คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่ 3
ป่าเอลทาเนียทางด้านทิศตะวันออกกำลังเปลี่ยนไป เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อที่คุยกันในอย่างกว้างขวางใน Call (คอมมูนิตี้ในอินเตอร์เน็ต) ส่วนของชุมชนผู้เล่นมาเนียน่าออนไลน์และตรงนั้นทำให้หนังสือความลับแห่ง เอรทาเนียแผ่นที่ สิบสอง ถูกเปิดเผยจากคนที่เล่นเผ่าเงือก ถ้าเอลฟ์ตนไหนต้องการมันเธอมีเงือนไขคือต้องการคือแลกกับหนังสือความลับแห่ง แอทแลนติค แผ่นใดก็ได้
"เนื้อหาของแผ่นที่สิบสาม คือวิธีปลุกมังกรไร้นามออกมาจากบึงพิษ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่เธอกำลังทำอยู่ไม่ใช่เหรอ" รูรุพูดขึ้นสรุปเนื้อหาหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมด ฉันไม่ตอบอะไรหวานเมล็กลงบนพื้นให้งอกเป็นต้นอ่อนก่อนปักไม้เท้าลงไปร่าวเวทย์ปลูกต้นไม้ให้ค่อยโตขึ้น
"ในสมาคมเราหาหนังสือความลับแห่งแอทแลนติคได้มาสองแผ่น ตอนนี้กำลังประกาศกันอยู่ว่าใครมีอีกเพื่อจะได้ให้ฝากไปเที่ยวเดียวเลย หลายคนใน Call ให้ความสนใจ การเดินทางครั้งนี้เราน่าจะได้หนังสือมาหลายแผ่นทีเดียว"
"จะเดินทางกันยังไงละค่ะ ระยะทางไม่ใช่ใกล้แล้วเอลฟ์อย่างพวกเราเดินทางโดยไม่ผ่านเขตป่าจะสิ้นเปลืองอาหารมาก แล้วถ้าตายในสภาพนั้น โอกาศที่จะคืนชีพก็มีน้อย"
"หลายคนในสมาคมกำลังสุมหัวกันกำหนดเส้นทางเดินทางและจุดพักกันอยู่"
"คิดว่าน่าจะใช้เวลาเดินทางกันกี่วันค่ะ"
"สามวันเป็นอย่างน้อยแต่ว่าเราจะไปกันไม่เร็วมาก เพราะเสบี่ยงอาหารสามารถขนใส่รถม้าไปได้แค่คันเดียว" รูรุเว้นช่วงเล็กน้อยก่อนพูดต่อ "เดินทางไปด้วยกันไหม" เธอถามขึ้น
"ความสามารถของดิฉันต่ำกว่าจะให้ไปเดินทางไกลคะ" ฉันตอบ เธอถอนหายใจยาวออกมาก่อนขยับตัวเดินเข้ามาใกล้
"แบบนั้นคงไม่เจอกันตั้งสามวัน" คำพูดนั้นเหมือนมีความหมายพิเศษอยู่
"หือ~ นี่กำลังจะจีบดิฉันอยู่เหรอ" ฉันย้อมถามความหมายของคำพูดนั้น
"ใช่...ว่ายังไงละ ชั้นมีแหวนจับคู่อยู่ ถ้าเธอสวมมันเมื่อไรเราก็จะสามารถติดต่อกันได้ ถ้าอยู่ในพื้นทีเดียวกันก็สามารถเคลื่อนย้ายมาหาได้ในทันที" เธอโชว์แหวนสีทอง ในมือให้ดู
"แหวนจับคู่ แบ่งเป็นของผู้ชายกับผู้หญิงไม่ใช่หรือคะ"
"แต่แหวนคู่นี่เป็นของผู้หญิง"
"ไอเท็มมายา คุณหามายังไงกัน" รูรุกำแวนไว้ในมือท่าทางภูมิใจอยู่บ้างที่ฉันถามเรื่องนี้ขึ้นมา
"มีนิทานเล่าถึงเอลฟ์คู่หนึ่งที่รักกันแล้วต้องการแหวนจับคู่เพื่อบ่งบอกความเป็นของกันและกัน จึงเดินทางขอให้ช่างทำแหวนชาวมนุษย์ทำแหวนให้ ช่างทำแหวนเหมือเห็นเอลฟ์ทั้งสองก็เกิดหลงไหลในความงามออกอุบายให้ทั้งสองไปหาวัตถุดิบสำหรับสร้างแหวนในทิศตรงกันข้ามกันซึ่งหนึ่งนั้นเป็นเรื่องโกหก เมื่อมาถึงกลายเป็นว่า เอลฟ์ที่กลับมาถึงก่อน มีลูกกับชายคนนั้นแล้วเพราะเชื่อว่าเอลฟ์อีกตนหนึ่งตายไป ความเสียใจทำให้สิ้นสติหนีหายไป ไม่มีใครเห็นเธออีก เอลฟ์อีกตนหนึ่งแม้จะมีลูกกับมนุษย์แล้วแต่เมื่อรู้ความจริงก็จมอยู่ในความทุกข์ ส่วนช่างทำแหวนนั้นเมื่อเห็นเช่นนั้นด้วยความรักและสำนึกผิดจึงทำแหวนจับคู่ของผู้หญิงให้แก่ภรรยาตน เอลฟ์ตนนั้นมองแหวนสองวงนั้นยิ่งรู้สึกผิดต่อความรักในอดีต จะทิ้งลูกไปก็ผิดต่อความรักของแม่ที่มีต่อลูก ทำให้เธอตัดสินใจไปสวมแหวนทั้งสองวงนั้นแล้วไปยืนตายอยู่กลางเมืองเป็นต้นไม้ใหญ่ อยู่จนถึงทุกวันนี้"
"ทำไมดิฉันไม่เคยอ่านเจอนิทานเรื่องนี้" ฉันถามเพราะคิดว่าได้อ่านนิทานทุกเรื่องของเอลฟ์แล้ว
"เพราะว่ามันเป็นนิทานของมนุษย์เล่าเกี่ยวกับต้นไม้ใหญ่กลางเมืองนะสิ" นิทานในเกมส์นี้มีหลายร้อยเรื่องแม้ Call จะมีระบบสือค้นข้อมูลที่ยอดเยี่ยม แต่นั้นก็ไม่เกี่ยวว่าจะสามารถเข้าไปในในเมืองมนุษย์และออกมาอย่างปลอดภัย
"คุณพยายามมากสินะเพื่อจะให้เลื่อนขั้นอาชีพขึ้นไป" ฉันถาม
"ชั้นพยายามเพื่อนจะเอาชนะใจเธอต่างหาก หากฟังเรื่องแบบนี้แล้ว เธอก็คงจะยอมรับแหวนี้ไปสวมเป็นการตอบแทนน้ำใจ" ฉันจริงจังไปจนเธอดูนิสัยฉันออกหรืออย่างไร เมื่อคิดแล้วก็อดขำตัวเองไม่ได้
"เอาเถอะคะ ส่งมาทางจดหมายแล้วกันตอนนี้ดิฉันรับของไม่ได้"
"อยากสวมให้กับมือมากกว่า" รูรุพูดมาทำเอาฉันอดเขินไม่ได้
"ได้เวลานอนแล้วคะ" ฉันตัดบท
"เดี๋ยวก่อนสิ" รูรุรีบเดินเข้ามา ฉันปิดหน้าจอตัดปัญหาอดนึกไปไม่ได้ว่า ถ้ามีคนมาพูดแบบนี้กับฉัน แล้วจะสามารถเดินหนีไปแบบนี้ได้ไหม...
อากาศยามเช้าเป็นช่วงเวลาที่วิเศษที่สุด การนอนให้เต็มอิ่มแล้วตื่นมาพร้อมกับความสดใสและสติที่เต็มเปี่ยมเป็นอะไรที่วิเศษมาก อากาศยามเช้านี่สามารถสูดได้อย่างเต็มปอดผิดกับช่วงเวลาเย็นที่เหนื่อยล้า กุญแจห้องชมรมคอมพิวเตอร์ถูกหยิบขึ้นมาออกจากกระเป๋ากระโปรง เหลือบมองไปด้านข้างพบหนังสือพิมพ์ปึกใหญ่วางแอบอยู่ ฉันตัดสินใจถือเข้าไปด้วยโดยวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะด้านหน้าสุดของห้องพร้อมกระเป๋านักเรียน ก่อนเดินไปเปิดคอมพิวเตอร์ข้างห้องล๊อกอินเข้าสู่เกมส์
"ยังไม่มีจดหมายมา" ฉันอดบ่นอย่าสงสัยไม่ได้ ถ้ารูรุจริงจังเธอน่าจะส่งแหวนนั้นมาให้ฉัน คิดไปดูจะป่วยการฉันออกจากเกมส์และปิดเครื่อง อดคิดตั้งคำถามขึ้นมาไม่ได้ แต่แล้วในเวลานั้นก็มีเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในห้อง
"กันยายังไม่มาเหรอ" พี่ผอบจันทร์ถ้ามพร้อมเดินรี่เข้ามาหาฉันเหมือนกำลังรีบร้อน
"ยังคะ" ฉันรีบตอบทันทีพลางลุกขึ้นยืน ก่อนที่รุ่นพี่จะเดินเข้ามาใกล้กว่านี้ "สวัสดีคะพี่ผอบจันทร์" ฉันยกมือไหว พี่ผอบจันทร์รับไหว้
"สวัสดีมาริสา แปลกจริงเชียวทุกทีกันยามาเปิดห้องไม่ใช่เหรอ" พี่ผอบจันทร์บ่นเหมือนไม่ได้ดังใจก่อนเดินเข้ามานั่งที่คอมพิวเตอร์ เห็นดังนั้นฉันจึงฉากหลบไปอ่านหนังสือพิมพ์ที่โต๊ะหน้าห้อง ความเงียบสงัดเข้ามาเยือนจนรู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดปรกติไปมีเพียงเสียงกดแป้นพิมพ์ของพี่ผอบจันทน์จากท่าทีรีบร้อนของประธานนักเรียนคนเก่งคนนี้ฉันคิดว่าต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นแน่ ในใจก็ได้แต่หวังว่าให้เธอมาเพียงใช้คอมพิวเตอร์ในชมรมตามปรกติเท่านั้น
"กันยาเอ็นดูเธอเป็นพิเศษหรือเปล่ามาริสา" พี่ผอบจันทน์ถามขึ้น ทำลายความเงียบของห้องคู่ไปกับเสียงกดแป้นพิมพ์ที่ยังดังต่อเนื่อง ฉันนิ่งคิดเล็กน้อย
"คิดว่าไม่คะ" นี่เป็นคำตอบที่ดีที่สุดเท่าที่จะนึกได้
"แสดงว่ายังไม่มีอะไรเกินเลยสิ" พี่ผอบจันทน์พูดจบก็หันมายิ้มลางมือจากเครื่องคอมฯ ทำเอารู้สึกแปลก
"เกินเลยยังไงคะ?" ฉันย้อนถาม
"จับมือ...กอด...จูบ"
"มีแค่จับมือคะ" แม้คำถามจะเป็นที่น่าตกใจบ้างแต่ฉันก็พยายามทำอารมณ์เป็นปรกติและย้อนถามกลับไป "พี่หมายถึงว่า พี่กันยาเป็นพวกแบบนั้นหรือคะ" พี่ผอบจันทน์ยิ้มโดยไม่ตอบคำถาม ลุกขึ้นเดินมาทางฉัน
"ดูเธอก็น่ารักดีนะ มาริสา มีแฟนหรือยังนะ"
"ไม่มีหรอกคะ" ฉันตอบทันที
"แบบนั้นก็ว่างสิ"
"พี่ผอบจันทน์มีอะไรพูดตรงไปตรงมาก็ได้คะ" ฉันควบคุมอารมณ์ก่อนพับหนังสือพิมพ์ปิด หันหน้าสู้กับสายตาของเธอ พี่ผอบจันทร์เดินเข้ามาชิดตัวจับแว่นของฉันถอดออกไป
"คงไม่รังเกียจผู้หญิงด้วยกันหรอกใช่ไหม" เธอพูดพลางขยับใบหน้าเข้ามาใกล้
"จะจูบเหรอคะ" ฉันถามโดยไม่สับสน
"คิดอย่างอื่นได้เหรอ"
"ทั้งที่ไม่ได้รักนะเหรอคะ ดิฉันคิดว่าคนระดับพี่ผอบจันทร์คงไม่ทำอะไรเป็นการข่มขื่นความรู้สึกของคนอื่น และโกหกความรู้สึกของตัวเองหรอกคะ" พี่ผอบจันทร์ยิ้มออกมา เลื่อนตัวออกไปและพับแว่นคืนให้
"ฉลาดพูดนีมาริสา" พี่ผอบจันทร์ชมสีหน้าเหมือนนึกหัวเราะ ก่อนหันหลังกลับไปนั่งที่หน้าคอมพิวเตอร์ตัวเดิม "เข้ามาช่วยทำงานในคณะกรรมการนักเรียนไหม ชมรมคอมพิวเตอร์คงไม่มีกิจกรรมอะไรให้เธอทำนักหรอก"
"ขอบคุณคะ แต่ดิฉันไม่ชอบท่าทางวางอำนาจของคนในชมรมสงคมชั้นสูง อยู่แบบนั้นอาจจะอึดอัดมากกว่าคะ" ฉันปฏิเสธคำเชิญอย่างนุ่มนวลที่สุด
"หมายถึงนฤมลนะเหรอ? แบบนั้นท่าจะลำบากแล้วละเพราะว่าเราต้องให้ชมรมคอมพิวเตอร์ที่มีสมาชิกถึงสี่คนไปช่วยงานกรรมการนักเรียนวันรับน้องด้วย เพราะคนเราไม่พอ" ไม่ทันที่พี่ผอบจันทร์จะเล่ารายละเอียดต่อ ประตูห้องของชมรมก็ถูกเปิดออก หนึ่งหญิงสาวที่พร้อมไปด้วยความสง่างาม ขยับท่าทีอย่างระวังตัวก่อนหันมาประเชิญหน้ากับพี่ผอบจันทน์
"มาหาหนูเพราะเรื่องนี้เองเหรอคะพี่" พี่กันยาเดินเข้ามาท่าทางยังคงสดใสเหมือนเดิม ก่อนวางกระเป๋านักเรียนและกระเป๋าไวโอลินลงบนโต๊ะด้านหน้าห้อง
"นั้นเป็นเพียงหนึ่งในหลายเรื่อง เราขาดคนนั้นเป็นประเด็นปรกติที่เกิดขึ้นประจำในวันรับน้อง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเราขาดพ่อครัวแม่ครัวที่จะมาทำอาหารเลี้ยงในตอนเที่ยง" พี่ผอบจันทร์ขยับตัวลุกอีกครั้งพร้อมเคาะแป้นพิมพ์เสียงดัง เสียงเครื่องพิพม์แบบหัวเข็มท้ายห้องเริ่มทำงานส่งเสียงดังจี๊ดน่ารำคาญ
"แค่ยกเลิกพ่อครัวจากโรงแรมชั้นหนึ่งเอง แล้วพ่อครัวแม่ครัวของโรงเรียนเราก็มีไม่ใช่เหรอคะพี่ผอบจันทน์"
"เธอเองยังไม่ยอมกินเลยไม่ใช่หรืออาหารของร้านอาหารในโรงเรียนเรา แล้วเราอยากได้รสชาติที่แตกต่างจากทุกวัน กันยาเองก็ทำอาหารเป็น แล้วอีกอย่างเรื่องนี้เธอเป็นคนเสนอเองในเมื่อไม่ใช้พ่อครัวจากโรงแรมแล้วหาพ่อครัวแทนไม่ได้ เธอก็น่าจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานะกันยา" พี่กันยาสงบคำพูดไว้ ก่อนพยักหน้ารับ
"ทราบแล้วคะ หนูจะจัดการเอง" พี่กันยาตอบเสียงเรียบ ฉันไม่ชอบใจเท่าไรนักที่ดูเหมือนว่าพี่กันยาจะยอมง่ายเกินไป
"ส่วนที่พิมพ์นั้นเป็นรายชื่อร้านอาหารที่ทางคณะกรรมการนักเรียนตรวจสอบแล้วรู้สึกยังไม่ดีพอ พี่จะเอาทิ้งไว้เธอจะได้ไม่ต้องวุ่นวายไปหารายชื่อที่ซ้ำกับที่เลือกกันไปแล้ว"
"ขอบคุณมากคะ" พี่กันยายิ้มตอบเหมือนไม่รู้สึกอะไร "แล้วธุระอื่นละค่ะ"
"เรียบร้อยแล้ว" พี่ผอบจันทร์หันมามองทางฉันก่อนตอบ และเดินออกไปจากห้องของชมรม เมื่อแน่ใจแล้วว่าพี่ผอบจันทร์ลับสายตาไปฉันก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว พี่กันยาหันมาหัวเราะเบาๆ
"เอายางรัดผมออกเมย์ เดี๋ยวพี่จะถักเปียให้" พี่กันยาพูดพร้อมหยิบกระเป๋านักเรียนกับกระเป๋าไวโอลินไปเก็บในส่วนที่แบ่งไว้ด้วยกระจกทึบแสงด้านหลังห้องเหมือนสำนักงานขนาดเล็กของชมรม ฉันในครั้งแรกคิดจะต่อต้าน แน่นอนถึงพี่กันยาจะชอบออกคำสั่งบังคับแต่ว่าถ้าไม่ยอมจนถึงที่สุดพี่กันยาก็คงจะทำอะไรไมได้ ฉันยืนตัวแข็งตัดสินใจไม่ถูก สุดท้ายก็ยอมดึงยางรัดผมออกมา...
ฉันออกจะแปลกใจที่เห็นแม่มณียังกลัดเข็มสีเงินที่หน้าอกเหมือนเดิมแทนที่จะติดเข็มสีทอง เพราะที่โรงเรียนนี้จะให้เกียรติ์คนที่ติดเข็มสีทองมากเป็นพิเศษ ทั้งนักเรียนและอาจารย์ เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่บ่งบอกชนชั้นอีกแบบหนึ่ง ทำอะไรก็จะได้รับความสะดวกมากกว่า
"ยืมหนังสือได้มากกว่าไม่มีกำหนดเวลาคืน ขอจองห้องที่ไม่ใด้ใช้งานได้ ซื้ออาหารได้ก่อนเวลา หยุดเรียนลาเรียนได้โดยไม่ต้องมีลายเซ็นผู้ปกครอง แล้วก็อะไรอีกตั้งหลายอย่าง" แม่มณีร่ายให้ฟังเมื่อฉันถามขึ้นตอนพวกเราจะเดินไปทานอาหารเวลาพัก
"แล้วทำไมไม่ติดละ" ฉันถามย้ำอีกครั้ง
"ขนาดพี่กันยายังไม่ยอมติดเลย ฉันไม่กล้าติดหรอก" พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้อดสนใจอยากรู้ไม่ได้ ดูท่าแม่มณีจะรู้ทัน
"เมย์อยากรู้ละสิว่าทำไมพี่กันยาถึงไม่ติดเข็มสีทอง"
"เปล่า" ฉันตอบทันทีทังทำท่าทางไม่สนใจแต่ก็อดเดาออกมาไม่ได้ "พี่กันยาคงจะประกาศตัวเป็นศัตรูกับกรรมการนักเรียนละมั้งถึงทำแบบนี้" ฉันมองสีหน้าของแม่มณีรอคำเฉลย
"ไม่ใช่จ้า" แม่มณียิ้มแล้วก็เงียบเหมือนกำลังรออะไรบ้างอย่าง
"อืออือ" ฉันเร่งฝีเท้าขึ้น ในหัวก็ลองขบคิดหาเหตุผลอื่นดู
"เมย์เดี๋ยวก่อน" แม่มณีร้องทักแต่ไม่ทันแล้ว ฉันเดินชนเข้ากับใครสักคนแรงประทะทำเอาเชไปด้านหลัง มือหนึ่งกลับฉุดฉันขึ้นมาอย่างรวดเร็วก่อนจะล้มลงไปก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
"ขอบใจจ๊ะ นิสา" นิสาสาวตัวสูงเพื่อนร่วมชมรมจับฉันไว้ค่อยประคองขึ้นมายืน ฉันเงยหน้ามองเธอทั้งกล่าวขอบคุณที่ช่วยไว้ เธอตีสีหน้าเรียบเหมือปิดบังความเขินอายก่อนจะถอยออกไปให้สามารถยืนคุยกันได้
"เห็นว่ามาริสาเดินเหม่ออยู่คิดว่าจะแกล้งเล่นไม่คิดว่าจะชนจริง" นิสาพูดทั้งรอยยิ้ม ฉันขยับแว่นแก้เขินเล็กน้อยก่อนเอ่ยปาก
"ทานข้าวด้วยกันไหม" นิสาพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนหันไปมอง แม่มณี ฉันรีบแนะนำทั้งสองทันที
"นี่เกตุมณีเพื่อนของฉันนะ ส่วนนี่นิสาอยู่ชมรมคอมพิวเตอร์เป็นเพื่อนในชมรม"
"ยินดีที่ได้รู้จักคะ" นิสากล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
"คะ" แม่มณีตอบรับ
"รู้เรื่องที่ชมรมเรารับผิดชอบเรื่องอาหารในวันรับน้องแล้วใช่ไหม มาริสา" นิสาเริ่มพูดขึ้น ฉันพยักหน้าพร้อมกับเดินไป
"ตอนเช้าคุณประธานนักเรียนเข้ามาคุยเรื่องนี้กับพี่กันยาแล้วนะ" นิสาฟังจบแล้วก็เร่งฝีเท้าเดินตามฉันขึ้นมายื่นแฟ้มที่หนีบมาข้างตัวให้ฉัน
"ตอนนี้เรื่องที่ว่าติดประกาศแล้วน่ะ ก่อนจะลงมานีฉันเห็นพี่กันยาเล่นไวโอลินอยู่กระดาษปึกใหญ่กองทิ้งไว้กระจายเต็มโต๊ะหน้าห้องเหมือนจะอารมณ์เสียอยู่"
"แล้วรายชื่อพวกนี้" ฉันถามขณะเปิดแฟ้มดู
"เป็นรายชื่อที่เทียมมาแล้วจากสมาชิกใน Call เป็นคนที่ฉันพอรู้จักอยู่บ้าง อยากให้พี่กันยา ลองเลือกดู" นิสาอธิบายแม่มณีเดินเข้ามาใกล้ก้มดูรายชื่อพวกนี้
"เชฟชั้นหนึ่งทั้งนั้นเลยนะนี่ ทั้งอิลตาลี่ ฝรั่งเศษ ญี่ปุ่น"
"มิน่าไม่เห็นรู้จักเลย" ฉันตอบไปตามตรงแม่มณียิ้มออกมา
"ก็..ต้องศึกษาไว้ถ้าหากต้องจัดงานเลี้ยงท่านๆทั้งหลายจะได้เลือกได้เหมาะสม การที่ฉันตั้งใจไปอยู่ชมรมวัฒนะธรรมสังคมชั้นสูง ไม่ใช้เพราะว่ามันเท่ห์อย่างที่หลายคนคิดหรอกนะ"
"แล้วทำไมนิสาไม่เอาให้พี่กันยาดูละ" ฉันหันไปถามคนต้นคิดเธอกลับส่ายศีรษะเหมือนไม่ค่อยมั่นใจ
"ไม่กล้านะ" เธอตอบ
"เสียงไวโอลินเกี้ยวกราด อย่างกับพายุโหมถล่มในวันที่ดินฟ้าวิปริต ดังคมดาบนั้บสิบร้อยเล่มเสียบแทงเข้าไปในจิตใจ นิสาสงบจิตใจก่อนหันหลังให้กับประตูไม่กล้าเปิดเข้าไป คิดว่าอารมณ์ตอนนี้คงไม่มีใครพูดคุยกับรุ่นพี่กันยาได้เท่ากับมาริสาที่ดูเหมือนว่ารุ่นพีเอ็นดูเป็นพิเศษ" วิสินีเด็กผู้หญิงตัวเล็กชมรมเดียวกับฉันเดินออกมาจากด้านหลังของนิสา พร้อมพูดประโยคคล้ายกับตัวหนังสือมากกว่าเป็นคำพูด และฉันอดรู้สึกแปลกกับท่อนสุดท้ายไม่ได้เหมือนกัน
"เข้าไปแล้วต่างหาก แต่ไม่กล้าเสนอพี่กันยาท่าทางอารมณ์ไม่ค่อยดี" นิสารีบเสริม
"แต่ถ้าเป็นนิยายแบบนี้ดูชวนจินตนาการกว่านี่" เด็กผู้หญิงตัวเล็กโต้ตอบ
"เข้าใจแล้ว" ฉันตัดบทก่อนยื่นข้อเสนอ "เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแล้วไปกันหมดเลยนี่ละดีไหม" นิสาดูจะเห็นด้วยเพราะนี้คงเป็นความตั้งใจของเธอ
"ไม่ดีมั้ง" แม่มณีเอ่ยปากขึ้น "การที่พี่กันยาไม่อยากให้ใช้เชฟจากโรงแรมดังเพราะว่าอยากจะประหยัดเงินค่าใช้จ่ายในเรื่องแบบนี้ ไปให้ชมรมอื่นใช้พัฒนาได้เต็มที โรงเรียนเราได้รับเงินบริจากมามาก แต่ส่วนใหญ่มักจะหมดไปกับชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูง การเข้าค่ายนักกีฬา แล้วก็กิจกรรมรวมที่ของบไปแบบไม่มีการวางแผน"
"แต่นี่สามารถติดต่อได้ในราคาที่ไม่แพงเลยนะคะ" นิสาเสริม
"จุดประสงค์ของพี่กันยาต้องการให้มันธรรมดานะสิ แต่คณะกรรมการนักเรียนมองว่าพี่กันยากำลังจะทำลายประเพณีของโรงเรียน" นิสาหันมามองหน้าฉันเหมือนอยากให้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับเพื่อนของฉันหน่อย
"แม่มณีอยู่ในคณะกรรมการนักเรียน" ฉันต้องอธิบายในที่สุด
"พึ่งเข้าไปเมื่อวานคะ ยังต้องศึกษาอีกมาก" เหตุผลและแหล่งข่าวชัดเจนทำให้นิสา นิ่งคิดอีกครั้งก่อนหันมาหาฉัน
"แบบนั้นก็ไม่ได้นะสิ?" นิสาสรุปเป็นเชิงคำถาม ฉันว่ายืนคุยแบบนี้คงไม่ได้เรื่องเรื่องแน่ จับมือนิสากับแม่มณีคนละข้างเดินเข้าโรงอาหาร วิสินีเดินตามมาอยู่ไม่ไกล
"ทานให้เสร็จก่อนแล้วค่อยปรึกษากันเถอะ" ...
"ดังนั้นชมรมเราจะทำกันเอง" ฉันสรุป นิสาส่ายศีรษะ ขณะเดินไปหาพี่กันยาพร้อมๆกัน แม่มณีขอตัวไปทำงานที่เรือนไม้สีครีม จึงเหลือแค่นิสากับวิสินีด็กสาวตัวเล็ก เดินร่วมทางกับฉัน
"ไมได้ๆ คนเราสี่คนร่วมพี่กันยาเป็นห้า ต้องทำอาหารเลี้ยงคน หกร้อยกว่าคน"
"ฉันทำอาหารเป็น" ฉันตอบอย่างมั่นใจ "เป็นความสามารถหนึ่งเดียวที่คิดว่าพิเศษกว่าคนอื่น"
"ฉันไม่เป็น" นิสาตอบ
"วิก็ไม่เป็นคะ" วิสินีเสริม
"ฉันก็ไม่เป็น" อีกเสียงกล่าวออกมาอย่างมั่นใจมาจากทางขึ้นของบันได ทาลิสมัน ตีหน้าเครียดก่อนเราทั้งหมดจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูชมรม เสียงไวโอลิน ที่รอดออกมาจากประตูรุนแรงคล้ายดังมีพายุโหมอยู่ในห้อง ฉันอดคิดไม่ได้ว่าหากเปิดประตูออกไปสิ่งที่พบคงจะเป็นท้องทะเลที่บ้าคลั่ง นิสาหงายหลังมือขึ้นมาดูนาฬิกา
"สี่สิบนาทีได้แล้วนะ" ฉันได้ฟังดังนั้นรู้สึกไม่ปรกติ จึงผลักประตูเข้าไป เสียงของไวโอลินสะกดฉันยืนนิ่งเหมือนภูตพลายนับร้อยตรึงร่างฉันไว้ หัวใจเต้นระรัวคล้ายอยู่เบื้องหน้าความตาย ร่างของหญิงสาวเบื่องหน้าคล้ายเป็นเพียงวิญญาณกำลังสีไวโอลินอย่างเย็นชาด้วยเสียงบาดโสตประสาท คล้ายต้องการไล่ทุกคนที่คิดเข้ามาใกล้ ไม่ต่างกับหญิงสาวระบายอารมณ์ด้วยการขว้างปาสิ่งของอย่างไร้สติ
"พี่กันยาคะ" ฉันร้องออกไป ทุกเสียงสงบนิ่ง พี่กันยาเหลือตาขึ้นมามองฉันด้วยแววตาที่เฉยชา ก่อนขยับคันชักไวโอลินช้าลงเป็นเพลงที่นุ่มนวลอย่างยิ่งเพลงหนึ่งคล้ายปัดเป่าภูตพรายที่สิงสู่เมื่อครูให้สลายไป
"มีอะไรเมย์" เธอถามก่อนหยุดมือลงเท่านั้น
"เรื่องอาหารวันเลี้ยงรับน้อง หนูจะทำเองคะ" ฉันเสนอตัว พี่กันยาส่ายศีรษะแต่ก็ไมได้กล่าวอะไร เหมือนกำลังพยายามคิดอย่างถี่ถ้วน
"ไม่ได้หรอก พี่เองถึงทำอาหารเป็นแต่ว่าใช่จะรับมือกับอาหารของคนกว่าหกร้อยคน"
"หนูลงมือเองคะ เพียงแต่พวกเราต้องช่วยกันเตรียมของบ้าง แต่คงไม่ถึงกับหนักแรงเพราะเครื่องทุ่นแรงสมัยนี้มีมาก ทุกคนพอจะช่วยตรงนี้ได้ไหม" ฉันหันหลังไปถามเพื่อนในชมรม ทั้งสามพยักหน้าดูจะไม่มีปัญหาอะไร พี่กันยาเก็บไวโอลินลงในกล่องเหมือขอเวลาในการตัดสินใจเสียเล็กน้อยก่อนพูดขึ้น
"เมย์...พี่พยายามจะสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับวัฒนะธรรมการใช้จ่ายสิ้นเปลืองของชมรมต่างๆในโรงเรียน ถ้าหากเราลงมือทำเองและทำได้ดีมันก็ดีนะ เหมือนกับว่าชนะการท่าทายกับพวกกรรมการนักเรียนฝ่ายบริหาร แต่ว่านั้นคงไม่สร้างตัวอย่างที่ดีให้กับใคร คงไม่โชคดีเจอนักเรียนอย่างเมย์ทุกปีหรอก" พี่กันยาพูดถึงตรงนี้แล้วก็ถอนหายใจออกมา
"ปัญหาอยู่ที่ระยะเวลามันกระชั้นเกินไป แต่พี่ก็เลือกร้านที่พอจะมาจัดการให้ได้แล้ว คงไม่ต้องเป็นห่วงอะไร" ฉันได้แต่พยักหน้ารับฟัง ทาริสมันเดินมาข้างหน้าก่อนพูดขึ้น
"วันเสาร์เราต้องเตรียมตัวอะไรกันหรือเปล่าคะ เห็นเพื่อนในห้องเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องรับน้องแล้วด้วย"
"อือ... จริงแล้วพี่ว่าจะพูดเรื่องนี้ตอนเย็น กิจกรรมรับน้องเป็นเรื่องของแต่ละชมรมจัดการเอาเองของเราไม่มีอะไรมาก เสื้อผ้าไม่ต้องเตรียมอะไร ใส่ชุดนักเรียนมาแล้วก็ เราได้ชุ้มใต้ต้นสนท้ายโรงเรียน หาขนมมาทานกัน นั่งเล่น มาเซ็นชื่อก็พอ เพราะรุ่นพี่ในชมรมก็มีพี่คนเดียวไม่รู้จะเล่นอะไรเหมือนกัน" พี่กันยาตอบพร้อมรอยยิ้มก่อนสรุปขึ้นมา "แต่ว่าต้องมาน่ะขาดไม่ได้ ขาดไปนี้ชื่อคงไปขึ้นบอร์ด ไม่พ้นมีปัญหากับพวกกรรมการนักเรียน"
"คะ" ทุกคนตอบรับพร้อมกัน
"พี่กันยาคะ" ทาริสมัน พูดขึ้น "ถ้ามีอะไรเรียกใช้หนูได้นะคะ ได้ยินว่าพี่ไม่ถูกกับพวกในกรรมการนักเรียน หนูพร้อมจะลงเรือลำเดียวกับพี่" พี่กันยาฟังแล้วก็ยิ้ม
"ขอบใจจ๊ะทาริสมัน" ในตอนนั้นความรู้สึกของฉันเป็นอย่างไรกันแน่ อยากให้พี่กันยายิ้มให้ฉันแบบนั้นบ้าง แบบนั้นฉันก็ควรจะพูดแบบนั้นบ้างไม่ใช่เหรอ
"หนูด้วยคะ" นิสากล่าวตามหลังตามมา วิสินีเด็กสาวตัวเล็กเพียงยกมือเฉย ในเวลาแบบนี้มันก็ไม่แปลกไม่ใช่เหรอที่จะยกมือ ร่วมด้วย แต่ฉันกลับทำไม่ได้ ถ้าแบบนั้นเท่ากับว่าฉันหวังรอยยิ้มจากพี่กันยามันไม่ใช่วิธีการที่ฉันชอบ แม้ในใจแล้วจะต้องการก็ตาม
"งั้นหนูขอตัวกลับห้องนะคะ" ฉันพูดในที่สุดก่อนหันหลังเดินแทรกนิสากับวิสินีออกจากห้องไป...
ดูเหมือนว่าฉันกำลังหาคำตอบบางอย่างให้ตัวเอง กับความรู้สึกที่มีกับพี่กันยา เป็นเพียงแค่ความรู้สึกชื่นชมเท่านั้นจริงหรือ แล้วทำไมฉันต้องคาดหวังอยากเห็นรอยยิ้มของพี่เขาขนาดนั้น การอยากให้คนที่ตัวเองชื่นชมหันมาสนใจตัวเองก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ เสียงระฆังเลิกเรียนดังขึ้น ฉันจับสมุดหนังสือใส่กระเป๋าหันไปมองแม่มณีที่จัดเรียงดินสอลงในกล่องอย่างเป็นระเบียบอย่างอารมณ์ดี
"แม่มณี มีแฟนไหม" ฉันถามเธอส่ายศีรษะ
"ตอนเช้าที่บ้านมาส่งตอนเย็นก็มารับกลับบ้าน แล้วก็อยู่โรงเรียนสตรีมาตลอด" เธอตอบก่อนสรุป "เหมือนกับนกน้อยในกรงทอง"
"แบบนั้นเคยมีความรู้สึกพิเศษกับผู้หญิงด้วยกันบ้างไหม" แม่มณีหน้าแดงขึ้นมาหลบสายตาฉันไปครั้งหนึ่งก่อนหันมาสู้สายตาสีหน้าจริงจัง และ พยักหน้า สายตามุ่มมั่นเกินปรกติ
"เมย์ละคิดยังไงกับเรื่องนี้" เธอย่อนถาม ฉันไม่แน่ใจในคำตอบของฉันนัก
"เมื่อก่อนก็ไม่คิดอะไร แต่ฉันสับสนว่ามันเป็นความรู้สึก หลง ชื่นชม หรือ รัก กันแน่"
"เธอต้องรู้สึกได้สิ ความรักมันร้อนรุ่ม ยอมสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองอย่างง่ายดาย ความชื่นชมเพียงแค่รสอิ่มเอิบเท่านั้น" แม่มณียิ้มในตอนท้าย ดูเหมือนเธอจะเข้าใจเรื่องนี้กระจ่างทีเดียว "และความรักมันก็ยากที่จะเอ่ยปากเพราะกลัวความผิดหวัง" เธอสรุปในที่สุด สายตาในตอนนั้นทั้งดูเศร้าและแลดูเป็นผู้ใหญกว่าแม่มณียามปรกติ สายตานั้นทำให้หัวใจฉันเต้นแรงขึ้นมา เหมือนมีบางอย่างสื่อมากับคำพูดและสายตานั้น แม่มณีหลบตาฉันยิ้มออกมาเล็กน้อย
"ฉันไปประชุมก่อนนะเมย์" เธอทิ้งท้ายไว้ก่อนเก็บกล่องดินสอลงในกระเป๋า และกอดออกไปอย่างรีบร้อน ฉันทบทวนคำพูดของแม่มณี ก่อนหลับตาสงบใจทบทวนความรู้สึกของตัวเอง
"มีอะไรปรึกษาฉันได้น่ะมาริสา" สาวผมสั้นที่ชวนแม่มณีเต้นรำเมื่อวานนั่งหันมาทางฉัน
"เธอชื่ออะไรนะ" ฉันถามออกไป เธอนิ่งเงียบไปพักหนึ่งจนฉันนึกได้รีบออกตัว
"ขอโทษ...ฉันจำชื่อใครไม่ค่อยได้หรอก เพราะบางทีไม่ได้คุยกันก็เลยไม่ได้สนใจจำชื่อ"
"บงกชจ๊ะ" เธอตอบ "ปรกติไม่เห็นมาริสาคุยกับใคร คงเป็นแบบนี้มานานแล้วสิ" บงกชย้อนถาม
"ตั้งแต่เด็กแล้วละ"
"แบบนั้นหัดพูดกับคนอื่นได้แล้ว เธออยู่กับพี่กันยาไม่ใช่เหรอ" บงกชพูด ฉันอดตีหน้าสงสัยไม่ได้ เธอจึงอธิบายต่อ "โรงเรียนนี้รุ่นพี่ส่งเสริมรุ่นน้องนะ ถ้าพี่กันยาถูกใจบางทีเธออาจจะได้นั่งในกรรมการนักเรียน"
"ฉันไม่สนเรื่องนั้นหรอก"
"แต่ฉันได้ยินว่าเธอเลือกเข้าชมรมคอมพิวเตอร์เพราะต้องการอยู่ตรงกันข้ามกับชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงไม่ใช่เหรอ" ฉันไม่คิดว่าเรื่องนี้บงกชจะได้ยินด้วย
"เสียมารยาท" ฉันพูดออกไปตรงๆ แต่บงกชกลับยิ้มออกมา
"ฉันว่าเธอมีเสนห์นะมาริสา" เวลานั้นสีหน้าของบงกชกลับดูอ่อนโยนจนเกิดความรู้สึกแปลก หัวใจเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เธอเอนตัวเข้ามาใกล้ก่อนพูด "แล้วเรื่องนี้ ฉันก็ไม่ตั้งใจจะฟังด้วยเพียงแต่หูฉันดีเกินไปนะ"
"แต่ก็นับว่าเสียมารยาทที่พูดออกมานะคะถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ตาม"
"จูบได้ไหม" บงกชถามทำเอาฉันนิ่งไป สีหน้าเธอไม่ได้บอกเลยว่าล้อเล่น
"ไม่คะ" ฉันพูดพร้อมลุกขึ้นยืน บงกชลุกตามทันทีก้าวเข้ามา ฉันขยับไปไหนไม่ออก เธอเอามือมาจับไหลสองข้างของฉันไว้ก่อนฉีกยิ้มแบบตลก
"ไม่ได้ก็ไม่ได้ แถมนี้ก็จะใกล้เวลาประชุมชมรมแล้วด้วย ยังไงเราสองคนก็ต้องไปแล้ว" ฉันพยักหน้างง หงายข้อมือมองนาฬิกา ไม่คิดว่าในตอนนั้นบงกชจะแอบหอมแก้มฉัน ก่อนหันหลังหัวเราะจากไปพร้อมกระเป๋า ฉันยืนงง ก็รู้สึกว่ามันเหมือนการล้อเล่นมากว่าที่จะคิดจริงจังอะไร...
งานทำความสะอาดห้องคอมสำหรับฉันซึ่งโดนจับทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็กมันไม่ใช่เรื่องเหลือบากว่าแรงเท่าไร แต่ดูเหมือนว่าฉันต้องเปลื่ยนความคิดที่ว่าพวกคุณหนูในโรงเรียนคงหยิบจับอะไรไม่เป็นเท่าไร เพราะแต่ละคนก็จัดการในส่วนของตนได้เนียบพอกัน นิสาทำความสะอาดส่วนของคอมพิวเตอร์ในห้องเหมือนรู้ว่าตรงไหนจะสกปรกจุดไหนควรทำความสะอาด วิสินีจัดในส่วนของมุมหนังสือคอมพิวเตอร์รวดเร็วจนน่าไปอยู่ชมรมห้องสมุดแทนจะอยู่ชมรมคอมพิวเตอร์แบบนี้ ทาลิสมันกับฉันจัดการงานกวาดถู พี่กันยาลื้อขยะมากองใส่ถุงดำมัดรวมกันได้สองสามถุงก่อนปัดมือ สีหน้าไม่สู้สบายใจ
"สมแล้วกับที่ไม่มีใครดูแลมาตั้งปี มีขยะชุกอยู่เต็มห้องอุปกรณ์เลย"
"หมายความว่าก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นชมรมร้างเหรอคะ" ทาลิสมันถามขึ้น พร้อมจับที่ตักผงทิ้งเศษฝุ่นลงในถุงดำ
"ร้างไปปีเพราะไม่มีสมาชิก แล้วคนที่จะคุมชมรมก็ไม่มีด้วย ก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะขาดการดูแล ปล่อยให้เครื่องโทรมมากเลย ตอนพี่เข้ามานั่งทำตอนเปิดเทอมก็รบกับฝุ่นแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว" พี่กันยากล่าวอย่างอารมณ์ดี
"น่าจะมีต้นไม้สักหน่อยหนูว่าน่าจะทำให้ห้องสดใสขึ้น" ทาลิสมันเสนอ ฉันโกยฝุ่นใส่ที่ตักผง ยังไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปเพราะเหมือนขัดจังหวะการพูดคุย
"พี่ก็คิดเหมือนกันว่าน่าจะมีอะไรมาวางให้ หันไปมองดูแล้วจะได้สบายใจขึ้นมาบ้างเวลาเข้ามาในห้อง" พี่กันยาเห็นด้วยกับความคิดนี้ ทาลิสมัน วางที่ตักผงลงพื้นเดินไปหน้าห้อง จับปากกาเคมีสีน้ำเงิน เขียนลงภาพของห้องลงบนไวทย์บอร์ด นั้นทำอย่างรวดเร็วเหมือนภาพทุกอย่างคิดไว้ในสมองเรียนร้อยแล้ว
"มีต้นไม้หลายชนิดที่ไม่ต้องใช้น้ำมากเพียงแก้วหนึ่งต่อสองวันก็เพียงพอถ้าอากาศไม่แห้งเกินไป หนูว่าน่าจะจัดวางไว้หน้าห้องมุมทางเข้าสำหรับมองพักสายตาสักหน่อย ที่มุมหนังสืออีกหนึ่ง เพราะทั้งสองจุดนี้แสงพอจะส่องถึง"
"ไม่เลวเลยละ อือ ทาลิสมันเธอพอจะเขียนรายงานเพื่อขอทุนได้ไหม เดี๋ยวพี่เอาเข้าเสนอกรรมการนักเรียนเอง" พี่กันยาขยับตัวมาดูภาพบนไวท์บอร์ด
"สบายมากคะ" ทาลิสมันตอบเสียงหนักแน่น
"แล้วเมย์ละคิดว่ายังไง" พี่กันยาถามขึ้น
"หนูไม่มีหัวทางด้านศิลปะคะ แต่ก็คิดว่าน่าจะดี" ฉันตอบเสียงเรียบก่อนเดินเอาฝุ่นผงที่กวาดมารวมไว้กองใหญ่ในที่ตักผงไปทิ้งในถุงดำ พี่กันยาหันไปถามคืนอื่นซึ่งดูจะเห็นชอบด้วยเช่นกัน...
"วันนี้พี่กลับเร็ว" จิ๊ดจ๋าร้องขึ้นมาเหมือนพบเห็นเรื่องประหลาดอย่างหนึ่ง "ไม่ไปเดทกับแฟนเหรอพี่" ฉันถอนในยาวแกล้งทำเป็นไม่สนใจนั่งดูละครโทรทัศน์ จิ๊ดจ๋าถอดร้องเท้าเดินเข้าประตูบ้านมา ก่อนวิ่งอย่างรีบร้อนขึ้นห้องไป และก็ลงมาอย่างรีบๆเหมือนกัน พร้อมยื่นกระดาษบึกใหญ่ในฉัน
"เอาพี่การ์ตูนอ่านหน่อยสิ จะเอาไปขาย ว่าใช้ได้เปล่า" ฉันหยิบมาก่อนบ่นขึ้น
"จะดูละครเสียเวลาจริง" ฉันบ่นไปตามเรื่อง น้องสาวฉันชอบวาดการ์ตูนเสียอยู่อย่างที่แต่ละเรื่องมันไม่มีธีมที่น่าสนใจเอาเสียเลย
"ผู้ชายผู้ชายอีกแล้ว" ฉันบ่นเหมือนทุกครั้ง ก่อนพลิกไปทีละแผ่น
"ดีเปล่าพี่เมย์"
"ไม่รู้สิ ดีมั้ง แต่ทำไมรักกันง่ายจังผู้ชายกับผู้ชาย" ฉันคืนต้นฉบับให้น้องสาวตัวแสบ
"การ์ตูนสิบแปดหน้ารักกันยากก็ไม่จบนะสิ" ฉันพยักหน้ายอมรับว่าก็จริงก่อนปล่อยน้องสาวเข้าใจเลยตามเลยไปเพราะฉันก็ไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้
"วันเสาร์หนูจะไปบริษัทนะแล้วจะกลับมาพร้อมกับแม่เลย ตอนเย็นพี่ก็ไม่ต้องรอหนู"
"ไปใช้เครื่องถ่ายเอกสารอีกละสิ" ฉันแค้นเสียงดุ "แล้วคงไม่ใช่ว่าวันนี้มาให้ฉันใส่คำพูดให้อีกนะ"
"แหมพี่รู้ทันอยู่เรื่อยเลย"
"ทำเองบ้างสิ"
"หนูไม่มีสแกนแล้วก็เครื่องคอมหนูไว้คุยอย่างเดียวโปรแกรมอื่นใช้เป็นที่ไหน" ฉันหมวดคิ้วทำหน้ายุ่งแสดงออกว่าไม่อยากให้มาวุ่นวายกับฉันเลย
"แล้วทีเคยสอนไปละ"
"ลืมหมดแล้ว น่าพี่ นิดเดียวเองเดี๋ยวหนูใส่เครดิตให้พี่ด้วยนะท้ายเล่ม" ในที่สุดก็เหมือนทุกครั้ง
"วางไว้บนโต๊ะก่อนแล้วกัน แล้ววันนี้ล้างจานกับเก็บขยะไปทิ้งด้วยละ"
"ค่า~~" จี๊ดจ๋าลากเสียงยาวตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดี
จอมอนิเตอร์จากห้องจิ๊ดจ๋าถูกยกประกอบรวมที่เครื่องในห้องฉัน เพราะอย่างไรก็ไม่อยากจะพลาดโอกาสเข้าไปในเกมส์ เมื่อไปถึงป่าทิศตะวันออกกลับพบ รูรุนั่งหลับอยู่บนขอนไม้ นั้นหมายถึงว่าคงไม่อยู่หน้าจอมาพักใหญ่แล้ว ฉัน จึงไปปลูกต้นไม้ของฉันต่อ ก่อนหันหลังไปทำงานให้น้องสาวตัวแสบ วุ่นวายจนถึงสี่ทุ่มจนเสร็จ รูรุก็ยังคงนั่งหลับอยู่อย่างนั้น ฉันทำไม่สนใจเดินหนีจากหน้าจอถอดแว่น ล่มลงบนเตียง ก่อนจะขยับตัวอีกครั้งลุกขึ้นมาสวมแว่นเดินกลับไปหน้าคอมพิวเตอร์ต่อ พิมพ์ข้อความเป็นจดหมายถึงรูรุ
"ยังไม่ออกเดินทางอีกเหรอ" พอไหมแค่นี้ฉันคิด ก่อนกด ส่งจดหมายไป นกพิราบขาวมารับข้อความบินหายไปทางเธอ ฉันรีบถอยห่างจากหน้าจอ ถอดแว่นนั่งลงบนเตียง คิดแล้วรู้สึกวันนี้ดูเหมือนขาดอะไรไปบ้าง แต่ก็แค่เหมือนวันที่ผ่านมาไม่ใช่หรือ ฉันค่อยเอนตัวลงนอนดับไฟหัวเตียง
รุ่งเช้ามีจดหมายมาถึงฉันจากรูรุ
"ขอโทษด้วยที่เมื่อวานนี้ไม่ได้นั่งคุยเป็นเพื่อน ฉันติดธุระวิ่งวุ่นเกี่ยวกับกิจกรรมที่โรงเรียน ไม่คิดว่ามันจะวุ่นวายจนไม่สามารถจะปลีกตัวเข้ามาคุยกับเธอได้จนกระทั้งถึงสี่ทุ่ม ฉันจะเริ่มเดินทางวันนี้ตอนเช้าเจ็ดโมงครึ่ง ก่อนหน้านั้นจะมารออยู่ที่นี่อีกครั้งเพื่อรอเธอ" ฉันเก็บจดหมาย Logout ออกจากเกมส์ เดินพาตัวเองเข้าห้องน้ำไป
เช้านี้ดูเหมือจิตใจจะไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว มองนาฬิกาตลอดเวลา เมื่อพยายามค้นหาตัวเองกลับพบว่าเป็นตัวฉันเองที่สับสนในตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะว่าในเกมส์พึ่งจะมีคนมานั่งคุยกับฉันหรือยังไง ฉันถึงต้องให้ความสำคัญอะไรมากมายกับข้อความแค่นั้น จะไปก็ไปสิแล้ว จะนัดเจออะไรกันเวลาเช้าแบบนี้ คนปรกติต้องไปโรงเรียนกันหมดแล้ว ฉันเปิดประตูห้องคอมพิวเตอร์พร้อมหยิบหนังสือพิมพ์เข้าไปอ่าน มองนาฬิกาพบว่าเจ็ดโมงเช้าแล้ว ถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่ชอบใจอย่างไร สุดท้ายฉันก็เดินไปเปิดคอมพิวเตอร์หลังจากวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ เสียงฝีเท้าหนึ่งเดินเข้ามาในห้องในเช้าที่เงียบสงบหวั่นใจกลัวจะเป็นพี่ผอบจันทน์อีก แต่กลับเป็นพี่กันยาเดินเข้ามาแทน
"พี่กันยาคะสวัสดีคะ" ฉันทักทายตามมรรยายปรกติของรุ่นน้อง พี่กันยาเหมือนรีบร้อนเข้าใปในส่วนของชมรมที่กั้นไว้ด้วยฉากทึบแสง ก่อนส่งเสียงออกมา
"สวัสดีเมย์ เอายางมัดผมเธอออกด้วย" นั้นไม่ต่างกับคำสังแม้ไม่พอใจฉันก็ดึงยางที่รัดผมออก จากตรงนี้มองเห็นเงาของพี่กันยานั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ท่าทางวุ่นวาย คงอีกนานกว่าจะออกมา ฉัน Log in เข้าไปในมาเนียน่าอีกครั้ง รูรุยืนรอฉันอยู่เมื่อเห็นดังนั้นก็โล่งใจว่าอย่างน้อยฉันก็ไม่ได้มายืนรอใครก่อน
"มีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ" ฉันถาม รูรุเดินเข้ามาจับมือฉันสวมแหวนให้ ฉันไม่ทันแม้จะพิมพ์คำสังปฏิเสธ กลับรับแหวนมาสวมไว้ที่นิ้วนางข้างซ้าย
"เดี๋ยว" ฉันพูดขึ้น
"ถ้าไม่ยอมรับเธอก็ถอดแหวนทิ้งลงพื้นได้เลย" รูรุพูดอย่างเร็วแทบไม่ปล่อยให้ฉันพูดอะไร "อย่างน้อยแบบนี้ตอนฉันเดินทางก็ยังพอจะติดต่อกันได้"
"คะ" ในที่สุดฉันก็ได้เพียงตอบรับเท่านนี้ "แต่นั้นก็หมายความว่าแหวนนี้ไม่มีความหมายพิเศษอะไร ใช่ไหมคะ"
"ฉันให้เพราะฉันต้องการเอาชนะใจเธอไง" รูรุอธิบาย
"มันไม่มีผลอะไรหรอกคะ"
"ถ้าพูดแบบนี้แสดงว่ามันมีผลมาก ฉันไม่สามารถใช้คำสังกอดหรือจูบกับเธอได้เพราะเราเป็นเพศเดียวกัน แต่ฉันสามารถใช้คำสั่งสวมแหวนให้เธอได้ แม้ว่าจะเพศเดียวกัน เธอคิดว่ามันมีความหมายบ้างไหม"
"เพราะว่านี่เป็นไอเท็มมายา" ฉันหาข้อสรุป
"แหวคู่นี้ให้โอกาสแสดงความเป็นคู่รักของผู้หญิงกับผู้หญิง"
"ถ้าเป็นแบบนั้นจริงดิฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะได้ความร่วมมือจากดิฉันง่ายๆ
"ได้สิ ก็ในเมื่อเธอยังมาตามที่ฉันขอร้องเลยไม่ใช่เหรอ และถ้าเธอมาไม่ได้ฉันก็คิดว่าเธอต้องส่งจดหมายมาหาฉันแน่นอน"
"อาจจะเป็นเพียงมารยาทเท่านั้นเองคะ" ฉันชี้แจง รูรุเงียบไปเหมือนกำลังคิดอย่างถี่ถ้วน
"ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคุยกันเสียด้วย ตอนกลางคืนจะติดต่อมาแล้วกัน" พูดจบรูรุก็เคาะไม้เท้าย้ายตัวเองไปที่อื่น ฉันยืนสับสนอยู่ไม่รู้จะทำอะไรต่อเพราะโดนตัดบทไปหนีไปเสียชะแบบนั้น นกพิราบขาวคาบจดหมายบินมาหาฉันก่อนที่จะออกไปจากเกมส์ ฉันรับจดหมายมาเปิดอ่าน
"ขอโทษที่ต้องรีบไป" เนื้อความมีสั้นๆก่อนจะมีภูตขนของแบกกล่องออกมาจากจดหมาย ในนั้นเป็นกุหลาบแดงที่สวยงามหนึ่งดอก เป็นอุปกรณ์ประดับผมที่มีค่ายิ่งเพราะปลูกได้ยากมาก แต่จะร่วงโรยเพียงเวลาหนึ่งวัน ฉันออกจากเกมส์ทันที หนึ่งเพราะกุหลาบนี้จะนับเวลาในการออนไลยน์ยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วจะสลายไป ฉันเข้าสู่เครือข่าย Call ค้นหาการพูดคุยเกี่ยวกับกุหลาบชนิดนี้ พี่กันยาเดินออกมาจากข้างใน เพราะความเคยตัวหรือยังไงฉันรีบปิดหน้าต่างทุกอย่างในจอคอมพิวเตอร์
"มีความลับอะไรเหรอ" เธอเลื่อนเก้าอี่มานั่งด้านหลังฉันก่อนจับผมแบ่งเป็นส่วนๆมือหนึ่งอ้อมมาถอดแว่นฉันออกมาดู
"เปล่าคะ เพียงแต่ไม่ชอบให้ใครรู้ว่าทำอะไรอยู่"
"แม้แต่พี่นะเหรอ" พี่กันยาถามด้วยอารมณ์ไหนฉันยากจะทราบเพราะไม่สามารถหันไปดูได้ "สายตาของเมย์แทบจะไม่สั้นเลยไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องใส่แว่นด้วยละ"
"ใส่จนเคยตัวมากกว่าคะ ชอบใส่มาตั้งแต่เด็กแล้ว"
"แปลกจัง" พี่กันยาพูดอย่างสงสัย
"หนูแปลกเสมอละคะในสายตาขอพี่" ฉันตัดพ้อ พี่กันยาหัวเราะออกมา
"มีคนที่ฉันรู้สึกว่าแปลกเข้ามาในชีวิตพร้อมกันสองคนเลยรู้ไหม" พี่กันยาเริ่ม
"หนูแล้วใครอีกเหรอคะ" ฉันถามขึ้น พี่กันยาลุกเข้าไปในห้องสมาชิกชมรมหยิบแปลงผมติดมือออกมา
"คนที่พี่กำลังจีบอยู่" ถึงแม่ฟังแล้วรู้สึกหวิวๆแต่ฉันก็ตัดสินใจเอ่ยปากออกไป
"พี่กันยาน่าจะมีแต่คนมาชอบไม่ใช่เหรอค่ะ" พี่กันยาหยุดมือเหมือนรอให้อธิบายความหมายของคำพูดนี้ "หนูหมายความว่าถ้าพี่กันยาบอกรักใครสักคนไม่ใช่เรื่องยากนี่คะที่จะสมหวัง"
"งั้นถ้าพี่ขอให้เมย์มาเป็นแฟนพี่ละ"
"ผู้หญิงด้วยกันนี่น่ะคะ" ฉันแกล้งหัวเราะออกมา "แต่ถ้าเป็นพี่กันยาหนูคิดว่าคงมีหลายคนที่หวังแบบนั้นไว้เหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน"
"แล้วถ้าตัดภาพของพี่ไป ตัดตัวตนของพี่ในตอนนี้ออกไป กลายเป็นแค่ตัวหนังสือละ เมย์คิดว่าจะมีใครชอบพี่... ไม่สิ..ต้องถามว่า ยังจะสามารถรักพี่ได้อีกไหม"
"วิคิดว่าถึงเป็นแค่ตัวหนังสือแต่หากสามารถสื่อใจได้ มันก็เป็นตัวหนังสือที่ดึงดูใจได้น่ะคะพี่กันยา" เสียงวิสินีเด็กสาวตัวเล็ก ดังขึ้นโดยที่ฉันไม่รู้ตัว
"มาเช้าจังวันนี้" พี่กันยาถามขึ้น
"จะมาเช้าแบบนี้ทุกวันเลยคะ" วิสินีตอบซื่อๆ
"มีอะไรเหรอ" พี่กันยาถามต่อ
"จะมาดูพี่กันยากับมาริสานะคะ" เป็นคำตอบที่แปลกจนฉันอดสนใจไม่ได้ "เป็นข้อมูลเขียนนิยายนะคะ เรื่องหน้าอยากจะเขียนเรื่องความรักของผู้หญิงด้วยกัน" พี่กันยาได้ฟังแล้วถึงกับหัวเราะออกมา
"เห็นไหมเมย์ไม่ทันไรมีคนเห็นเราเป็นแฟนกันแล้ว" ฉันได้ยินแล้วถึงกับเขิน
"ก็เห็นท่าทางถูกใจเด็กคนนั้นสิ ใครก็ต้องสนใจละถ้าคนอย่างกันยาทำแบบนี้" เสียงพี่ผอบจันทน์ดังขึ้น ฉันรู้สึกเสียวสันหลังอยากบอกไม่ถูกคล้ายมีสายตาหนึ่งจับจ้อง เมื่อหันไปจึงพบนฤมล ยืนถือเอกสารอยู่ข้างกายพี่ผอบจันทน์ประธานนักเรียนคนเก่ง สายตานั้นเหมือนไม่เห็นใครอยู่ในสายตาแต่ฉันรู้สึกได้ว่ากำลังโดนท้าทาย
"ทางกรรมการนักเรียนไม่เคยว่าอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ใช่เหรอคะ เพราะถ้ามีกฏแบบนี้ออกมาพวกรุ่นพี่ที่จบไปคงไม่อยู่เฉยแน่"
"ฉันไม่มีหน้าไปว่าอะไรเรื่องแบบนั้นหรอก เธอก็รู้ไม่ใช่เหรอกันยาว่าฉันเป็นยังไง" พี่ผอบจันทร์ตอบชัดเจนทำเอาฉันรู้สึกแปลกใจไม่ได้ แต่ก็เก็บความรู้สึกนี้ไว้ลุกจากเก้าอีกไปยืนด้านข้าง ด้วยความเป็นรุ่นน้อง
"เมย์" พี่กันยาพูดเสียงเข้ม "เป็นเลขาของรุ่นพี่ต้องยืนข้างรุ่นพี่ ไม่ใช่ไปยืนด้านข้าง" ฉันงุนงกกับคำพูดนี้แต่เมื่อหันไปมองนฤมลที่ยืนข้างพี่ผอบจันทร์ก็พอจะเข้าใจความหมาย จึงปล่อยวิสินียืนด้านข้างอยู่คนเดียวแล้วกลับมายืนกับพี่กันยา
"เร็วไปหรือเปล่ากันยาที่จะเลือกส่งไม้ให้เด็กรุ่นต่อไป"
"ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอคะ อย่างน้อยหนูก็ดูแล้วว่าเด็กคนนี้พอจะสู้รบปรบมือกับกรรมการนักเรียนได้" พี่ผอบจันทร์ยิ้มรับ
"เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของเธอนะกันยา ฉันคงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ยิ่งได้เด็กไม่ได้ความมาเป็นกรรมการนักเรียนฝ่ายค้าน ฉันก็ยิ่งจะน่าดีใจ " ฉันกำลังโดนตำหนิทางอ้อมแต่ว่าในสภาพตอนนี้ การนิ่งเฉยเป็นไม่รู้เรื่องน่าจะดีกว่าการโวยวายอะไรออกไป
"พี่กำลังพูดถึงเกี่ยวกับคุณสมบัติของมาริสาหรือคะ" พี่กันยาถาม พี่ผอบจันทร์เดินเข้ามาใกล้ฉันมองด้วยสายตาสำรวจก่อนออกความเห็น
"เต้นรำไม่เป็นก็เข้าสังคมไม่ได้ ศิลปะดนตรีมารยาทหากไม่รู้จักก็ไม่สามารถให้ไปติดต่อประสานงานกับโรงเรืยนอื่นได้ นั้นหมายถึงต้องมีลักษณะที่เป็นผู้นำ"
"หนูเกิดมาก็ทำเรื่องพวกนั้นไม่เป็นคะ" พี่กันยาโต้ตอบเสียงแข็ง
"ราชาเกิดมาย่อนเป็นราชาวันยังค่ำ ฉันไดก็ฉันนั้น..." พี่ผอบจันทร์พูดทิ้งไว้ก่อนสงบคำและมองมาทางฉันอีกครั้งด้วยสีหน้าปรกติ "จะไปกันใหญ่แล้วชั้น รู้สึกว่าจะอารมณ์เสียเกินเหตุไปหน่อย พี่มานี้ก็จะถามเรื่องอาหารของงานวันพรุ่งนี้เธอจัดการเรียนร้อยหรือยังกันยา"
"เรียบร้อยแล้วคะ ตอนบ่ายทางนั้นจะเอาอาหารตัวอย่างมาหนูจะนำไปให้พี่ลองชิมด้วยตัวเอง" พี่กันยาตอบ ประธานนักเรียนคนเก่งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
"แบบนั้นก็ไม่ต้องห่วงอะไรแล้วสินะ เพราะขนาดคนละเอียดอย่างเธอยังยอมรับ" พูดเสร็จก็เดินกลับไป นฤมลเดินตามหลังอย่างรู้งาน ฉันค่อยระบายลมหายใจออกมาคล้ายว่าไฟป่าที่กำลังลามเข้ามาใกล้หยุดลงแล้วอีกครั้งไม่ต่างกับเมื่อวาน
"พี่ผอบจันทน์คะ" พี่กันยากล่าวขึ้น "วันจันทร์ที่จะถึงนี้หนูจะพามาริสาขึ้นประชุมด้วยคณะกรรมการนักเรียนด้วย"
"ตามใจเธอแล้วกัน ฉันกลัวว่าจะมีคนร้องไห้กลางที่ประชุมมากกว่า" พี่ผอบจันทร์พูดทิ้งท้ายไว้คล้ายขู่คล้ายเตือน จนฉันอดรู้สึกไม่ดีขึ้นมา เหมือนทั้งสองลับสายตาออกจากห้องฉันได้ยินเสียงพี่กันยาถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกดีเหมือนกันที่เห็นสีหน้าอ่อนแรงของพี่กันยาบ้าง เพราะอย่างน้อยก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอยังมีความเป็นมนุษย์ธรรมดาเหมือนฉันเหมือนกัน
"เหนื่อยจริงเลยคุยกับพี่ผอบจันทน์ที่ไร" พี่กันยาตัดพ้อก่อนหันมาทางฉัน
"พี่เปิดโอกาศให้เธอได้แก้แค้นสองคนนั้นนะ ไม่ใช่การบังคับ จะขึ้นประชุมพร้อมกับพี่ไหม"
"เพื่ออะไรคะพี่กันยา" ฉันย้อนถาม
"แสดงตัวให้พวกนั้นเห็นว่าเธอก็ไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้" ฉันรู้สึกดีใจที่ได้ยินรุ่นพี่พูดแบบนั้น
"แต่หนูเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดานี่คะ" ฉันตอบตามตรง ให้ยืนอยู่ด้านตรงกันข้ามอาจจะพอทำได้แต่ถ้าให้ลุกขึ้นสู้เต็มตัวฉันคงต้านแรงของคนระดับนั้นไม่ไหว "แต่ถ้าพี่กันยาต้องการใช้หนูให้ไปเป็นเลขาให้จริง หนูก็ยินดีคะ" สายตาของพี่กันยาดูเหมือนจะผิดหวังในตัวฉันอยู่บ้าง
"ต่อไปนี้อยู่กับพี่ห้ามใส่แว่น ถ้ามองไม่เห็นพี่จะหาคอนเทกเลนย์ให้ใส่ แล้วก็เลิกมัดผม ปล่อยผมยาวจะได้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง
"ทำไมคะ" ฉันถามหาเหตุผมที่พี่กันยาพยายามทำอยู่
"เพราะสิ่งเหล่านั้นทำให้เมย์ติดอยู่กับความธรรมดานะสิ"
"แต่หนูเป็นคนธรรมดาคะ หนูอยากให้พี่ยอมรับข้อนี้มากกว่าพยายามจะเปลี่ยนแปลงมัน" สีหน้าของฉันจริงจังพอที่จะทำให้พี่กันยาหันหน้าหนีไป
"เข้าใจละ พี่ผิดอีกครั้งที่พยายามจะบังคับเธอเหมือนวันแรกที่เข้ามาในชมรม" นั้นคือโกรธ พี่กันยาโกรธจริงๆแล้ว เธอส่งแว่นคืนให้ฉันก่อนหันหลังหนีกลับนั่งบนที่โต๊ะหลังกระจกทึบแสง...
แม่มณีพยายามถามหาสาเหตุที่ฉันซึมไป ฉันลำดับเหตุการณ์ไม่ถูกเหมือนกันว่าเพราะอะไร เพียงแต่พอถูกเมิน แล้วทำให้รู้สึกแย่ไปเท่านั้น แต่คงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างถ้าได้เล่าให้ใครฟังดีกว่าเก็บไว้คนเดียว
"โดนพี่กันยาเมินนะสิ" ฉันสรุป
"เอ๋" แม่มณีร้องอย่างสงสัย "ไม่จริงมั้ง บางทีฉันยังคิดเลยว่าพี่กันยาดูจะชอบเธอมากเป็นพิเศษ"
"ชอบมาเป็นพิเศษ?" ฉันย้อนถามความหมาย แม่มณีนิ่งไปเล็กน้อย "ยังไงเหรอ"
"ก็เออ... แบบว่าอาจจะรัก" แม่มณีชี้แจงด้วยเสียงอันเบา ท่าทางอายอยู่บ้างที่พูดแบบนี้มา ฉันรีบโบกไม้โบกมือ
"ก็เป็นไปได้นะสำหรับโรงเรียนนี้เรื่องแบบนี้ถือเป็นธรรมดา ครูเองยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องเลยบางทีถ้ามันไม่เกินเลยมากจนน่าเกลียด" เสียงบงกชพูดเสริมขึ้น ฉันหันไปนึกโกรธอยู่บ้างที่เธอเสียมารยาทอีกครั้ง "แต่น่าเสียดายนะที่พี่กันยาไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันเองมองว่าเป็นความเอ็นดูมากกว่า" เธอเสริม
"ทำไมต้องน่าเสียดายด้วยละ" ฉันคิดว่าคำพูดของบงกชมีความหมายบางอย่างจึงถามออกไป
"ก็น่าเสียดายสำหรับบางคนที่หวังนะสิ" บงกชยิ้มหวาน ก่อนเพื่ออีกสองคนของเธอเดินเข้ามาหาคล้ายเตือนว่าได้เวลาแล้ว บงกชลุกขึ้นโบกมือไปพร้อมกับเพื่อนเธอทั้งสองคน ฉันนั่งคิดอย่างสับสน
"ลองไปขอโทษพี่กันยาดูไหมเมย์" แม่มณีเสนอ ฉันไม่ใช่ว่าไม่เคยคิดแต่แบบนั้นฉันจะต้องถอดแว่นออก ซึ่งความรู้สึกของฉันออกจะทนไม่ได้ถ้าให้ใครเห็นหน้าโดยตรง
"พี่กันยาอยากให้ฉันขึ้นประชุมกรรมการนักเรียนวันจันทร์" แม่มณีดูเหมือนจะตกใจอยู่มากที่ได้ยินแบบนั้น
"แบบนั้นเท่ากับว่าพี่กันยาเลือกเมย์แล้วไม่ใช่เหรอ"
"เลือก เพื่ออะไร"
"เพื่อเป็นกรรมการนักเรียนไง"
"ฉันอยากเป็นนักเรียนธรรมดามากกว่า ไม่อยากไปยุ่งกับเรื่องวุ่นวายอะไร" ฉันสรุป แม่มณีจ้องฉันเหมือนมองลึกลงไปในใจ
"ถ้าเมย์ต้องการแบบนั้นก็ไม่ต้องไปคิดมากเรื่องที่พี่กันยาโกรธก็ได้ไม่ใช่เหรอ" แม่มณีมองท่าทีของฉันหลังเธอกล่าวจบ แน่นอนอยู่แล้วว่าฉันอึดอัดที่จะอธิบายจึงหันไปก้มหน้ากระซิบด้วยเสียงอันเบา
"ฉันชอบพี่กันยา" นี่เป็นเรื่องบ้าบอที่สุดในชีวิตที่เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น
"ลองสารภาพดูดีไหม" ฉันเงยหน้ามาทั้งใบหน้าแดงก่ำ ส่ายศีรษะ
"ไม่..ยัง..ฉันยังไม่แน่ใจตัวเองเลย อาจจะเพียงแค่ชื่นชมพี่กันยาเท่านั้น ความรู้สึกรักมันเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก เพียงแต่ตอนนี้แน่ใจว่าไม่อยากให้พี่กันยาเมินฉันเท่านั้นเอง"
"แบบนั้นก็ได้แต่ยอมละเมย์" แม่มณีสรุป ก่อนยิ้มออกมา "ถ้าเป้าหมายเป็นพี่กันยาละก็การที่เมย์จะไปยืนข้างกับพี่เขาอาจจะไม่มีทางก็ได้หากคิดจะอยู่นิ่งเฉยไม่ยุ่งกับใคร" ความหมายของแม่มณีดูเหมือนว่าฉันจะเข้าใจ แต่นั้นคือการที่ฉันต้องเปลี่ยนตัวเองแทบจะเป็นอีกคนหนึ่งเลยไม่ใช่หรือไง...
จบตอนที่ 3
ความคิดเห็น