม่ชอบเลย"
"ก็..โรงเรียนสตรีแถมมีแต่คุณหนูพวกไฮโซมีเงิน ก็แบบนี้มั้งคะ พวกผู้ชายเห็นเครื่องแบบก็คิดว่าน่าสนใจ พี่เองหน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ถ้าสนใจตัวเองสักหน่อยหาหนุ่มสักคนมาเอาใจไม่ใช่เรื่องยาก"
"ปัญหาไม่ใช่ที่ฉันแต่เป็นประธานชมรมที่ไปด้วยต่างหาก เธอสวยขนาดผู้ชายเดินตามเลยละ"
"หือ" จิ๊ดจ๋าทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ "เดินตามสักพักแล้วเข้ามาจีบ?"
"ไม่กล้าเข้ามาเดินตามอย่างเดียว ฉันเองระแวงสายตาพวกผู้ชายพวกนั้นแต่ดูเหมือนพี่เค้าจะไม่สนใจอะไร สุดท้ายก็หมุนตัวเข้าร้านเค้ก ไปนั่งรอคนขับรถที่รุ่นพี่โทรเรียกให้มารับ นั้นละถึงได้กลับ"
"แล้วไม่มีใครตามเข้าไปเหรอพี่" จิ๊ดจ๋าถามต่ออย่างสนใจ
"ไม่มีนะ จริงก็น่ากลัวเหมือนกันถ้าตามมา แต่เพราะในร้านมีแต่ผู้หญิงละมั้ง เลยไม่กล้าเข้า" น้องสาวคนสวยทำท่าคิดเล็กน้อย
"ร้าน Priestess Rose ใช่ไหมค่ะ" จิ๊ดจ๋าพูดชื่อร้านขึ้นมาทำหน้าเหมือนพบเรื่องสนุกชนิดหนึ่ง ฉันหยิบกระดาษทิดชู่ออกมาจากกระเป๋ากระโปรง วางลงบนโต๊ะให้จิ๊ดจ๋าดูมีชื่อร้านตรงตามที่เธอบอก
"ไปเที่ยวบ่อยเหรอ เค้กชิ้นเล็กนิดเดียวออกจะแพง" น้องสาวฉันรีบโบกมือปฏิเศษ
"ไม่คะ คนธรรมดาไม่กล้าเข้าหรอกคะนอกจากจะไม่รู้ คือร้านนั้นลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเลสเบี้ยนคะพี่" คำพูดของน้องสาวฉันทำให้นึกภาพภายในร้านอีกครั้ง ทั้งร้านมีแต่ผู้หญิงจับคู่ทานเค้กแล้วนั่งคุยกันดูเหมือนปรกติแต่ฉันเองก็สัมผัสถึงความประหลาดนั้นได้ "การที่พวกผู้ชายถอนใจกันหมดเพราะว่า" จิ๊ดจ๋าอธิบายต่อเพราะรู้ว่าฉันไม่ค่อยรู้เรื่องของสถานที่เท่าไร
"เข้าใจละ" ฉันตัดบทก่อนลงมือ เริ่มทานข้าว จิ๊ดจ๋าเหมือนมีคำถามจะถามแต่ฉันอยากใช้เวลาคิดกับตัวเองก่อน
"ไม่ประสาอย่างพี่โดนรุกไล่หน่อยมีหวังยอมง่ายๆแน่เลย" จิ๊ดจ๋าพูดออกมาในที่สุด ดูเหมือนยังมีความเป็นห่วงพี่สาวคนนี้อยู่บ้าง ฉันเพียงยิ้มตอบไม่พูดอะไรมากมาย...
ยังมีภารกิจเล็กน้อยค้างอยู่ในเกมส์ แม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือยจะสี่ทุ่มแล้ว แต่ว่ามันเหมือนเป็นกิจวัตรประจำวันที่ต้องเข้าไปในเกมส์ ฉันรู้สึกผูกพันกับป่าเอลทาเนีย จนรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งมาเนียน่า ออนไลน์ไปแล้ว ในเกมส์ฉันเป็นผู้ใช้ธาตุด้านมืด แต่หลักแล้วไม่ค่อยได้ไปสู้รบกับใครเขาเท่าไร นอกจากพยายามปลูกป่า ออกไปทางด้านตะวันออก ที่เต็มไปด้วยบึงพิษ ในนิทานของนักเดินทาง เล่าเรื่องเกี่ยวกับบึงพิษนี่ว่าเมื่อก่อนเป็นป่าที่สวยงามที่สุด แต่เพราะ มังกรไร้นามเกิดโมโหที่ว่าทุกสิ่งมีชื่อเรียกแต่ทำไมมันจึงไม่มีชื่อ จึงทำลายความสวยงามแห่งป่าทิศตะวันออกทิ้ง และใช้เป็นที่อยู่ของมัน การกระทำนั้นปิดเส้นทางการสื่อสารของเอลฟ์กับดวาล์ฟ เมื่อมนุษย์ตัดเส้นทางถนนมาถึงป่าแล้วไม่สามารถบุกรุกผ่านไปได้ ทำให้เอลฟ์ต้องต่อสู้กับมนุษย์ ในขณะนั้นดวาล์ฟร่วมมือกับมนุษย์ในทางพัฒนาวิทยาศาสตร์ ทำให้ดวาล์ฟเป็นศัตรูกับเอลฟ์ไปด้วย
"ป่านี้เป็นของเธอเหรอ" รูรุเดินมาจากด้านหลัง นี่ฉันคงโดน ภูตสอดแนมตามอยู่แน่เธอจึงรู้ว่าฉันล๊อกอินเข้ามา จึงเชอรรี่สุกโยนลงบนพื้น ปรากฏภูตสอดแนมตัวเล็กออกมาหยิบผลเชอรรี่เดินจากไป
"ดิฉันแค่ฟื้นฟูป่าที่เคยมีอยู่เท่านั้นเอง" ฉันตอบเธอ
"นั้นสิ เพราะตอนที่มาตามหามังกรไร้ชื่อ ป่ายังไม่ยาวถึงขนาดนี้ แต่เธอไปเอาวิธีจัดการกับภูตสอดแนมมาจากไหนนะ"
"ต้นเชอรรี่บอกคะว่าภูตสอดแนมชอบมาแอบขโมย ผลเชอรรี่สุกของเธอไป"
"เธอพูดคุยกับต้นไม้ได้" ฉันพยักหน้าแทนคำตอบก่อนปักไม้เท้าลงบนพื้น หน้าต้นอ่อนที่กำลังงอกขึ้นมา
"ดิฉันคงต้องขอตัวไปนอนก่อนนะคะ พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนอยู่ดึกกว่านี้คงไม่ไหว" ฉันขอตัวอย่างสุภาพ
"แล้วใช้เวลาเท่าไรนี่ถึงจะทำให้ต้นไม้นี่โตขึ้นมา"
"สามชั่วโมงเป็นอย่างน้อยคะ แล้วดิฉันจะขยับไปไหนก็ทำอะไรไมได้ด้วย เท่ากับพิธีกรรมล้มเหลว และจะทำให้ต้นไม้นี้ต้องตายลงอย่างน่าสงสาร"
"ดูเหมือนเธอจะไม่คิดว่านี่เป็นเกมส์สินะ" รูรุถามขึ้น
"เป็นเกมส์สิคะ ดิฉันกำลังสนุกกับบทของตัวเองที่กำหนดอยู่นี่ไง" ฉันตอบก่อนทิ้งตัวไปจากหน้าจอ ถอดแว่น พร้อมกับเชือกรัดผมวางไว้หน้าโต๊ะกระจก ก่อนเดินล้มลงไปบนเตียง ฉันหวนคิดไปถึงเรื่องที่โรงเรียน พี่กันยาเป็นแบบนั้นจริงเหรอ ฉันไม่มีความรู้สึกแบบนั้น ดูพี่เค้าจะสนุกด้วยซ้ำที่สามารถปั่นหัวพวกผู้ชายที่เดินตามได้ บางทีอาจจะเป็นแค่แผนสลัดผู้ชายพวกนั้น เค้กร้านนั้นก็อร่อยมากเสียด้วย ฉันได้แต่คิดเรื่อยเปื่อยจนหลับไป
นาฬิกาส่งเสียงดังปลุกฉันขึ้นมาจากการนอนหลับที่แสนสบาย สิ่งแรกที่ฉันทำคือพยายามทำให้ตัวเองตื่นโดนขยี้ตาหลายครั้งก่อนหยิบแว่น ขยับร่างครึ่งหลับครึ่งตื่นมาเปิดจอคอม ภาพต้นไม้ใหญ่เติบโตอย่างสมบูรณ์เบื้องหน้าทำให้ตาฉันสวางขึ้น อดนึกภูมิใจไม่ได้ บึงพิษค่อยๆถูกไล่ไปอีกนิดแต่ไม่รู้อีกนานเท่าไรที่ฉันจะได้เห็นป่าที่สวยงามตามเรื่องเล่านั้น ก่อนที่จะปิดตัวเกมส์ก็มีนกพิราบคาบจดหมายบินมาหาฉัน หน้าซองเขียนว่า จาก รูรุ ถึง เซรี่ ฉันเปิดออกมาอย่างสงสัย
"อรุณสวัสดิ์" เป็นข้อความสั้นๆที่น่าแปลกใจ ก่อนภูตขนของจะกระโดดลงมาจากจดหมายพร้อมกล่องใบเล็ก เปิดออกมาเป็นอาหารเช้าชุดใหญ่ น่าแปลกที่ฉันยิ้มออกมาอย่างไรรู้ตัว คิดเล่นๆว่าถ้าส่งดอกไม้มาฉันจะดีใจกว่านี้ไหม...
จบตอนที่ 1
ความคิดเห็น