คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่ 4
สีหน้าของพี่กันยาดูปรกติเช่นทุกวัน ก็ไม่ต่างไปจากทุกเย็น เพียงแต่ว่าฉันรู้สึกได้ว่าตัวเองยังคงถูกเมินอยู่ อาจจะเป็นเพียงความกังวลในจิตใจ หรือว่าเป็นสัมผัสของจิตใต้สำนึก แต่มันก็ทำให้ไม่รู้สึกดีเลย เมื่อเราพูดคุยกันในเรื่องของชมรมและเกี่ยวกับงานที่รุ่นพี่จะรับนักเรียนใหม่ของพรุ่งนี้เสร็จแล้วทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ เหลือแต่พี่กันยาที่อยู่ในห้อง ฉันตัดสินใจยืนรอพี่กันยาที่บันไดโดยไม่ตามเพื่อนในชมรมไป ไม่นานเสียงไวโอลินก็ดังขึ้นจากในห้องชมรมที่มีพี่กันยาอยู่คนเดียว เมฆดำกลบแสงจากดวงอาทิตย์พร้อมกับแผดเสียงฟ้าร้องดังมาแต่ไกล สายลมพัดพากลิ่นดินมา เป็นสัญญาณบอกว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก ความคิดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับเสียงไวโอลินในห้องเงียบลง ฉันนับถอยหลังในใจกะเวลาที่พี่กันยาจะออกมาจากห้อง จนถึงศูนย์ พี่กันยามองฉันจากด้านบนลงมาส่วนฉันมองเธอจากด้านล่างเงยขึ้นไป
"เมย์" พี่กันยาพูดออกมาคำหนึ่งก่อน ค่อยเดินลงมาพลางพูด "ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอ หรือว่ามีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่า" ฉันในตอนนั้นแม้จะเตรียมใจไว้แล้วแต่ลำดับคำพูดอะไรไม่ออก ยืนมองพี่กันยาเพียบได้แต่จับจ้องในสายตา จนรุ่นพี่มายืนอยู่เบื่องหน้า สายลมและกลิ่นดินขับเน้นความสวยของเธอทำให้ฉันเขินขึ้นมาจนต้องหักสายตาหลบ และพูดออกมา
"หนูอยากจะขอโทษพี่กันยาเรื่องเมื่อตอนเช้านะคะ" พี่กันยาเงียบไป ฉันไม่กล้าที่จะหันไปมองสายตาของเธอ "เรื่องนั้นหนู..."
"ถ้าจะขอโทษก็หันมามองตากันหน่อยสิ พี่อยากจะรู้ว่าเธอโกหกหรือว่าจริงจังขนาดไหน" พี่กันยาพูดก่อนที่ฉันจะพูดอะไรต่อไป แน่นอนว่าคงหนีไม่ได้ ฉันหันไปสู้สายตากับพี่กันยา กลิ่นดินจากสายลมเปลี่ยนเป็นกลิ่นที่อ่อนหวานชนิดหนึ่งเข้ามาหาฉัน เป็นกลิ่นหอมของพี่กันยา เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่าสภาวะนั้นโหดร้ายต่อเด็กสาวที่ไม่ประสาเช่นฉันเหลือเกิน แทบได้ยินเสียงเต้นของหัวใจดังลั่นออกมาจากทรวงอก ไม่กล้าหายใจออกมาเพราะกลัวว่าพี่กันยาจะจับความผิดปรกตินั้นได้ มันพูดยากแต่ฉันก็ต้องกล่าวมันออกมา
"หนูอยากจะยืนอยู่ข้างพี่กันยาคะ" ฉันสรุปความรู้สึกที่ทั้งสับสนทั้งรุ่มร้อนไปด้วยประโยคนั้น พี่กันยาเดินเข้ามาใกล้ฉัน สีหน้าไม่บ่งบอกความหมายใด ก่อนเอื่อมมือไปดึงยางรัดผมของฉันออกและถอยหลังออกไป
"เมย์จะขึ้นมาถึงที่พี่ยืนอยู่ได้เหรอ" พี่กันยาถาม
"หนูจะพยายามคะ" ฉันย่ำอีกครั้งด้วยสายตาที่มุ่งมั่น แม้ว่าในส่วนลึกของความรู้สึกมันยิ่งกว่าที่กล่าว
"พี่ยืนอยู่ตรงไหนเมย์" เธอถามขึ้น ฉันเข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดีเพราะเป็นสิ่งที่ฉันคิดอยู่เสมอ
"ยืนอยู่ข้างหน้าคะ แต่สูงเกินกว่าจะปืนขึ้นไปถึง" พี่กันยาพยักหน้าคล้ายพอใจในคำตอบ
"พี่จะหย่อนเชือกลงไป" พี่กันยาพูดจบก็เดินนำไป "รีบกลับก่อนเถอะ พี่จะให้คนขับรถไปส่งที่บ้านเมย์ ฝนดูท่าจะตกหนัก" ฉันเดินตามอย่างว่าง่ายสายลมพัดผมของฉันปลิวไปแรงลม ความรู้สึกนั้นแปลกไปกว่าทุกครั้ง เมื่อเบื้องหน้ามีพี่กันยาเดินนำไป...
"ชอบดอกกุหลาบไหม" รูรุติดต่อมาหาฉันตอนสามทุ่มตรง ฉันละสายตาจากหน้าจอของ Call กลับมาที่เกมส์มาเนียน่าพิมพ์ตอบกลับเธอไป
"คุณรู้วิธีปลูกดอกกุหลาบเหรอคะ"
"หัวหน้าสมาคมเป็นคนปลูกนะ แต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยมีประโยชน์ไม่ใช่เหรอ" รูรุตอบกลับมา "หรือว่าเธอสนใจถ้าเป็นแฟนฉันก็จะบอกวิธีปลูกให้เอาไหม"
"ดิฉันคงไม่เอาตัวเข้าแลกเพียงแค่วิธีปลูกดอกกุหลาบหรอกคะ เพียงแต่ใน call พูดถึงเรื่องกุหลาบนี้กันมาก เห็นมีคนให้ราคาสูง"
"จะเอาไปขายเหรอ?"
"ไม่ได้เหรอคะ"
"อือ...รู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่คนอย่างเธอพูดออกมาแบบนี้"
"ดิฉันเป็นแบบไหนเหรอคะ"
"จริงจังและคงจะเป็นคนที่รักษาน้ำใจคนมากกว่าเรื่องของตัวเอง" ฉันหยุดพิมพ์เล็กน้อย และอ่านทบทวนอีกครั้ง แน่ใจแล้วจึงเริ่มต่อ
"ดิฉันยังไม่สามารถเดาได้เลยว่าคุณเป็นคนอย่างไร ทำไมถึงกล้ามองดิฉันในแง่ดีแบบนั้น"
"ความรักมั้ง" ฉันอดเขินไม่ได้แม้เป็นเพียงข้อความ
"คุณกล้าพูดแบบนี้กับผู้หญิงด้วยกันงั้นเหรอ" ฉันถามเธอ "หรือเพราะเห็นว่าเป็นแค่เกมส์" รูรุเงียบไปพักหนึ่งก่อนพิมพ์กลับมา
"เธอมีตัวตนจริงนะซารี่ไม่ใช่เอ็นพีซีเสียหน่อย แต่อาจจะเพราะเรายังไม่ได้เจอตัวจริงของกันและกันก็ได้มั้งฉันเลยกล้าพูดแบบนั้น"
"งั้นคุณเคยจีบผู้หญิงหรือเปล่า"
"ไม่เคยสิ แต่ว่าเคยโดนจีบบ่อยน่ะ"
"ผู้หญิงจีบเหรอคะ"
"อือ...ผู้ชายก็มีนะ"
"แสดงว่าเป็นคนสวย"
"มั่นใจแค่เรื่องบุคลิกน่ะ ความสวยคิดว่าไม่เท่าไรหรอก" ฉันรู้สึกว่ารูรุจะถ่อมตัวอยู่
"ฉันเป็นคนไม่สวยคะ บุคลิกก็ไม่ค่อยดี" ฉันพิมพ์โต้ตอบ
"แล้วทำไมเหรอ" คำถามนั้นทำให้ฉันไม่รู้จะพิมพ์ตอบอะไร
"ฉันว่าเธอน่าสนใจดีนะ อย่ายกข้ออ้างมากมายมาให้ฉันยกเลิกความพยายามเลย เปิดโอกาสให้ฉันสร้างความสนิทสนมเธอโดยดีเถอะ" รูรุเหมือนจะออกคำสั่งมากกว่าจะขอร้อง
"ดิฉันไม่เข้าใจคุณเลยคะว่าคิดอะไรอยู่"
"ยังไงละ"
"เกิดคุณทำให้ดิฉันวุ่นวายใจได้จริงแล้วคุณจะรับผิดชอบความรู้สึกที่เกิดขึ้นอย่างไร" คำถามนี้ทำให้เธอเงียบไป จนฉันต้องพิมพ์ต่อไป
"มันคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลยไม่ใช่เหรอคะ"
"พูดแบบนี้เหมือนจะบอกว่าฉันจีบเธอด้วยความรู้สึกเล่นๆแบบนั้นเหรอ"
"ไม่ใช่แบบนั้นเหรอคะ"
"ฉันประทับใจเธอนะ ถ้าเป็นไปได้อยากจะเป็นเพื่อน พูดคุยกันไปเที่ยวด้วยกัน"
"ถ้าแบบนั้นก็อย่าจีบสิค่ะ"
"เอาแบบนี้ ฉันถามเธอหน่อยว่า เธอชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย"
"ดิฉันรังเกียจผู้ชายคะ"
"หมายความว่าเธอชอบผู้หญิง"
"ไม่อะไรขนาดนั้นหรอกคะ เพียงแต่ว่ารังเกียจผู้ชายเท่านั้นเอง"
"ถ้ามีผู้หญิงมาขอคบกับเธอจะว่ายังไง"
"คงจะไม่ค่อยชอบละคะ"
"แล้วถ้าเป็นคนตามสเป็กละว่ายังไง"
"อือ..ถ้าเป็นคนที่ดิฉันชอบก็ คงไม่รู้สึกแย่อะไรมังค่ะ"
"งั้นเธอเคยชอบผู้หญิงคนไหนหรือยัง"
"ดิฉันจะตอบ ถ้าคุณตอบคำถามนี้กับฉันก่อน" ฉันสร้างทางออกให้ตัวเอง
"ฉันไม่รู้จักคำว่าความรักหรอกว่ามันเป็นยังไง ยังไม่เคยชอบใครเลยทั้งผู้ชายและผู้หญิง แล้วเธอละ"
"ดิฉันชื่นชมรุ่นพี่คนหนึ่งคะ เธอสวยและเก่ง"
"ชื่นชมหมายความว่าเธอเองก็ไม่แน่ใจใช้ไหมว่า นี่จะเป็นความรักหรือเปล่า"
"ดิฉันเองก็ขอให้มันเป็นเพียงความชื่นชมเท่านั้นก็คงจะดี แค่นี้ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยจะเหมือนเด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกันเท่าไรแล้ว"
"ไม่ลองพูดกับรุ่นพี่คนนั้นดูละ" รูรุ พูดเหมือนยุ
"โดนผู้หญิงด้วยกันมาหลงรักนี่น่าเศร้าใจไม่ใช่เหรอคะ ลองนึกว่าถ้ามีคนมาบอกว่า พี่ค่ะหนูรักพี่คะ ความรู้สึกตอนนั้นมันก็คงยากจะพูด"
"ฉันไม่มีรสนิยมแบบนั้นเสียด้วย แต่ว่านั้นมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมาพูดแบบนั้นกับฉันมากกว่า"
"ต่างเหรอคะในเมื่อเป็นผู้หญิงมาพูดเหมือนกัน"
"ถ้าคนที่พูด...." รูรุพิมพ์ค้างไว้แล้วเงียบไปเหมือนพยายามนึกคำพูดออกมา
"ยังไงเหรอคะ" ฉันเร่งเธอ
"ฉันอธิบายไม่ได้ ไม่รู้จะใช้คำพูดแบบไหน เหมือนกับว่า ถ้าคนนั้นเป็นคนที่ฉันขาดไม่ได้ มันก็ต้องแตกต่างสิ" ฉันนิ่งคิดโดยเทียบกับเรื่องของฉันก่อนส่ายศีรษะกับตัวเองเล็กน้อยและพิมพ์ออกไป
"สี่ทุ่มแล้วดิฉันขอตัวไปนอนน่ะคะ"
"ดูท่าคำตอบทำให้เธอหงุดหงิด.." รูรุพิมพ์มาเหมือนไม่พอใจ
"ไม่หรอกคะ ดิฉันพอเข้าใจคำตอบ แต่ในสายตาของผู้หญิงจะเกิดความรู้สึกขาดผู้หญิงอีกคนไม่ได้นี่ออกจะผิดธรรมชาติมากอยู่" ฉันตอบ พร้อมถอนหายใจออกมา
"แล้วถ้าเธอขาดรุ่นพี่คนนั้นแล้วเธอสามารถอยู่ได้ไหม" รูรุย้อนถาม
"ดิฉันคิดว่า ฉันยังไม่แน่ใจว่านั้นคือความรัก เพียงแต่ดิฉันชื่นชมเธอมาก แต่หากรัก ดิฉันต่างหากที่ต้องทำให้เธอขาดดิฉันไม่ได้ สำหรับคนที่มีพร้อมทั้งรูปสมบัติฐานะและความสามารถแล้ว ดิฉันคงไม่มีความสามารถอะไรยะยึดเธอไว้ได้หรอกคะ"
"ถ้าคนที่พร้อมแบบนั้นคงไม่มีจุดอ่อนละนะ ลองสร้างความประทับใจให้คนนั้นดูสิ"
"อะไรละคะที่จะสร้างความประทับใจ ในเมื่อเธอออกจะพร้อมทุกอย่าง ไม่ไหวแล้ว ดิฉันขอตัวไปนอนจริงๆละคะ" ฉันตัดบทเพราะยิ่งพูดยิ่งคิดมาก
"เดี๋ยวก่อน คือ ...ดอกกุหลาบนั้นเมื่อตัดออกมาจากต้นแล้วมันสามารถเติบโตต่อได้นะ ไม่ใช่ว่าอยู่ได้แค่ ยี่สิบสี่ชั่วโมงเหมือนที่หลายคนเข้าใจกัน"
"ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องนี้?" ฉันอดตั้งคำถามไม่ได้
"หนังสือความลับแห่ง เอลทาเนีย หน้าที่สี่สิบห้า เขียนไว้ว่า ดอกกุหลาบแห่งหัวใจจะเกิดจากดอกกุหลาบที่ได้รับความรักหล่อเลี้ยง จนสามารถเติบโตอย่างเต็มที่ พรุ่งนี้เจอกันนะ" ขาดคำเธอก็ Logout ออกจากเกมส์ แหวนคู่รัก สามารถบอกจุดที่อยู่กับการ Online ได้และยังใช้ฝากส่งข้อความได้ไกลกว่าจดหมายนกพิราบ ฉันปิดหน้าจอทั้งสองตัวลุกจากหน้าคอมพิวเตอร์ ถอดแว่นล้มลงบนเตียง เอื้อมมือไปดับไฟ ฉันทบทวนความรู้สึกตัวเองต่อพี่กันยา ซึ่งไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ ทั้งพยายามหาเหตุผลมากมายมาอธิบายกับตัวเองแต่มันก็สรุปไม่ได้ คงเป็นเพราะว่าฉันไม่รู้จักความรักว่ามันคืออะไรกันแน่
ความกังวลทำให้ฉันนอนหลับได้ไม่เต็มตา รู้สึกตัวขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่ง คิดจะข่มตาหลับก็คิดมากจนนอนไม่ได้ จึงตัดสินใจลุกขึ้นมาตอนตีห้าจัดการธุระส่วนตัวเรียบร้อย แต่งชุดนักเรียนเรียบร้อยแล้วก็ วิ่งเข้าครัวสวมผ้ากันเปื้อน ทำอาหารชุดใหญ่เผื่อทุกคนในชมรมเพราะวันนี้เราตกลงว่าจะนำอาหารไปทานกันตอนเที่ยง เมื่อมีเวลาเหลือมากฉันก็ตั้งใจทำให้ทุกคนทาน เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมาฉันมักจะโดนแย่งกับข้าวที่ทำมาเสมอ จึงลงมือทำอาหารสี่อย่างมีแกงเขียวหวานลูกชิ้น ทอดมันปลา ผัดขิงเห็ดหูหนูกับไก่ จับแกงส้มในตู้เย็นอุ่นตักแบ่งลงปิ่นโตเถาใหญ่ที่ใช้สำหรับไปทำบุญ สวมลงปลอกเก็บความร้อนและกันหกก่อนใส่ไปกับถุงผ้า
"ตื่นเช้าจังแกยัยเมย์" แม่ฉันเดินเข้ามามองกับข้าวที่ฉันเผื่อไว้ตั้งโต๊ะ เอานิ้วจิ้มผัดขิงหยิบชิม
"วันนี้กิจกรรมรุ่นพี่รับรุ่นน้องคะแม่"
"อือ..ข้าวสุกยัง" แม่ฉันถามก่อนเดินไปหยิบจานตรงไปหม้อหุงข้าวโดยไม่สนใจคำตอบ ฉันจัดแจงหาน้ำเย็นยกมาเสริฟไว้บนโต๊ะ
"รอแม่กินข้าวเสร็จก่อนแล้วกันวันนี้จะไปส่งที่โรงเรียน"
"แล้วจี๊ดจ๋าละคะ"
"น้องแกวันหยุดไม่ยอมตื่นง่ายๆหรอกคุยโทรศัพท์จนดึก จะตื่นก็คงเกือบจะเที่ยง เดี๋ยวรู้ตัวก็ตามไปบริษัทเองนั้นละ"
"ไม่พ้นโวยวายว่าแม่ไม่ปลุกหนูอีกหรอก"
"โตแล้วหัดรับผิดชอบตัวเองสิ" แม่พูดทิ้งท้ายก่อนลงมือรับทานอาหารฉันถอดผ้ากันเปื้อนไปเก็บ วิ่งขึ้นไปปลุกจิ๊ดจ๋าอย่างเสียไม่ได้ เมื่อเปิดห้องไปน้องสาวตัวดีไม่อยู่บนเตียง ก็ก้มลงไปใต้เตียง ก่อนจะตะโกนเข้าไป
"ตืนได้แล้วจิ๊ดจ๋า" ไม่ขาดคำน้องสาวตัวแสบก็กลิ้งออกมาจากใต้เตียงมองดูฉันด้วยสายตางง
"พี่เมย์ปล่อยผม" น้ำเสียงนั้นเหมือนแปลกใจเป็นพิเศษ ฉันอดขมวดคิ้วถอนหายใจออกมาไม่ได้
"แม่จะไปแล้วนะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวได้แล้ว ไหนว่าจะไปบริษัทไม่ใช่เหรอ"
"แต่พี่เมย์ปล่อยผม วันนี้เกิดอะไรขึ้น"
"ยุ่ง ไม่มีอะไร" ฉันตอบก่อนเดินออกจากห้องไป..
ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่ปลุกจิ๊ดจ๋าขึ้นมา น้องสาวฉันเป็นพวกกัดไม่ปล่อย จนฉันอดคิดไม่ได้ว่าอาชีพนักข่าวน่าจะเหมาะกับยัยนี้เป็นที่สุด
"ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีอะไรแค่อยากจะปล่อยผมบ้างไม่เห็นเป็นอะไรนิ" ฉันพยายามตัดบทแต่ดูเหมือนน้องสาวสุดที่รักจะไม่ยอมลามือ
"พี่ ต้องกำลัง อินเลิฟ แล้วก็ เป็นแบบ อินเลิฟสุดๆ ขนาดทำให้คนหัวดื้ออย่างพี่ยอมปล่อยผม" ฉันตีหน้าเรียบนั่งอยู่เบาะหลัง
"เอาเถอะจะคิดยังไงก็ตามใจ"
"ใส่คอนเทกเลนแทนไหมละเมย์ เดี๋ยวพรุ่งนี้วันอาทิตย์แม่พาไปตัด" แม่ฉันพูดเสริมขึ้นมา
"นี่แม่ก็คิดแบบจิ๊ดจ๋าเหรอคะ?" ฉันร้องเสียงหลง แม่หัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย
"ก็จะเปลี่ยนทั้งทีก็ทำให้ดีทั้งหมดไม่เห็นเป็นอะไร"
"ตอนนี้เมย์ไม่ดีเหรอคะแม่"
"ก็ไม่เหมาะกับคนที่กำลังมีความรัก" แม่ฉันพูดเหมือนเดาล่วงหน้า ฉันพูดไม่ออก
"เมื่อวานเค้ามาส่งกันด้วยคะแม่" จิ๊ดจ๋ารีบเสริมขึ้นมา "หนูเห็นตอนเดินกลับมาจากโรงเรียน"
"ขายออกกับเค้าด้วยเหรอลูกสาวชั้น" แม่พูดปนหัวเราะ ฉันต้องรีบอธิบาย
"เดี๋ยวคะแม่ นั้นรุ่นพี่ที่ชมรม เมื่อวานฝนตกพี่เค้าก็เลยให้คนขับรถมาส่งเพราะไม่ไกลจากบ้านของเค้ามากนักคะ" ฉันพยายามอธิบายพร้อมเหตุผล
"เป็นรักต้องห้ามนะคะแม่" จิ๊ดจ๋าเสริมต่อไปอีก ฉันทิ้งตัวลงกับเบาะหลังหมดเรียวแรงจะโต้เถียง แม่หัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
"คิดไว้แล้วว่าลูกสาวชั้นพอถึงวัยมีความรักต้องไปหลงรักผู้หญิงด้วยกัน" สำหรับฉันตอนนั้นเป็นความรู้สึกเหมือนโดนต่อว่าอยู่ ตัวฉันอยากจะเป็นคนที่ไม่มีตำหนิอะไร อยากจะสร้างความภูมิใจกับแม่ แต่ดูเหมือนว่าแม่เองไม่ได้หวังอะไรอย่างนั้นจากพวกฉันสองพี่น้องเลย
"แต่แบบนั้นก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ไม่มีปัญหาเรื่องท้องไส้ให้ปวดหัวกัน" ไม่รู้ว่าแม่พูดจริงพูดเล่น แต่ที่แน่นอนคือแม่ไม่เคยวาดฝันว่าลูกสาวของตัวเองจะเป็นแบบไหน ไม่หวังว่าจะเลี้ยงดูอย่างไร้ตำหนิ แต่ดูเหมือนว่าเพียงแต่จะหวังให้ แข็งแกร่งพอจะยืนต้านพายุได้เท่านั้น
หลังจากเข้าแถวตอนเช้าตามชมรมแล้ว แต่ละชมรมก็แยกย้ายกันไปตามสถานที่ในโรงเรียนตามที่กำหนดไว้ในประกาศ แต่ละคนจะติดป้ายชื่อไว้ที่อกใต้เข็มของโรงเรียนทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้องเพื่อตัดขั้นตอนการแนะนำตัวเวลารุ่นพี่กับรุ่นน้องพูดคุยกันสองต่อสองเพราะจะทำให้เสียเวลามาก พวกเราทั้งหมดห้าชีวิต เดินไปหลังโรงเรียน พร้อมของติดตัวที่นำกันมาทั้งกระเป๋าเป้และถุงผ้า ตรงนี้มีหลายกลุ่มแบ่งพื้นที่กันอยู่
"ชมรมวิจารณ์วรรณกรรมสมาชิกเจ็ดคน ชมรมจัดสวนเก้าคน ชมรมท่องเที่ยวสี่คน ชมรมมานุษวิทยาสมาชิคห้าคน และชมรมเราก็ห้าคน" พี่กันยาเริ่มอธิบายเสียงปรกติหลังจากเดินผ่านพื้นที่ของแต่ละชมรมที่จัดไว้
"เป็นชมรมระดับเดียวกันคือสมาชิคน้อยแล้วก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ"
"ก็เลยถูกจัดมารวมกันหลังโรงเรียนแบบนี้เหรอคะ" ทาริสมันร้องถามขึ้น พี่กันยาพยักหน้าก่อนกล่าวต่ออย่างสบายอารมณ์
"แต่ก็ดีออก ขนขนมมานั่งทานกันเงียบ"
"น่าเบื่อออกไม่ใช่เหรอคะ" ทาริสมันแย้ง พี่กันยาหัวเราะขึ้นมาในลำคอ
"ไม่ต้องกลัวเบื่อหรอก..." รุ่นพี่พูดทิ้งท้ายเหมือนมีอะไรปิดบังก่อนเดินนำก้าวเข้าไปในพื้นที่ใต้ต้นสนติดกับรั้วหลังโรงเรียน มีการนำผ้าขาวผื่นใหญ่ปูพื้นเป็นที่นั่ง เหมือนกับกลุ่มต่างๆที่พวกเราเดินผ่านมาก่อนในตอนต้น พี่กันยานั่งลงนำทุกคนล้อมวงก่อนนำการ์ดยูโน่ขึ้นมาชุดหนึ่งจากในถุงผ้าที่เธอถือมาพร้อมกับกระเป๋าไวโอลิน ทุกคนมองหน้ากันเหมือนจะถามซึ่งกันและกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นเหรอ
"เราจะเล่นยูโน่กันห้าคนมีใครมีความคิดที่ดีกว่านี้ก็นำเสนอมานะไม่แบบนั้นก็เข้ามาเล่น" ทาริสมันเดินนำถอดรองเท้าเข้าไปอย่างมั่นใจ ฉันกับคนอื่นๆจึงตามไปนั่งล้อมวง
"คนชนะจะสั่งให้ใครทำอะไรก็ได้ตกลงไหม" พี่กันยาพูดพลางค่อยสลับกองการ์ดในมือก่อนยื่นมาทางฉันซึ่งนั่งอยู่เกือบตรงกันข้ามให้ตัดกองการ์ดออกเป็นสองส่วน
"ถ้าไม่ลำบากเกินไปที่จะทำด้วยใช้ไหมคะ" ฉันถามให้แน่ใจเพราะรู้สึกไม่ค่อบปรกติเท่าไร
"ปล่อยผมแล้วน่ารักดีนี่เมย์" พี่กันยาเฉไฉยไปเรื่องอื่น ฉันรีบหลบสายตาควบคุมอารมณ์ตัวเองให้เป็นปรกติ
"มีใครจะตัดอีกไหมไม่แบบนั้นพี่จะเริ่มแล้วนะ"...
ครั้งแรกพี่กันยาชนะ วิสินีโดนสั่งให้ไปขอขนมจากกลุ่มอื่นรอบๆมา แต่ดูเหมือนมันไม่ง่ายแบบนั้นในเมื่อรุ่นพี่ในกลุ่มอื่นก็จ้องจะแกล้งเธอเหมือนกัน หรือว่านี่คือเป้าหมายของกิจกรรมครั้งนี้จริงๆ พี่กันยาหยิบขนมออกมาจากถุงผ้าเป็นคุ๊กกี้กล่องใหญ่ดูมียี่ห้อ แค่เปิดออกมาก็มีกลิ่นเนยกับแป้มหอมกระจายออกมา
"เรามาเริ่มเกมส์สองกันต่อแล้วกัน" พี่กันยาเริ่มสลับการ์ดเร็วจี๋ต่างจากครั้งแรกที่ค่อยสลับในมือเหมือนคนไม่เคยสลับไพ่ นั้นจะเป็นการข่มขวัญหรืออะไรก็ตามแต่ นิสา ส่งสายตามองฉันก่อนหันไปทางทาริสมัน เหมือนบอกว่าเรามาร่วมมือกันเถอะ ไม่ยุติธรรมที่จะเล่นสามรุ่มหนึ่ง ดูเหมือนทาริสมันจะเห็นด้วย และนั้นทำให้เกมส์ที่สองพี่กันยาชนะอีกครั้ง รอยยิ้มแปลกๆประดับบนใบหน้ารุ่นพี่ ก่อนที่เธอจะออกคำสั่งอะไรก็มีคนจากกลุ่มอื่นเดินมายืนอยู่ข้างหน้า
"พี่ชัยพฤกษ์สั่งให้หนูมาเอาคุ๊กกี้ของพี่กันยากันยาคะ" เด็กสาวผมหน้าม้ากล่าวท่าทางตื่นกลัวอยู่บ้าง
"ชัยพฤกษ์ เหรอ..." พี่กันยาคิดเล็กน้อย "ได้ยินว่าเด็กมีคนตั้งแฟนคลับยัยนั้นนี่แถมยังโหวดให้เป็นสาวที่หล่อที่สุดในโรงเรียนนิ ลองคิดคำพูดสารภาพรักกับยัยนั้นดูหน่อยสิถ้าถูกใจแล้ว พี่ก็จะแบ่งคุ๊กกี้ไปให้" เด็กสาวผมม้าหน้าแดงก่ำ พี่กันยาหัวเราะเบาๆออกมา ก่อนหันไปทางทาริส
"ทาริสมัน กินคุ๊กกี้แล้วคอแห้งว่าไหม ไปขอกระติกน้ำชาของชัยพฤกษ์ชมรมจัดสวนมาหน่อยสิ" นั้นเป็นคำสั่งของผู้ชนะ ทาริสมันทำท่าหวาดๆ
"พี่กันยาน่าจะให้พวกหนูเป่ายิ้งฉุบกันสามคนแล้วใครแพ้ไปมากกว่าน่ะค่ะ"
"ถ้าเป่ายิ้งฉุบคนที่แพ้ก็เป็นเธอไม่เชื่อลองสิ" ทาริสมันหันมาสบตาฉันกับ นิสา เป็นที่รู้กัน ว่าคงต้องตัดสินกันแบบนี้ ฉันออกฆ้อน นิสาก็ฆ้อน มีแต่ทาริสมันออกกรรไกร ไม่เพียงทาริสมันที่งงฉันกับนิสาเองต่างก็หันมามองหน้ากัน ทาริสมัน ลุกขึ้นยืนมุ่งตรงไปชมรมจัดสวน
"หนูรักพี่คะเป็นแฟนหนูเถอะน่ะคะ" เด็กสาวผมม้าพูดออกมาเสียงค่อย พี่กันยาหันหน้ามาเหมือนจะให้ความสนใจก่อนหยิบคุ๊กกี้ขึ้นมา
"เสียงดังหน่อยสิ" เด็กสาวผมม้าสูดหายใจลึกก่อนพูดอีกครั้ง ด้วยน้ำเสียงปรกติ
"ต้องสื่อออกมาจากใจสิ" พี่กันยาติอีกครั้งก่อนกัดคุ๊กกี้ในมือเข้าปาก
"พี่ชัยพฤกษ์ช่วยเป็นแฟนกับหนูได้ไหมคะ" พี่กันยาพยักหน้าหลังฟังจบ ปิดฝากล่องคุ๊กกี้ยืนให้กับเด็กสาวผมม้า เธอไม่ลืมยกมือขอบคุณก่อนหอบกล่องขนมไป เป็นเวลาเดียวกับที่ ทาริสมันกลับมาพร้อมกับเสื้อนักเรียนในมือ หน้าตายุ่งยากใจบอกไม่ถูก
"พี่ชัยพฤกษ์บอกให้ซ่อมชุดนักเรียนให้แล้วถึงจะยอมเอาน้ำชาให้นะคะ" พี่กันยาเพียงแต่ยิ้มรับ หน้าของทาริสมันเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา ก่อนไปหลบนั่งลงมุมๆเย็บผ้าไปพลางบ่นพึมพัม นิสาหยิบกระติกน้ำจากในเป้เธอออกมา รินใส่แก้วพลาสติกที่เตรียมมาให้กับพี่กันยา ชามะลิส่งกลิ่นหอมกระจาย จนฉันอดรู้สึกกระหายขึ้นมาไม่ได้ พี่กันยายกแก้วขึ้นจิบเล็กน้อย
"เรามาเริ่มเกมส์ต่อไปดีกว่า" พี่กันยาพูดขึ้นสายตามีประกาย การ์ดยูโน่ถูกจับขึ้นมาสลับกลางอากาศด้วยลีลาข่มขวัญ ฉันมองไปทางวิสินี่ที่กำลังโดนรุ่นพี่ชมรมท่องเที่ยวจับกอดเป็นตุ๊กตาเพราะขนาดตัวที่เล็กพอที่จะนั่งลงบนตักได้ มองทาริสมันที่เย็บผ้าไปด้วยบ่นงึมงึมไปด้วย ก่อนหันไปสบตากับนิสาที่พยักหน้าแวตาบอกว่าครั้งนี้เราควรจะลองร่วมมือกันดูหน่อย แต่แล้วผลก็ยังคงเป็นแบบเดิม พี่กันยาชนะ เธอคำนวณการ์ดของทุกคนไว้แล้วว่าจะออกมาเป็นแบบไหน นั้นเป็นสิ่งที่คิดได้อย่างเดียวเพราะจำนวนการ์ดที่ใช้ไม่มีขาดหรือเกินไปจากความเป็นจริง
"ครั้งนี้เป็นตาของนิสา" พีกันยาพูดน้ำเสียงเหมือนมีแผน นิสากลืนน้ำลายลงคอหันไปรอบตัว บางคนโดนจับแต่งตัวประหลาดหลุดออกมาจากงานแฟนซี บางโดนจับวิ่งสามขา บางคนกำลังพยายามจักการกับพิสซ่าถาดใหญ่พิเศษที่พึ่งขึ้นรถมอเตอร์ไซค์มาส่ง
"ทำอะไรเหรอคะพี่กันยา" นิสาคงกำลังหวังในใจลึกๆ ให้เจออะไรที่ไม่ยุ่งยาก
"ช่วยไปเอาขนมจากชมรมมานุษยวิทยามาให้พี่ทีแล้วกัน"
"จากรุ่นพี่วิชุดานะเหรอคะ" นิสาถามพร้อมแสดงสีหน้าไม่สดใสนัก รุ่นพี่วิชุดา เป็นคนที่เด่นมากในโรงเรียนคนหนึ่งเพราะไว้ผมยาวสีบรอนยาวถึงเอวของเธอกับตาสีฟ้าน้ำทะเลและผิวที่ขาวเนียนที่มาคู่กับทรวดทรงงดงามดั่งบรรจงปั้นจากแบบเทพธิดาทำให้ มีแฟนคลับเกิดขึ้นในเวลาไม่นาน เป็นรุ่นพี่ที่สว่างสดใสคนหนึ่งในโรงเรียนทีเดียว เพียงแต่ไม่ค่อยพูดและชอบใช้ภาษามือกับรอยยิ้มจนเคยชิน นี่คงเป็นเรื่องที่นิสาเป็นห่วง ว่าเธอจะอธิบายยังไงให้คนที่แกล้งทำเป็นหูหนวกเข้าใจ แต่ในแววตาที่สิ้นหวังนั้น นิสากลับลุกขึ้นยืนอย่างมุ่งมั่นเหมือนมีพลังบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ขับดันอยู่ด้านหลัง
"หนูลุยละคะ" นิสาทิ้งทายก่อนออกไป เดินสวนทางกับคนจากชมรมอื่นอีกสองคนที่กำลังเดินเข้ามาเพื่อขอคุ๊กกี้ พี่กันยายื่นกระดาษให้กับทั้งคู่
"นั่งเขียนเรียงความเรื่องความประทับใจในตัวประธานชมรมของฉันหนึ่งหน้ากระดาษ"
"เดี๋ยวคะ" เด็กสาวคนหนึ่งแย้งทันที "ประธานของหนูคือพี่ วิชุดา คะ"
"แบบนั้นก็ยิ่งน่าสนใจไม่ใช่เหรอ ลองเขียนมาแล้วกันแบบนั้นไม่ได้คุ๊กกี้กลับไปน่ะ" พี่กันยาตีสีหน้าเรียบ
"แบบนั้นหนูจะทำเท่าที่ทำได้แล้วกันคะพี่กันยา" พูดจบเธอก็กลับไปที่นั่งของชมรมมานุษยวิทยา ส่วนอีกคนแอบไปหลบเขียนเงียบๆบนโต๊ะสนามที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนั้น แล้วตัวฉันจะโดนอะไร
"ยูโน่เล่นกันสองคนคงไม่น่าสนุกเท่าไร" พี่กันยาเริ่มต้น "เมย์ว่าเรามาเล่นอะไรดี"
"หนูไม่ถนัดเรื่องพวกนี้หรอกคะ เอาว่าพี่กันยาจะให้หนูทำอะไรก็บอกมาแล้วกันคะ" พี่กันยาส่ายศีรษะ เหมือนพบเรื่องไม่ถูกใจอย่างหนึ่ง
"ไม่ลองสู้ดูหน่อยเหรอ" เธอพูดพร้อมหยิบเหรียญขึ้นมาดีดขึ้นไปบนฟ้าก่อนตบลงหลังมือด้านหน้าของฉัน "เราจะเล่นทายหัวก้อยกัน เมย์เลือกก่อนเลย คนชนะสามารถสั่งให้คนแพ้ทำอะไรก็ได้" พี่กันยาสามารถบังคับเหรียญได้เหมือนไพ่ละก็ตอบอย่างไรก็คงจะแพ้ แต่ฉันแน่ใจว่าฉันมองเห็นเหรียญออกด้านหัว
"หัวคะ" ฉันตอบ พี่กันยาเปิดมือออกมาเป็นเหรียญด้านหัวจริง
"อือ เมย์ชนะ แล้วจะสั่งอะไรพี่ดีละทีนี้" พี่กันยาถาม ฉันเงียบไปเพราะรู้สึกว่ามันต้องผิดแผนจากที่พวกรุ่นพี่ทั้งหลายเตี๊ยมกันไว้ในการจัดกิจกรรมแบบนี้ขึ้น พี่กันยากำลังทดสอบอะไรฉันอย่างนั้นเหรอ ฉันถามคำถามมากมายกับตัวเองอยู่ในใจก่อนจะตัดสินใจออกมา
"วันนี้พี่กันยาต้องเป็นแฟนหนู" ฉันพูดด้วยสีหน้าที่ท้าทาย พี่กันยาเงียบไปมีสีหน้าตกใจประดับอยู่บนใบหน้าเล็กน้อยก่อนยิ้มออกมาในที่สุด
"ถึงพี่จะไม่มีรสนิยมแบบนี้แต่ว่าก็น่าสนุกดี" น่าสนุกเหรอ ฉันไม่ชอบคำนี้เลย มันเป็นเพียงเรื่องน่าสนุกเท่านั้นเองเหรอ แบบนั้นมันคงไม่มีทางเป็นไปได้สิน่ะ
"แบบนั้นหนูไปนั่งข้างพี่กันยาได้สินะค่ะ" ฉันลุกขึ้นโดยไม่สนใจว่าเธอจะตอบอย่างไร ไม่รู้อะไรทำให้ฉันกล้าขนาดนี้ พี่กันยาดูอึดอัดเล็กน้อย ฉันหันไปมองสายตาของเธอ และดึงดูดมันด้วยความรู้สึกข้างใน แน่นอนพี่กันยาไม่กล้าที่จะหักสายตาหลบในทันทีเพียงแต่ค่อยหลบสายตาไปทีละน้อยไปที่กล่องขนม
"พี่คิดว่าหนูปล่อยผมแล้วเป็นยังไงบ้างคะ"
"ดูสดใสขึ้นนะ" พี่กันยาพยายามหลบสายตาฉัน
"หันมาสิค่ะพี่ คนรักคุยกันเค้าไม่หลบสายตากันหรอกคะ" ฉันพูดด้วยน้ำเสียท้าทาย พี่กันยายิ้มที่มุมปาก
"ก็เพราะว่ารู้สึกว่าเมย์น่ารักเกินไปนะสิ" พี่กันยาตอบ เหมือนเล่นตามบท
"ค่อยๆหันมามองสิค่ะ" ฉันท้า พี่กันยาค่อยๆหันมา ฉันถอดแว่นออกเปลือยใบหน้าคุยกับเธอ
"ในฐานะที่เป็นแฟนกันหนูอยากจะถามพี่ว่าชอบหนูตรงไหนคะ" พี่กันยาตีหน้างงก่อนจะยิ้มออกมา แล้วพยักหน้าเหมือนเข้าใจเรื่องที่ฉันกำลังทำอยู่
"พี่แค่สงสารเธอเท่านั้นเองเมย์ อยากจะให้เธอเหมือนเพื่อนรุ่นเดียวกัน มีเพื่อนและสามารถไว้ใจเพื่อนได้"
"เพราะความสงสารเหรอคะถึงยอมเป็นแฟนกับหนู"
"ไม่สิ ถ้าไม่ใช่คนที่ชอบจะยอมเป็นแฟนได้เหรอ แต่พี่เองก็สับสนนะไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้มาก่อนกับผู้หญิงด้วยกัน ถึงเป็นแฟนกันแล้วพี่เองก็ไม่เข้าใจว่าต้องการอะไรจากการเป็นแฟนกัน"
"ความเอาใจใส่ ความห่วงหา ความอบอุ่น ที่เราสามารถให้ซึ่งกันและกันไงคะ" ฉันกัดฟังพูดประโยคน้ำเน่าที่ฟังจากละครออกไป พี่กันยาสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนหลบสายตาและหันกลับมาใหม่
"แต่พี่กันยาสมบูรณ์ทุกอย่าง ความรู้สึกต่างๆที่หนูพูดเมื่อครู่พี่อาจจะไม่เคยรู้สึกว่าต้องการมันใช่ไหมคะ" ฉันถามอีกครั้ง พี่กันยานิ่งเงียบ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งนั้นจะแทงใจดำของเธอ
"ไม่หรอกมีหลายครั้งนะที่พี่ต้องการกอดใครสักคนแต่ไม่มีใครให้กอด" สิ่งนั้นออกมาจากใจ ฉันแยกออกจากน้ำเสียงเวลาเธอเล่นตามบทกับพูดจริงนั้นต่างออกไปอย่างรู้สึกได้
"กอดหนูก็ได้นะคะถ้าเวลานั้นมาถึง" ฉันตอบออกมาจากใจก่อนยิ้มออกมา "ก็น่าสนุกดีนะคะถ้าลองเป็นแฟนกันดู" ฉันพูดทิ้งทายก่อนแสดงท่าทีเหมือนปรกติเป็นสัญญาณบอกว่าเลิกเล่นเป็นแฟนกันแล้ว พี่กันยาเพียงยิ้มก่อนหยิบแว่นที่ฉันถอดไว้มาสวมให้ ฉันขยับตัวกลับไปนั่งฝั่งเดิม
"เมย์เหมาะกับการปล่อยผมยาวนะ" พี่กันยาพูดขึ้น
"ยังไงค่ะที่ว่าเหมาะ" ฉันเอียงคอถามอย่างสงสัย
"ก็ดูเป็นเด็กสาวที่น่าปกป้อง ยิ้มสักหน่อยก็จะน่ารัก"
"หนูไม่คิดว่าท่าทางที่อ่อนแอเป็นข้อดีหรอกนะค่ะ"
"ดีออก" พี่กันยาสรุปพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนเพื่อนรุ่นเดียวกันกับฉันจะเดินมาพร้อมกับสีหน้าที่ยุ่งยากมาขอคุ๊กกี้...
กิจกรรมช่วงเช้าผ่านไปด้วยดี ทุกคนถูกเรียกไปโรงอาหารเพื่อรับทานข้าวกลางวัน ส่วนฉันเดินหนีออกมาพร้อมกับเพื่อนๆในชมรม เพราะเรานัดจะทานข้าวกันเองแทนตรงที่นั่งเมื่อเช้า ทุกคนเอากับข้าวออกมาคนละอย่างสองอย่างกับข้าวนิดหน่อย ฉันคิดว่าคงทางกันน้อยตามภาษาหญิงสาวที่ระวังเรื่องน้ำหนัก พี่กันยาเดินถือกระเป๋าไวโอลินมาสีหน้ายุ่งยากใจ
"มาอยู่กันตรงนี้นี่เองพี่ประกาศในโรงอาหารตั้งหลายรอบ"
"เรานัดกันเอาอาหารมาทานจากบ้านนะคะ" ทาริสมันเอ่ยปาก "เพราะคิดว่าคงจะไม่ค่อมมีเรื่องอะไรเลยนัดกันจัดปิกนิกเล็กๆขึ้น" พี่กันยาคลายสีหน้าลงบ้างก่อนถอดรองเข้าเข้ามานั่งในพื้นที่
"แบบนี้ก็ไม่เป็นไรมั้ง พี่วุ่นจนลืมบอกที่นั่งในโรงอาหาร กลัวว่าพวกเธอจะไปนั่งปนกับกลุ่มอื่น"
"พี่กันยาท่านด้วยกันสิคะ" ทาริสมันเอ่ยปากชวน ฉันเองอยากจะพูดแบบนั้นออกไปได้บ้างจังเวลาปรกติ
"พี่ทานยากนะจ๊ะอย่าเลยดีกว่า" พี่กันยาปฏิเสธอย่างสุภาพ นั้นทำให้ฉันสงสัยขึ้นมา มองพี่กันยาด้วยสีหน้าตังคำถามอย่างไม่รู้ตัว
"แซนวิดทูน่าไหมคะพี่กันยา วิพึ่งทำเมื่อเช้าเอง" เด็กสาวตัวเล็กเลื่อนแซนวิดในกล่องไปทางพี่กันยา สีหน้าของพี่กันยาเหมือนลำบากใจที่จะปฏิเสธ
"พี่กันยาไม่ทานข้าวเที่ยงที่โรงเรียนใช่ไหมคะ" เหมือนฉันเคยได้ยินพี่ผอบจันทน์เคยจะพูดไว้ ตอนคุยเรื่องพ่อครัวที่จะมาทำอาหารในวันนี้ จึงถามขึ้น พี่กันยาพยักหน้าเล็กน้อยสีหน้าเหมือนจะแปลกใจอยู่บ้างที่ฉันรู้ได้อย่างไร
"ทำไมละค่ะ" ทาริสมันพูดขึ้นอย่างสนใจ
"พี่เป็นคนธาตุอ่อนนะ ถ้าทานอะไรที่ไม่สะอาดนิดหน่อยก็เกิดอาการอาหารเป็นพิษขึ้นได้ เลยทานข้าวที่บ้านหรือร้านที่ไว้ใจได้เท่านั้น"
"แบบนั้นก็ทานไข่ห่อข้าวของหนูไม่ได้สินะค่ะ" ทาริสมันร้องออกมาอย่างเสียดาย
"แซนวิดทูน่าของวิเองก็อาจจะทิ้งไว้นานเกินไปตั้งแต่เช้า" วิสินีมองกล่องแชนวิดตัวเองอย่างเสียดาย ทางนิสามองกล่องข้าวของตัวเองก็ถอนหายใจออกมาเพราะเธอพึ่งซื้อมาเมื่อเช้าจากร้านสะดวกซื้อนี่เอง
"พี่กันยาน่าจะทานของหนูได้นะค่ะ" ฉันพูดขึ้นก่อนยกปิ่นโตที่ใส่ข้าวสวยออกมาเพิ่ม "น้องสาวหนูก็คล้ายกับพี่กันยาเหมือนกันคือตอนเด็กถ้าทานของไม่สะอาดหน่อยก็ต้องอุ้มพาดหลังวิ่งเข้าโรงพยาบาลเป็นประจำ หนูเลยติดนิสัยทำอาหารให้สะอาดที่สุดเพื่อให้น้องสาวทานนะคะ" ฉันปลดล็อกปิ่นโตออกยกออกมาทีละชั้น ไอน้ำกระจากพากลิ่นหอมของอาหารกระทบจมูกหลายคนมองด้วยความรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาทันที ทำให้ฉันยิ่งมั่นใจยิ่งขึ้น แกงเขียวหวานลูกชิ้นกับแกงส้มวางคู่กันให้สีสรรน่ารับทาน ทอดมันชิ้นเล็กปั้นเป็นลูกพอดีคำ สีแดงของเครื่องพริกแกงสวยงามอย่างเป็นธรรมชาติ ผัดขิงเห็ดหูหนูกับไก่ส่งกลิ่นเผ็ดร้อนสดชื่นน่าประทับใจ นี่ละเป็นความสามารถสิ่งเดียวที่ฉันมี พี่กันยาเม้มปากมองอาหารในปิ่นโต สายตานั้นบอกแล้วว่าอยากลองชิมดูสักคำ เช่นเดียวกับทุกคนในชมรม
"มีข้าวพอแบ่งให้หน่อยไหมมาริสา" นิสาถาม ฉันยื่นปิ่นโตใส่ข้าวให้กับเธอ เมื่อเปิดฝาออกกลิ่นหอมก็กระจาย
"ข้าวมีกลิ่นหอมแบบนี้ด้วยเหรอ" นิสากล่าวอย่างประหลาดใจ
"ถ้าเป็นข้าวหอมมะลิตามต่างจังหวัดละก็เวลาหุงแล้วจะได้กลิ่นหอมแบบนี้ละคะ เพียงแต่การเก็บรักษาเพื่อบบรรจุขายในเมืองอาจจะทำให้เสียคุณภาพไปบ้าง" ฉันอธิบาย นิสาไม่รอช้าหยิบช้อนจากกล่องข้าวที่ทานค้างอยู่ตักข่าวเปล่าชิมดู ฉันจัดแจงช้อนกลางลงในอาหารทั้งสี่อย่าง ก่อนยื่นปิ่นโตให้พี่กันยาที่มองเหมือนทำอะไรไม่ถูก
"ของพี่คะ" ฉันยิ้มให้พี่กันยารับมาสีหน้าลำบากใจ "ถ้าพี่ทานแล้วเป็นอะไรหนูจะไปเฝ้าพี่ที่โรงพยาบาลทุกวันก็ได้คะ รับประกันเลย" พี่กันยาพยักหน้ารับในที่สุด ฉันแจกข้าวสาวที่เตรียมไว้ให้กับ ทาริสมันกับวิสินี และของฉันเองเป็นลำดับสุดท้ายกับข้าวสี่ชนิด แค่คนเพียงห้าคนน่าจะเพียงพอ อีกทั้งต่างก็เตรียมอาหารที่จะทานกันมาอยู่แล้วด้วย ยิ่งไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พี่กันยาทานไปได้อย่างละนิดเท่านั้นกับข้าวก็หมดไปโดยไม่มีใครรู้ตัวยกเว้นฉันที่สังเกตุอยู่ตลอด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพื่อนๆในชมรมของฉันต่างรีบทานข้าวกันทั้งที่ปรกติจะเห็นทานกันคนละนิดละหน่อย แม้แต่เด็กตัวเล็กอย่างวิสินีก็เข้าร่วมการแข่งขันที่จัดอย่างไม่เป็นทางการเมื่อครู่ รับทานทั้งกับทั้งข้าวหมดในเวลาใกล้กัน โดนนิสาเป็นที่หนึ่ง วิสินีเป็นที่สองและอันดับสุดท้ายคือทาริสมัน พี่กันยาได้แต่ยิ้มมองมาทางฉันก่อนหันไปพูดกับทุกคน
"เอาละช่วงบ่ายเป็นกิจกรรมรวม พวกเธอเข้าไปที่หอประชุมกัน ที่นั่งแถว ไอ นั่งเรียงกันไปเลย พี่คงต้องไปที่กรรมการนักเรียนก่อน ทางนั้นจะนัดหมายกันอีกครั้ง"
"คะ" ทั้งหมดตอบพร้อมเพียงกัน พี่กันยามองทางฉันอีกครั้ง เธอยื่นกระดาษทิชชู่มาให้ฉัน
"ตอนเย็น..." พี่กันยาพูดเท่านั้นก่อนลุกไป เมื่อมองกระดาษทิชชู่จึงทราบว่าเป็นของร้านเค้ก Priestess Rose ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคิด นั้นทำให้รู้สึกอดดีใจไม่ได้จริง..
พี่ผอบจันทน์พูดเหมือนฉายเทปวนกับงานปฐมนิเทศน์ก่อนพวกเราจะได้แต่งชุดนักเรียนในวันประถมนิเทศ เนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องของโรงเรียนคล้ายพยายามปลุกละดมให้สาวเหล่านี้ลุกขึ้นปฎิวัติตัวเอง สู่ความเป็นหญิงสาวที่ดีพร้อม สีหน้าของหลายคนดูคล้อยตามโดยเฉพาะทาริมัสเหมือนจะปลื้มใจเป็นพิเศษ แม่มณีเดินเรียบมาทางฉันติดเข็มสีทองสดใส่ ก้มลงมากระซิบข้างๆ
"พี่กันยา โดนพวก กรรมการนักเรียน ติเรื่องอาหารที่เอามาหนักมากเมย์" ฉันอดขมวดคิ้วกังวลใจอย่างไม่รู้ตัว
"ทำไมกัน"
"รู้สึกพวกกรรมการนักเรียนจะวางแผนนี้ไว้ อาหารปรกติทุกอย่าง ออกจะอร่อยด้วยซ้ำแต่ว่าพวกกรรมการนักเรียน บอกว่าไม่ได้เรื่องหากเทียบกับอาหารจากโรงแรมห้าดาวที่คัดไว้แต่แรก"
"ฉันไม่เข้าใจ..." ฉันสรุปได้เพียงเท่านั้นก่อนสงบปากไว้ หันไปมองพี่ผอบจันทน์บนเวที หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
"พี่กันยาคงไม่เป็นอะไรมั้ง ฉันเห็น พี่เค้าโต้ตอบกับพี่ผอบจันทน์ได้ตกทุกประเด็น" แม่มณีทิ้งท้ายไว้ก่อนขยับเดินไปข้างห้องประชุม เหมือคนอื่นที่เป็นกรรมการนักเรียนที่อยู่ในระดับชั้นมอสี่ แล้วคนอื่นที่เป็นกรรมการนักเรียนฝ่ายค้านอยู่ไหนกันทำไมทุกอย่างต้องมาลงที่พี่กันยา ฉันนึกจะถามแม่มณีก็เกรงใจในฐานะของเธอ ทั้งอยู่ห่างเกินไปที่จะส่งเสียงเรียกถาม ถ้าไปเรือนไม้สีครีมก็คงขอเอกสารเกี่ยกับเรื่องคณะกรรมการนักเรียนได้ ฉันได้แต่ปล่อยให้เวลาที่น่าเบื่อจบลงไป
หลังเลิกประชุมทุกคนก็แยกย้ายกันไป พวกเพื่อนในชมรมชวนกันไปทานน้ำชา ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องธรรมเนียมพวกนี้ ก็ได้แต่รับฟังอย่างอย่างเดียว ก่อนเริ่มมีการโต้เถียงกันเรื่องของชนิดเค้กและทุกคนก็หันมาหาฉัน
"มาริสาว่าอันไหนดีกว่ากัน" ทาริมันถามนำ ฉันเองยังจับต้นชนปลายเรื่องที่เถียงกันไม่ถูกเลย
"ฉันไม่เคยดื่มน้ำชาจากร้านแบบนั้น" ฉันตอบตามตรง
"หมายความว่าไม่เคยทานเลยเหรอ" นิสาสาวร่างสูงถามอย่างสนใจ ฉันพยักหน้าย้ำอีกครั้ง "เห็นยัยวิเคยเห็นมาริสานั่งทานเค้กกันกับพี่กันยาสองวันติดกัน พวกเราก็เลยคิดกันว่ามาริสากับพี่กันยารู้จักกันมาก่อนแล้วก็ดื่มน้ำชากันประจำ" ฉันยิ้มเจือๆ
"ดื่มชอกโกแล็ดเย็นกับเค้กกาแฟนะ" ฉันว่าอธิบายแบบนี้น่าจะง่ายในการให้ทุกคนเข้าใจรสนิยมของฉันที่สุดแสนธรรมดา
"จริงแล้วชารสอ่อนน่าจะเข้ากับเค้กกาแฟมากกว่านะ" ทาริสมันเสริม
"ถึงบอกไงว่าฉันไม่รู้เรื่องพวกนี้หรอก"
"แบบนั้นทำไม ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าพี่กันยาหวังจะให้มาริสาก้าวเข้ามาในคณะกรรมการนักเรียน เพราะถ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้ รู้สึกว่าจะไม่มีทางได้เข้าคณะกรรมการนักเรียนแน่นอน" ทาริสมันตั้งข้อสงสัย ฉันในทันทีตอนนั้นเหมือนโดนปิดปาก กล่าวอะไรไม่ออก นิสาดึงตัวทาริสมันออกมาไปด้านหลัง
"แบบนั้นวันนี้ไปทานน้ำชากับพวกเราไหม" นิสาชวน เธอยิ้มออกมาดูไม่คุ้นตานักสำหรับฉัน เหมือนฝืนยิ้มแต่ก็แข็งอย่างดูเป็นธรรมชาติในแบบของเธอ
"ขอโทษน่ะ" ฉันตอบปฏิเสธไป นิสาพยักหน้ารับ
"พวกเราเป็นเพื่อนกันนะมาริสา" นิสาพูดทิ้งท้ายเหมือนกำลังบอกในสิ่งที่ฉันลืมไปหรือไม่เคยคิดมาก่อน เธอโบกมือทิ้งรอยยิ้มไว้เดินนำสาวอีกสองคนที่หันมามองฉันอย่างตั้งคำถาม เพื่อนเหรอ คำนี้ใครยืนยันได้บ้าง มันเริ่มขึ้นเมื่อไร ตอนไหนฉันถึงจะยอมรับมันได้ เมื่อมีใครสักคนพูดคำว่าเพื่อน คนนั้นก็จะเป็นเพื่อนในทันที มันไม่มีอะไรยุ่งยากซับซ้อนไปกว่านี้หรอก แต่ฉันจะเปิดใจให้เพื่อนได้ขนาดไหนกัน ฉันคงต้องยกเรื่องนี้วางทิ้งไว้ก่อนเพราะสำหรับตอนนี้สิ่งที่ฉันคิดคือพี่กันยาหายไป รุ่นพี่ไม่กำหนดเวลานัดและก็ไม่บอกสถานทีนั้นหมายถึงว่าเธอน่าจะรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าฉันอยู่ไหน ฉันรออยู่ที่หอประชุมอยู่พักหนึ่งจึงหันหาแม่มณีที่กำลังจัดเก็บเก้าอี้ในห้องประชุม สอบถามสถานที่ซึ่งเธอเห็นพี่กันยาเป็นครั้งสุดท้าย
"ศาลาประชุมของกรรมการนักเรียน" แม่มณีตอบเรียบ ฉันกล่าวขอบใจก่อนวิ่งไป "แต่นั้นมันตั้งเกือบสองชั่วโมงมาแล้วนะเมย์" เธอร้องออกมา ฉันไม่เหลียวหลังกลับ เป็นไปได้ว่าพี่กันยาน่าจะยังอยู่ที่ศาลานั้น
ศาลาประชุมของกรรมการนักเรียนสร้างบนลานหินที่ขุดลึกลงไปบนพื้นหญ้า โต๊ะหินโค้งรัศมีกว่าสองเมตร ตั้งอยู่ตรงกลางหลุม ด้านเป็นที่นั่งไล่ลำดับลงไปเหมือนสร้างไว้สำหรับเวลามีการประชุมใหญ่ และมี บันไดทางลง ทั้งสี่ทิศ กว้างใหญ่มีสไตล์คล้ายโรงละครสมัยโบราณ ร่มเย็นด้วยเงาของร่มไม้ที่ปลูกโดยรอบ จะมีข้อเสียตรงที่เวลาฝนตกคงไม่สามารถทำการประชุมได้เพราะไม่มีหลังคา ที่จุดกึ่งกลางมีดาบปักอยู่พันเลื้อยไปด้วยเถาะกุหลาบสีแดงที่ตัดแต่งอย่างสวยงาม ที่นี่ฉันไม่เคยผ่านมาเพราะอยู่ในส่วนที่ห่างไกลจากตึกเรียน และไม่คิดว่ามันน่าสนใจอะไรจนกระทั้งได้มายืนดู ฉันเดินลงบันได สายตาจับอยู่ที่พี่กันยาที่กำลังยืนมองฉันอยู่จากจุดกึ่งกลางศาลาประชุมข้างดาบที่ปักอยู่
"ไม่ไปเที่ยวกับพวกเพื่อนละเมย์" พี่กันยาถามขึ้นฉันไม่ตอบคำถามจนเดินเข้ามายืนอยู่เบื้องหน้า กลิ่นหอมจากกุหลาบหอมโชยกลิ่นเบาบาง ฉันพึ่งรู้สึกว่ากลิ่นนี้คล้ายกับที่ฉันสัมผัสได้ประจำเมื่อเข้าใกล้พี่กันยา
"ก็หนูนัดกับพี่ไว้ก่อนแล้วนี่คะ" ฉันล้วงกระเป๋าหยิบกระดาษชิดชู่ของร้าน Priestess Rose ขึ้นมาเป็นหลักฐาน พี่กันยายิ้มออกมาเล็กน้อยที่มุมปาก
"นิสาโทรมาช่วนพี่แล้ว แต่พี่ปฏิเสธไป แล้วบอกให้ชวนเมย์ไปด้วย นิสาไม่ได้บอกเรื่องนี้เหรอ" ฉันส่ายศีรษะ สายตาจับอยู่ที่ใบหน้าของพี่กันยา เมื่อเธอรู้ตัวก็หันหน้าหนี พี่กันยาเหมือนจะร้องไห้มาก่อน ความรู้สึกเป็นหว่งทำให้ฉันเดินเข้าไปใช้มือสองข้างจับไหล่พี่กันยาหันมา
"ใครทำให้พี่กันยาร้องไห้คะ" พี่กันยาเงียบ มองฉันด้วยสายตาประหลาดใจ "พี่ผอบจันทน์ หรือว่าใคร" ฉันถามย้ำอีกครั้ง
"ใจเย็นเมย์ พี่เจ็บ" พี่กันยาร้องออกมาฉันรีบปล่อยมือ
"ขอโทษคะ" ฉันพูดสายตายังจับจ้องไม่วางตา เพื่อบังคับให้พี่กันยาพูดออกมาให้ได้
"ความเหงาะนะ" พี่กันยาพูดก่อนเดินอ้อมไปนั่งที่โต๊ะ นั่งมองมาทางฉัน
"เมื่อก่อนที่นั่งฝั่งนี้จะมีพวกรุ่นพี่มอหกนั่งกันอยู่ห้าคน พี่เป็นเลขายืนอยู่ข้างกับรุ่นพี่คนหนึ่งในนั้น เรื่องผ่านไปปีหนึ่งแล้วตอนนั้นพี่อยู่มอสี่" ฉันฟังแล้วพอจะนึกภาพที่เกิดขึ้นออกอยู่บ้าง
"นั้นเลยทำให้พี่กันยาต้องมานั่งในกรรมการนักเรียนในฐานะฝ่ายค้านเหรอคะ" พี่กันยาพยักหน้า
"จ๊ะ...เป็นฝ่ายค้านคนเดียวในคณะกรรมการนักเรียน พึ่งจะรู้ตัวว่าโดดเดี่ยวก็วันนี้นะ เมื่อไม่มีกำลังพอจะสู้กับพวกกรรมการนักเรียนแล้ว ก็รู้สึกคิดถึงช่วงสมัยก่อนขึ้นมา" สายตาของพี่กันยาล่องลอยออกไปแสนไกล ฉันรู้สึกไม่ชอบใจ ขึ้นมา
"หนูก็อยู่ตรงนี้นะคะ แล้วก็พวกเราในชมรมก็บอกแล้วว่าจะยืนอยู่ข้างพี่ ทำไมพี่ชอบทำเหมือนยืนอยู่คนเดียวละคะ"
"เพราะพี่คิดว่า พวกเธอยังไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับพี่นะสิ" พี่กันยาตอบตามตรง โดยไม่รักษาน้ำใจแม้แต่น้อย "คำพูดยิ่งกว่านี้เธอจะได้ยินจากปากของพวกกรรมการนักเรียนหาเข้ามาอยู่ฝั่งเดียวกับพี่" ฉันหลับตานึกเหตุผลมากมายมาเสริมความคิดของตัวเองแต่แล้วก็ได้แต่สงบนิ่งเพราะไม่ว่าจะมองมุมไหน พี่กันยาก็ถูกที่จะไม่ดึงรุ่นน้องในชมรมมางัดข้อกับกรรมการนักเรียน
"ความรู้สึกแย่ๆนะพี่รับไว้คนเดียวก็พอแล้วละ พี่ยังคิดเลยว่าบางทีการที่คิดจะให้เมย์มาเป็นเลขาของพี่เหมือนกับว่าเป็นการแกล้งเมย์มากกว่า"
"หนูต้องการยืนอยู่ข้างพี่คะ" ฉันกลับพูดประโยคนี้ได้ง่ายกว่าที่คิด "ถ้าพี่ร้องไห้หนูก็จะเป็นคนปลอบใจพี่เอง" ฉันรู้สึกว่ามันเป็นประโยคที่น่าตลกเมื่อพูดออกมาจนจบ แต่ความรู้สึกของฉันไม่ใช่เรื่องขบขัน พี่กันยานั่งนิ่งเหมือนกำลังคาดเดาความหมายของคำพูดนี้ ฉันจึงเดินอ้อมไปยืนอยู่ด้านข้างพี่กันยาที่นั่งอยู่
"จะปลอบใจพี่ยังไงกันเมย์" พี่กันยาถามเธอยิ้มที่มุมปากเหมือนปิดบังบางอย่างอยู่
"พี่ลุกขึ้นยืนสิคะ" ฉันกล่าวพี่กันยา ลุกขึ้นหัวเราะเบาๆเหมือนจะดูว่าฉันจะทำอะไร
"เอาละ" พี่กันยาพูดเหมือนบอกว่าเตรียมพร้อมแล้ว ฉันเดินเข้าไปกอดพี่กันยาไว้ แน่นอนว่านั้นเป็นการกอดที่แนบแน่นแต่ไม่เป็นการบีบบังคับหากพี่กันยาคิดจะผละหนีย่อมสามารถทำได้ ร่างการของพี่กันยาเริ่มสั่นเล็กน้อยมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาเหมือนกับตั้งใจจะใช้ออกแรงผลักที่แขนของฉัน แต่แล้วก็เป็นเพียงการจับไว้ ก่อนที่พี่กันยาจะซุกหน้าลงที่ไหล่ของฉัน
"แกล้งกันเหรอเมย์" เสียงนั้นสะอื้นเล็กน้อย
"คะ" ฉันตอบ พี่กันยาร้องไห้ออกมา ฉันคิดว่าเธอคงเก็บกดทุกอย่างไว้ในใจมากนานโดนใช้สีหน้ายิ้มแย้มนั้นกดมันไว้ในส่วนลึก...
หลังจากนั้นเราสองคนก็ตัดสินใจโทรไปถามนิสาเพื่อถามเส้นทางไปร้านน้ำชา พวกเราพูดคุยกันเรื่องทั่วไป ฉันคิดจะถามพี่กันยาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้แต่ดูเหมือนเธอจะยังไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟัง ทำไมกันฉันยังไม่สามารถรับฟังความเจ็บปวดของเธอได้ ความสัมพันธ์ของฉันกับพี่กันยาเป็นเพียง รุ่นพี่กับรุ่นน้อง แม้ว่าเธอเคยจะบอกว่า จะเป็นเพื่อนสนิทของฉัน แต่ว่าเธอเพียงต้องการให้ฉันคิดเท่านั้น เธอไมได้คิดว่าฉันเป็นเพื่อนสนิทของเธอมาตั้งแต่ต้น ถึงแม้ว่าฉันจะเข้าใจว่าทุกคนก็มีความลับแต่กับเพื่อนสนิทไม่น่าจะมีความลับไม่ใช่เหรอ และฉันต้องการเพียงแต่ร่วมแบกรับความรู้สึกนั้นไว้กับเธอ ยิ่งคิดความรู้สึกน้อยใจนั้นก็ไม่สามารถซ้อนไว้ใต้สีหน้าปรกติ พี่กันยาคงรู้สึกได้จึงถามขึ้นมา ขณะเราอยู่กันเพียงสองคนที่นั่งด้านหลังรถของพี่กันยาที่เธออาสาพารับกลับบ้าน ส่วนคนอื่นก็มีธุระแยกย้ายกันไป เหลือเพียงฉันที่กลับพร้อมกับรุ่นพี่
"โกรธพี่เหรอเมย์ที่ไม่ยอมอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้" ฉันควรตอบว่าเปล่าถ้าคิดว่าตัวเองเป็นรุ่นน้องที่ยึดถือเรื่องมารยาท นั้นทำให้ฉันคิดเล็กหน่อยก่อนตอบ
"คะ" ฉันตอบตามตรงเพราะสีหน้าของฉันคงไม่สามารถโกหกได้
"วันจันทร์เมย์ยังจะไปเป็นเลขาของพี่ในที่ประชุมไหม?"
"คะ" ฉันตอบเพียงแค่นั้น
"คงไม่ต้องรบกวนเมย์แล้วละ เนื้อหาการประชุมพี่พอจะรู้แล้ว คงไม่ได้ประชุมกันนาน ถ้าขอให้เมย์มาช่วยดูจะเป็นการเสียเวลาเรียนโดยเปล่าประโยชน์"
"คะ" ฉันตอบอีกครั้ง ตอนนั้นความรู้สึกเจ็บปวดใจก็เกิดขึ้น พยายามทำให้สีหน้าเป็นปรกติแต่ไม่สามารถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวได้ พี่กันยาถอดแว่นของฉันออก ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ฉัน
"พี่ไม่อยากให้เมย์รู้สึกแบบพี่ที่เกิดขึ้นในวันนี้ อ้างว้างจนมองอะไรไม่เห็นนอกจากความว่างเปล่า"
"นั้นก็เพราะพี่กันยาเลือกที่ยืนอยู่คนเดียว"
"พี่.." พี่กันยาสงบคำพูดไว้ชวนให้สงสัยก่อนสวมแว่นคืนให้กับฉัน
"หนูบอกกับพี่แล้วนะคะว่าหนูอยากขึ้นไปยืนอยู่ข้างกับพี่"
"เมย์ไม่แข็งพอที่จะยืนอยู่ข้างพี่หรอกตอนนี้"
"พี่กันยาช่วยปกป้องหนูไม่ได้เหรอคะ" ฉันถาม พี่กันยาเงียบไป "เช่นกันว่าหนูก็จะช่วยปกป้องพี่" สีหน้าของฉันคงจริงจังพอให้พี่กันยาคิดทบทวนคำพูดของฉัน รถจอดนิ่งหน้าบ้าน ฉันเปิดประตูออกไป หันกลับมากล่าวขอคุณอย่างสุภาพก่อนเดินเข้าบ้านไป ในทันทีเสียงโทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น ฉันหยิบมันขึ้นมากดรับอย่างรีบร้อนเนื่องด้วยอารมณ์ที่กำลังเป็นขณะนั้น
"สวัสดีคะ"
"เมย์พี่คิดว่าพี่กำลังปกป้องเมย์อยู่ พี่คิดว่าการที่พี่กันเมย์ให้ออกห่างจากกรรมการนักเรียน เป็นการปกป้องเมย์ มากกว่าการที่พี่จะตามใจตัวเองในการดึงเมย์เข้ามาในคณะกรรมการนักเรียน"
"แล้วหนูจะปกป้องพี่ได้ยังไงค่ะ?" โดยกระทันหันพี่กันยาไม่สามารถตอบคำถามนี้โดนทันที "พี่เคยบอกว่าให้หนูกรอกชื่อของพี่ในช่องเพื่อนสนิทไม่ใช่เหรอค่ะ แต่พี่เองก็ไม่ได้มองหนูเป็นเพื่อนสนิทอย่างนั้น"
"พี่ไม่อยากให้เมย์ลำบากใจ เพราะเมย์เองก็ยังไม่ยอมรับว่าพี่เป็นเพื่อนของเมย์ไม่ใช่เหรอ" ฉันมองเกินไปกว่า "เพื่อน" ฉันรู้สึกต้องการมากกว่านั้น เมื่อตอบคำถามนี้กับตัวเองในใจแล้วรู้สึกว่าตนกลายเป็นคนที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดที่คิดแบบนี้ถ้า ยิ่งกว่านั้นฉันอยากจะบอกกลับไปว่า ฉันรักพี่กันยานะอะไรกันทำให้พี่คิดว่าฉันมองพี่แบบไหนอยู่ แต่ทั้งหมดแล้วฉันไม่สามารถพูดออกไปได้ จึงทำได้เพียงหาเหตุผลอื่น
"ถ้าพี่ไม่ใช่เพื่อนหนู หนูคงไม่วิ่งไปศาลาประชุมของกรรมการนักเรียนหรอกคะ" ฉันอธิบาย พี่กันยาเงียบไปก่อนเสียงเคาะประตูบ้านจะดังขึ้นก่อนถูกเปิดออก ฉันหันหลังไปพบพี่กันยา เดินเข้ามาพร้อมปิดโทรศัพท์มือถือ ฉันจึงวางสายตาม
"วันจันทร์มีวาระประชุมพิเศษเกี่ยวกับเรื่องอาหารที่ใช้ในงานรับน้อง เพราะเป็นของบริษัทผลิตผลอาหารไทย ซึ่งคณะกรรมการนักเรียนบอกว่าพี่ตัดสินใจเลือกบริษัทนี้อาจเป็นเพราะความสนิทสนมส่วนตัวกับลูกสาวของประธานบริษัท พี่จึงต้องถูกสอบสวน" ผลิตผลอาหารไทย คือบริษัทที่แม่ฉันเป็นเจ้าของ งานหลักของบริษัท เป็นการพัฒนาสูตรอาหาร ผึกสอนพ่อครัว ปรับปรุงพื้นฟูร้านอาหาร หลายคนไม่ทราบว่าบริษัทของแม่ฉันรับทำทำอาหารในงานจัดเลี้ยงของโรงแรมใหญ่ หลายต่อหลายครั้ง คุณภาพของพ่อครัวแม่ครัวที่นี้ไม่แพ้เชฟจากโรงแรมใหญ่ ทั้งราคาไม่สูงมากนักเพราะได้ต้นทุนวัตถุดิบมาในราคาถูก ฉันไม่รู้มาก่อนว่าพี่กันยาเลือกบริษัทของแม่ให้มาทำอาหารในวันนี้ เมื่อทราบเพียงเท่านี้ฉันก็สามารถลำดับเหตุการณ์ทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
"แล้วพี่เลือกเพราะว่านั้นเป็นบริษัทของคุณแม่หนูเหรอคะ"
"เป็นความบังเอิญที่ประจวบเหมาะ ในหลายเหตุผลพี่ก็ต้องยอมรับว่า พี่รู้สึกดีเพราะนั้นเป็นกิจการของบ้านเมย์"
"วันจันทร์หนูขอเป็นเลขาของพี่คะ" ฉันกล่าวออกไป
"มันจะเหมือนราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟหรือเปล่า ยิ่งทำให้สิ่งที่พวกเค้าพูดชัดเจนขึ้นนะเมย์"
"พวกนั้นกำลังเข้าใจพี่กันยาผิด หนูจะทำให้พวกเขาเข้าใจให้ถูกต้อง"
"เมย์ พี่ว่า..." พี่กันยาตีหน้ายุ่ง
"หนูนะเข้มแข็งกว่าภาพภายนอกที่เห็นนะคะ" ฉันตอบอย่างมั่นใจ แม่มักจะพูดเสมอว่าอยากให้ ฉันกับน้องเป็นเหมือนกับดอกไม้หลังพายุ ที่ยังคงความงดงามอยู่บนต้น แม้ว่าดอกไม้อื่นจะร่วงโรยไปกองอยู่บนพื้นแล้วก็ตาม...
จบตอนที่ 4
ความคิดเห็น