คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5
"แกจะเรียนเต้นรำ" แม่ฉันร้องเสียงหลงสีหน้าแปลกใจเกินธรรมดา
"แม่บอกว่าเพื่อนของแม่เปิดโรเรียนสอนลีลาศอยู่ไม่ใช่เหรอคะ" แม่ของฉันทำท่านึกอยู่เล็กน้อยก่อน เดินเข้าไปห้องรับแขก
"ขอน้ำเย็น แก้วสิเมย์" แม่พูดออกมาก่อนที่ฉันคิดจะตามไป ด้านน้องสาวตัวแสบเดินมาพร้อมแฟ้มเอกสารกับปึกกระดาษที่ถ่ายเอกสารมา ทำให้ฉันต้องรีบวิ่งเข้าไปช่วย
"ไม่เป็นไรพี่เมย์ เอาน้ำให้แม่ก่อนดีกว่า" จิ๊ดจ๋า ขยับกองเอกสารพักหน้าอกไว้ก่อนเดินต่อ ขึ้นไปชั้นบน ฉันเดินเข้าไปในครัวเอาน้ำรินใส่แก้วยกไปให้แม่ฉัน ก่อนนั่งลงบนโซฟาด้านข้างแม่รับน้ำไปดื่มดีบกระหายก่อนหันหน้ามาคุย
"ไม่ค่อยมีนักเรียนหรอกนะ ได้ข่าวล่าสุดก็ตอนชวนมันไปดื่มกับเพื่อนเก่า ไม่แน่ว่าจะปิดโรงเรียนไปแล้ว หรืออย่างดีที่สุดก็มีนักเรียนสองสามคน ละก็ที่สำคัญมันเป็นผูชาย แกจะเรียนกับผู้ชายได้เหรอเมย์" ฉันพูดอะไรไม่ถูกนั่งคิดคำตอบไม่ช้าแม่ก็พูดออกมาก่อน
"โรงเรียนแกแม่ได้ยินว่า เน้นกิจกรรมพวกคุณหนูมากไม่ใช่เหรอ แกมีปัญหาเรื่องการเข้าสังคมหรือเปล่าเมย์ พวกผู้ดีพวกนั้นเค้าดูถูกแกบ้างไหม"
"แม่คะนั้นโรงเรียนนะคะ ไม่ใช่ว่าหนูไปอยู่บ้านทรายทองเสียเมื่อไร อีกอย่างนักเรียนธรรมดาฐานะปานกลางอย่างเราก็มีมากกว่าพวกลูกคนมีเงินหรือพวกผู้ดีเป็นไหนๆ รับรองว่าพวกแยะคะ" แม่ฉันมองสายตาเหมือนไม่วางใจเสียเท่าไร
"แล้วที่เรียนเต้นรำนี่คิดอะไร" แม่ถามเข้าถึงจุดประสงค์
"รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม นี่ค่ะ"
"ตอนเด็กที่ขอแม่เรียนเปียนโนเรียนแบบนางเอกในละครแกก็พูดแบบนี้ สุดท้าย เปียนโนหลังนั้นต้องยกให้คนอื่นไป เพราะแกไม่ยอมเล่น"
"ครั้งนี้แม่ไม่ไม่ต้องซื้ออะไรให้เลยคะ หนูขอเรียนให้รู้ไว้เท่านั้นเอง" ฉันยื่นข้อเสนอ แม่พยักหน้า
"พรุ่งนี้แม่มีธุระจะเขียนแผนที่ไว้ แล้วตอนเช้าแกก็โทรตามลุงชาญชัยให้ขับรถไปแล้วกัน"
"เดี๋ยวเมย์ไปเองคะ" แม่ส่ายศีรษะ
"ใส่กระโปรงไปให้เรียบร้อยแล้วก็ให้คนขับรถไปส่งชุดจะได้ไม่ยับ แล้วขากลับจะได้รับกลับมาด้วย ถ้าแกจะเที่ยวไหนต่อก็เอาชุดไปเปลี่ยน ถ้าไม่ใส่กระโปรงจะไปหัวหกก้นขวิดที่ไหนก็ไม่ว่าอะไร" แม่ออกคำสั่งพลางเขียนแผนที่ลงบนสมุดบันทึกเล่มเล็ก แล้วฉีกออกก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
"เอ้ย โรงเรียนสอลีลาศ ของแกปิดยังวะวุธ"
"อ้าวก็คิดว่าเจ๊งไปแล้ว พรุ่งนี้จะให้ลูกสาวไปเรียน"
"เมย์ ไม่ใช่ จี๊ดจ๋า เหอๆ ไม่ต้องมาทำเสียงโล่งใจแบบนั้นเลย ลูกสาวแต่ละคนของชั้นแสบพอกันนั้นละ ไงพรุ่งนี้ฝากด้วยแล้วกัน แล้ววันหลังจะรับไปกินเหล้ากันอีก เออๆ" แม่ปิดโทรศัพท์พลางยื่นแผนทีมาให้
"โรงเรียนมันอยู่แถวตึกเก่าย่านผ่านฟ้า จิ๊ดจ๋า แกจะไปเรียนด้วยกันพี่แก่ไหม" จิ๊ดจ๋าเดินเข้ามานั่งบนโซฟาสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม
"ผ่านฟ้า โรงเรียนของพี่วุธ นะเหรอค่ะแม่"
"อือ"
"เดี๋ยวหนูไปเรียนพี่วุธก็ไม่เป็นอันสอนพอดีคนอะไรอ่านง่ายอย่างกับแผ่นกระดาษ โดนปั่นหัวหน่อยก็ล้มไม่เป็นท่าแล้ว"
"รู้จักเหรอจิ๊ดจ๋า" ฉันถามออกไปเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
"คะ ก็เคยให้เลี้ยงข้าวเลี้ยงน้ำบ่อยๆ ตอนหลังรู้ว่าเป็นเพื่อนแม่ หนูก็เลยต้องวางมือ" จิ๊ดจ๋าอธิบาย ฉันอดขมวดคิ้วไม่ได้
"จริงๆเพราะว่าหนูหน้าเหมือนแม่เท่านั้นละ เค้าเลยเอ็นดูหนูเป็นพิเศษ แต่พอรู้ว่าเป็นลูกสาวใคร พี่วุธก็เพี้ยนไปเลย หนูเลยต้องตีตัวออกห่างออกมา"
"ตอนแรกแกก็สนใจเค้าไม่ใช่เหรอจิ๊ดจ๋า" แม่ฉันเสริมขึ้น สายตามองจิ๊ดจ๋าอย่างสงสัย
"หนูไม่อยากเป็นแค่ตัวแทนของแม่นะคะ" จิ๊ดจ๋าตอบตัดบทก่อนหันมาหาฉัน "พรุ่งนี้ไปงานการ์ตูนกันไหมพี่เมย์ มีชุ้มของมาเมียนาออนไลยน์มาจัดเปิดตัวเวอร์ชั้นใหม่ด้วยนะ" ดูเหมือนนั้นทำให้ฉันต้องคิดดูก่อน
"ไม่ละพรุ่งนี้ต้องไปสมัครโรงเรียนสอนลีลาศ" ฉันปฏิเศษไว้ก่อน
"พรุ่งนี้หนูต้องแบกการ์ตูนไปขาย ยังไงก็ต้องขนใส่รถไป ไหนๆแล้วหนูติดรถไปกับพี่เลยแล้วกัน"
"แบบนั้นเดี๋ยวพี่กลับเองแล้วกัน" ฉันสรุปก่อนลุกขึ้น "เงินค่าเรียนหนูใช้บัตรเสริมของจ่ายไปเลยนะคะ" แม่ไม่ตอบอะไรหยิบรีโหมดโทรทัศนเปิดดูรายการเกมส์โชว์
"น่าพี่เมย์ไปด้วยกันเถอะ มาช่วยหนูนั่งขายการ์ตูนก่อน บ่ายสองบ่ายสามก็กลับมาแล้วละ"
"ไว้ดูก่อนแล้วกัน" ฉันตัดบทรีบเดินขึ้นห้องไปโดยไม่สนใจ
"พรุ่งนี้ไปงานเปิดตัวเวอร์ชั่นใหม่ของมาเมียน่าออนไลยไหม" รูรุถามขึ้นทันทีที่เธอ ล๊อกอินเข้ามา
"คงไม่หรอกคะพรุ่งนี้ดิฉันไม่ว่างพอดี"
"ไม่มาหน่อยเหรอ จะได้เจอกันไง รู้จักกันในเกมส์มาตั้งนานแล้ว"
"แค่ห้าวันเองคะ" ฉันพิมพ์โต้ตอบ "เป็นยังไงบ้างคะเดินทางใกล้ถึงหรือยัง"
"จากการคำนวณพรุ่งนี้หกโมงเย็นน่าจะถึงแล้วนะ แล้วจะซื้อของมาฝากนะ ที่นั้นมีพวกของแต่งตัวทำจากหินสวยๆมากทีเดียว"
"ไม่รบกวนดีกว่าคะ ดิฉันไม่คิดจะแต่งตัวให้ยุ่งยากอะไรแค่นี้ก็พอแล้ว"
"ไม่น่ารักเลยนะ"
"ดิฉันไม่จำเป็นต้องน่ารักนิค่ะ"
"แต่งตัวน่ารักๆให้ฉันดูหน่อยไม่ได้เหรอ"
"ดิฉันไม่ใช่ตุ๊กตาน่ะค่ะ" ฉันออกอาการต่อต้านทันที
"เอาละๆ เข้าใจแล้ว" รูรุพิมพ์เหมือนจะยอมแพ้อย่างง่ายดาย "พรุ่งนี้ไปไปเหรอคนที่ไปลงทะเบียนเค้าจะให้การ์ดสะสมที่ระลึกด้วยน่ะ"
"หมายเลขอะไรคะ"
"Random Rare Card ให้สำหรับคนที่ไปลงทะเบียน แต่ถ้าแต่งตัวเหมือนในเกมส์ไปก็จะได้ Rare Card ที่ออกใหม่"
"Cosplay นะเหรอคะ" ฉันเคยได้ยินจิ๊ดจ๋าพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังบ่อยๆ
"ใช่"
"แบบนั้นคุณจะแต่งตัวไปแบบนั้นเหรอคะ"
"ไม่หรอก แต่ว่าหัวหน้าสมาคมชวนไปเป็นเพื่อนนะก็เลยว่าจะไป ช่วงนี้มีเรื่องเครียดๆ นิดหน่อยก็อยากจะไปเดินเปิดหูเปิดตาบ้าง ไม่ไปจริงๆเหรอเซรี่"
"ก็ไม่แน่คะ"
"แบบนั้นนัดกัน"
"ไม่คะ เพราะไม่แน่ว่าดิฉันจะไป"
"งั้นจดเบอร์มือถือของฉันไว้ 02-38x-189x ถ้ามาถึงแล้วก็โทรมาน่ะ" ฉันไม่ตอบอะไรเพรารู้สึกว่ามันเร็วไปที่จะเจอกับคนที่รู้จักกันในอินเตอร์เน็ด โดยเฉพาะคนที่พยายามจะจีบฉันแบบนี้ด้วยแล้วอดรู้สึกแปลกไมได้
"อยากกลับไปป่าเอลทาเนียเร็วๆจังนะจะได้เจอรูรุเสียที"
"อย่าพูดคำหวานเลยคะ แล้วก็อยากบอกอีกครั้งด้วยอย่าจีบดิฉันเลย เพราะยังไงคุณก็รับผิดชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาไม่ได้ไม่ใช่เหรอคะ"
"ถ้าได้เจอกันสักครั้งฉันอาจจะตัดสินใจได้น่ะ" ฉันอ่านแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ รูรุรุกไล่ฉันหน้าดูฉันแพ้เธอก็ตรงที่ลูกตื้อ ถ้าพี่กันยาโดนฉันตื้อแบบนี้บ้างจะเป็นยังไง แต่ที่แปลกคือแม้ว่าฉันจะโดนตื้อแบบนี้แต่ก็ไม่ได้รู้สึกรำคาญใจอะไรเท่าไร กลับสนุกเสียด้วยที่มีเพื่อนพูดคุยด้วย
"ใส่แว่นผูกผมหน้าตาดูไม่ได้คะ"
"อะไรจะตัดบทขนาดนั้นเซรี แต่ฉันรู้สึกดีนะที่ได้คุยกับเธอ แล้วเธอว่าฉันน่ารำคาญไหมที่มาพูดคุยแบบนี้" ฉันในทันทีไม่กล้าจะพิมพ์ลงไปแต่นึกว่ายังไงก็ไม่เสียหายที่จะพูดความรู้สึกของตัวเอง
"ดิฉันดีใจที่มีเพื่อนคุยแต่ว่าจะดีกว่านี้ถ้าคุณจะคุยแบบปรกติ"
"นี่ก็พูดคุยปรกติแล้วนะ"
"หมายถึงว่าอยากจีบนะคะ"
"ไม่ได้หรอกก็กุหลาบที่ฉันให้เธอไปมันจะเติบโตขึ้นมาด้วยความรักนะ ก็ต้องมั่นคอยรดน้ำไม่แบบนั้นจะไม่โตเอา"
"ความรักคือการพูดคุยเหรอคะ?"
"ก็เป็นขั้นตอนหนึ่ง เธอเองก็คงคิดไม่ใช่เหรอว่าในโลกแห่งนี้ไม่สามารถใช้เพียงเงื่อนในการกำหนด เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นมาได้"
"ฉันคิดว่า มันสมบูรณ์จนน่าสนใจต่างหากคะ เหมือนว่านี่เป็นโลกจริงๆที่หลุดไปจากเงื่อนไข บางที่มันอาจจะเป็นโลกที่มีอยู่จริงที่ไหนในจักรวาล"
"เธอคิดขนาดนั้นเลยเหรอ" รูรุถามอย่างสนใจ
"น่าตลกสินะคะแบบนั้น"
"เปล่ารู้สึกว่าน่ารักดีที่เป็นคนช่างฝัน"
"คงคิดว่าดิฉันเป็นเด็กสินะค่ะ"
"เอ๋ ฉันไมได้หมายความอะไรแบบนั้น"
"เด็กดีจะไปนอนแล้วคะขอตัวก่อนแล้วกัน"
"เดี๋ยวสิ" รูรุพิมพ์ประโยคสุดท้ายฉันแกล้งเงียบไม่นานนักเธอก็ ออฟไลย์ไป ฉันเลื่อข้อความไปดูหมายเลขโทรศัพท์ จำไว้สักรอบเพราะคิดว่าถ้าลืมก็จะได้ไม่ต้องโทรให้ยุ่งยากอะไร ถึงฉันจะไปจริงก็ไม่คิดอยากให้เธอเห็นฉันเท่าไรนัก
"เธอเหรอที่ปลูกต้นไม้พวกนี้" ตัวหนังสือสีนำเงินเข้มขึ้นมาฉันหันไปหาต้นเสียงก่อนพิมพ์โต้ตอบ
"ใช่ ผู้ชายเข้ามาที่ป่าเอลทาเนียได้ยังไงกัน" นั้นไม่ใช่คนเล่นแต่เป็น เอไอ ความแตกต่างของ เอไอ กับ เอ็นพีชีคือตัวหนังสือที่ขึ้นจะเป็นสีน้ำเงินเข้มส่วนของเอ็นพีชีจะเป็นสีฟ้า
"ที่นี่มันเป็นบ้านของข้า" เขาตอบ
"ถ้าตอบแบบนี้เท่ากับว่าบึงพิษด้านหน้านั้นเป็นบ้านของท่านนะสิ"
"ใช่ ข้านอนหลับมาตั้งหลายร้อยปี กลิ่นกุหลาบหอมโชยไปถึงในถ้ำข้าถึงได้ตื่นขึ้นมา รู้สึกว่าชายป่านี้กำลังจะลุกลำเข้าใกล้ที่ของข้า เห็นจะต้องทำลายล้างครั้งใหญ่อีกครั้ง"
"เดี๋ยวก่อนเดิมทีทั้งหมดนี่เป็นป่าเอลทาเนียไม่ใช่เหรอ"
"ใช่ แต่ข้าอยู่มากว่าร้อยปีแล้ว เจ้าคิดว่ายังไม่นานพอจะจับจองเป็นเจ้าของเหรอ" ฉันตอบคำถามนี้ไม่ได้ ตอนนี้เห็นชัดแล้วว่า ชายเบื้องหน้าฉันคือตัวระบบของเกมส์ และฉันกำลังพูดคุยกับเอไอของเกมส์ซึ่งทำได้เพียงถ่วงเวลาไว้ก่อนแต่จะผิดพลาดไม่ได้
"นานพอแต่ดิฉันเคยได้ยินว่าเมื่อก่อนที่ตรงนั้นเป็นสวนป่าที่สวยงาม"
"ใช่มันสวยงามมาก เธอต้องการอะไรละ อยากจะเห็นมันอีกครั้งแบบนั้นเหรอ เพียงภาพความฝันเมื่อเก่าก่อนข้าสามารถให้เจ้าเห็นได้"
"ดิฉันต้องการให้มีสวยป่าแบบนั้นตามเดิม"
"เจ้าคงคิดว่าภายในนั้นมีสมบัติที่มีค่าสินะ" ชายคนนั้นถามก่อนเดินเข้ามาใกล้ฉันอีก
"เปล่าคะ ดิฉันเพียงแค่ต้องการทำตามสิ่งที่ตั้งใจไว้"
"ตั้งใจอย่างไร"
"ปลูกต้นไม้ไล่บึงพิษออกไปให้หมด" ชายคนนั้นเมื่อได้ฟังหยิบมีดจากข้างตัวกรีดลงที่แขนของเขาเลือดสีแดงสดไหลอาบลงที่อุ้งมือ เค้าหยดมันลงที่ไม้เท้าของฉันที่ปักไว้เพียงหยกเดียว ไม้เท้านั้นก็ละลายหายสลายไปทันที บริเวญที่เลือดหยดกลายเป็นบึงพิษ ขยายตัวอย่างรวดเร็วกลืนต้นไม้ที่โตเต็มทีหายไป เสียงกรีดร้องของต้นไม้ดันอย่างน่ากลัวจนฉันที่นั่งอยู่นั้นอดรู้สึกขนลุกเป็นไม่ได้ เกิดบึงพิษขนาดกว้างทันที ชายคนนั้นรองเลือดที่เหลือไว้ในอุ้งมือไม่ให้หยดต่อและยืนมาให้ฉัน
"ดื่มมันสิ เลือดของข้ามีพิษร้ายแรง ถ้าเจ้าทนได้ ข้าอาจจะยอมรับข้อเสนอที่เจ้าจะเปลี่ยนที่นี่เป็นป่า" นี่อันตรายเกินไป ฉันรู้ดีว่าการทำแบบนี้เท่ากับการฆ่าตัวตาย มีผลถึงโดนลบตัวละคร
"หรือว่าเธอต้องการให้ข้าสาดเลือดลงบนพื้นป่าแห่งนี้" มีแค่สองตัวเลือกเท่านั้น หากป่าทั้งหมดเป็นบึงพิษแล้ว ฉันปลูกขึ้นมาใหม่อีกครั้งเหตุการณ์แบบนี้อาจจะเกิดขึ้นอีก และบางที่มังกรไร้นามอาจจะเห็นใจ แต่นั้นก็ไม่มีความแน่นอน เอไอ เป็นตัวละครทีไม่มีอะไรตายตัวในการตัดสินใจ แต่หากฉันดื่มแล้วพื้นป่านี้ก็น่าจะคงอยู่เหมือนเดิมในขณะที่ฉันต้องตายไป
"ฉันจะดื่ม" ไม่รู้ว่าเป็นทางเลือกที่ถูกไหม ฉันก้มลงดื่มเลือดในอุ้งมือของชายคนนั้นไม่นานก็ล้มลงไป สถานะปัจจุบันคือ ตาย มีข้อความว่า Dragon Blood เริ่มทำงานในอีกสิบสองชั่วโมง ฉันล๊อกเอ้าออกจากเกมส์ ปิดคอมพิวเตอร์แล้วยืนนิ่งๆอยู่พักหนึ่ง มีเรื่องให้เป็นห่วงมากมาย รูรุเป็นเพื่อนที่ฉันพึ่งมีในเกมส์ นั้นทำให้ฉันรู้สึกยุ่งยากมาก แค่สร้างตัวใหม่แล้วอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นไม่น่าจะมีปัญหาอะไรไม่ใช่เหรอ ฉันสรุปความคิดทั้งหมดก่อนล้มตัวลงนอนบนเตียง พักนี้ดูเหมือนจะมีแต่เรื่องคนอื่นให้คิด ทั้งที่เมื่อก่อนฉันเพียงวุ่นวายกับเรื่องของตัวเองเท่านั้น เพียงไม่กี่วันตัวฉันเปลี่ยนแปลงไปหลายอย่าง ฉันกำลังฟืนธรรมชาติของตัวเองหรือเปล่า?
จิ๊ดจ๋าหลบไปนอนอยู่ใต้เตียงตามเดิม ฉันต้องล้วงยัยน้องสาวตัวแสบลากออกมา ยัยนั้นทำทาบิดขี้เกียดเหมือนแมวก่อนลืมตามองมาทางฉัน น้ำเสียงงัวเงีย
"กี่โมงแล้วค่ะพี่เมย์"
"เจ็ดโมงเช้าแล้ว ไปอาบน้ำลุงชาญชัยจะมาตอนแปดโมง"
"อะไรพี่หนูพึ่งนอนไปแค่ห้าชั่วโมงเอง" จิ๊ดจ๋าบ่นตามภาษา
"แล้วใครให้เธอคุยโทรศัพท์จนดึกดื่น" ฉันเดินออกห้องไปก่อนทิ้งท้ายไว้ "ยังไงก็เร่งหน่อยนะ" ฉันเดินออกไปปิดประตูห้องเสียงวิ่งไล่หลังตามมาก่อนจิ๊ดจ๋าจะตะโกนออกมาจากในห้อง
"พี่เมย์ตกลงไปงานการ์ตูนกับหนูเปล่านะ" ฉันหันไปพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินลงบันไดไป ในใจยังทบทวนเบอร์ที่รูรุให้ทิ้งไว้ ก่อนอดถอนหายใจออกมา ดูเหมือนฉันจะคิดเรื่องนี้มากเกินไป เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่กำลังเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน
"เมย์ ถ้าเห็นน้องแกไปคุยกับวุธก็อย่าไปเป็น กขค ละ" แม่พูดพลางขยิบตาซ้ายให้
"อือ เพื่อนของแม่จะดีเหรอคะ อายุไม่ห่างกันไปหน่อยเหรอถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปหนูคิดว่า.." แม่ฉันโบกไม้โบกมือ
"เห็นแล้วก็รู้เองละ ทำเป็นบ่นเป็นคนแก่ไปได้ อย่างจิ๊ดจ๋าต้องคนเป็นผู้ใหญ่แบบนั้นละถึงจะคุมอยู่ ดีกว่าปล่อยให้ผู้ชายรุ่นเดียวกันหลอกฟัน เออ แล้วตอนเย็นแม่เรียกช่างตัดเสื้อมาบ้านนะ วัดตัวแกตัดชุดราตรีไว้สักสองสามชุด ถึงเวลาที่แกต้องช่วยแม่ไปออกงานสังคมบ้างแล้ว" ฉันรีบส่ายศีรษะ ดูเหมือนแม่จะไม่สนใจว่าฉันจะว่ายังไงเดินออกไปเสียงสตาร์ทรถดังขึ้น ฉันเข้าครัวไปเตรียมกล่องข้าวของจิ๊ดจ๋า ชุดราตรีมันเหมาะกับคนอย่างฉันชะที่ไหน แถมพอนึกว่าเต้นรำคู่กับพี่กันยาแล้วยิ่งตลกไปกันใหญ่ การพยายามปรับตัวของฉันแค่คิดก็ท้อเสียแล้ว
ตึกแถวถนนผ่านฟ้าเป็นตึกเก่าแก่ที่อนุรักษรูปแบบไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง โรงเรียนสอนลีลาศเริงลีลา ตั้งอยู่บนชั้นสองของตึกเก่าแถวนั้นมีป้ายเล็กไปที่เขียนโดยอักษรประดิษฐ์ จิ๊ดจ๋าเดินนำอย่างคุ้นเคยพาเข้าใปในตัวตึกมืดๆนำขึ้นชั้นสอง มีเพียงเสียงเพลงจากแผ่นเสียงดังลอดมาแต่ไกล
"เลี้ยวขวาห้องหน้านั้นละพี่เมย์ หนูรออยู่ข้างล่างแล้วกัน" ฉันพยักหน้า เดินผ่านจิ๊ดจ๋าไป ในห้องชั้นสองแสงสว่างจากด้านนอกกลับส่องมาเต็มทีทำให้ห้องนั้นสว่างโดยไม่ต้องพึงกำลังของหลอดนิออนยาวบนเพดาน พื้นไม้ถูกขัดลงขี้ผึ้งจนเงาวับฉันถอดรองเท้าวางไว้หน้าห้องบนชั้นที่จัดให้ ก่อนเดินเข้าไป ชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆอยู่ในชุดเสื้อเชิตขาวกางเกงสเล็กสีน้ำตาลกับรองเท้าหนังสีโทนเดียวกัน เขาตัดผมสั้นเรียบร้อยท่าทางดูสุภาพ แต่ทั้งหมดแล้วเขาก็ยังดูเด็กเกินไปสำหรับการที่บอกว่าคนนี้เป็นเพื่อนของแม่ฉัน
"เมย์เหรอครับ" เขาขยับตัวออกมาจากริมหน้าต่างพร้อมหยิบรีโหมดขึ้นมาลดเสียงเสียงจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ฉันพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ
"หน้าเหมือนคุณแม่เลยนะ มานั่งตรงนี้สิ เดี๋ยวพี่จะเอาใบสมัครมาให้" เขาพูดพลางเดินนำฉันไปนั่งที่โต๊ะ ก่อนแยกตัวไปเอาแฟ้มเอกสารสีส้มจากในตู้เอกสารเหล็กเก่าๆ หยิบใบสมัครมาให้เขียน
"เขียนแค่ชื่อกับที่อยู่ก็พอ แล้วเมย์จะเริ่มเรียนตั้งแต่ชั้นตนเลยหรือเปล่า" ฉันเขียนข้อมูลไปพักหนึ่งก่อนตอบขึ้นมา
"ไม่เคยเรียนมาก่อนเลยคะ"
"แบบนั้นก็ดีแล้ว เริ่มเรียนเต้นรำจะได้อะไรดีๆหลายๆอย่าง"
"ก็เห็นแค่เอาไว้เต้นในงานเต้นรำเองไม่ใช่เหรอคะ" ฉันนึกถึงประโยชของมันได้เพียงเห็นเป็นการเข้าสังคมเท่านั้น ฉันตอบพร้อมเลื่อนใบสมัครไปให้เขา เพื่อนของแม่ดูเหมือนจะคิดอะไรเล็กน้อยก่อนเดินนำไป
"ลองเดินมายืนตรงนี้สิเมย์ แล้วมองไปที่กระจกพร้อมกันด้วย เธอจะเห็นตัวเธอเวลาเดินชัดเจนใช่ไหม" ฉันทำตามอย่างว่าง่าย
"คะ"
"รู้สึกยังไงบ้างละกับการเดินของตัวเอง" ฉันขมวดคิ้วมองนายชายคนนี้อย่างสงสัย
"ก็ธรรมดาคะใครก็เดินแบบนี้"
"อือ คุณแม่ของเมย์บอกว่า เมย์เรียนอยู่ที่ โรงเรียนกมุทะรัตน์ ลองเทียบการเดินของนักเรียนที่นั้นกับคนทั่วๆไปสิ" ฉันคิดถึงพี่กันยาเป็นคนแรก ก่อนรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา ชายคนนั้นยิ้มอย่างใจเย็น
"ต้องการจะบอกอะไรดิฉันเหรอคะ"
"บางคนสามารถเดินอย่างสง่างามในขณะที่บางคนเดินได้อย่างคนธรรมดา เพราะการผึกฝน ธรรมชาติของมนุษย์เดินอย่างตามสบายก็จะเหมือนคนทั่วตามท้องถนน แต่ในการเต้นรำนะเราต้องจัดท่าให้เหมาะเจาะยืนหลังตรง ก้าวเท้าตามจังหวะดนตรี" ไม่พูดเปล่าเค้าพร้อมเต้นรำให้ดูตามจังวะเพลงที่เปิดคลออยู่เบื้องหลัง
"ชุดราตรีก็เช่นกัน จึงออกแบบมาสำหรับคนที่สามารถเดินอย่างสง่างาม ดังนั้นไม่แปลกที่บางทีเราจะเห็นว่าบางคนเหมาะกับชุดราตรีในขณะที่บางคนดูใส่ไม่ขึ้นเลยเพราะองค์ประกอบพวกนี้" เขาหยุดพร้อมโค้งให้ฉันมองด้วยสีหน้าที่ใจดี
"ลองเริ่มเต้นรำดูไหม"
"ขอโทษคะคิดว่ายังไม่ดีกว่า" ฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าจะจับมือผู้ชาย เขายิ้มแววตานั้นเหมือนรู้ทุกอย่าง
"ตอนเรียนผมจะให้เมย์จับคู่กับผู้หญิงแล้วกันแบบนั้นคงจะสบายใจกว่า แต่ละครั้งมีคนเรียนไม่มากนัก การเรียนบางครั้งอาจจะมีถูกเนื้อต้องตัวกันบ้าง คุณแม่เธอบอกให้ฉันระวังตรงนี้ไหวเหมือนกัน" ฉันรู้สึกเขินที่ชายคนนี้ทราบความรู้สึกของฉันที่มีต่อเพศชาย มันดูผิดปรกติฉันรู้ตัวแต่ฉันรับไมได้ถ้าต้องสัมพัสกับผู้ชาย
"จังหวะในการเต้นรำมีหลายอย่าง นั้นสร้างการเดินให้มีจังหวะจะโคนขึ้นเมื่อก้าวเดินไปจะดูเรียบร้อยหมดจดน่านับถือ ให้ความรู้สึกเป็นผู้นำ และหัดให้ระวังสภาพรอบตัวอยู่เสมอ เพราะการเต้นรำถึงแม้จะมีระบบแต่ก็ต้องดูจังหวะรอบๆตัวด้วย ก้าวสั้นไปไหมยาวไปไหม อะไรพวกนี้ล้วนประกอบเป็นการเต้นรำ" ฉันพยัดหน้าให้รู้สึกว่าสิ่งที่เค้าพูดมาทั้งหมดจะมีเหตุผลอยู่มาก เขาพยักหน้าตามครั้งหนึ่งเดินไปที่โต๊ะเอาสมุดสีนำเงินมายื่นให้ฉัน
"ดังนั้นการบ้านของวันนี้ ผมจะให้สมุดคุณหนึ่งเล่ม ให้เอาวางไว้บนศีรษะเวลาอยู่ในบ้านจะนั่งจะเดินก็พยายามอย่าให้หนังสือตกลงมา"
"เอ๋ ดิฉันไม่ยับทราบว่าเคยมีวิธีการสอนแบบนี้ด้วย"
"คุณปู่ของผมที่ตั้งโรงเรียนนี้มาเข้มงวด ผมก็เลยต้องทำตาม รู้ไหมว่าสมุดสีน้ำเงินนี่นะ ทำให้โรงเรียนเสียรายได้มากกว่าเพิ่มรายได้ด้วยซ้ำ" สีหน้าของเขาดูเหมือนจะตัดพ้อเล็กน้อย ฉันรับมาลองวางไว้บนศีรษะดู ไม่ถึงสามวิก็ตก
"อย่าไปจริงจังกับมานมากนะ หลายคนหัวเสียเพราะสมุดนี้จนลาออกไปหลายร้อยคนแล้ว" ฉันก้มลงเก็บสมุดขึ้นมา
"ค่าเรียนละค่ะ" ฉันถาม "จะให้จ่ายผ่าบบัตรหรือ..."
"ไม่ต้องหรอก" เขายิ้มอย่างใจเย็น "ผมไม่คิดเงินหรอก ลูกสาวของพี่มาเรียนทั้งที พวกเราก็ถือได้ว่าเป็นอาหลานถ้านับตามศักดิ์ อย่างมาลากรน้องสาวของเธอเองเมื่อก่อนก็มาเรียนกับผมทุกอาทิตย์" พอพูดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาดูแปลกไป
"ขอโทษนะคะตอนนี้คุณอายุเท่าไรค่ะ"
"ยี่สิบเอ็ดปีครับ เด็กไปเหรอสำหรับคนที่สอนลีลาศ" เขาถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ จิ๊ดจ๋าอายุสิบสี่คิดว่าทั้งสองคนน่าจะรู้จักกันตอนจิ๊ดจ๋าอายุสิบสาม คิดยังไงก็ผิดปรกติ
"พี่เมย์เค้าสงสัยว่าทำไมถึงมาจีบเด็กอายุสิบสามสิบสี่อย่างหนูนะสิ" จิ๊ดจ๋าเดินเข้ามาหาก่อนยกมือไหว
"สวัสดีคะพี่วุธไม่เจอกันนานเลยสบายดีไหมคะ"
"มาลากร..." วุธสีหน้าเปลี่ยนไปดูเหมือนจะเก็บอารมณ์ดีใจไว้ไม่อยู่ แต่ตอนนั้นก็พูดอะไรไม่ออกนอกจากเรียกชื่อ น้องสาวตัวแสบเดินเข้ามา
"ออกจะเสียมารยาทไปหน่อยถ้ามาถึงทีแล้วยังไม่แวะเข้ามาทักทาย"
"สบายดีไหม ผมไม่เห็นตั้งนานรู้สึกว่าจะดูเป็นสาว ขึ้นมากทีเดียว"
"สบายดีคะพี่วุธละหาแฟนได้หรือยัง" วุธมีท่าที่ชะงักไปก่อนตอบ
"ไม่จำเป็นหรอก" วุธหยิบรีโหมดเครื่องเล่นแผ่นเสียงขึ้นมากดสองสามครั้งเสียงเพลงก็เงียบ
"วันนี้ถ้าชวนไปทานข้าว คุณจะรังเกียจไหม?" วุธรุกไล่ทันทีเมื่อตั้งตัวได้ ฉันแปลกใจที่วุธใช่สรรพนามแทนตัวน้องสาวฉันว่าคุณ มันแลดูแปลกๆสำหรับเรียกเด็กอายุสิบสามสิบสี่
"พี่เมย์ทำอาหารมาเรียบร้อยแล้วคะ" จิ๊ดจ๋ามีข้ออ้างในการปฏิเศษคำชวน วุธเดินเข้ามาหาเหมือนคาดคำตอบไว้แล้ว
"เต้นรำด้วยกันสักเพลงได้ไหม" วุธกล่าวพร้อมกับที่เครื่องเสียงเริ่มบรรเลงอินโทรเพลงขึ้นมา เป็นดนตรีที่คุ้นหูมากแต่ฉันจนใจถากจะนึกชื่อของเพลงนั้น
"ไม่โหดร้ายเกินไปเหรอค่ะสำหรับจังหวะแทงโก้ สำหรับคนทีทิ้งไปเกือบปี"
"ฟลอร์เฟื่องฟ้า เป็นเพลงที่คุณชอบมากไม่ใช่เหรอ" วุธโค้งให้จิ๊ดจ๋ายื่นมือออกไป
"ยังจำได้เหรอค่ะ"
"จำได้ทั้งหมด" วุธตอบทั้งสองจับมือก้าวไปเท้าอย่างรวดเร็วเป็นจังหวะเดียวกันตามเพลง ฉันถอยหลังออกมาเล็กน้อย จิ๊ดจ๋ารีบหันมาสบตาฉันคล้ายบอกว่าอย่าออกไป ฉันอดแปลกใจไม่ได้เลยที่จิ๊ดจ๋าสามารถเต้นรำจังหวะที่รวดเร็วเช่นนี้ได้ จึงยืนชมอย่างเพลินตาไม่นานนักเพลงก็จบลง แม้กระนั้นวุธก็ยังจับมือน้องสาวฉันไว้คล้ายอยากต่อเวลาออกไป
"พี่วุธหมดเวลาแล้วคะ" จิ๊ดจ๋าตรงไปตรงมา "เดี๋ยวต้องไปธุระต่ออีก" วุธค่อยๆคลายมือออก
"ตอนนี่มีแฟนหรือยังครับ" ชายหนุ่มรุกต่อเนื่อง ฉันรู้สึกว่าภาพที่เห็นตอนนี้มันดูดีอย่างบอกไม่ถูก จิ๊ดจ๋าทำตัวต่างจากปรกติที่เห็นเป็นประจำ มีเสน่ห์อย่างอาหารฝรั่งเศษที่จัดตกแต่งอย่างสวยงามและดูเหมือนรับประทานเท่าไรก็ไม่พอ
"คบอยู่หกเจ็ดคนนะคะ เปลี่ยนไปเรื่อย" น้องสาวฉันตอบทิ้งท้ายไว้ก่อนเดินมาทางฉันที่ฟังแล้วอดเขินแทนกับคำตอบแบบนั้นไมได้
"แล้วชอบคนไหนจริงๆจังๆบ้างไหม มาลากร" วุธถามขึ้นน้ำเสียงจริงจัง จิ๊ดจ๋าหันไปทันที
"ก็มีคะ เค้าเป็นคนที่ดูเป็นผู้ใหญ่คะ แต่งตัวเนียบมีระเบียบแบบแผน แต่ขาดความกล้าในการตัดสินใจไปหน่อย ชอบตามใจจนน่าเบื่อ แล้วก็หวังจะใช้หนูเติมเต็มแทนคนรักเก่า" วุธนิ่งไป จิ๊ดจ๋าหายใจเข้าลึกๆเหมือนเริ่มการตัดสินใจครั้งใหญ่
"หนูตัดสินใจอยู่นานนะว่าจะเข้ามาทักพี่อีกครั้งดีไหม ในที่สุดก็เข้ามา ต่อไปพี่ลองคิดดูเองแล้วกัน" จิ๊ดจ๋าหันกลับมารีบก้าวเดินออกไปพร้อมจูงมือฉันอย่างแรงแทบไม่ทันตั้งตัว น้องสาวตัวแสบรีบสวมร้องเท้าทั้งใบหน้าแดงก่ำ ฉันในตอนนั้นบอกได้อย่างเดียวว่าตามอารมณ์น้องสาวคนนี้ไม่ทัน เมื่อสวมร้องเท้าของตัวเองเสร็จแล้วกลับพบว่าจิ๊ดจ๋ากำลังวิ่งลงบันไดไป ฉันรีบตามจนออกไปนอกตัวตึก
"พี่เมย์" น้องสาวฉันร้องขึ้นมาหน้าแดงจนรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบริเวณใบหน้า "พูดแบบนั้นดูไม่ดีเลยใช่ไหม"
"ไม่หรอก" ฉันปลอบใจก่อนจับใบหน้าของน้องสาวให้อยู่นิ่ง "ถ้าเมย์ต้องการอะไรจากคำพูดแบบนั้น ต่อให้ป้ายสีให้ตัวเองดูวิเศษหรือทำให้ตัวด้อยค่าลงไปก็ช่างมันเถอะ"
"แต่พี่วุธเป็นผู้ใหญ่นะ แล้วหนูพูดเหมือนลองดีแบบนั้นโกรธแน่เลย" ฉันถอนหายใจ
"ดูเหมือนท่าเธอจะชอบเค้าสินะ" ฉันถามตามตรง
"แค่...ประทับใจหลายๆอย่างแต่ หนูไม่ชอบเค้าหรอกนะ" ฉันไม่เข้าใจคำพูดประโยคนี่เท่าไรนัก จิ๊ดจ๋าหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้ง
"เค้ามองแม่ของเราผ่านตัวหนูเท่านั้นเอง พี่วุธหลงรักแม่ เค้าเคยบอกกับหนูตอนที่อกหักจากคุณแม่เมือปีก่อน ตอนนั้นพี่เค้ายังไม่รู้ว่าหนูเป็นลูกสาวของแม่"
"ทำไมต้องสนใจละ ความรักแค่ทำยังไงให้เค้ามาอยู่กับเราก็พอไม่ใช่เหรอ" ฉันถาม
"พี่เมย์ไม่เคยมีความรักสักครั้ง" จิ๊ดจ๋าเหมือนผู้แทงใจดำ ฉันไม่สนใจหรอกว่าจำเป็นต้องเคยมีความรัก แต่รู้สึกเสียหน้าบ้างที่ด่อยประสบการณ์
"ถ้ารักกันโดยคิดว่าเขาเป็นตัวแทนของใครสักคนแล้ว เขาไม่ใช่เหรอที่น่าสงสารมาก" น้องสาวฉันกำลังคิดว่าตัวเองน่าสงสารที่ถูกรักเพราะว่าเหมือนแม่ ฉันคิดตามก่อนตอบออกมา
"มันสำคัญขนาดนั้นเหรอ ถ้ารักใครสักคน แค่อยากทำให้เขามีความสุขก็พอไม่ใช่เหรอ พี่ไม่สนใจหรอกว่าเขาจะคิดยังไง" จิ๊ดจ๋าสบตาฉันเหมือนตั้งคำถามแต่แล้วก็หลบตาเหมือนกำลังคิดตามไป แล้วพี่กันยาละจะคิดแบบไหน หรือว่า พี่กันยาอาจจะมีความคิดเป็นอย่างอื่น แย่จังในเวลาแบบนี้ฉันยังคิดถึงเรื่องของพี่กันยาอีก ฉันถอนหายใจออกมาด้วยรู้สึกผิดต่อเพศของตัวเอง
"บางที่แม่ของเราก็อาจจะคิดแตกต่างออกไป" ฉันสรุปในที่สุดก่อนจูงมือน้องสาวไปที่รถ
"แล้วอะไรละที่ถูกต้อง" จิ๊ดจ๋าถาม
"อย่าเชื่อเลยว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกต้องแม้ว่ามันจะตรงกับความคิดของตัวเอง หรือเป็นคำตอบจากปากของแม่ สุดท้ายจิ๊ดจ๋าต้องหาคำตอบของตัวเอง แน่นอนว่านั้นเป็นคำตอบของเธอเท่านั้น" คนขับรถเปิดประตูให้พวกฉันสองพี่น้องขึ้นรถ การหาคำตอบของคำถามอาจจะไม่ง่ายนัก เราอาจจะต้องเสียอะไรหลายอย่างกว่าจะได้คำตอบนั้นมา หรืออาจจะได้อะไรหลายอย่างเช่นกัน วุธออกมาจากตัวตึก ฉันเหลือบมองเขาเล็กน้อยก่อนแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะรถกำลังจะออกไป
"พี่เมย์คิดว่าพี่วุธวิ่งตามลงมามีอะไรสักอย่างจะพูดกับจิ๊ดจ๋าหรือเปล่า" น้องสาวคนเดียวของฉันตั้งข้อสังเกตุ
"จะจอดรถไหมละ?" ฉันย้อนถาม
"ถ้าจะพูด พี่วุธยังมีโอกาศอีกเป็นร้อยพันครั้ง" จิ๊ดจ๋าสรุปสีหน้ามั่นใจ แล้วเธอก็ยิ้ม "จริงๆไม่น่ามากับพี่เลยใจคอหวั่นไหวเปล่าๆ สู้ปล่อยให้ลืมๆไปน่าจะมีความสุขกว่านี้" ถึงจะพูดแบบนั้น แต่น้องสาวฉันไม่รู้หรอกว่าตอนนี้สีหน้าของตัวเองมีความสุขกว่าที่เคยเป็นมา
จิ๊ดจ๋าจับหนังสือจำนวนหนึ่งใส่รถเข็นลากจากรถเดินเข้าไปในตัวห้างสรรพสินค้า ฉันรู้สึกแปลกใจไม่ได้แม้ว่าน้องสาวจะชวนมางานเกียวกับการ์ตูนหลายครั้งแล้วก็ตามมีเด็กสาวรุ่นเดียวกับฉันแต่งตัวด้วยชุดแปลกๆ ฉันออกจากห่างไกลกับโลกพวกนี้อยู่มากมีที่คุ้นตาก็เป็นชุดของมาเมียน่าออกไลน์ที่สมจริงสมจังเหมือนออกมาจากตัวเกมส์ ชุ้มของมาเนียน่าเห็นชัดกินบริเวณกว้าง จัดวางเด่นชัดตรงทางเข้า ฉันแกล้งไม่สนใจเพราะน้องสาวกำลังจ้องจับผิดหาว่าฉันบ้าเกมส์อยู่เสมอ ฉันเดินนำตรงถึงโต๊ะว่างมุมสุดของแถว
"โต๊ะนี่ละพี่เมย์" จิ๊ดจ๋าจัดการยกหนังสือแบ่งเป็นสี่กองเล็กๆ พร้อมภาพที่วาดเชิญชวนเป็นแผ่นตั้งบนโต๊ะ
"พี่เมย์ไปนั่งข้างในนะเล่มละยี่สิบบาทใครมาก็ให้เค้าเปิดดูได้เลย เดี๋ยวหนูไปแต่งตัวก่อน" พูดขาดคำน้องสาวตัวแสบก็วิ่งหิ้วเป้สพายหลังหายไปทางห้องน้ำ
"ช่วยไม่ได้" ฉันหันไปโต๊ะข้างๆดูหนังสือของคนอื่นกับน้องสาวฉันดูยังไงมันก็มีความหน้าซื้อต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็เอาเถอะถ้ายัยนั้นคิดว่าสนุกที่จะทำเพราะฉันเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองสนุกเมื่อทำอะไร ฉันขยับตัวเข้าไปนั่งด้านใน มีคนแต่งตัวแปลกมามองหนังสือถ้าเป็นผู้ชายฉันก็จะหลบตาทำเป็นไม่สนใจ ถ้าเป็นผู้หญิงก็จะยิ้มให้เล็กน้อย และหนังสือเล่มแรกก็ขายออก
"จิ๊ดจ๋า อยู่ไหนเหรอคะ" ลูกค้าคนแรกถามขึ้น ดูท่าจะรุ่นเดียวกับน้องสาวของฉันเพียงแต่ว่าสดุดตาตรงแต่งตัวมาด้วยชุดผู้ชายสีขาวทั้งชุด
"เห็นบอกว่าจะไปแต่งตัว" ฉันตอบ เด็กสาวคนนั้นก้าวเท้าตามไปอย่างเร่งด่วน ฉันถอนหายใจยาวออกมารู้สึกเหนื่อยๆคงเพราะไม่เคยชินกับบรรยกาศแปลกๆ ที่มีคนแต่งตัวเหมือนออกมาจากการ์ตูน สายตามองไปทางซุ้มของมาเนียน่าอย่างสนใจ รูรุ เธอไม่รู้ว่าจะมาถึงหรือยัง ฉันหยิบมือถือขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์ของรูรุตามเท่าที่นึกได้ คิดอยู่นานกว่าจะกดโทรไป เสียงเรียกเข้าดันขึ้นสองครั้งและโทรศัพท์ก็ถูกรับ
"เมย์เองเหรอ มีอะไรหรือเปล่า" เสียงตามสายนั้นทำให้ฉันหัวใจแทบจะหยุดเต้น ก่อนนึกว่าเสียงนั้นคุ้นหูอยู่มากจึงเบาใจลง
"พี่กันยาเหรอคะ" ฉันถามขึ้นหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ
"เอ๋ น้ำเสียงแบบนั้นหรือว่าโทรผิดกัน"
"ขอโทษคะ บางทีหนูอาจจะจำผิดกลายเป็นเบอร์พี่กันยาแทน"
"อือ...แต่ก็ดีแล้วละ เมย์เล่นมาเนียน่าใช่ไหม ขอ ไอดี เกมส์หน่อยสีพี่จะเอาลงทะเบียนแทนให้เค้าจะให้ของรางวัลหลายอย่างสำหรับคนที่เอา ไอดีมาลงทะเบียนตอนนี้" ฉันหันซ้ายหันขวามองไปรอบๆ พี่กันยากำลังอยู่ที่นี่เหรอ
"พี่กันยาอยู่ในนี้เหรอคะ"
"อยู่ในนี้"
"คือหนูมากับน้องสาวนะคะ"
"เอ๋...แบบนั้นรีบมาสิ พี่จะรออยู่ที่ชุ้มหน้างาน" พี่กันยาเหรอจะมางานแบบนี้ ฉันว่าไม่เข้ากับความเป็นเธอเท่าไรเลยแต่บ้างหลายครั้งก็เคยได้ยินว่าแต่ละคนก็มีด้านที่ทำให้คนประหลาดใจได้ทั้งนั้น จิ๊ดจ๋า เดินออกมาในชุดเหมือนกับเพื่อนเธอ เป็นสูทสีขาวที่ดูเนียบทีเดียวแม้ว่าจะตัดกันเองก็ตาม
"พี่ขอตัวก่อนนะจิ๊ดจ๋า" ฉันลุกขึ้นขยับตัวเดินออกจากโต๊ะที่วางขายการ์ตูนของจิ๊ดจ๋า
"ไปไหนนะพี่เมย์"
"ถ้าจะกลับก็โทรเข้าเครื่องพี่แล้วกัน" ฉันเดินก้าวเท้ายาวๆมุ่งไปหน้าซุ้มมาเนียนา พี่กันยายืนห่างออกมาจากกลุ่มคนตั้งใจให้ฉันเห็นเป็นคนแรก เธออยู่ในกางเกงสีดำกับชุดสูทดำขาวแบบสาวทำงาน มือยังคงถือกระเป๋าไวโอรินเสมอไม่ห่างตัวปล่อยผมหยักโศกทิ้งน้ำหนักลงอย่างเป็นธรรมชาติ ฉันเผอมองอย่างหลงไหลอยู่วูปหนึ่งก่อนปรับความรู้สึกของตัวเองให้เป็นปรกติ
"สวัสดีคะพี่กันยา" ฉันยกมือไหวเธอตามความเคยชินในโรงเรียน เธอยิ้มให้เล็กน้อย
"อยู่นอกโรงเรียนแล้ว" เธอย่ำเล็กน้อยทำเอาฉันรู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน
"ถึงจะอยู่ที่ไหนพี่กันยาก็เป็นรุ่นพี่ของหนูคะ" ฉันตอบแก้เขิน
"แบบนั้นไปลงทะเบียนก่อนแล้วกัน เดี๋ยวพี่จะพาไปทานขนมแถวนี้" พี่กันยาชี้มือไปทางพนักงานคนหนึ่ง ฉันแค่ใส่ไอดีของเกมส์กับชื่อนามสกุลจริงลงในคอมพิวเตอร์ก็เรียบร้อย เมื่อหันกลับมาพบว่าบงกชกลับยืนอยู่กับพี่กันยาแล้ว ฉันแปลกใจไม่น้อยอีกเช่นกัน
"อ้าวหึงเหรอเมย์" บงกชเริ่มจู่โจมก่อนจะมีเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มคนหนึ่งเดินไปจับแขนของบงกชไว้แนบตัว กระชิบข้างหูเล็กน้อย
"แปลกใจต่างหากคะที่เห็นคุณอยู่ที่นี่" ฉันตอบ พี่กันยายิ้มอย่างอารมณ์ดี
"จริงสินะ บงกชเองก็อยู่กลุ่มพุดซ้อนเหมือนกัน ฉันเองก็ลืมนึกไปเลยว่าอยู่ห้องเดียวกับเมย์" พี่กันยาพูดขึ้น ฉันคิดว่ากำลังต้องการอะไรมากกว่านี้ บงกชยิ้มขึ้นเหมือนกำลังโชว์หน้าไพ่ที่แต้มเหนือกว่า
"สั้นๆง่ายๆ...ฉันเป็นเพื่อนสนิทของกันยานะมาริสา" เธออธิบายฉันอดแสดงความรู้สึกสงสัยผ่านสีหน้าไม่ได้
"บงกชเรียนมัธยมต้นมาพร้อมกัน ตอนเข้ามัธยมปลายไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนกลับมาเลยต้องเรียนมอสี่เหมือนนักเรียนเข้าใหม่" พี่กันยาชี้แจง
"แต่ไม้ต้องเรียกฉันว่ารุ่นพี่หรอกนะเพราะว่าฉันไม่ชอบ" บงกชออกตัว ฉันได้แต่ยิ้มสู้เพราะเหมือนจะเธอต้องการบอกสินะว่า "ยังไงฉันก็รุ่นพี่เธอน่ะ"
"แล้วก็เราสองคนมีความลับกันอยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ" เธอพูดต่อ ฉันระแวงขึ้นมาทันทีหันไปหาพี่กันยาโดยไม่รู้ตัว พี่กันยาขมวดคิ้วอย่างสงสัย
"ความลับอะไรกัน นี่ไม่ใช่ว่าเธอทำอะไรเมย์หรอกนะ" พี่กันยาขยับตัวเข้ามาใกล้ฉัน
"ยังไม่ได้ทำอะไร แต่อยากรู้ไหมความลับอะไรกันยา" บงกชขู่ หรืออีกนัยหนึ่งเธอกำลังหยอกล้อกับความรู้สึกของฉัน ฉันมีความลับอะไรแบบนั้นเหรอ เรื่องที่นึกได้อย่างเดียวตอนนี้คือเรื่องของพี่กันยา
"ความลับอะไรเหรอคะ อยากรู้เหมือนกัน" ฉันทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และแน่ใจว่าถึงเธอจะพูดอะไรออกมาฉันก็คงจะแก้ตัวได้ไม่ยาก ฉันไม่อยากให้บงกชรู้สึกว่าสามารถใช้เรื่องนี้ในการขู่ฉันได้
"หือ...ไม่น่ารักเลยแบบนี เวลาแบบนี้ถ้าเป็นผู้หญิงน่าจะแกล้งเป็นว่า อย่านะคะ ไม่เอานะคะ มากกว่าไม่ใช่เหรอ" บงกชยิ้มอย่างถูกใจ ในขณะที่ฉันได้แต่ยืนนิ่งคำนวณสถานะการณ์
"แล้วความลับอะไรกัน" พี่กันยาถามย่ำอีกครั้ง บงกชสบตาชั้นเหมือนจะให้โอกาศครั้งสุดท้าย เรื่องอะไรกันฉันจะยอม
"ก็เรื่องที่มาริสาชอบกันยานะสิ" บงกชเฉลย
"บางคนก็มองว่าฉันชอบเมย์เหมือนกันนะ อย่างผอบจันทน์เองก็ยังคิดแบบนั้นเลย" พี่กันยาพูดขึ้น
"ที่ฉันพูดนี่หมายถึงฉันชู้สาวนะ" บงกชขยายความต่อ
"แบบนั้นเรื่องนี้เป็นความลับของฉันกับเมย์แล้ว" พี่กันยายิ้ม บงกชนิ่งไปพักหนึ่งก่อนหัวเราะออกมา
"เธอสองคนนี้จริงๆเลย อีกคนก็ไม่ยอมคนอีกคนก็รู้ทันไปหมด"
"ฉันอยู่กับเธอมาตั้งกี่ปีแล้วเรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่ทันกัน" พี่กันยาพูดก่อนสรุป "เอาละไปหาอะไรทานกันดีกว่า ใกล้จะเที่ยวแล้วด้วย" พี่กันยาหันมามองทางฉันเหมือนถามว่าจะไปด้วยกันไหม
"คือน้องสาวหนูมาด้วยนะคะ" ฉันจำต้องปฏิเสธแม้ว่าจะไม่อยาก
"ส่วนฉันขอแยกตัวไปกับแฟนสองต่อสองแล้วกัน" บงกชพูดนิ่งๆ ฉันมองไปทางเด็กสาวข้างตัวบงกช อดเทียบว่าหาฉันไปเกาะแขนพี่กันยาแบบนั้น แม้แต่ฉันเองยังรู้สึกรับไม่ค่อยได้เลย ถ้าฉันรักพี่กันยา ฉันหมายถึงถ้ามันเป็นความรัก ฉันก็ควรจะมีความรู้สึกอยากทำแบบนี้ไม่ใช่เหรอ แต่ทำไมฉันถึงรู้สึกรับไม่ได้
"ไปเถอะยะ... นี่ละพอแฟนมาก็เห็นแฟนดีกว่าเพื่อน"
"โทษทีนะที่ชวนออกมาแล้วก็ทิ้งกันแบบนี้เลย" บงกชมีสีหน้าแกรงใจอยู่หลายส่วน พี่กันยาเพียงพยักหน้ารับก่อนที่บงกชจะถูกเด็กสาวข้างๆลากตัวไป พี่กันยามองมาทางฉันกอดอกเอียงคอเหมือนกำลังใช้ความคิด
"อือ...เมย์แล้วที่บงกชพูดนะจริงเหรอ เรื่องที่เมย์ชอบพี่นะ" พี่กันยาถามท่าทางจริงจัง
"หนูจำได้แค่บอกว่าหนูชื่นชมพี่กันยาเท่านั้นเองคะ" ฉันตอบตามความจริง พี่กันยาถอนหายใจออกมาเหมือนโล่งใจ ตอนนั้นคนที่ใจหายกลับกลายเป็นฉันแทน คงเป็นฉันไม่ได้สินะ
"งันก็ชวนน้องสาวเมย์ไปด้วยสิ" พี่กันยาแนะนำ
"คะ" ฉันตอบรับคำหนึ่งก่อนที่ใช้มือถือกดหาจิ๊ดจ๋าแล้วอธิบายเรื่องราว
"ให้ไปเป็น กขค พี่หนูไม่เอาละคะ แล้วอีกอย่างหนูนั่งขายหนังสืออยู่แล้วพี่ก็ทำอาหารเที่ยงให้หนูแล้วด้วย"
"ฝากคนอื่นดูไม่ได้เลยเหรอ แบบนี้ฉันไม่ชอบนะที่ไปนั่งร้านดีๆคนเดียวทั้งที่มาด้วยกัน"
"หนูชอบทานอาหารของพี่มากว่าไปนั่งร้านอาหารราคาแพง แล้วก็รุ่นพี่ของพี่นี่สวยแล้วก็เท่ห์น่าดู มิน่าพี่ถึงพยายามเปลี่ยนตัวเองน่าดู พยายามเข้านะค่ะ" จิ๊ดจ๋าวางสายไปฉันตอบโต้ไม่ถูกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา
"ว่าไงบ้างเมย์" พี่กันยาถาม ฉันส่ายศีรษะเล็กน้อย
"น้องหนูจะต้องนั่งขายหนังสือทำมือของตัวเองนะคะ เลยบอกว่าตามสบาย"
"อือ ไม่มี ก ข ค สินะแบบนี้" พี่กันยาตอบยิ้มๆ คำพูดความหมายแปลกๆนั้นทำเอาหัวใจเต้นไม่ได้ พี่กันยาเดินนำไป ฉันรีบก้าวเท้าตาม
"จริงสิพี่ไม่เคยถามเลยว่าเมย์เล่นมาเมียน่าอยู่เผ่าไหนชื่ออะไร" พี่กันยาถามขึ้นฉันเขินเล็กน้อยเพราะตัวละครของตัวเองระดับไม่สูงเอาชะเท่าไร แต่มานึกต่อได้ว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว
"ตัวละครของหนูพึ่งตายไปเมื่อคืนเองคะ ยังไม่ได้สร้างใหม่เลยเพราะยังนึกชื่อไม่ออก" ฉันตอบตามตรง
"ไปพลาดท่ายังไงเข้านะถึงปล่อยตัวตายได้" พี่กันยาเหมือนจะตำหนิเล็กๆ "แต่ช่างเถอะ ถ้าสร้างตัวใหม่เสร็จก็โทรมาบอกนะพี่จะได้เอาอุปกรณ์ดีๆกับเงินให้ไปทำทุน" พี่กันยาแสดงน้ำใจ มันแย่ตรงที่ว่าฉันใส่อุปกรณ์ดีๆไม่ได้นะสิ...
"วันนี้แต่งตัวสวยเพราะมางานกับน้องสาวเหรอเมย์" พี่กันยาถามขึ้นเมื่อเดินออกมาจากร้านอาหาร ฉันมองชุดของตัวเอง
"ไม่ดูว่าเชยไปหน่อยเหรอคะชุดกระโปรงสีฟ้ากับเสื้อแขนยาวแบบนี้"
"หรือว่าอยากแต่งตัวแบบพี่" ฉันส่ายศีรษะ ชุดนั้นดูเป็นผู้ใหญ่เกินไป
"คือวันนี้ไปสมัครเรียนเต้นรำนะคะเลยแต่งตัวให้เรียบร้อยนิด" ฉันเริ่มก้าวเท้าเพราะรอบข้างเริ่มมีคนมองมาทางพี่กันยา พี่กันยาเดินตามฉันมา
"ทำไมไม่บอกให้พี่สอนก็ได้" พี่กันยาถามขึ้น สำหรับฉันมันน่าดีใจเกินไปถ้าได้เต้นรำกับพี่กันยา ฉันกลัวว่าจะทนไม่ไหวระเบิดความรู้สึกของตัวเองให้พี่กันยารับรู้ ถ้าถึงตอนนั้นทุกอย่างคงจะจบ
"นักเรียนอย่างหนูน่ารำคาญมากกว่าคะ" ฉันออกตัว พี่กันยาเลิกคิ้วหันมามองอย่างสงสัย
"การเต้นรำนี่สำคัญที่คนนำนะ แล้วถ้าสอนตัวต่อตัวก็จะได้เป็นเร็ว"
"วันที่หนูพอเป็นบ้างแล้วจะขอให้พี่กันยาสอนเพิ่มแล้วกัน"
"แต่ทำไมอยู่ๆถึงคิดไปเรียนเต้นรำละ"
"เห็นว่าคนของกรรมการนักเรียนควรเต้นรำเป็นรอบรู้เรื่องศิลปะและการเข้าสังคมไม่ใช่เหรอค่ะ" พี่กันยาชงักเล็กน้อยจนฉันต้องหันหลังไปมอง เธอก้าวเท้าตามมา รอบข้างฉันรู้สึกสายตาที่มองมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้ชาย
"จริงๆนะของพวกนั้นไม่จำเป็นสักนิด ชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงโดนใช้เป็นเครื่องมือแบ่งว่าใครควรเป็นกรรมการนักเรียนใครไม่ควรเป็น ในเมื่อความจริงแล้วนักเรียนทุกคนที่มีความคิดความสามารถควรสามารถได้เข้ามาเป็นตัวแทนนักเรียน"
"แต่ทุกคนในกรรมการนักเรียนรู้เรื่องพวกนี้ดีไม่ใช่เหรอคะ"
"เลยกลายเป็นว่านักเรียนทุกคนที่เข้ามาเป็นกรรมการนักเรียนต้องเรียนรู้เรื่องพวกนี้ด้วยแบบนั้นเหรอ มันปิดโอกาศนักเรียนอื่นๆ แต่ว่า" พีกันยาเงียบไปพักหนึ่ง "พี่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามจะลดความหรูหราของกรรมการนักเรียนที่เป็นคนกลุ่มเดียวกันมาจากฐานะอย่างเดียวกัน ทั้งที่รุ่นพี่ก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถทำสำเร็จ พี่เองคนเดียวที่เป็นคนสานต่อก็ เริ่มจะไม่ไหวแล้วเหมือนกัน" พี่กันยายิ้ม
"พวกกรรมการนักเรียนพยายามจะทำให้พี่ลาออกจากตำแหน่งเหรอคะ" ฉันถามขึ้นเพราะรู้สึกว่ามันควรจะเป็นแบบนั้น
"พี่ผอบจันทน์ชวนให้ไปอยู่ในฝ่ายกรรมการนักเรียน แล้วทำงานในฐานะกรรมการนักเรียนบริหาร คือทำตามคำสั่ง เพราะพี่เค้าเชื่อว่าพี่เป็นคนมีความสามารถ" ฉันควรจะพูดอะไรขึ้นมาเหรอตอนนี้ เพราะฉันมองไม่ออกว่าพี่กันยาคิดอย่างไรกับคำชวนนั้น หรือควรถามคำถาม
"เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้คือมีพวกลูกสาวจากสังคมไฮโซบางคนไม่ชอบที่พี่ทำแบบนี้ ก็เลยรวมกลุ่มกันบีบพี่ผอบจันทน์อีกที ในที่ประชุมถ้าคะแนนเสียงเกินกว่าครึ่งและไม่มีเหตุผลแย้งทำให้ยอมรับได้ละก็เท่ากับกลุ่มนั้นเป็นผู้นำในสภา" ฉันพอมองสภาพร่วมในคณะกรรมการนักเรียนชัดเจนขึ้นอีกนิดหนึ่ง พี่ผอบจันทน์ต้องการพี่กันยาไปยืนสู้กับกลุ่มภายในกลุ่มบริหารอีกทีหนึ่งมากกว่า แต่ถ้ายืนตรงนั้น ก็คงไม่มีอะไรแปลี่ยนแปลงในอย่างที่พี่กันยาหวังไว้ พี่กันยาพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูก่อนจับมือฉันเดินนำไปทางมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า เสียงเปียนโนดังมาแต่ไกลและชัดเจนขึ้นตรงนั้นเป็นร้านน้ำชากาแฟในที่เปิดกว้าง มีเปียโนหลังใหญ่ตั้งอยู่ กับหญิงสาวในชุดราตรีสีน้ำเงินเข้มกำลังบรรเลงเปียนโนในโลกส่วนตัว พี่กันยาจูงมือฉันนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งบริกรเข้ามารับรายการ พี่กันยาสั่งชามาหนึ่งกาเสริฟกับถ้วยชาฝรั่งแสนสวย พร้อมคุ๊กกี้เล็กน้อยพอเป็นพิธี กระเป๋าไวโอรินถูกเปิดขึ้นมา สายตาของพี่กันยามองไวโอลินเป็นประกาย เมื่อเสียงเปียโนจบลงเสียงปรกมือดังขึ้นจากแขกที่เข้ามาในร้าน พวกผู้ชายสามสามคนที่ตามพี่กันยามาตัดสินใจ เข้าเข้ามาในร้าน นั่งแยกโต๊ะในมุมที่สามารถมองเห็นโต๊ะที่ฉันและพี่กันยานั่ง ความรู้สึกนั้นไม่ค่อยดีเท่าที่ควรนักสำหรับฉัน แต่พี่กันยาเหมือนจะไม่สนใจสายตาของพวกผู้ชายเหล่านั้น เธอจับไวโอลินพร้อมคันชักเดินไปยืนด้านข้างเปียนโน ทั้งสองพยักหน้าให้กันเหมือนคุ้นเคยกันมานาน เสียงเปียโนบรรเลงขึ้นนำก่อนเสียงไวโอรินจะขานรับเสียงนั้นอย่างมีอารมณ์ร่วมกัน ทุกคนรอบข้างที่กำลังเดินผ่านต่างหยุดนิ่ง เสียงไวโอลินคล้ายวิ่งผ่านทะลุหัวใจของทุกคน ไม่อาจที่จะเดินผ่านไป ฉันรู้ว่าพี่กันยาเล่นไวโอลินเก่งเกินกว่าระดับคนสามันทั่วไปแต่ไม่คิดว่าฝีมือไวโอรินของพี่กันยาจะมีผลต่อคนทั่วไปขนาดนี้ นี่อาจจะเป็นเพราะเสียงเปียนโนนั้นเล่นส่งเสริมไวโอรินอย่างสุดตัว หญิงสาวที่กำลังเล่นเปียนโนอยู่นั้นเล่นในฐานะเครื่องดนตรีประกอบเท่านั้น ความรู้สึกหวั่นไหวยากจะไม่เกิดขึ้น ฉันไม่สามารถไปยืนกับพี่กันยาได้ถึงขนาดนั้นหรอก แล้วฉันมีหน้าคาดหวังอะไรแบบนั้นเหรอ หากสิ่งที่ฉันรู้สึกมันคือความรัก หยุดชื่นชมอยู่ห่างๆดีกว่าไหม ในเมื่อมันเป็นไปไม่ได้ พี่กันยาดูเหมือนจะมีคนที่พร้อมจะยืนเคียงข้างเธอยู่แล้ว เมื่อเพลงจบลงชายคนหนึ่งที่ตามมาถึงในร้านถึงกับวางธนนบัตรไว้บนโต๊ะก่อนจะเดินออกไปในร้าน มีสีหน้าถอดใจแสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ชายอีกสองคนลุกตามขึ้นไปในเวลาไม่ถึงอึกใจ คนที่ยืนฟังอยู่ด้านนอกของร้านเริ่มเดินต่อตามจุดหมายเดิม ของตน มีบางคนเดินเข้ามาหาที่นั่งในร้าน บ้างยืนฟังต่ออย่างสนใจ และเพลงที่สองก็เริ่มบรรเลงขึ้น ฉันยกน้ำชาจิบเล็กน้อย รสเฉพาะตัวพร้อมกลิ่นหอมของใบชามีเสน่ห์คล้ายเวทย์มนตร ทำให้ใจฉันสงบลง ลองหลับตาวางนิ้วลงบนโต๊ะไล่ตามเสียงเปียนโนทีได้ยิน ฉันไล่ตามไม่ทันแม้จะเพียงท่อนหนึ่งก็ไม่อาจจะขยับนิ้วได้ดังใจ ฉันห่างจากเปียนโนมาหลายปี นั้นเพราะว่าไม่คิดว่าการเล่นเปียนอย่างนางเอกหนังอะไรนั้นดูเก๋อะไรมากมายเมื่อเล่นไปพักหนึ่ง แต่เมื่อมองหญิงสาวคนนั้นแล้ว ฉันรู้สึกเสียใจที่มักจะตัดสินอะไรเพียงแค่ความรู้สึกที่เกิดขึ้น พอหมดความรู้สึกเหล่านั้นแล้วก็มักจะปล่อยทิ้งวางไป อย่างเปียโนเมื่อละครจบฉันก็เลิกเรียนไป นั้นทำให้ฉันมองไปทางพี่กันยาอย่างไม่รู้ตัว หากเรื่องนี้จบไปฉันก็คงจะเลิกเรียนเต้นรำ แล้วตัวฉันจริงๆอยู่ตรงไหนกัน มีอะไรของตัวฉันบ้างที่น่าชื่นชม... ไม่มีเลยแบบนั้นเหรอ...
"พี่นันธิดาเป็นรุ่นพี่ของพี่ ตอนนี้เรียนคณะแพทย์ศาสตร์" พี่กันยาแนะนำนักเปียนโนสาวที่กำลังเดินเข้ามาพร้อมกับกับเธอ ฉันรีบลุกขึ้นยกมือไหวอย่างสุภาพนี่เป็นมรรยาทพื้นๆเวลาที่พบกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว
"คนนี้คงเป็นมาริสาคนที่กันยาเล่าให้พี่ฟังใช่ไหม" ฉันไม่ทันแนะนำตัวพี่นันธิดาก็ชิงกล่าวก่อน
"คะ" ฉันตอบ
"ตามสบายเถอะ" พี่นันธิดานั่งลงบนเก้าอีกพี่กันยาหงายแก้วชาขึ้นรินชาพลางพูดไป
"มาริสาเป็นเลขาของหนูคะ พี่ว่าเป็นไงบ้างค่ะ"
"แววตาดี" นั้นน่าจะถือเป็นคำชมหรือเปล่า พี่นันธิดาเหลือบตามองทางฉันอีกครั้งก่อนยกถ้วยชาขึ้นดื่ม
"แต่รู้สึกอันตรายจังนะที่มองกันยาด้วยสายตาแบบนั้น" ฉันหลบสายตาของพี่นันธิดาแทบไม่ทัน พี่กันยาดูเหมือนกำลังทบทวนคำพูดเหล่านั้น
"ไหนเมย์มองพี่หน่อยสิ" พี่กันยาออกคำสั่ง ฉันไม่มีเหตุผลที่จะขัด
"อะไรเหรอคะ" ฉันมองทางพี่กันยาพร้อมถามคำถามชวนสงสัย
"ยังไงเหรอคะพี่นันธิดา" พี่กันยาหันไปถามรุ่นพี่ของเธออีกครั้ง
"ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวเหมือนเดิมนะกันยา หึหึ" พี่นันธิดาเงียบไปเล็กน้อยเหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะพูดอย่างไร "พี่ว่าแววตาน่าสนใจดี" พี่นันธิดาพูดน้ำเสียงสนุกสนานก่อนขยับตัวนั่งในท่าสบายๆ
"เอาละเรามาเข้าเรื่องดีกว่า จากที่กันยาเล่าให้พี่ฟังรู้สึกว่าสิ่งต่างๆที่รุ่นพี่ก่อเอาไวจะทำให้กันยาลำบากไม่น้อยทีเดียว ถ้ายังเป็นแบบนี้อีกถ้าหมดรุ่นของกันยาภาระก็ตกเป็นของมาริสา และก็ไม่จบกันเสียทีหากจะมายึดมั่นถือมั้นโดยไม่ดูสภาพลอบด้าน ลาออกจากกรรมการนักเรียนดีกว่ากันยา" พี่นันธิดาเสนอ ฉันแปลกใจกับคำแนะนำแบบนั้นไม่ได้ พี่กันยาก็คงไม่แปลกใจไม่น้อยเช่นกัน
"ทำไมคะ" พี่กันยากล่าวน้ำเสียงเหมือนตัดพ้อน้อยใจ "หนู..."
"วิชุดาโทรมาหาพี่เด็กคนนั้นก็คงเป็นห่วงเธอไม่น้อยแต่เพราะว่า ออกจากกรรมการนักเรียนทำให้รู้สึกเข้าหน้ากันยาไม่ติด" รุ่นพี่วิชุดาเป็นหัวหน้าชมรมมานุษยวิทยา เป็นรุ่นพี่อีกคนที่คนสวยจนน่าประทับใจ แต่แปลกที่มักจะใช้ภาษามือจนเคยชิน และพูดแบบสรุปสั้นๆเป็นประจำ
"พี่วิชชุดาก็เคยอยู่ในคณะกรรมการนักเรียนเหรอคะ" ฉันอดถามอย่างแปลกใจไม่ได้
"วิชชุดาเป็นเลขาให้กับคนหนึ่งในกลุ่มพวกพี่สามคน เหมือนพี่กับกันยานั้นละ พวกเราตอนนั้นมีอยู่สามคู่หกคนและกองหนุนอีกกลุ่มใหญ่" พี่นันธิดาอธิบาย ฉันพอจะเดาได้ไม่ยากว่าอีกคนหนึ่งน่าจะเป็นใครไม่ได้นอกจาก
"พี่ชัยพฤกษ์" ฉันโผงออกไปมองสีหน้าพี่นันธิดาเหมือนรอคำเฉลย "อีกคนหนึ่งใช้พี่ชัยพฤกษ์หรือเปล่าคะ" พี่กันยาถอนหายใจออกมา ดุฉันด้วยสายตา
"ไม่เอาน่ากันยานี่นอกโรงเรียนนะ เราคุยกันอย่างปรกติสนุกกว่าและพี่เองก็จบมาแล้วไม่ไม่ยึดติดกับกฏพวกนั้นแล้ว นอกจากจะใช้ประโยชน์ในบ้างครั้งเท่านั้น"
"ขอโทษคะ" ฉันต้องรีบกล่าวออกไปเพราะถึงแม้ว่าพี่กันยาจะไม่ยึดถืออะไรในกฏรุ่นพี่รุ่นน้องกับฉันแต่ดูเหมือนว่า กับรุ่นพี่คนอื่นฉันจะคิดแบบเดียวกันไม่ได้
"เอาเถอะๆ อีกคนหนึ่งก็ชัยพฤกษ์นั้นละ ตอนนั้นเลขาทั้งสามกลายเป็นที่จับตามองจากทั้งรุ่นพี่ละรุ่นเดียวกัน เดินไปไหนสามคนนี้ฮือฮากันมากเพราะสวยกันคนละแบบ เก่งกันคนละด้าน พอรวมเข้าด้วยกันแล้วเพรียบพร้อมจนไม่มีอะไรบรรยายได้" พี่นันธิดาอธิบายก่อนหันไปมองพี่กันยา
"แต่ว่าถ้ามีคนเดียวก็ไม่ต่างกับเด็กผู้หญิงธรรมดา เธอต้านพลังของกรรมการนักเรียนไม่ได้หรอกกันยา"
"หนูคิดจะทำเท่าที่ทำได้เท่านั้นเองคะ ถ้าร้อยเรื่องสามารถทำได้สักเรื่องหนึ่งหนูก็พอใจแล้ว"
"แล้วปัญหาก็จะตามมาไม่หยุดหย่อน เธอคนเดียวไม่ไหวหรอกกันยา"
"มาริสาด้วยอีกคนคะ" พี่กันยาพูดชื่อฉันขึ้นมาอย่างมั่นใจ ฉันอย่างไรก็จะยืนข้างพี่กันยานี่เป็นความตั้งใจเดิมอยู่แล้ว
"ผู้หญิงยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักทั้งนั้นละ เพราะเชื่อว่าสิ่งนั้นจะทำให้ได้ความรักตอบแทน" พี่นันธิดากล่าว คำพูดนั้นพูดอย่างนิ่มๆเนิบๆ แต่กลับตบหน้าของฉันอย่างแรงจนรู้สึกสั่นไหว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในจังหวะนั้นเอง
"ขอโทษคะหนูลืมปิดโทรศัพท์" พี่กันยารีบออกตัว
"ตามสบายเถอะ" พี่นันธิดายิ้มเป็นปรกติ พี่กันยาจึงหลบไปยืนคุยโทรศัพท์ห่างออกไปเล็กน้อย
"จริงไหมมาริสาที่พี่พูดนะ" พี่นันธิดาถามความเห็นของฉัน
"คะ" ฉันตอบสั้นๆ ก่อนตัดสินใจพูดต่อ "หนูไม่มีความสามารถอะไร ไม่ใช่สูงค่าเหมือนพี่กันยา ไม่รู้ในสิ่งที่พี่กันยากำลังทำอยู่ แค่เพียงอยากจะเป็นกำลังใจให้บ้างถ้าเป็นไปได้ ยืนอยู่ข้างๆกันเป็นกำลังใจให้"
"เพื่อความรู้สึกของตัวเองหรือกันยาละ"
"เพื่อความรู้สึกของตัวเองคะ" ฉันตอบไปตามตรงนั้นเลวร้ายมากสำหรับมนุษย์ ที่จะการยอมรับความรู้สึกเห็นแก่ตัวของตัวเอง
"ต้องการอะไรจากกันยาเหรอ"
"ไม่รู้คะ"
"จูบหรือมากกว่านั้น" พี่นันธิดาถาม ฉันตกใจกับตัวเลือกที่แสนอมา ยกชาขึ้นค่อยดื่มอย่างใจเย็น
"น่าเกลียดมากสินะคะความรู้สึกแบบนั้น"
"พี่ไม่คิดแบบนั้นนะ" พี่นันธิดาขยับตัวยื่นมาข้างหน้า "ลองขอดูสิเรื่องจูบนะ อาจจะสมหวังก็ได้นะ" ตอนนั้นพี่กันยาเดินกลับมาพอดี ฉันหันไปสบตาโดยไม่ตั้งใจ ความรู้สึกหนักอึ้งเกิดขึ้นจนใบหน้าร้อนผ่าว ต้องรีบหันหน้าหนี
"พี่นันธิดาพูดอะไรแปลกๆหรือเปล่าคะทำไมมาริสาหน้าแดงแบบนั้น"
"ไม่มีอะไรจ๊ะ อิจฉาเหรอที่พี่กับมาริสาจะมีความลับกัน"
"แหม..." พี่กันยาทิ้งท้ายไว้ก่อนนั่งลง สายตามีแววสงสัยเหลือบมองมาทางฉันเล็กน้อย พี่นันธิดาตบมือขึ้นมาทีหนึ่ง
"นั่งตามสบายนะพี่จะไปเล่นเปียโนต่อ" ไม่ทันขาดคำพี่กันยาเตรียมเปิดกระเป๋าไวโอริน พี่นันธิดารีบจับกระเป๋าไว้
"ขอเจ้าของร้านแสดงฝีมือคนเดียวบ้าง นั่งคุยกับมาริสาไปเถอะ" พี่กันยาพยักหน้ารับทราบ พี่นันธิดาเดินไปนั่งหน้าเปียโนและเริ่มบรรเลงเพลง
"พี่นันธิดาคงไม่ได้พูดอะไรแปลกๆเหรอนะเมย์" พี่กันยาถามขึ้น ฉันปั้นสีหน้าไม่ถูกเลยกับคำถามนี้
"เรื่องจูบนะคะ" ฉันตอบตามจริง
"เอ๋...เดี๋ยวก่อน ถึงพี่นันธิดาจะดูเป็นผู้ใหญ่แล้วก็เถอะนะ แต่ว่ายังไม่เคยมีแฟนเลยนะ" พี่กันยารีบตีความไปเองอย่างมั่นใจตามเคย "ถ้าถามเรื่องแบบนั้นท่าทางคงได้แต่คำตอบแปลกๆ"
"ไม่ใช่แบบที่พี่กันยาคิดหรอกคะ"
"แล้ว?" พี่กันยาต้องการคำอธิบายฉัน ฉันไม่กล้าพอหรอกที่จะพูดลงไปในรายละเอียด
"พี่กันยาเคยจูบไหมคะ" ฉันถามไปเรื่องอื่น พี่กันยายิ้มเหมือนคิดไปถึงเรื่องตลกอย่างหนึ่ง
"เคยสิ แต่จะเรียกว่าจูบได้ไหมนะ กับผู้หญิงด้วยกัน" พี่กันยาพูดออกมาทำเอาฉันใจเต้นไม่เป็นจังหวะ "น่าจะเรียกว่าริมฝีปากชนกันมากกว่า"
"รู้สึกยังไงบ้างคะ" ฉันยิงคำถามต่อ พี่กันยายกนิ้วชี้มาสัมผัสริมฝีปากอวบอิ่มของตัวเองกดลงเบาทำสายตาเหมือนกำลังนึกความรู้สึกตอนนั้น
"รู้สึกไม่ดีสิ ก็เป็นผู้หญิงด้วยกันแถมไม่ได้รักชอบอะไรด้วย" เป็นผู้หญิงด้วยกันคงจะรู้สึกไม่ดีจริงๆ แต่สำหรับฉันรู้สึกว่า ถ้าฉันแค่เพียงได้สัมผัสริมฝีปากของพี่กันยา นั้นก็น่าจะเป็นเป็นทรงจำที่ฉันจะจดจำไว้ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา
"แล้วจูบกับใครเหรอคะถึงจะรู้สึกดี"
"แน่นอนต้องเป็นคนที่รักสิ" พี่กันยาตอบอย่างมั่นใจ ฉันยิ้มออกมา ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงทุกคน ต้องการจูบทีอบอุ่นกับคนที่รัก...
หลักจากนั่งคุยกันที่ร้านกาแฟมุมพักผ่อนของพี่นันธิดา ฉันก็ขอแยกตัวกับพี่กันยาไปหาน้องสาว ส่วนพี่กันยาไปกับบงกชเพื่อนของเธอที่มาด้วยกันแต่แรก ฉันพอจับใจความว่าบงกชเบื่อเด็กผู้หญิงที่ตามไปด้วยก็เลยกลับมาก่อน เมื่อกลับมาในงาน ที่โต๊ะของน้องสาวฉันเหลือการ์ตูนวางอยู่ไม่กี่เล่ม ส่วนเจ้าตัวไปถ่ายรูปรวมกลุ่มนกับเพื่อน น้องสาวฉันพยักหน้ารับทราบเมื่อฉันยืนส่งสายตา ขอแยกตัวออกมากับเพื่อนๆ เดินเข้ามาหา
"กลับกันเถอะ" ฉันชวน
"จิ๊ดจ๋ากลับแล้วเหรอครับ" หนุ่มมหาวิทยาลัยในชุดฝึกงานติดตามหาวิทยาลัยสีน้ำตาลเข้ม รูปร่างอ้วนท่าทางอารมณ์ดี เดินมาทักพร้อมกับกล้องตัวใหญ่ดูมีราคา
"คะ" น้องสาวฉันตอบสั้นๆ หนุ่มคนนั้นหันไปข้างตัวล้วงมือลงในกระเป๋าสะพายข้างตัวหยิบซองกระดาษสีขาวขึ้นมายื่นให้
"นี่เป็นรูปที่ถ่ายงานครั้งที่แล้วของจิ๊ดจ๋า ถ้าไม่รังเกียจช่วยรับไว้ด้วยนะครับ" หนุ่มคนนั้นกล่าวอย่างเป็นพิธีการ จิ๊ดจ๋าดูขำๆแต่ก็ยื่นมือไปรับไว้
"พี่ไม่ค่อยชินกับผู้หญิงเหรอคะทำไม เหมือนฝืนๆ" จิ๊ดจ๋าปากไวถามทันที ฉันดุน้องสาวด้วยสายตาเล็กน้อยทำให้จิ๊ดจ๋าเปลี่ยนท่าที
"ขอบคุณมากคะ" หนุ่มคนนั้นพยักหน้าแล้วก็หลบหน้าเดินหนีไปอย่างเร็ว
"ท่าทางจะเขิน ความสวยช่างเป็นบาปว่าไหมค่ะพี่"
"ไปเก็บของเถอะ" ฉันเดินนำน้องสาวไปที่โต๊ะเก็บกระเป๋าเป้ของน้องสาวขึ้นมา พอไล่ไปเปลี่ยนชุดก็ไม่ยอมจะเดินกลับในชุดที่ใส่ถ่ายรูปเล่น ก็คงได้แต่ตามใจ...
"ถ่ายภาพออกมาสวยมากเลยคะ พี่เมย์ดูสิ" จิ๊ดจ๋ายื่นรูปมาให้ฉันดูขณะเราอยู่ในรถกัน ภาพถ่ายออกมาคมชัด และน้ำหนักของภาพก็พอดีเหมาะเจาะจนน่าตกใจ
"เอาไว้อัดรูปถ่ายแจกหนุ่มๆได้เลยสินะ" ฉันแชวเล่นก่อนยื่นรูปคืน
"แค่คนเดียวก็วุ่นวายพอแล้วพี่"
"หมายถึง วุธ อย่างนั้นเหรอ" ฉันถามถึงครูสอนเต้นรำของฉัน
"ก็จะมีใครอีกค่ะ" จิ๊ดจ๋าตอบเหมือนรำคาญ ฉันเอียงตัวลงเข้าใกล้จิ๊ดจ๋า
"เคยจูบกันไหม" ฉันกระซิบถาม จิ๊ดจ๋าหน้าแดงก่ำท่าทางก๋ากั่นแต่เดิมหายไปคล้ายกลายเป็นสาวน้อยธรรมดาในวินาทีนั้น เธอพยักหน้า
"แค่ครั้งเดียวนะคะ ตอนที่ไปค้างบ้านของพี่วุธก่อนแม่จะไปรับ" ฉันฟังแล้วงงเหมือนกับว่าฉันไม่อยู่ในเหตุการณ์ แล้วตอนนั้นยัยน้องสาวฉันพึ่งจะอยู่มอหนึ่งมอสองเองไม่ใช่เหรอ ฉันข้ามข้อสงสัยพวกนั้นไปก่อนถามถึงจุดที่อยากรู้
"รู้สึกยังไงบ้าง?" ฉันกระซิบถามเบาๆ น้องสาวฉันพยักหน้าตอบ แล้วจะรู้เรื่องกันไหมละว่าหมายถึงอะไร
"รู้สึกยังไง?" ฉันย้ำคำถามอีกครั้ง
"ดีใจคะ" น้องสาวฉันกระซิบต่อ ฉันยังไม่สิ้นข้อสงสัยยังมีคำถามแต่ยังไม่สามารถสรุปเป็นคำถามได้
"ได้ทำอะไรที่เหมือนคนรักทำกันแค่นั้นก็ดีใจแล้วคะ สำหรับหนูไม่สนใจหรอกว่ามันจะเป็นจูบที่น่าประทับใจหรือไม่ใช่" จิ๊ดจ๋าเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่ฉันคิดจะถาม เธอกระชิบบอกฉันอย่างช้าๆ ก่อนทางท่างจะกลับเป็นเด็กก๋ากั่นขี้เล่นตามปรกติ
หลังจากฉันวุ่นวายกับช่างเสื้อของแม่อยู่หลายชั่วโมงเมื่อกัลบมาบ้าน ก็ได้เวลามานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ ฉาก Login ของมาเมียน่าออนไลย์ถูกเปิดค้างไว้ ฉันนั่งคิดชื่อตัวละครใหม่อยู่ เกมส์นี้ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ตายเท่าไร เพราะโอกาศที่จะมีคนมาช่วยชีวิตขณะกำลังจะตายเป็นเรื่องที่ยากมาก ส่วนใหญ่ถ้าตายก็คือต้องสร้างตัวละครตัวใหม่แต่ก็ยังนับได้ว่าที่เล่นไปไม่ถึงกับเสียเปล่า เพราะอุปกรณ์ทั้งหลายจะถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของรวมถึงเงิน ฉันนั่งคิดชื่อมาชั่วโมงกว่า ก่อนจะตัดสินใจเลือกชื่อ เซร่าเซมิร่า แต่เมื่อ login เข้าเกมส์แล้วกลับกลายเป็นว่าฉันตื่นมาที่เดิมของเมื่อวานที่ล้มลงไป มีสิ่งที่แปลกไปหลายอย่างคือร่างนั้นอยู่ในสภาพเปลือยกายและโปรงแสง สภาวะที่ขึ้นมาเขียนว่า วิญญาณ
"อะไรกัน นี่มัน" ฉันพูดกับตัวเองไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อน ฉันใช้มอนิเตอร์อีกตัวเข้าไปใน call ค้นห้าหัวข้อที่เกี่ยวกับวิญญาณ
กระทู้ที่มีข้อความว่า วิญญาณ ในหมวด มาเนียน่าออนไลน์ พบ 0 กระทู้
ฉันไม่ควรจะแปลกใจเพราะ ในมาเนียน่าออนไลน์ไม่มีวิญญาณ เมื่อตายคือดับสลายหรือมีคนช่วยชีวิตเท่านั้น และในนิทานทุกเรื่องที่ฉันอ่านในมาเนียน่าฯ ไม่มีการพูดถึงวิญญาณ มีเสียงเตือนเรียกขึ้นฉันรีบหันไปมองทางหน้าจอของมาเนียน่า รูรุปรากฏกายขึ้นในหน้าจอ
"ว่าไงที่รัก ไม่เจอกันตั้งนาน ฉันรีบกลับมาทางวาปเกตก่อนเลยนะนี้เพราะต้องคุยกันหน่อยแล้วปล่อยให้ฉันรอตั้งนานแล้วไม่ยอมโทรมาหาเลย" รูรุบ่นประโยคยาวออกมา ฉันพิมพ์ข้อความตอบโต้
"เบอร์ที่คุณให้มากล้ายกับของรุ่นพี่ฉันจนทำให้จำผิดนะคะ" ฉันกดส่งข้อความกลับมีข้อความสีแดงขึ้นเตือนกลางจอ วิญญาณไม่สามารถพูดคุยได้
"อ้าว..แกล้งเงียบนี่ดูไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ ฉันชื่อของมาฝากด้วย" รูรุยังพิมพ์ออกมา ฉันงงไปหมดแล้วว่าอะไรคือวิญญาณ ฉันสามารถเดินทะลุต้นไม้ได้ แต่ไม่สามารถใช้คำสังอะไรสักอย่าง
"เธอหนีฉันไม่ได้หลอกเพราะแหวนคู่รักบอกพิกัดของเราทั้งสองคนไว้อยู่แล้ว ถ้าเล่นซ้อนแอบนี้เสียเปรียบเต็มประตู" รูรุเดินใกล้เข้ามาแถวบ่อพิษเมื่อวาน ยืนนิ่งๆ ใช่แล้วจุดนั้นเป็นที่ตายของฉัน ในแหวนบอกพิกัดของฉันอย่างไม่ผิดพลาด แต่มีมีร่างของฉัน รูรุ ร่ายเวทย์บทของลม เกิดพายุหมุนรอบวนขึ้นไปพัดเศษใบไม้กระจายในวงกว่าง เป็นเวทย์ที่ใช้สำรวจพื้นดินในบริเวญกว้าง สิ่งที่ฉันพบคือ ร่างของฉันนอนสงบอยู่บนพื้น โดยก่อนหน้านี้มีใบไม้ปิดทับไว้
"อะไรนี่" รูรุพิมพ์ขึ้นมา "ฉันรู้นะว่าเธอกำลังอ่านอยู่ ถ้าพิมพ์ไม่ไดหรือเกิดอะไรขึ้นช่วยโทรมาหาหน่อยได้ไหม 02-38x-189x" ฉันเอื่อมมือไปหยิบโทรศัพท์ก่อนสะดุดกับหมายเลขที่ขึ้นมา มันคุ้นตาเสียเหลือเกือน
"ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอเป็นศพอยู่แบบนี้เราต้องคุยกันไม่แบบนั้นฉันก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้น ถ้ารู้เราน่าจะแก้ไขสภาวะ ศพ ของเธอได้" ฉันกดโทรศัพท์เรียกบันทึกรายชื่อขึ้นมาดู เลือนไปดูที่เบอร์ของพี่กันยา ไม่ผิดนั้นเป็นเบอร์ของพี่กันยา รูรุ คือพี่กันยา ตอนกลางวันฉันไม่ได้กดเบอร์โทรศัพท์ผิด ฉันสับสนว่าควรจะบอกดีไหมว่าตัวจริงของฉันคือใคร
จบตอนที่ 5
ความคิดเห็น