ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาวเวอร์ แซงก์ทิตี(พ.ศ.2547)

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 53


    ตอนที่ 6(จบ)

    ชุดสูทสีแดงของโรงเรียนตัดจากผ้าเนื้อดีสีสดเด่นต้องตา พี่กันยากางแขนข้างหนึ่งออกข้างตัวฉันจัดแจงสวมชุดเข้ากับแขน ทับชุดนักเรียนก่อนสอดแขนอีกข้างเข้าพอดี ฉันวกมาติดกระดุมด้านข้างนี่เป็นธรรมเนียมปรกติสำหรับคนที่รับหน้าที่เป็นเลขาของกรรมการนักเรียนจะต้องจัดการเรื่องพวกนี้ให้ ชุดสูทสีแดงกับกระโปรงดำสีกลับตัดกันเด่นชัดยิ่งกว่าสีขาวดำของชุดนักเรียน ฉันยืนชื่นชมอยู่อึดใจก่อนจับแปลงหวีผมวกไปด้านหลัง สีหน้าของพี่กันยาราบเรียบจนฉันไม่กล้าจะถามอะไร เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าพี่กันยากังวลในเรื่องของเซรี่ที่ทิ้งร่างเป็นศพอยู่ในเกมส์จากข้อความต่างๆที่เธอพยายามพิมพ์มาหาเมื่อคืนนี้ ฉันแปลงผมหยักโศกของพี่กันยาในใจก็ทบทวนการกระทำของตัวเอง ทำไมฉันถึงไม่บอกพี่กันยาไปว่า นั้นคือฉัน มันไม่น่าเป็นอะไรไม่ใช่เหรอ แต่จริงๆฉันกลัว เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเคยเล่าอะไรออกไปบ้างไหมเกี่ยวกับความรู้สึกของฉัน เราพูดจากันมากมายจนฉันไม่แน่ใจว่าเล่าอะไรไปขนาดไหน ฉันไม่อย่าให้ความรู้สึกของฉันเปิดเผยตอนนี้

    "พี่กันยาไม่สบายใจเรื่องอะไรเหรอคะ" ฉันตัดใจถามออกไป

    "การประชุม" พี่กันยาตอบเสียงเรียบและเงียบไป "ไม่หรอกพี่ไม่เข้าใจคนๆหนึ่ง" ฉันหยุดแปลงผมของพี่กันยาลง ณ เวลานั้น

    "ใครเหรอค่ะ"

    "เด็กผู้หญิง คนในเกมส์ พี่พยายามจีบ ตลกดีไหม พี่อารมณ์ไม่ดีเพราะคนในเกมส์"

    "เพราะอะไรเหรอค่ะ"

    "เพราะว่าพี่พยายามจีบ เพราะว่าพยายามทำดี เพราะรู้สึกว่าเค้าเป็นคนที่น่าสนใจ พี่เลยพยายามจะให้เค้าโทรมาหาพี่ แต่เค้าไม่โทรมา พี่เคยมั่นใจตัวเองมากนะว่าแม้ถอดเปลือกนอกของตัวเองทิ้งไป ความเป็นพี่ ก็น่าจะเอนเอียงให้คนที่ได้สัมผัสรู้สึกว่าน่าพูดคุยด้วย" ฉันยืนฟังอย่างเรียบร้อยด้านหลัง

    "เค้ามีเหตุผลอะไรหรือเปล่าคะ"

    "เหตุผลอะไรเหรอ แค่เพียงเป็นเพื่อนกันยังไม่ได้เชียวเหรอ หรือว่าเพราะว่าเป็นผู้หญิง เค้าเลยรู้สึกแปลกๆที่โดนผู้หญิงมาจีบ" พี่กันยาเสียความสามารถในการควบคุมตัวเอง ฉันรู้สึกแบบนั้นแม่ว่าท่าทางของเธอยังเป็นปรกติ

    "พี่กันยาจีบเค้าเล่นๆหรือจริงๆคะ"

    "ก็จริงๆนะสำหรับในเกมส์ ก็เหมือนเราสร้างเพื่อนทางจดหมาย"

    "กึ่งเล่นกึ่งจริง ถ้าเจอตัวจริงพี่กันยาเองก็อาจจะเปลี่ยนความรู้สึกก็ได้ไม่ใช่เหรอค่ะ" ฉันถาม

    "เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นประจำ"

    "ถ้าการกระทำอะไรทำให้ความรู้สึกของพี่กันยาเปลี่ยนไปเค้าอาจจะไม่อยากให้เป็นแบบนั้น" พี่กันยาค่อยๆหันมาหาฉัน สายตาเหมือนตั้งคำถาม

    "แบบนั้นก็หมายความว่าเค้าก็ชอบพี่อยู่ไม่ใช่เหรอ" ฉันค่อยๆสูดลมหายใจลึกๆเข้าปอด การพยายามปกปิดเป็นเรื่องที่สร้างความวุ่นวายใจอย่างมาก

    "ถ้าเค้ามาชอบพี่ การที่ได้รู้จักตัวพี่ยิ่งขึ้นก็น่าจะทำให้ดีใจไม่ใช่เหรอ" พี่กันยาถามฉัน

    "แต่นั้นทำให้พี่กันยารู้จักตัวเค้าด้วยเหมือนกันนะค่ะ"

    "การเรียนรู้ซึ่งกันและกันเป็นพื้นฐานของความรัก" พี่กันยาพูดเน้นคล้ายว่าสิ่งนี่เป็นกฏประจำตัว ฉันต้องทำให้เรื่องทุกอย่างลดความตึงเครียดลง

    "เป็นไปได้ไหมคะว่า เค้ารู้จักตัวพี่ดีอยู่แล้วว่าเป็นใคร เลยไม่อยากจะเปิดเผยตัว เค้าอาจจะรักพี่ก็ได้ พอรู้ว่าคนที่มาจีบเค้าจริงๆแล้วเป็นคนที่เค้าหลงรักอยู่แล้วก็เลยวางตัวลำบาก มันต้องมีด้านไหนเปลี่ยนแปลงสักด้านแน่นอนทั้งด้านในเกมส์ที่พี่กันยากำลังจีบเค้าหรือในชีวิตจริงที่เค้าพยายามแทรกซึมให้พี่กันยารู้สึกตัวทีละน้อยว่ากำลังรักพี่อยู่ เค้าอาจะกำลังพยายามทำตัวให้สำคัญสำหรับพี่ ซึ่งไม่แปลกไม่ใช่เหรอคะถ้าเค้าจะต้องพยายามปิดบังตัวเอง" ฉันพูดออกไปรู้สึกว่าเป็นการคาดเด่าที่มีเหตุผล พี่กันยามองฉันเหมือนกำลังมองทะลุเข้าไปในใจก่อนถอนหายใจออกมา

    "อือเข้าใจละ...แล้วเมื่อไรละถึงจะเปิดเผยตัวเอง"

    "คงต้องแล้วแต่เค้าละมังคะ" ฉันตอบยิ้มๆ พี่กันยากอดอกสีหน้าจริงจังจนฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่น่ากลัว

    "ถ้าคนคนนั้นเป็นเมย์ เมื่อไรจะบอกละว่ารักพี่ได้?" คำถามนี้เหมือนฟ้าผ่า ฉันคิดสงบสติอารมณ์ตัวเองโดยเงียบไป แต่มันไม่ได้ผล ฉันควบคุมความตื่นเต้นของตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกทุกอย่างกลับกลั่นออกมาเป็นน้ำตา ภาพเบื้องหน้าเบลอไปหมด แม้แต่หน้าพี่กันยา แว่นของฉันถูกถอดออกมีผ้าเช็ดหน้ามาซับน้ำตาฉันไว้ ฉันพยายามสั่งให้น้ำตาหยุดไหลแต่มันกลับยิ่งพลั่งพลูออกมา

    "พี่ไม่อยากได้เลขาตาบวมไปขึ้นประชุมไม่ต้องร้องไห้แล้ว" พี่กันยาพูดน้ำเสียอ่อนโยน

    "แล้วมันหยุดได้ที่ไหนละค่ะ" ฉันย้อนถาม พี่กันกันยาวางมือบนไหล่สองข้างของฉันก่อนค่อยๆดันไปด้านหลังและกดลงให้นั่งลงเก้าอี้

    "มองตาพี่" เธอออกคำสั่งก่อนก้มตัวมาในละดับสายตาและจ้องตาฉัน ในเวลานั้นอยู่ๆน้ำตาก็หยุดไหล พี่กันยาซับรอยน้ำตาที่เหลืออยู่ เช็ดแว่นของฉันก่อนสวมคืนให้ สีหน้าปลอดโปรงเป็นปรกติเหมือนทุกวันจนน่าเจ็บใจ เธอจับเก้าอี้มานั่งตรงกันข้ามฉัน

    "เอาละ วันนี้ถ้ารับมือพวกกรรมการนักเรียนไม่ได้ มีหวังพี่หลุดจากคณะกรรมการนักเรียนแหง" ฉันเงียบไปเล็กน้อย พยายามปรับอารมณ์ตัวเองอีกครั้ง

    "ดังนั้นพอมีเรื่องของ..." พี่กันยามองฉันแบบแปลกๆ "เรื่องของ เมย์ ในเกมส์พี่เลยรู้สึกไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้สบายใจแล้วละ"

    "ขอโทษคะ" ฉันพูดออกไปในที่สุด เพราะรู้สึกผิดมากเหมือนกันที่ไม่ยอมอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเมื่อรู้ว่า รูรุคือพี่กันยา

    "ถ้ายอมแต่งงานก็จะยกโทษให้" ถึงพี่กันยาจะพูดถึงตัวในเกมส์แต่มันก็ทำให้ฉันอดหน้าแดงไม่ได้

    "หนูยังนอนเป็นศพอยู่เลย"

    "หรือว่าต้องจูบถึงจะตื่น ยังไม่ลองวิธีนี้เลย" พี่กันยาเดาออกมา ฉันยิงคิดก็ยิ่งเก็บความรู้สึกไม่อยู่ใบหน้าร้อนวูบคล้ายไฟเผาไปจนถึงใบหู อาการแบบนั้นยิ่งทำให้พี่กันยาก้มหน้าแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ฉันเบือนหน้าหลบสายตาของพี่กันยา แม้จะถือว่าเสียมารยาทต่อรุ่นพี่แต่ฉันก็อดรู้สึกเหนื่อยไม่ได้ที่ไฟแห่งความรู้สึกเผาหัวใจให้เต้นระรัว สูบฉีดโลหิดจนใบหน้าแดงยากจะเก็บอาการความรู้สึกต่างๆ

    การประชุมเริ่มเวลาแปดนาฬิกาสิบห้านาที ตรงกับเวลาเข้าเรียนคาบแรกพอดี คนที่จะเข้าร่วมประชุมต้องทำเรื่องลากับทางโรงเรียนให้เรียบร้อย นี่เป็นเหตุผลเหล่ากรรมการนักเรียนจะขาดเรียนกันแทบไม่ได้เพราะเวลาเรียนจะไมพอให้เข้าสอบ รุ่นพี่ที่สวมชุดสูทสีแดงยืนแทรกตามแถวต่างๆของชั้นมัธยมห้ากับหกคนเหล่านั้นเป็นรุ่นพี่ที่จะเข้าประชุม ส่วน เหล่าเลขาจะได้ติดเข็มสีทองในวันนั้นแม้ว่าจะไม่ได้เป็นคนในกรรมการนักเรียนแต่แรกก็ตาม แต่เมื่อกลายเป็นเลขาแล้วก็จะถือเป็นหนึ่งในคณะกรรมการนักเรียน เมื่อเลิกแถวหน้าเสาธง รุ่นพี่จะมารับเลขาด้วยตัวเอง และทั้งสองจะเดินไปด้วยกันโดยเลขาจะเดินตามหลังรุ่นพี่เยื้องไปทางขวามือด้านหลัง สายตาของคนในห้องมองฉันแปลกไปในเวลานั้นจะด้วยความแปลกใจหรือย่างไรก็ยากจะคาดเดา ถ้าฉันทำตัวไม่เหมาะสมกับพี่กันยามีแต่ทำให้ดูน่าหัวเราะ จึงต้องพยายามแม้กระทั้งเพียงแค่การเดิน ผมหยักโศกที่สั่นไหวเมื่อขยับก้าวไปข้างหน้า กลิ่นหอมของพี่กันยา สัมผัสเหล่านั้นทำให้ฉันอดคิดถึงเรื่องเมื่อเช้าไม่ได้ พี่กันยารู้แล้ว พี่กันยารู้แล้ว ฉันพยายามสลัดความคิดพวกนี้ทิ้ง แต่ก็ยังทำไม่ได้ เมื่อผ้นตึกเรียน แล้วจึงเห็นรุ่นพี่ทั้งหลายในชุดสูทสีแดงเดินเป็นกลุ่ม มุ่งหน้าไปที่ประชุม ต้นไม้ที่ปลูกอย่างหนาแน่นให้ร่มเงากันแสงแดดไม่ส่องลงมามากหรือน้อยเกินไปอย่างเป็นธรรมชาติ พี่กันยาเดินนำฉันลงไปนั่งที่ชั้นในสุดของวงกลมและนั่งลง ฉันยืนพร้อมถือแผ่นรองเขียนที่เตรียมสำหรับการจดทุกอย่างกับแฟ้มเอกสาร ตรงกลางกุหลาบสีแดงที่เลื่อยพันรอบดาบนั้นกำลังบานสวย ส่งกลิ่นหอมชื่นใจ ถัดออกไป เป็นพี่ผอบจันทน์ ด้านข้างยืนด้วยนฤมล เธอมองมาทางฉันสีหน้าท่าทางไม่แสดงความรู้สึก แม้แบบนั้นฉันรู้สึกว่าด่อยกว่า ท่าทางเลขาแต่ละคนก็แสดงความรู้สึกตึงเครียดและจริงจัง คนดังในชั้นมอสี่ ลูกสาวคนดังในวงสังคมไฮโซ ลูกสาวนายธนาคารยันรัฐมนตรีถูกจับจองตัวโดยรุ่นพี่เพื่อรับหน้าทีเลขาในขณะที่ฉันเป็นเพียงนักเรียนธรรมดา ตัวฉันแม้จะพยายามยืนหลังตรงเงยหน้าอย่างมัน แต่พวกเค้าดูเหมือนกับว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทำกันมาตั้งแต่เกิด ในเวลาไม่กี่อึกใจด้านหน้าของฉันก็เต็มไปด้วยรุ่นพี่ในชุดสูทสีแดง ในขณะที่ฝั่งที่ฉันยืนอยู่ เป็นที่นั่งเปล่าๆ มีเพียงพี่กันยากับฉันเท่านั้น นี่คือความอ้างว้างที่รู้สึกได้ ประธานการประชุมเข้ามาด้วยชุดสูทสีฟ้าอ่อน ยืนอยู่ตรงกลางลานประชุมข้างดาบที่ปักไว้ตรงกลาง ขยับแขนเสื้อปลายข้อมือซ้ายพลิกดูนาฬิกาเรือนเล็ก เสียงระฆังบอกเวลาเริ่มเรียนดังขึ้น ทุกคนลุกขึ้นยืนทำความเคารพประธานและนั่งลงอย่างพร้อมเพรียง ประธานการประชุมจึงเริ่มกล่าว

    "นี่เป็นการประชุมทั่วไปครั้งที่สามของเทอมนี้ มีคนยื่นกระทู้ด่วนในเรื่องของร้านอาหารที่เข้ามาทำอาหารในวันเสาร์ที่เป็นกิจกรรมต้องรับรุ่นน้องของแต่ละชมรม ผู้รับผิดชอบเรื่องนี้คือคุณกันยา เราจะมาพูดกันถึงเรื่องนี้กันก่อน แล้วจึงมาพิจารณากันในเรื่องของงบประมาณที่จะใช้ไปในกิจกรรมของวันเสาร์ที่จะมาถึง ซึ่งเป็นการที่รุ่นน้องแต่ละชมรมจะแสดงความสามารถให้รุ่นพี่ดู" กรรมการนักเรียนฝ่ายบริหารพยักหน้าพร้อมเพรียงกัน พี่กันยายังคงเรียบเฉยดูไม่ทุกข์ร้อนก่อนเอยปาก

    "ดิฉันพร้อมแล้วคะ สำหรับเรื่องของอาหารกลางวันในวันเสาร์ที่ผ่านมา" พี่กันยาเอ่ยด้วยสีหน้าชัดเจน พี่ผอบจันทน์มีสีหน้าเหมือนอึดอัดอยู่เล็กน้อยก่อนยกเอกสารขึ้นมา

    "พวกเราประชุมกันแล้วนะกรรมการนักเรียนสงสัยว่าการที่คุณกันยาเลือกบริษัทผลิตผลอาหารไทย มารับผิดชอบเรื่องของอาหารกลางวันในกิจกรรมครั้งที่ผ่านมาเพราะความสนิทสนมกับตัวลูกสาวของประธานบริษัทคุณมาริสาที่เป็นเลขาของคุณ การใช้อำนาจในการเอื่อประโยชน์ในพวกพ้องเป็นสิ่งที่พวกเรากรรมการนักเรียนรู้สึกยอมรับไม่ได้ เห็นสมควรให้คุณกันยารับผิดชอบด้วยการลาออกคณะกรรมการนักเรียน" พี่ผอบจันทน์เว้นระยะเล็กน้อย "นอกจากคุณจะหาเหตุผลที่เหมาะสมได้" เมื่อประโยคนั้นหลุดออกมาดูเหมือนว่ารุ่นพี่หลายคนในฝั่งของกรรมการนักเรียนจะหันมามองพี่ผอบจันทน์เป็นสายตาเดียว คล้ายไม่พอใจในประโยคนั้นหลายส่วน

    "สมควรลาออกเท่านั้นคะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากกรรมการนักเรียนที่นั่งถอยไปอีกหนึ่งแถว เป็นสาวผมสั้นสีน้ำตาล ฉันไม่รู้จักรุ่นพี่คนนี้มาก่อน ก่อนเธอจะยกมือขึ้นเป็นการขอพูดในที่ประชุม ประธานยกมืออนุญาต เธอจึงลุกขึ้นยืน ซึ่งฉันเองรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก

    "คนที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนกลับมีพฤติกรรมชอบเพศเดียวกันดิฉันคิดว่ามันเป็นการไม่สมควร ถึงแม้ว่าคณะกรรมการนักเรียนลงความเห็นแล้วว่าเป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่นั้นก็นำไปสู่การใช้อำนาจอำนวยประโยชน์ให้พวกพ้องเพราะความพิศสวาท" ทั้งที่ประชุมเงียบได้หนึ่งอึกใจรุ่นพี่คนนั้นก็นั่งลง พี่กันยาระบายลมหายใจเล็กน้อยแต่สีหน้ายังคงสงบราบเรียบ ไม่นานก็มีคนยกมือขอพูด ประธานส่งสัญญาณเชิญให้พูด หญิงสาวคนนั้นจึงลุกขึ้นพูด

    "อาหารที่มาบริการในเสาร์ที่ผ่านมาดิฉัยรู้สึกว่าคุณภาพแย่มากรวมถึงไม่สะอาดพอ มีนักเรียนบางคนมีอาการท้องเสียเกิดขึ้น ซึ่งในการประชุมครั้งที่ผ่านมาคุณพยายามยืนยันว่าสามารถหาอาหารที่มีคุณภาพเทียบกับโรงแรมที่ฝ่ายบริหารเราเสนอชื่อเลือกเอาไว้ แต่จริงแล้วกลับเป็นการวางแผนอำนวยประโยชให้คนสนิท ซึ่งคุณควรรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น" ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อในสายตาที่เห็น มีคนยกมือต่ออีกคน

    "ชมรมคอมพิวเตอร์ ตลอดมาไม่เคยสร้างชื้อเสียงให้โรงเรียนเมื่อเที่ยบกับชมรมกีฬา ประโยชน์น้อยกว่าชมรมสันทนาการต่างๆ ดิฉันเห็นควรขอให้ยุบชมรมคอมพิวเตอร์ให้ชมรมห้องสมุดดูแลต่อ เพราะใช้งบไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร" ฉันอดขมวดคิ้วไม่ได้ นี่มันไม่ใช่การประชุมแล้ว

    "จดหัวข้อให้ครบนะเมย์แล้วพยายามอย่าแสดงอารมณ์ทางสีหน้า" พี่กันยาพูดขึ้นเรียบๆ

    "ค่ะ" ฉันตอบรับ ที่นั่งฝั่งกรรมการนักเรียนมีคนยมมือพร้อมกันสองสามคน ประธานที่ประชุมยกมือเชิญตามลำดับ ฉันจดหัวข้อทั้งหมดด้วยความรู้สึกว่าที่ประชุมแห่งนี้มันแสนจะไร้สาระ มีใครบ้างที่คิดแบบนั้น สายตาของพี่ผอบจันทน์ประธานฝ่ายบริหาร แสดงความเบื่อหน่ายอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่หลายคน ตีสีหน้าไร้ความรู้สึก เมื่อคนที่กำลังพูดอยู่กล่าวจบพี่ผอบจันทน์ยกมือขึ้น ประธานการประชุมส่งสัญญาณ

    "กฏการประชุมให้โอกาศคุณกันยาในการแก้ต้างได้ทุกเวลาในที่ประชุม หัวข้อกระทู้มากเกินไปแล้ว ดิฉันเห็นสมควรใหประธานการประชุมเปิดโอกาสคุณกันยาในการแก้ต่าง" บางที่ฉันอาจจะต้องมองพี่ผอบจันทน์ใหม่เสียหน่อย เพราะตลอดมาฉันรู้สึกว่าพี่ผอบจันทน์ต้องคอยหาเรื่องพี่กันยาเป็นแน่แต่ในความเป็นจริแล้วรู้สึกจะไม่เป็นแบบนั้น ประธานการประชุมหันไปทางพี่กันยาเป็นเชิงถามความคิดเห็น พี่กันยายกมือ ประธานการประชุมส่งสัญญาณพี่กันยาจึงลุกขึ้น

    "หลายๆเรื่อง ดิฉันคงไม่พูดแก้ต่างเพราะว่าทำให้เสียเวลาประชุมอันมีค่าไป ถ้าลงไปในบันทึกการประชุมดูจะทำให้ลานประชุมแห่งนี้ตกต่ำลงไป"

    "คิดว่าการมีพวกผิดเพศอยู่แถวนี้ทำให้ที่ประชุมตกต่ำลงมากกว่าน่ะค่ะ" สาวผมสั้นสีน้ำตาลพูดแทรกขึ้นอีกครั้ง พี่กันยาเหมือนทำเป็นไมได้ยินพูดต่อไป การที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้เป็นการดึงพี่กันยาให้ทำงานยากขึ้นหรืออย่างไรกัน ฉันรู้สึกแย่โดยไม่รู้ตัวบางทีอาจจะถูกต้องถ้าฉันไม่เข้ามาร่วมประชุม แต่แบบนั้นพี่กันยาก็คงต้องนั่งอยู่คนเดียวเหมือนครั้งก่อน ฉันคาดเดาความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก มันไม่ผิดเลยที่ฉันจะยืนอยู่ตรงนี้อย่างน้อยก็ยืนเป็นเพื่อนกันก็ยังดีไม่ใช่เหรอ

    "ดิฉันคงจะพูดเรื่องของเหคุผลการที่เลือกบริษัทผลิตผลอาหารไทย มาเป็นคนในบริการอาหารในวันเสาร์ที่ผ่านมา เพราะบริษัทนี้ไม่อยู่ในรายชื่อของร้านอาหารที่กรรมการนักเรียนไม่พอใจ เป็นบริษัทที่คิดค้นเมนูอาหารไทยให้ร้านอาหารโรงแรมใหญ่ๆ ยันไปถึงร้านแผงลอยข้างทางเท้า มีกิจกรรมทำประโยชน์ต่อสังคม ชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการธุระกิจ วงเงินที่จ่ายไปในวันเสาร์ไม่มากมายเลยเป็นเงินเพียง สองพันห้าร้อยหกสิบเจ็ดบาทเป็นเพียงค่าอุปกรณ์เท่านั้นคะ เงินเท่านั้นคงไม่ทำให้บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์รำรวยขึ้นมาจากหน้ามือเป็นหลังมือ ที่ราคาถูกได้ขนาดนี้เพราะพ่อครัวที่มาเป็นนักเรียนเตรียมจบของโรงเรียนสอนทำอาหารผลิตผลอาหารไทย นี่เป็นสนามสอบของเค้าเหล่านั้นไปในตัว หลายคนในนั้นถูกจองตัวโดยโรงแรมใหญ่ ดิฉันเตรียมข้อมูลมาพร้อมทุกอย่างว่าพ่อครัววันนั้นมีใครบ้าง ทางบริษัทนั้นเองก็ทำประกันภัยสำหรับอาหารทื่ทำทุกครั้งนะดังนั้นคนที่ทานอาหารวันนั้นแล้วท้องเสียสามารถนำหลักฐานไปยื่นเรื่องเพื่อขอความรับผิดชอบได้คะ ส่วนคนที่แนะนำดิฉันคือแม่นมของดิฉันคะ ไม่ใช่มาริสา ถึงตอนที่สืบเบื้องลึกของบริษัทจะทำให้ทราบว่ามาริสาเป็นลูกสาวของประธานบริษัท ก็ไม่มีผลอะไรต่อการตัดสนใจเพราะสิ่งเหล่านั้นได้ตัดสินใจไปในตอนแรกแล้ว ว่ายังไงดิฉันคงต้องใช้บริษัทผลิตผลอาหารไทยในงานครั้งนี้ ดิฉันของสรุปอีกครั้งแล้วกันว่า ที่เลือกบริษัทนี้เพราะมีชื่อเสียงอยู่แล้วในวงการโรงแรม ราคาถูกเพราะทางบริษัทเองก็ต้องการสนามสอบสำหรับพ่อครัวด้วยเช่นกัน" พี่กันยานั่งลงหลังอธิบายเรื่องทั้งหมดจบลงไป

    "แล้วเรื่องของความเหมาะสมในการนั่งที่ประชุมแห่งนี้ละค่ะ" สาวผมสีน้ำตาลร้องถาม "โดยเฉพาะคุณมาริสา" คำถามพุ่งเป้ามาที่ฉันจุดประสงค์คงเพื่อทำให้ฉันเป็นจุดอ่อน ฉันมองไปทางต้นเสียงก่อนจะแสดงออะไรออกไปพี่กันยาก็พูดขึ้น

    "ที่ประชุมแห่งนี้ถ้าคนไม่ได้ใส่ชุดสูทจะไม่สามารถพูดได้ เฉยไว้เมย์ สีหน้าอย่าแสดงความรู้สึก ถ้ารู้สึกว่ามันยากเกินไปก็ยิ้มเสีย" พี่กันยาพูดในละดับเสียงธรรมดาที่น่าจะได้ยินกันเพียงสองคน "อยากจะพูดอะไรพูดผ่านพี่" "คะ" ฉันตอบรับสั่นๆคำหนึ่ง ก่อนยิ้มให้ทางหญิงสาวผมน้ำตาลคนนั้น นี่มันไม่ต่างกับการท่าทายไม่ใช่เหรอแต่นั้นละดีกว่าให้ฉันทนทำหน้านึ่งอยู่เฉยๆ ประธานการประชุมหันมามองพี่กันยาที่นั่งเงียบไปพักหนึ่งเหมือนรอท่าทีของฝ่ายบริหารว่าจะมีใครกล่าวอะไรอีกไหม เมื่อไม่พบใครจะพูดอะไรแล้วพี่กันยาจึงยกมือขึ้น ประธานการประชุมส่งสัญญาณอนุญาตในทันทีพี่กันยาจึงลุกยืนขึ้นอีกครั้ง

    "ตั้งแต่ปีที่แล้ว กรรมการนักเรียนฝ่ายตรวจสอบยื่นขอให้รุ่นพี่ค้นหารุ่นน้องที่มีความสามารถในด้านต่างๆโดยไม่สนใจว่าจะเต้นรำเป็นรู้จักมารยาทในสังคมชั้นสูงหรือรู้จักกระเป๋ามียี่ห้อมากขนาดไหน มาเป็นเลขาเพื่อเพิ่มความหลายหลาย แต่ทางฝ่ายบริหาร ให้เหตุผลว่าเด็กคนอื่นไม่เหมาะสมที่จะวางใจให้มาเป็นเลขาและรักษาภาพของคณะกรรมการนักเรียนให้อยู่สูงสุด จึงคัดเลขากันเฉพาะเด็กในชมรมวัฒนธรรมชั้นสูงเท่านั้น ดิฉันจึงเลือกมาริสาเป็นเลขา การที่มาริสาไม่ได้อยู่ในชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงดิฉันคิดว่าไม่ใช่เหตุผลที่เธอไม่เหมาะสม ส่วนในเรื่องของรสนิยมทางเพศนั้นดิฉันในตอนแรกคิดว่าจะไม่กล่าวอะไรเพราะถึงเรื่องนี้จะไม่มีการเขียนเป็นตัวหนังสือแต่นีเป็นสิ่งเดียวที่ห้ามใครแตะต้องของโรงเรียนแห่งนี้ ดิฉันกับกันยาอาจจะมองดูแตกต่างในฐานะของรุ่นพี่รุ่นน้องเพราะดิฉันมองว่าเธอเป็นเพื่อนของดิฉัน เราสองคนในตอนนี้ยังไม่มีความสัมพันธ์แบบที่หลายๆคนคาดเดาไว้ แต่ว่าความสัมพันธ์ก็เหมือนกันต้นไม้ที่สามารถเติบโตและพัฒนาตัวเองต่อไปได้ ดิฉันจึงไม่ยืนยันว่าความสมันพันธ์ของดิฉันและมาริสายังจะคงเป็นแบบนี้หรือไม่ แต่ถ้าคิดจะใช้เหตุผลนี้บังคับให้ดิฉันลาออกจากคณะกรรมการนักเรียนดิฉันคงต้องถามความเหมาะสมของเรื่องนี้ไปยังรุ่นพี่สมาคมนักเรียนเก่าด้วยอีกทาง"

    "ถึงจะไม่ลาออกแต่ตอนนี้ทางกรรมการนักเรียนฝ่ายตรวจสอบก็แทบจะไม่มีพลังอะไรแล้ว เสียงในคณะกรรมการนักเรียนก็มีเพียงหนึ่งเสียง" สาวผมแดงลุกยืนขึ้น พี่กันยาถอนหายใจยาว

    "ยืนอยู่ตรงนี้นะเมย์" พี่กันยาพูดจบก็ลุกขึ้น เดินไปตรงกลางของลานประชุม ใกล้กับดาบ

    "กันยา" ประธานการประชุมใช้น้ำเสียงปลอบ ดูสีหน้าไม่สบายใจนัก รวมถึงหลายๆคนในฝ่ายบริหารเริ่มหันหน้าคุยกันเหมือนว่ากำลังจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

    "ขอใช้การโต้เถียงคะ" พี่กันยาพูดด้วยเสียงอันดังคมชัด ประธานการประชุมหลับตาเหมือนสงบสติเล็กน้อย ก่อนหันไปทางหญิงสาวผมแดง

    "คุณลลิตาเชิญลงมาด้วยไม่แบบนั้นก็ขอเชิญออกจากลานประชุมไป" ประธานการประชุมกล่าวด้วยเสียงอันชัดเจน หญิงสาวผมแดง เดินลงมาอย่างไม่กลัวเกรงทั้งสองยืนอยู่คนละฝั่งกันโดนมีเถากุหลาบและดาบกันกลาง

    "ถึงจะเหลือเพียงหนึ่งเสียงแต่ว่าลานประชุมแห่งนี้จะต้องบันทึกผลการประชุม ติดป้ายประกาศ ถ้าเป็นหนึ่งเสียงที่มีเหตุผลก็สามารถหยุดยั้งนโยบายขอฝ่ายบริหารทั้ง 20 เสียงได้ เรื่องนี้คณะกรรมการนักทั้งหมดทราบดี การที่จะทำให้ดิฉันลาออกได้ก็คงมีเพียงการกดดันให้ลาออกอย่างที่พยายามทำกันอยู่เท่านั้นละคะ" พี่กันยาพูดเรียบเฉย

    "แต่แบบนั้นมันก็หมายถึงคุณมีอำนาจขาดในการที่จะค้านเรื่องทุกเรื่องของฝ่ายบริหารเพราะไม่ต้องผ่านการประชุมของกรรมการฝ่ายตรวจสอบ ตั้งแต่ประชุมนอกรอบจนถึงการประชุมครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง คุณค้านทุกเรื่อง การทำแบบนี้ไม่ต่างกับมือไม่พายเอาเท้าราน้ำถ่วงความเจริญของคนในคณะกรรมการนักเรียน และคนที่เสียผลประโยชน์กลับเป็นนักเรียนแทน ชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงแทนจะได้สัมผัสสถานที่เต้นรำจริงงานเลี้ยงของจริง ก็กลายเป็นว่าต้องจำกัดอยู่ที่ในสนามหญ้า แล้วเอาเงินไปลงให้ชมรมทำสวนบ้าง ชมรมการแสดงบ้าง" ลลิตาพูดยาวมือไม้ท่าทางอธิบายอย่างไม่พอใจ ฉันจดแทบไม่ทันครั้งหน้าของเปลี่ยนเป็นคอมพิวเตอร์แทนน่าจะเหมาะกับฉันมากกว่า พี่กันยายืนตัวตรงรับฟังอย่างสงบสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกอะไร

    "เพราะว่าหลายๆเรื่องไม่ถูกต้องฝ่ายบริหารคิดว่าการที่เหลือฝ่ายตรวจสอบคนเดียวจึงร่างนโยบายออกมามองแต่มุมมองของตัวเองและพยายามทำเอาใจนักเรียนส่วนใหญ่และปล่อยนักเรียนส่วนน้อยเพื่อให้ภาพรวมดูดีเท่านั้นเอง ดิฉันทำทั้งหมดไม่ใช่ว่าเป็นศัตรูของฝ่ายบริหาร แต่ทำตามหน้าทีของกรรมการฝ่ายตรวจสอบ"

    "แต่เสียงเดียวของคุณดูจะเป็นการถ่วงความเจริญคนอื่นเสียมากกว่า คงไม่ปฎิเศษใช้ไหมว่าคุณสามารถค้านได้ทุกเรื่องโดยไม่จำเป็นต้องมีมติของผ่ายตรวจสอบ ขอเพียงแต่คุณเอ่ยปากยกมือขอค้าน ในขณะแต่ละเรื่องที่เราเสนอกันขึ้นมา ต้องผ่านการประชุมแก้ไข้กว่าจะได้ออกมา"

    "ถ้าคุณไม่อยากให้ดิฉันค้านก็ทำนโยบายออกมาให้มีประโยชน์ต่อส่วนรวมสิคะ"

    "ดิฉันทำดีที่สุดแล้วแต่ดิฉันไม่สามารถเอาตัวของตัวเองแทนนักเรียนทั้งโรงเรียน ดิฉันเป็นตัวแทนบอกความต้องการของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น การที่ดิฉันจะอำนวยประโยชน์ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปรกติไม่ใช่หรือ คุณบอกว่าการกระทำของฝ่ายบริหารทำให้นักเรียนส่วนหนึ่งเสียประโยชน์ แต่การกระทำของคุณก็ไม่ต่างกันไป โรงเรียนของเรามีชื่อเสียงในการอบรมหญิงสาวให้สู่งสังคมอย่างสง่างาม ไม่ใช่ไปมัวสนับสนุนคนทำสวน หรือชมรมการแสดง หรือส่งเสริมเทกโนโลยี นี่โรงเรียนไม่ใช่พระเจ้าที่ต้องทำทุกอย่างให้ดูดี"

    "ที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนฝึกสอนคุณหนูอย่างที่คุณกำลังเข้าใจ ความรู้และประสบการณ์พวกนั้นสามารถหาได้ในอนาคตอยู่แล้ว โรงเรียนมีทำได้เพียงสร้างโอกาสให้ทุกคนได้สัมผัสทดลองเรื่องราวกิจกรรมบางส่วนที่นักเรียนให้ความสนใจ ถึงจะเอาเงินเทให้ชมรมทำสวนก็ใช่ว่าต้องสร้างเรือนเพาะชำให้ หรือสนับสนุนชมรมการแสดงต้องมาสร้างโรงละครให้ ดิฉันเพียงต้องการเห็นทุกส่วนดีเหมือนๆกันไม่ใช่ว่าเด่นจนกลายเป็นโรงเรียนฝึกคุณหนู"

    "แต่คนที่บริจากเงินให้กับชมรมนักเรียนเก่าของเราก็มาจากชมรมวัฒนธรรมชั้นสูงทั้งสิ้น ถึงไม่มีการบังคับว่าต้องนำเงินไปทำอะไร ดิฉันก็คิดว่า รุ่นพี่เหล่านั้นต้องการให้ชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูง มีความพร้อมยิ่งขึนเรื่อยๆ ถ้าพวกรุ่นพี่ทราบว่าเงินถูกแบ่งไปให้ชมรมอื่นมันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอว่าจะไม่บริจากเพิ่มเพราะการนำเงินไปใช้ไม่ตรงกับจุดประสงค์ของผู้บริจาก พวกเรารู้สึกว่าชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงตกต่ำลง เต้นรำกับบนสนามหญ้า สวมเพียงชุดนักเรียน อุปกรณ์จัดงานเลี้ยงทำได้เพียงของทั่วๆไป แล้วในสายตาของรุ่นพี่ที่จบไปจะไม่รู้สึกว่ามันตกตำหรืออย่างไร"

    "ดิฉันมองว่าเพียงแค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับนักเรียน ความเข้าใจในคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น เหตุและผลที่ทำให้เกิดงานเต้นรำ และกิจกรรมของชมรมต่างหากที่สำคัญ" พี่กันยาพูดเสียงเรียบไร้อารมณ์ในขณะที่ทางลลิตาดูเหมือนจะหมดเรื่องราวที่จะพูด เธอยืนนิ่งคล้ายพยายามสงบสติอารมณ์

    "ดิฉันขอมองว่าคุณกำลังฉุดโรงเรียนให้ตกต่ำลง ดิฉันรู้ว่าตลอดมาไม่เคยมีใครโต้เถียงกับคุณชนะ แต่ขอให้เข้าใจ ความรู้สึกของดิฉันด้วยว่า โรงเรียนกำลังตกต่ำลงเพราะคนที่พยายามถ่วงความเจริญเช่นคุณ เด็กใหม่หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมชมรมเราไม่เป็นอย่างที่ใครๆพูดกันเมื่อสมัยก่อน แลเหมือนจะตกต่ำลงจากไฮกลายเป็นโลว์ ดิฉันจะบอกว่าเพราะทั้งหมดเป็นเพราะคุณ" ลลิตาชี้นิ้วใส่พี่กันยา

    "ดิฉันปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว" พี่กันยาตอบด้วยท่าทางอันเป็นปรกติ "แต่นั้นไม่ใช่การคิดจะฉุดโรงเรียนให้ตกต่ำลง"

    ลลิตาหันหลังให้กับพี่กันยาก่อนเดินขึ้นไปด้านบนออกจากที่ประชุมไป เลขาของเธอเดินตามออกไปที่หลัง หากใครยอมแพ้ในการโต้เถียงต้องเดินออกจากทีประชุม ทุกอย่างต้องหักล้างกันด้วยเหตุผลและจบลงด้วยความแค้นที่ฝากไว้ พี่กันยาหันหลังเดินกลับเข้ามาที่นั่งตามเดิม ช่วงเวลาที่สบตากันนั้นฉันเห็นชัดว่าแววตาของเธอดูเหนื่อย

    "พี่กันยาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ" ฉันพูดขึ้นมาทั้งพยายามจะทำท่าทางเป็นปรกติแต่ว่าอดตกใจไม่ได้

    "เครียดตามปรกติ กลายเป็นปิศาจร้ายในสายตาของรุ่นน้องแล้วสินะฉันนะ" พี่กันยาตัดพ้อน้ำเสียงสีหน้าไม่สู้ดีเท่าไรนัก

    "ถ้าสร้างภาพให้เธอเป็นศัตรูของคนทั้งโรงเรียนได้รับรองได้เลยว่าสู้ยังไงก็ไม่มีทางชนะ" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านบน หญิงสาวร่างสูงมาพร้อมกับใบหน้าคมคายจนน่าจะเรียกว่าหล่อมากกว่าสวย สวมชุดสูทสีแดงสดเดินลงมาด้านหลังมีเด็กสาวตัวเล็กในชุดนักเรียนเดินตามมา นั้นคือพี่ชัยพฤกษ์ ส่วนทางซ้ายมือเป็นหญิงสาวที่งดงามเทียบได้กับนางฟ้า ค่อยๆเดินลงมาอย่างช้าๆในชุดสูทสีแดง นั้นคือพี่วิชชุดา ด้านหลังมีเลขาตามมาสองคน ทั้งสองนั่งลงตรงที่นั่งข้างพี่กันยา พี่กันยาไม่แสดงความรู้สึกอย่างไร คงเรียบเฉยแต่ฉันรู้สึกว่าพี่กันยาน่าจะดีใจ ท่าทางของคณะกรรมการบริหารเปลี่ยนไปทันที พี่ผอบจันทน์ยกมือขึ้นประธานการประชุมยกมือให้สัญญาณในการพูด

    "ดิฉันคิดว่าสิ่งที่คุณกันยาอธิบายมีเหตุผลเหมาะสมไม่สามารถนับเป็นความผิดได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่เราต้องพิจารณากันว่าการที่กันยาเป็นฝ่ายตรวจสอบเพียงผู้เดียวอาจจะทำให้เกิดการกระทำตามอารมณ์ในอนาคต ซึ่งตรงนี้ดิฉันคิดว่าเป็นเหตุผลที่หนักแน่นพอให้รุ่นพี่ในสมาคมนักเรียนเก่ารับฟังให้ยุบฝ่ายตรวจสอบทิ้งไปหรือว่า อาจจะทำการคัดเลือกคนที่สามารถทำงานตรงนี้ใหม่หมดทั้งหมด นอกจากว่าทีมตรวจสอบจะมีแกนหลักสักสามคน ดิฉันอยากจะทราบว่าพอมีใครอีกสัก สองคนไหม จะเข้ามาทำงานส่วนนี้ อยากให้ทุกคนในที่ประชุมนี้เสนอความคิดเห็น" พี่ชัยพฤกษ์ยกมือสวนทันที ก่อนประธานการประชุมจะพยักหน้าเป็นสัญญาณ

    "คือดิฉันกับวิชชุดาตกลงกันแล้วว่าเราจะเข้ามาประชุมร่วมกับกันยา ทุกครั้งตั้งแต่วันนี้ไป พวกเราสามคนจะเป็นคนช่วยขีดเส้นให้ฝ่ายบริหารหากพบความไม่พอดี" พี่ผอบจันทร์นั่งลงสายตามองทางพี่กันยา เผยอยิ้มที่มุมปาก พี่กันยาโค้มศีรษะให้เล็กน้อย

    "หนังสือแต่งตั้งเดิมยังคงอยู่และยังไม่มีคำสั่งปลดดิฉันกับวิชชุดาออกจากการเป็นกรรมการฝ่ายตรวจสอบ หวังว่าการเข้าเป็นกรรมการตรวจสอบของดิฉันทั้งสองคนคงได้รับการยอมรับจากที่ประชุมแห่งนี เพื่อผลประโยชน์ของโรงเรียนกมุทะรัตน์และนักเรียนของเราทุกคน" พี่ชัยพฤกษ์นั่งลง ประธานการประชุมเดินวนรอบดาบที่ปักไว้กึ่งกลางลานประชุมช้าๆหนึ่งรอบ ไม่มีเสียงโต้แย้งหรือใครยกมือ จึงประกาศให้ทุกคนร่วมพิจารณ์แผนงานของกิจกรรมครั้งต่อไป เพียงแค่มีฝ่ายตรวจสอยเข้ามานั่งเพิ่มอีกสองคนทำให้การประชุมสามารถผ่านไปได้โดยปรกติ เรื่องไหนที่ฝ่ายตรวจสอบยกมือค้านก็ถูกยอมรับอย่างง่ายดายผิดกับช่วงแรกที่พี่กันยานั่งอยู่คนเดียว ที่ทุกคนในที่ประชุมพยายามจะเฉือดเฉือนด้วยคำพูดเอาชีวิตเธอเสียให้ได้ ฝ่ายบริหารคงต้องวางแผนกันใหม่หรือไม่ก็ต้องยอมรับการทำงานร่วมกับฝ่ายตรวจสอบ...

    การประชุมเลิกก่อนพักกลางวันจะเริ่มขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าแสงแดดจะส่องแสงแรงกล้าแต่ ณ ที่ตรงนี้ก็ยังร่มเย็นอยู่เสมอด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ปลูกติดกันอย่างเป็นระเบียบให้ร่มเงากับลานประชุมแห่งนี้ คนอื่นๆแยกย้ายกันออกจากที่ประชุม พี่ชัยพฤกษ์ถอดชุดสูทออกส่งให้เลขาตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างตัวรับไว้ พี่กันยาลุกขึ้นยืนในเวลานั้น

    "ชัยพฤกษ์ วิชชุดา ขอบคุณมากที่มาช่วย" พี่วิชชุดาส่ายศีรษะเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นอะไร ส่วนพี่ชัยพฤกษ์ เกาศีรษะเล็กน้อย

    "พี่นันธิดาโทรมาขอให้พวกเราช่วยนะ" พี่ชัยพฤกษ์พูดเหมือนเป็นเรื่องปฏิเสธไมได้ ก่อนถอนหายใจ "แต่ครั้งนี้เรายืนฟังอยู่นานแล้วรู้สึกว่าจะปล่อยให้เธอโดนโขกสับอยู่คนเดียวมันไม่ใช่เรื่องที่คนเป็นเพื่อนทำกันเลย"

    "ขอโทษนะ ฉันทำให้คนรอบข้างเดือดร้อนอีกแล้ว" พี่กันยาพูดขึ้นน้ำเสียงเหมือนขาดความมั่นใจในตัวเองอยู่หลายส่วน พี่วิชชุดาเดินเข้ามาใกล้ใช้สองมือกุมมือของพี่กันยาเบาๆมองด้วยสายตาอย่างอ่อนโยน ฉันอดเกิดความรู้สึกแปลกๆไม่ได้จนต้องรีบพูดขึ้นมา

    "ทานข้าวกันไหมคะ" ฉันโผงออกมา ทุกคนหันมามองฉัน พี่ชัยพฤกษ์ยิ้มออกมาเป็นคนแรก

    "นั้นสินะเครียดกันมาตั้งนานลืมหิวไปเลย น้องชื่อมาริสาใช่ไหมจ๊ะ เห็นพี่นันธิดาเล่าให้ฟังอยู่เหมือนกัน" ฉันพยักหน้าตอบคะไปหนึ่งคำ พี่ชัยพฤกษ์ขยี้ศีรษะฉันอย่างเอ็นดูและยิ้มให้แบบตลกๆ

    "แบบนั้นฉันคงต้องขอตัวนะ" พี่กันยาเอ่ยปาก

    "ก็ไปนั่งด้วยกันเป็นไรไป ถึงเธอจะกินอาหารไม่ได้นะกันยา" พี่ชัยพฤกษ์พูดเสียงแข็ง

    "ไม่ใช่ว่าฉันทำตัวไม่สมาคมกับชาวบ้านเพียงแต่ว่า มันทำให้หิวแล้วก็เรียกน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ฉันไม่อยากเป็นโรกกระเพาะตั้งแต่ยังสาวนะ"

    "แบบนั้นไม่นานเธอก็เป็นแน่กันยา ข้าวเที่ยงไม่ยอมกิน" พี่ชัยพฤกษ์กอดอกเริ่มทำเสียงดุ "แล้วไม่แบกข้าวกล่องมากินเองละ" เธอตั้งข้อสังเกตุ พี่กันยาถอนหายใจ

    "กระเป๋านักเรียนกระเป๋าไวโอลินแล้วจะให้ฉันเอามือที่ไหนแบกข้าวกล่องอีก" เหตุผลของพี่กันยาฟังขึ้น

    "งั้นชั้นชื้อนมให้เธอกล่องหนึ่งแล้วไปนั่งทานกับพวกเรา"

    "ฉันไม่มีเอมไซย่อยนมถ้าจะออกไปไหนต้องทานยาก่อนไม่แบบนั้นท้องอืด" พี่กันยาอธิบาย พี่ชัยพฤกษ์เกาศีรษะ

    "คนอะไรหน้าตาออกจะดีแต่ยุ่งยากจัง" พี่ชัยพฤกษ์ดูท่าทางจะเหลืออดจนต้องพูดออกมา ฉันว่านี่เป็นโอกาสดีทีเดียวสำหรับฉัน

    "หนูทำข้าวกล่องมาให้พี่กันยาคะ" ฉันพูดขึ้นมา พี่กันยาหันมามองฉันสีหน้าตกใจอยู่มาก "ไม่ได้เหรอคะ" ฉันถามพี่กันยารีบส่ายศีรษะ ก่อนยิ้มให้

    "ขอบใจมากต่างหาก" ...

    ดูเหมือนว่าเรื่องต่างๆจะมีแนวโน้มไปในทางที่ดี แต่ความว้าวุ่นใจยังไม่จบ พี่กันยาทำท่าเหมือนจะรู้แล้วว่าฉันคิดยังไงกับเธอ แต่ว่า ทำไมดูเหมือนปรกติ ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีตีตัวออกห่าง หรือรังเกียจ อย่างที่ฉันคิดในตอนแรก

    "วันนี้เหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะเมย์นะ" แม่มณีพูดขึ้น "ได้ยินว่าวันนี้เป็นเลขาของพี่กันยาแล้วเหรอ" ฉันพยักหน้าคิดอยู่นานก่อนเอ่ยปาก

    "เหมือนกับว่าพี่กันยาจะรู้ตัวแล้ว" ฉันพูดเป็นนัย แม่มณีพยักหน้าเข้าใจความหมายนั้นโดยไม่ยาก

    "แล้วเป็นยังไงบ้าง"

    "นั้นสิ" ฉันอดซึมอีกครั้งไม่ได้

    "ถ้าเป็นฉันนะ" แม่มณีพูดขึ้นนำเรียกให้ฉันสนใจ "จนกว่าพี่กันยาจะบอกว่าอย่างมายุงกับฉันนั้นละถึงจะนั่งซึมแบบเมย์" รอยยิ้มของแม่มณีดูจะกับทำให้หัวใจฉันพองโตขึ้น

    "ดังนั้นทำตัวเป็นปรกตินะ ฉันดีใจนะที่เห็นเมย์เป็นเลขาของพี่กันยา เพราะเราจะได้เจอกันบ่อยขึ้น" แม่มณีจับกระเป๋านักเรียนลุกขึ้นหันมาโบกมือลาฉันเพราะได้เวลาที่เธอต้องไปที่เรื่องไม้สีครีม

    "ขอบใจนะแม่มณี" ฉันพูดออกไป แม่มณียิ้มรับ ทำท่าจะเดินออกไปแต่ก็หันกลับมา

    "วันอาทิยต์ที่จะถึงนี่ไปเดทกันได้ไหมเมย์" แม่มณีถามสีหน้าดูเขินอยู่บ้าง ฉันเดาว่าคงมีเรื่องบางอย่างจะพูดกับฉันมากกว่าเพราะท่าทางผิดปรกติไป แต่ถ้าแบบนั้นนัดกันตั้งวันอาทิตย์มันไม่นานไปหรืออย่างไร

    "ช่วงเช้าต้องไปเรียนเต้นรำถ้าเป็นช่วงบ่ายก็ว่างนะ"

    "งั้นเดทกันนะ" แม่มณีถามย้ำอีกครั้งฉันพยักหน้าพร้อมรอยยิ้มเป็นการยืนยั้น แม่มณีจึงหันหลังเดินจากไป ท่าทางของแม่มญีแปลกๆไปบ้าง แต่อาจจะเป็นเพราะช่วงเวลาที่กำลังวุ่นวายกับกิจกรรมต่างๆจนไม่มีเวลาเป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก

    "ไปชมรมกันได้แล้วเมย์" เสียงพี่กันยาดังขึ้นจากประตูด้านนอก "พวกเราต้องไปถึงชมรมกันก่อนที่คนอื่นจะมากัน เพราะตอนนี้เมย์เป็นเลขาของพี่แล้ว"

    "คะพี่กันยา" ฉันรีบเก็บสมุดใส่กระเป๋าแล้วลุกขึ้นอย่างรวดเร็ววิ่งออกไป

    "เดิน ห้ามวิ่งด้วย" พี่กันยาพูดเสียงเรียบ ฉันแบรกแทบไม่ทัน ท่าทางนั้นทำเอาพี่กันยาอดยิ้มไม่ได้

    "ขอโทษคะ" ฉันเดินไปพลางพูดขึ้นพี่กันยาเดินนำไปก่อนเล็กน้อย

    "เราจะต้องเดินไปพร้อมๆกันเป็นจังหวะ อาจจะเหมือนพี่เดินนำเมย์เล็กน้อย แต่จริงๆแล้วพี่ก็จะไม่เดินทิ้งเมย์ไปไหน เราต้องเดินไปด้วยกัน นี่เป็นภาพของกรรมการนักเรียน ถ้าเมย์สังเกตสักนิดจะเห็นว่าทุกคนที่เป็นกรรมการนักเรียนจะมีสภาพแบบนี้เวลาอยู่ในหน้าที่" ฉันค่อยๆนึกตาม

    "คะ"

    "เป็นสภาพที่น่าอึกอัดว่าไหม หลายครั้งที่เลขาจำต้องลาออกไปเพราะทนสภาพที่ว่านี้ไม่ได้ แต่บางคนก็ไปกันได้เพราะเป็นเพื่อนกันบ้าง บางคนก็ถึงขั้นเป็นคนรักกัน แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงนั้นการที่กรรมการนักเรียนกับเลขาจะเข้ากันได้ต้องเป็นเพราะอุดมการณ์และความคิดที่คล้ายกัน พี่กับพี่นันธิดาอยู่ด้วยกันได้เพราะว่าเหตุผลข้อหลังสุดเราสองคนมีความคิดคล้ายกัน"

    "คะ" ฉันขานรับอีกครั้ง "แต่หนูขอไม่ตอบนะคะว่าจะอยู่ในสภาพของเลขาพี่กันยาด้วยพันธะอะไร"

    "พี่ไม่คิดจะถามอยู่แล้ว คำตอบมันรู้อยู่แล้ว" ฉันรู้สึกหน้าร้อนวาบขึ้นมาก้าวแต่ละก้าวเดินไปด้วยความลำบากยิ่งขึ้นแต่ยังไงฉันก็พยายามคุมระยะให้พอดีกับพี่กันยา นี่เพื่อให้เกิดเป็นภาพที่สวยงาม เพื่อให้คำว่าคณะกรรมการนักเรียนมีค่าในตัวเอง หากฉันทำตัวได้เหมาะสมกับตำแหน่งเลขา ภาพของพี่กันยาที่มีฉันเดินอยู่ด้านหลังคงงดงามน่าประทับใจในสายตาของคนอื่น แล้วพี่กันยาจะหวังอะไรในตัวฉันบ้างไหม มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะรู้สึกพิเศษกับฉัน ความรู้สึกของฉันจะจบลงที่ใดกัน ฉันได้แต่หวังว่าหากเดินตามไปกันแบบนี้สักวันคงจะรู้คำตอบนั้น...

    จบตอนที่ 6(จบ)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×