ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟาวเวอร์ แซงก์ทิตี(พ.ศ.2547)

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 53


    ตอนที่ 2

    เช้าวันนี้อากาศเย็นกว่าปรกติกลิ่นดินและฝนโชยมาตามสายลมที่พัดแรง ฉันอดไม่ได้ที่หยุดกางแขนรับลมเย็นที่ผ่านมาตามระเบียงทางเดิน หลับตาอยากสัมผัสความรู้สึกนี้ให้นาน

    "หนาวจัง" เสียงหนึ่งดังขึ้นข้างกาย ฉันรีบหันไปตามต้นเสียง พี่กันยารอยิ้มให้ก่อนหลับตายืนนิ่งสูดหายใจลึก ผมหยักโศกปลิวไปตามสายลม มีกลิ่นหอมอย่างหนึ่งกระจายออกมา ชวนให้รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

    "มาโรงเรียนแต่เช้าทำไมเหรอ" พี่กันยาถามขึ้น "นี่ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย"

    "มาอ่านข่าวในห้องสมุดนะคะ" ฉันตอบตามตรง

    "ข่าว เธอสนใจอะไรไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไรเลย" พี่กันยาลืมตาขึ้นหันมาถามอย่างสนใจ

    "อย่ามองหนูเหมือนเป็นของประหลาดสิค่ะ" ฉันไม่ค่อยชอบที่ใครก็มองแบบนั้น พี่กันยายกมือปฏิเสธ

    "เปล่า..พี่แค่สนใจเท่านั้นเอง" เธอเงียบไปเล็กน้อยถอนใจยอมรับผิด "เอาละขอโทษนะ รู้สึกว่าพี่จะมองแบบนั้นจริงๆ ถ้าจะอ่านหนังสือพิมพ์มาที่ชมรมก็ได้ พี่ขอให้ทางสมาคมนักเรียกทำเรื่องส่งหนังสือพิมพ์มาให้ประจำเอง ถ้าช่วงเช้ามีคนมาช่วยเปิดห้อง ชมรมเราจะได้ดูมีตัวตนขึ้น" พี่กันยาเอื่อมมาจับมือฉันก่อนเดินนำไป มือที่เย็นเฉียบรู้สึกได้ถึงไออุ่น แม้ทั่งร่างจะสัมผัสถึงลมเย็นแต่มีมือเท่านั้นที่อบอุ่น ความรู้สึกนี้กำลังทำให้ฉันสับสน แต่ไม่นานพี่กันยาก็ปล่อยมือเมื่อเห็นฉันเดินตามมา

    "ช่วงรับน้องชมรมเราสบายที่สุดเพราะคนน้อย เลยไม่มีกิจกรรมอะไร แต่หลังจากนั้นเป็นงานโชว์กิจกรรมรุ่นน้องให้รุ่นพี่ดู ตอนนั้นชมรมเราจะหนักที่สุดเพราะไม่มีคนช่วยงาน"

    "พี่หมายความว่าให้หนูคิดเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนนี้เลย?" ฉันคิดว่าคงเดาไม่ผิด พี่กันยายิ้มพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนรวบผมเธอให้เข้าทีหลังจากกระจายจากแรงลมที่พัดมา

    "ว่าจะไปยืดผมหน่อยดีไหมนี่ พักนี้รู้สึกชอบพันกันยุ่งเหลือเกิน"

    "แบบนี้ไม่ดูดีกว่าเหรอคะ" ฉันรีบแย้งโดยไม่รู้ตัวก่อนรู้สึกว่ามันแปลกไปที่พูดแบบนั้น "ผมหยักโศกอ่อนๆอย่างพี่ดูนุ่มน่าจับกว่าผมยืดตรงแบบหนูนะคะ" ฉันรีบเอาตัวเองเทียบเพื่อลดความประหลาดของบทพูดประโยคแรกลง พี่กันยาทำท่าคิดก่อนมองผมของฉัน

    "ไม่ยืดก็ได้ ถ้าเมย์ชอบ" ประโยคนั้นทำเอาหน้าแดงขึ้นมาไม่รู้ตัว ในทันทียางรัดผมก็ถูกดึงออก

    "พี่กันยา" ฉันร้องออกมา ผมหางม้าที่ตั้งใจรวบอย่างดีก่อนออกมาจากบ้านกระจายออก

    "ก็พี่ตามใจเธอแล้ว เธอก็ต้องตามใจพี่บ้าง" พี่กันยาอ้อมไปด้านหลัง จับผมแบ่งเป็นส่วนๆ ฉันจนใจด้วยปัญญาจะโต้แย้ง "เดินไปห้องสมุดเลย" เธอออกคำสั่ง

    "พี่จะทำอะไรกับผมหนู" ฉันถามอย่างสงสัย

    "ถักเปียให้"

    "ทรงพจมานหนูไม่เอานะ" น้ำเสียงฉันคล้ายจะร้องไห้โดยไม่รู้ตัว

    "ตายแล้วดูถูก" พี่กันยาไม่อธิบายมากความ ยื่นกระเป๋ามาให้ฉันช่วยถือ พร้อมดันหลังให้เดินไป ถึงจะดูเป็นรุ่นพี่ที่ใจดีแต่ยังไงก็ยังชอบใช้กำลังกับรุ่นน้อง ฉันนึกภาพสาวแว่นอย่างฉันกับทรงผมเปียสองข้างสุดเชยแล้วก็ได้แต่กลั้นน้ำตาไว้

    ผมเปียไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก ฉันมองตัวเองบนกระจกห้องน้ำในห้องสมุดมันก็ดูน่ารัก ยิ่งพี่กันยาหาริบบิ้นสีแดงมาผูกโบวไว้สองข้างกลับดูดีเสียอีก

    "เอาละเสร็จแล้ว เมย์จำริบบิ้นสองเส้นนี้ได้ไหม" ฉันส่ายศีรษะ แต่ก็เหมือนเคยเห็นมันที่ไหน

    "ที่ซื้อเมื่อวานกันไง พี่ยังถามเมย์เลยไม่ใช่เหรอว่าชอบไหม" ตอนนั้นฉันตัดสินใจไปโดนไม่สนใจอะไร ในสมองคิดแต่ระแวงเรื่องของผู้ชายที่เดินตามมาสองสามคน

    "คะ" ฉันตอบก่อนจับผมเปียของตัวเองขึ้นมาดู

    "นี่พี่ให้เป็นของขวัญเมย์แล้วกัน ลองหัดใช้ริบบิ้นแทนยางรัดผมดู พี่ว่าน่ารักดีนะ" ฉันออกจะเขินอยู่มากที่ได้ยินประโยคแบบนี้ หมายถึงจะว่าฉันทางอ้อมหรือเปล่าว่าหัดสนใจตัวเองเสียบ้าง แต่จากสายตาของพี่กันยา ดูเหมือนจะไม่ได้หมายความแบบนั้น

    "คะ" ฉันรับคำอีกครั้ง

    "นี่ก็สายมากแล้วพี่ไปดูชมรมก่อนแล้วกัน ตอนเย็นมาด้วยนะเมย์"

    "คะ" ฉันตอบรับครั้งสุดท้าย พี่กันยายิ้มก่อนเดินออกไป ฉันมองตัวเองในกระจกหน้าอ่างล้างมือ เหมือนมันไม่ใช่ตัวฉัน ทั้งเงาสะท้อนที่อยู่ตรงหน้า ทั้งการพูดเพียงแต่ คะ คะ คะ ฉันจะทำทรงผมน่ารักไปทำไม ในเมื่อฉันไม่ต้องการให้ใครมาสนใจ การแต่งตัวให้น่ารัก การทำตัวให้น่ารัก สุดท้ายมันก็เพื่อดึงดูความสนใจของคนอื่น ดูดีในสายตาของเพศตรงข้ามไม่ใช่เหรอ ฉันไม่ต้องการเป็นแบบนั้นจึงผูกผมด้วยยาง สวมแว่นปิดบังตนทั้งที่จริงแล้วสายตาไม่สั้นมากมายอะไร ฉันคิดจะแก้ผมเปียออกแต่ก็ไม่สามารถหักใจทำได้ เมื่อนึกว่าพี่กันยาเป็นคนถักเปียให้ ความรู้สึกที่เส้นผมถูกสัมผัสยังไม่จางหายไป สายตาอ่อนโยนสัมผัสที่เบามือเมื่อหวนคิดถึงกลับใจเต้นแรง ฉันหลับตาถอนหายใจสลัดความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไป จัดผมเปียให้ดูดีจัดโบวให้ตรง ก่อนเดินออกจากห้องน้ำ หลบสายตาจากกระจก

    ตอนเที่ยงมีการประกาศนักเรียนที่ยังไม่มีชมรม ฉันปรกติไม่ค่อยจะสนใจเรื่องอะไรนัก แต่ครั้งนี้เพื่อนในห้องต่างจับกลุ่มคุยกันเหมือนเรื่องใหญ่จึงต้องขยับหูไว้ฟังบ้าง คนที่จะสามารถเข้าโรงเรียนแห่งนี้ได้หนึ่งต้องเข้าใจธรรมเนียมของที่นี่ก่อน การสอบสัมภาษณ์จึงเป็นเรื่องที่โหดร้ายไม่แพ้ข้อเขียน หลายคนสอบตกในขั้นตอนสุดท้ายนี้เพราะไม่ศึกษาประวัติของโรงเรียนตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันให้ดีพอ คนที่อยู่เข้ามาถึงตรงนี้พูดได้ว่ารู้ความเป็นมาของโรงเรียนแทบทุกอย่างแม้ว่าจะเป็นนักเรียนใหม่ก็ตาม

    "ปรกติไม่มีหรอกนะคนที่ไม่เลือกชมรมนะ" เสียงหนึ่งพูดเด่นขึ้นมา

    "โรงเรียนก็มีแต่กิจกรรมแทบจะทุกสัปดาห์ คนที่ไม่มีชมรมไม่สามารถร่วมกิจกรรมได้"

    "ไอ้แบบนี้ละ ที่ฉันว่าโรงเรียนนี้แปลก เหมือนพยายามบังคับให้ทุกคนทำกิจกรรม"

    "คนที่จะเข้ามาที่นี่รู้เรื่องพวกนี้ก่อนอยู่แล้ว แน่นอนว่ามันเลยกลายเป็นเรื่องของความสมัครใจ"

    "แก่ไขง่ายจะตายก็แค่ให้เข้าชมรมก็จบ นี่อะไรต้องเป็นไปตามกฏ แล้วทำให้เกิดการแบ่งแยกขึ้นมา"

    "อือ ชั้นว่าทุกคนคงโดนคำถามแนวนี้ตอนสัมภาษณ์ แล้วไม่ใช่เหรอ"

    "ใช่... เค้าถามฉันว่า เธอไม่รู้สึกเหรอว่าธรรมเนียมของที่นี่ยุ่งยากเกินไป จนดูแปลกประหลาด ทำไมยังเลือกจะเข้าโรงเรียนนี้อีก" สาวหนึ่งในกลุ่มยกคำถามขึ้นมา

    "คะ" อีกหนึ่งสาวในกลุ่มขานรับยกมือขึ้นตอบ "แต่นี้เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่สังคมอย่างหนึ่งของหนู ที่ต้องปรับตัวเข้าหาสังคมมากกว่าความสะดวกของตัวเอง" เธอตอบเสียงใสแต่หน้าตาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ "มันก็แค่การตอบให้ได้เข้าเรียนเท่านั้นละ" ประโยคนี้ทำเอาทุกคนเงียบไป ฉันนั้นฟังอยู่ห่างๆยังอดพยักหน้าตามไม่ได้ นั้นทำให้ทั้งสามสาวหน้าห้องหันมามองฉันเป็นจุดเดียว

    "มาริสา เกตุมณีเพื่อนสนิทของเธอไม่ใช่เหรอ" หนึ่งสาวไว้ผมสั้นสไตล์เฉียบ เดินออกมาจากกลุ่มร้องถามขึ้น

    "คะ" ฉันขานรับ

    "ไปปลอบใจหน่อยสิ" ฉันขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินประโยคนี้

    "มีอะไรเหรอ"

    "เกตุมณีเป็นคนที่ไม่ได้เลือกเข้าชมรมไหนเลย" นั่นเป็นไปไม่ได้ ฉันขยับตัวลุกออกจากห้อง ก่อนหน้านี้เราทานข้าวด้วยกัน แต่ฉันขอแยกมาจัดการกับอีเมลที่ห้องสมุดยังสงสัยว่าแม่มณีน่าจะกลับมาห้องก่อนฉัน เป็นว่าเธอยังไม่มาเพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้นนี่เอง เมื่อลงจากตึกฉันเห็นเธอยืนนิ่งหน้าป้ายประกาศเหมือนทำอะไรไม่ถูก

    "แม่มณี" ฉันเรียกให้เธอรู้สึกตัว เธอหันมาพร้อมทั้งน้ำตาหยดใสไหลอาบสองแก้มขาว ก่อนค่อยเดินมาก้มลงซบที่อก

    "ใจเย็น ฉันพอประติดประต่อเรื่องราวได้บ้างแล้ว นฤมลอะไรนั้นไม่ได้เอาใบสมัครไปส่งให้กับประธานชมรม" ฉันพูดไปทั้งที่รู้ว่ามันมีบางอย่างไม่ถูกต้อง

    "ฉันไม่เอาไปส่งให้กับมือประธานชมรมต่างหากที่ผิด" แม่มณีกลั่นคำพูดออกมา ก่อนร้องโหออกมา "ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเมย์" เธอสรุปในที่สุด ฉันไม่พูดเพียงแต่กอดร่างนั้นไว้ เราพลาดในเรื่องเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยไม่คิดมาก่อนว่าจะโดนแกล้ง ยังไงฉันก็ต้องช่วยเพื่อนของฉันจะเล็กน้อยก็ยังดี

    ฉันมายืนอยู่หน้าเรือนไม้ชั้นเดียวสีครีมของชมรมสังคมชั้นสูง มันยากที่จะทำให้อารมณ์สงบ แม้บอกตัวเองให้ใจเย็นแต่หัวใจกลับเต้นระรัว อยากจะระเบิดอารมณ์ออกมา เหลือเวลาอีกไม่นานนักจะหมดเวลาพัก ฉันฝากแม่มณีไว้กับกลุ่มสามสาวที่บอกเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าจบเรื่อง ฉันต้องเล่าทุกอย่างให้ประธานชมรมฟัง นี่เป็นการตัดสินใจที่ยุ่งยากและเสี่ยงสำหรับสภาพของนักเรียเข้าใหม่ที่จะก่อเรื่องงัดข้อกับรุ่นพี่ ฉันผลักประตูเรื่อนไม้สีครีมเข้าไป เสียงเปียนโนดังเบาๆออกมาจากด้านใน การเคาะประตูจึงเป็นมรรยาททีดี

    "เชิญคะ" เสียงนั้นดังขึ้นฉันจึงเปิดเข้าไป นฤมล นั่งจิบชาอยู่กลางห้องหันมามองฉัน ยิ้มอย่างมีความหมาย นั้นคือการทักทาย หรือยิ้มเยาะ มองได้สองแบบแต่ฉันนึกถึงข้อหลัง

    "ดิฉันมาขอพบกับประธานชมรมคะ" ฉันพูดออกไปเสียงชัดเจน เสียงเปียนโนหยุดมือลงทันที

    "มีธุระอะไรกับฉันงั้นรึ" เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากเปียนโนหลังใหญ่ด้านทิศตะวันออกของอาคาร หญิงสาวเดินออกมาในชุดนักเรียน เข็มสีทองบนอกซ้ายบ่งบอกความเป็นสมาชิกสภานักเรียนต่างกับสีเงินของนักเรียนทั่วไป คนนี้คือประธานนักเรียน แววตานั้นมั่นคงไม่ธรรมดา ฉันข่มใจตัวเองนึกภาพของแม่มณีไว้ในใจ

    "เกตุมณี เพื่อนของดิฉัน เมื่อวานได้ยื่นใบสมัครชมรมกับคุณนฤมลที่นั่งอยู่ตรงนั้น โดยเค้ารับฝากว่าจะส่งต่อไปยังประธานเอง แต่วันนี้กลับเป็นว่าเพื่อนของดิฉันเป็นคนไม่มีชมรมไป"

    "จริงหรือ นฤมล" ประธานถาม แต่แววตายังจับจ้องอยู่ที่ฉันอย่างไม่วางตา

    "คะ"

    "เหตุผลที่ไม่เอามาให้กับพี่ตามที่บอกกับคุณคนนี้ไว้ละ"

    "เกตุมณีละเลยกับข้อบังคับในการส่งใบสมัครแก่ประธานชมรมคะ ถึงจะเพียงเท่านั้นแต่ในเบื้องต้นก็เรียกว่าไม่มีคุณสมบัติอันเหมาะสมกับชมรมของเราอยู่แล้ว"

    "ก็...นับว่าเป็นเหตุผมที่โต้แย้งไม่ได้ ฉันผอบจันทร์ ประธานนักเรียนแล้วก็ประธานชมรมวัฒนะธรรมสังคมชั้นสูง" เธอแนะนำตัวเองก่อน เป็นการเตือนเรื่องการผิดมรรยาทอย่างหนึ่งของฉันที่ไม่แนะนำตัวต่อรุ่นพี่

    "ดิฉันมาริสาคะ ขอโทษคะที่ไม่ได้แนะนำตัวแต่แรก"

    "เรื่องเล็กน้อย แต่เรื่องของเพื่อนเธอนั้นเกิดขึ้นเพราะความ ผิดพลาดอย่างไม่ตั้งใจ ฉันจะลองให้โอกาสกับเพื่อนเธอดูดีไหม"

    "โอกาส ยังไงค่ะ"

    "ตอนเย็น เราจะมีการประชุมสมาชิคใหม่กัน ให้เพื่อนเธอเข้าร่วมด้วย และแสดงให้ดูว่าเหมาะกับชมรมนี้ไหม"

    "ขอบคุณคะพี่ผอบจันทร์" ฉันกล่าว ก่อนหมุนตัวออกจากเรืองไม้ที่สร้างความอึดอัดนั้นโดยไม่คิดจะหันไปมองนฤมลให้อารมณ์เสียไปมากกว่านี้อีก

    "หมายถึงจะไม่ไปประชุมก็ได้แบบนั้นสิ" แม่มณีพูดหน้าตาจริงจังหลังจากฟังเรื่องที่เล่า ฉันไม่ใช่คนที่เก่งในการพูดจากจึงไม่สามารถหาคำพูดที่ลงตัวเพื่อปลอบใจได้ ฉันดูออกว่าเธอไม่ชอบใจที่ฉันไปวิ่งโวยวายแทน ฉันรู้สึกตั้งแต่ตอนที่เธอไม่ต้องการคำปลอบใจ แต่ว่าฉันทนไม่ได้ที่เห็นเรื่องแบบนี้

    "มณีฉันไม่ตั้งใจให้เธอรู้สึกไม่ดี" ฉันสรุปได้เพียงเท่านี้ ก่อนหันไปหน้าห้อง เป็นจังหวะเดียวกับที่ครูเข้ามา หัวหน้าห้องสั่งยืนทำความเคารพ

    "ขอบใจเมย์" แม่มณีพูดขึ้นเบา ฉันหันไปตามต้นเสียงเธอหันมายิ้มให้เหมือนปรกติ คว้ามือฉันมาจับไว้ก่อนเราจะนั่งลงพร้อมกัน

    "ไม่เป็นไรแล้วละ เรื่องต่อไปฉันจะช่วยตัวเอง" แม่มณีปล่อยมือจากฉัน สีหน้าดูดีขึ้นกว่าตอนแรก นั้นคงไม่ใช่แค่ทำให้ฉันสบายใจเท่านั้นหรอกนะ

    เพื่อนของฉันถือกระเป๋าเดินไปตามทางเดินหลังเลิกเรียน ฉันคิดอย่างระวังถ้าจะพูดอะไรออกไปแต่ในที่สุดก็ได้แต่มอง

    "ไม่เป็นไรมาริสาเดี๋ยวฉันดูให้เอง" สาวผมสั้นหนึ่งในกลุ่มสามสาวที่คุยกันเรื่องของ แม่มณี พูดขึ้นกับฉัน จากด้านหลัง ก่อนเดินผ่านลงบันไดไปตามไป เธอคนนี้นั่งไม่ห่างกับฉันนักไม่แปลกที่เธอจะได้ยินเรื่องที่พูดคุยหลังจากฉันกลับมาจากเรือนไม้สีครีม ทางฉันเองก็มีประชุมชมรมเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ข้ออ้างในการที่ฉันจะไม่ตามแม่มณีไป แต่ว่าการช่วยเหลือที่แท้จริงไม่ใช่การปกป้องตลอดเวลา...

    ฉันเปิดประตูเข้ามาในชมรมคอมพิวเตอร์อย่างระวังผิดกับวันแรกเพราะได้ยินเสียงไวโอลินดังลอดออกไป พี่กันยาเหลือบตามามองเล็กน้อยก่อน กลับไปตั้งใจเล่นไวโอลินอยู่กล้างห้องเหมือนไม่สนใจใคร ฉันเลื่อนจะไปยืนฟังเหมือนเมื่อวานแต่กลับเป็นว่าที่ตรงนั้นมีคนยืนอยู่แล้ว เป็นเด็กผู้หญิงรุ่นเดียวกันฉันสามคน ทั้งหมดเลื่อนแถวถอยเข้าไป เชิญให้ฉันเข้ามาต่อแถวยืนฟัง สีหน้าทั้งหมดเต็มไปด้วยความชื่นชม นี่คงเป็นแบบเดียวกับฉันเมื่อวานที่ได้ฟังเสียงไวโอลินของพี่กันญา มันยากที่จะหักห้ามไม่ให้แสดงความรู้สึกในใจออกมาจนเพลงจบพวกเราก็พร้อมใจปรบมือให้รุ่นพี่

    "ไม่มีอังกอให้นะทุกคน" รุ่นพี่ยิ้มก่อนเก็บไวโอลินลงในกระเป๋า "พี่ชื่อ กันญา ขอนะนำตัวอีกครั้งแล้วกัน เป็นประธานชมรมคอมพิวเตอร์ อยู่ชั้นมอห้าห้องดอกสายหยด" เมื่อกล่าวจบก็กวาดสายตามองไปทางขวามมือ พยักหน้าเรียกคนริมสุดให้ออกมายืนด้วยสายตา เด็กสาวผมยาวตัดด้านหน้าเป็นหน้าม้าสั้น ตัวสูงเกือบร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรสีหน้าเชื่อมั่นในตัวเองเดินมาด้านหน้าข้างพี่กันยา

    "นี่คือ นิสา อยู่มอสี่ห้องดอกมะลิ" พี่กันยาแนะนำตัวนิสาพร้อมกับตั้งคำถามต่อมา "คิดยังไงมาอยู่ชมรมคอมพิวเตอร์ละ" นิสานิ่งไปเล็กน้อยก่อน ทิ้งช่วงให้เกิดความเงียบอยู่นานแต่ สุดท้ายเธอก็พูดออกมา

    "ในเมื่อเป็นเพื่อนกันแล้วมีกันอยู่แค่สี่คนด้วย คงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร นิสาเป็นคนสร้างคอมมูนิตี้ใต้ชื่อของ Cell ขึ้นนะคะ การบริหารบ้างครั้งอาจจะมีเรื่องฉุกเฉิน การที่สามารถเข้าออกชมรมคอมพิวเตอร์ทุกเวลาได้จึงเป็นสิ่งจำเป็นคะ"

    "Cell ที่มีประเทศเกาหลีให้ความสนใจมาศึกษารูปแบบคอมมูนิตี้นะเหรอ" ฉันโผงออกไปโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากเป็นคนที่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้วทั้งนี้เป็นข่าวใหญ่ของวันนี้ด้วย นิสาพยักหน้ารับก่อนอธิบายต่อ

    "ในประเทศเราประชาชนในเมืองใหญ่แทบทุกคนเป็นสมาชิคของ Cell เกาหลีและญี่ปุ่นตกลงจะร่วมลงทุนกับเราโดยการพัฒนาโปรแกรมแปลภาษาที่มีคุณภาพสูงเพื่อให้เป็นคอมมูนิตี้ระดับเอเชีย" เด็กสาวด้านหน้าไม่ใช่แค่สู่งเพียงแค่ร่างกายแต่ ความคิดของเธอดูจะก้าวข้ามเด็กอย่างฉันไปแล้ว

    "เอาละกลับเข้าที่ได้นิสาขอบใจมาก วิสินีต่อไปตาเธอแล้วละ" นิสาเดินกลับเข้าไปที่ประจำของเธอ เธอมีท่าทางเขินเหมือนกันที่ต้องออกไปพูดต่อหน้าทุกคน แต่ดูแล้วเธอกลับมีความเป็นผู้ใหญ่อย่างเป็นธรรมชาติมากกว่าการบรรจงแสดง เด็กผู้หญิงตัวเล็กไว้ผมสั้นเหมือนเด็กนักเรียนมัธยมต้นทั่วไป เดินไปหน้าห้องท่าทางเหมือนสับสน

    "สวัสดีคะ" นั้นเป็นประโยคแรกก่อนจะหันซ้ายหันขวา วิ่งไปด้านหลังพี่กันยา สีหน้าของทั้งหมดได้แต่งุนงงในสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนพี่กันญาจะพูดออกมา

    "เอาละ เด็กคนนี้ซื่อวิสินี อยู่มอสี่ห้องพุดซ้อน เข้าชมรมคอมพิวเตอร์เพราะมีคนน้อยที่สุด พี่โทรไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของวิสินี่แล้ว เธอมีอาการกลัวสายตาของคนมากๆเท่านั้นเอง" เด็กผู้หญิงตัวเล็กวิ่งออกมาจากด้านหลังพี่กันยากลับมายืนที่เดิมของเธอ เด็กสาวด้านข้างฉันขยับตัวออกมาโดนไม่ต้องเรียกหันมาหาทุกคนอย่างมั่นใจ

    "ทาลิสมันคะ มาจากคำว่าทาลิสแมนที่เป็นเครื่องราง เป็นชื่อที่แปลกสำหรับหลายคนแต่ความหมายของชื่อที่คุณแม่ตั้งให้คือเป็นหญิงที่อำนวยไปด้วยพรของพระเจ้า ชอบงานทางด้านคอมพิวเตอร์กราบฟิก มาเข้าชมรมนี้เพราะสามารถใช้คอมได้ทุกเวลา อยู่มอสี่ห้องดอกเบญจมาศคะ" เธอพูดจาหมดจดรวดเร็วสมกับบุคลิกของเธอทรงผมสั้นสไตล์ทันสมัยบ่งบอกหัวคิดที่มองไปข้างหน้า ทาลิสมัน เป็นนามปากกาที่มีชื่อเสียง บ่อยครั้งที่จะเห็นชื่อเธอตามหนังสือพิมพ์ ชอบเขียนภาพชุดที่ไร้คำบรรยาย แต่มีความหมายและเรื่องราวในภาพ นอกจากเป็นนักเขียนภาพแล้วยังเป็นนักวาดการ์ตูนด้วย น้องของฉันเป็นชื่นชอบผมงานของเธอคนนี้มากเป็นพิเศษทั้งเอ่ยปากให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง แต่ที่คิดไม่ถึงคือ ทาลิสมันเป็นชื่อจริง

    ทาริสมันกลับไปยืนที่ของตัวเอง เหลือแต่ฉันแล้วเท่านั้นจึงก้าวเท้าออกมา แนะนำตัวกับทุกคน

    "มาริสาคะ อยู่ชั้นมอสี่ห้องดอกพิกุล มาอยู่ชมรมนี้เพื่อจะได้ใช้คอมพิวเตอร์ได้สะดวกนะคะ"

    "ใช้คอมฯทำอะไรเหรอ" พี่กันยาถามขึ้นมา ฉันคิดเล็กน้อยก่อนรู้ว่าไม่มีประโยชน์ทีจะหาข้ออ้างอะไรวุ่นวาย

    "เล่นnetกับเกมส์คะ" ฉันกลัวเหมือนกันว่าจะโดนว่าแต่ในที่สุดก็ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมา มีเพียงพี่กันยาที่ยิ้มให้ ฉันหมุนกลับไปยืนที่เดิม

    "เอาละ รู้จักกันหมดแล้ว หน้าที่ในชมรมเราก็ แค่เก็บกวาดดูแลห้องให้เรียบร้อย ทำให้ทุกเครื่องอยู่ในสภาพที่พร้อมจะใช้งานได้ เรามีห้าคนพอดีก็จะแบ่งคนทำความสะอาดห้องโดยเลือกวันหยุดกันคนละสองวัน แล้วตอนเช้าพี่จะให้มาริสาเป็นคนเปิดห้อง เพราะเป็นคนมาเช้าที่สุด ถ้ามาริสาไม่มาสุดท้ายพี่ก็จะเป็นคนมาเปิดเองนอกจากจะมีปัญหามาไม่ได้พร้อมกันทั้งสองคน" พี่กันยาพูดพร้อมบิดดอกกุญแจออกมายื่นให้กับฉัน มีกุญแจสองดอก ฉันเดินออกไปรับไว้อย่างว่าง่าย จริงๆฉันควรจะถามหน่อยทำไมต้องเป็นฉันที่มาเปิดห้อง แต่ดูเหมือนตอนนั้นแทบไม่มีความคิดที่จะถามเรื่องพวกนี้

    "แบบนั้นวันนี้เราประชุมกันแค่นี้ อย่างที่ทุกคนรู้นะว่าโรงเรียนนี้แน้นเรื่องกิจกรรมนักเรียนมาก เราต้องมาที่ห้องชมรมทุกวัน แล้ววันต่อไปพี่จะพูดเรื่องกิจกรรมรับรุ่นน้องกับ กิจกรรมแสดงความสามารถให้กับพวกรุ่นพี่ดู"

    "คะ" ทุกคนตอบพร้อมๆกันเหมือนนัดกันไว้อย่างไม่ตั้งใจ พี่กันยายิ้ม ก่อนหันหลังไปเก็บกระเป๋าไวโอลิน

    "มาริสาอยู่ก่อนนะพี่มีเรื่องจะคุยด้วย ส่วนคนอื่นจะใช้เครื่องคอมทำอะไรก็ลองดูได้นะ" ฉันยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นอดจะถอนหายใจออกมาไม่ได้เพราะอยากรู้เรื่องของแม่มณีเร็วๆว่าเธอจะโดนทดสอบอะไรประหลาดบ้างไหม สมาชิคคนอื่นของชมราแยกย้ายกันไปดูเครื่องคอมใหม่ที่แยกไว้มุมห้อง ที่เห็นความแตกต่างชัดเจนกับพวกที่ตั้งอยู่ยี่สิบกว่าตัวกลางห้องที่ดูเหมือนจะผ่านระยะเวลาในการใช้งานมาช่วงหนึ่งแล้ว วิสินีเด็กผู้หญิงตัวเล็กไปยืนอยู่หน้ารุ่นพี่กันยายกมือไหวพร้อมถอนสายบัว พี่กันยาลูบศีรษะเด็กผู้หญิงคนนั้น ก่อนเธอจะก้าวเท้าเดินอย่างเร็วออกไปจากห้อง

    "วิสินีขี้อายนะแต่ก็เป็นเด็กเรียนร้อย" พี่กันยาพูดนำก่อนหันมาทำสีหน้าจริงจังกับฉัน

    "ตอนกลางวันเห็นเมย์ยืนกอดกับเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่ง"

    "คะ แม่มณีเพื่อของหนูเอง" พี่กันยาขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินชื่อ

    "แม่มณีที่เมย์ว่านี่คงไม่ได้หมายถึงเกตุมณีหรอกนะ"

    "คนนั้นละคะ"

    "อือ...เธอสองคนเป็นแฟนกันเหรอ" พี่กันยาถามท่าทางจริงจังฉันได้แต่อ่อนใจ

    "เพื่อนคะ ผู้หญิงด้วยกันจะเป็นแฟนได้ยังไงค่ะ"

    "ขอโทษๆ ที่นี่มีหลายคู่เป็นแฟนกัน" พี่กันยาพูดอย่างอารมณ์ดี "ว่าแต่...แล้วเพื่อนเมย์จะทำยังไงต่อ" ถึงคำถามนี้แล้วฉันจำเป็นต้องย้อนไปเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นอีกครั้ง เมื่อพี่กันยาฟังจนจบก็ พยักหน้ารับเหมือนคิดอะไรออกในทันที

    "ไปกับพี่แล้วกันเมย์ พี่จะไปชมรมวัฒนะธรรมสังคมชั้นสูงคุยกับพี่ผอบจันทร์สักหน่อย" พี่กันยาจับกระเป๋าไวโอลินใบเก่งเดินนำไป ไม่ลืมที่จะ ฝากห้องไว้ให้ทาริสมันและนิสาดูแล ทั้งสองรับคำในทันที ฉันเดินตามไปโดนทิ้งกระเป๋านักเรียนไว้ที่ห้องคิดจะกลับมาเอาในภายหลัง

    พี่กันยาดูเหมือนไม่ใช่แค่เป็นเป้าสายตาของผู้ชายอย่างที่ฉันคิดตอนแรก ในโรงเรียนเองเช่นกัน ทั้งนักเรียนใหม่ทั้งเก่าดูเหมือนจะมองเธออย่างชื่นชม จนเดินถึงหลังตึกเรียน สนามหญ้าด้านหน้าเรือนไม้สีครีม ถูกจัดเหมือนฟลอร์เต้นรำในงานเลี้ยงตามโรงแรม มีนักเรียนหญิงจับคู่เต้นรำเป็นคู่ แม้จะไม่มากนักแต่ก็รู้สึกว่าหนาตา ฉันกวาดตามมองหาเพื่อนฉันกลับพบว่าเธอยืนอยู่ริมสนามหญ้ากับเด็กสาวอีกหลายคน เป็นที่ยืนพักและบางคนก็ถูกโค้งเชิญชวนเข้ามาเต้นรำ เท่าที่ดูจากสายตาทั้งหมดเป็นนักเรียนใหม่ของปีนี้ ส่วนพวกรุ่นพี่จะยืนอยู่ด้านหน้าเรือนไม้สีครีม งานดำเนินไปโดยมีเสียงเปียโนประกอบอยู่ด้านหลังฉันคิดว่าคงจะเอาออกมาจากในชมรมคนเล่นก็น่าจะเป็นท่านประธานคนเก่ง

    "เพื่อนเธอยังไม่ได้ออกไปเต้นรำเลยนะเมย์" ฉันไม่รู้ว่าพี่กันยามองจากอะไร แต่จากภาพรวมฉันก็คิดแบบนั้นเช่นกัน "หลายคนคงจะรู้เรื่องที่เพื่อนของเมย์ไม่มีชมรมแล้วเลยไม่กล้าเข้าไปเต้นรำด้วย" พี่กันยาสรุปก่อนฝากกระเป๋าไวโอลินไว้กับฉัน เดินนำเข้ากลางสนามหญ้าที่จำลองเป็นงานเต้นรำ ท่าทางของพี่กันยาตอนนั้นแปลกออกไปเหมือสวมชุดสูททักซิโด้ นำร่างเพียวเข้าไปกลางฟลอร์เต้นรำ เดินตัดไปทางแม่มณี ผ่านคู่เต้นมากมายโดนไม่กระทบกับจังหวะของใครเหมือนรอบข้างนั้นไร้ผู้คน ไม่ก็เธอรู้จังหวะทุกอย่างเป็นอย่างดี เข้าไปโค้งให้กับแม่มณีเพื่อขอเต้นรำ แม่มณียืนมือออกไปรับคำเชิญ ท่าทางถูกจัดให้เข้าทีอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหมุนตัวก้าวไปตามจังหวะเข้ากับคนอื่นแทบจะทันที แม่มณีมองพี่กันยาอย่างไม่วางตา นั้นคงเป็นสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม เธอคงกำลังงงถึงแบบนั้นก็ยังสามารเต้นรำได้ดีไม่แพ้กับพี่กันยาจนฉันอดอิจฉาไม่ได้ มันน่าสนุกดีเหมือนกันที่เห็นแบบนั้น แต่ฉันเต้นรำไม่เป็น ความเป็นระเบียบของการเต้นรำเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้ฉันต้องเดินไปใกล้เพื่อดูให้ชัด ไม่นานนักเสียงเปียโนก็หยุดลง ทุกคนหยุดอยู่กับที่และปรบมือให้ประธานชมรมสังคมชั้นสูง เธอยืนขึ้นจากเก้าอี้หลังเปียโนหลังใหญ่ สายตามองตรงมาทาง พี่กันยา

    "ดีใจที่เธอมานะกันยา"

    "คะ ได้ยินว่าปีนี้มีเด็กที่ไม่ได้เข้าชมรมก็เลยอยากมาเห็นกับตานะคะ" พี่กันยาตอบนี้เสียงสุภาพ

    "เธอจะมารับเข้าชมรมเธอนะเหรอ" ประธานชมรมสังคมชั้นสูงถามเสียงเข้ม

    "ตามกฎแล้วรับไม่ได้คะจนกว่าจะถึงปีหน้า เรื่องนี้ทุกคนก็ทราบคะ" แม่มณีหน้าเสียไปทันที พร้อมกันนั้นฉันก็ได้เห็นรอยยิ้มของประธานชมรมสังคมชั้นสูง ก่อนเธอจะนั่งลง

    "เอาไวโอลินของเธอมาคุยกับพีดีกว่าถ้าคิดจะมาเจรจาอะไรนะ" เสียงนั้นพูดขึ้น และตามด้วยเสียงเปียโนสำเนียงนุ่มดังขึ้นเป็นอินโทร พี่กันยาเดินเข้ามาเปิดกล่องไวโอลินโดยให้ฉันถือไว้ก่อนหยิบขึ้นมา เริ่มบรรเลงเข้ากับอินโทรของเปียโนสอดประสานกันเกิดเป็นทำนองดนตรีที่เติมอารมณ์ได้เต็มที่ยิ่งขึ้น หลายคนส่งเสียงในลำคอออกโดยไม่รู้ตัวด้วยความประหลาดใจ บ้างชุบชิบกันและก็สงบฟัง พี่กันยาเดินมุ่งไปทางเปียโนหลังโตก่อนยืนอยู่ด้านข้างเล่นอย่างสงบ

    "เมย์พี่คนนั้นเป็นใครนะ" แม่มณีถามขึ้น

    "ประธานชมรมคอมพิวเตอร์" ฉันตอบ

    "ไวโอลินนั้นแพงมาก" แม่มณีทิ้งช่วง "ฉันไม่ค่อยแน่ใจว่าชื่ออะไร แต่เป็นผลงานของสตราดิวาเรียส (Stradivari)แน่นอน" ฉันส่ายศีรษะไม่รู้เรื่อง

    "ยี่ห้อนี้แพงมากเหรอ" แม่มณีเพียงยิ้มไม่ตอบอะไร เหมือนว่าฉันคงจะเข้าใจอะไรผิด ตอนนั้นเป็นจังหวะเดียวกับที่สาวผมสั้นห้องเดียวกับฉันเดินเข้ามา

    "ขอโทษนะ ฉันโดนแยกตัวไปจัดของ มีใครชวนเธอเต้นรำบ้างไหม" แม่มณีใช้ความคิดเล็กน้อยแต่ไม่ทันตอบอะไร สาวผมสั้นคนนั้นก็โค้งให้พร้อมยื่นมือออกไป แม่มณีมีท่าทีลังเลมองคนรอบข้างที่ฟังเพลงอย่างตั้งใจ แต่ที่สุดก็ตอบรับคำเชิญนั้น ทั้งคู่เริ่มขยับไปกับจังหวะเพลง ใช้พื้นที่เล็กน้อยไม่ถึงอึกใจ คนรอบข้างก็เริ่มรู้สึกได้และ จับคู่เต้นรำกันต่อ ความรู้สึกที่ผ่านสายตาฉันมันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด มันวิเศษน่าประทับใจ และสวยงาม บทเพลงดำเนินไปได้อีกพักใหญ่จนพระอาทิตย์เริ่มทอแสงสีทองของยามเย็นออกมา ดนตรีจึงจบลง เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน จนเสียงนั้นสงบลงประธานชมรมสังคมชั้นสูงยืนขึ้นพูดด้วยเสียงอันชัดเจน

    "อยากให้พวกเรารู้จักไว้นะ นี่คือกันยา เป็นมิตรที่ดี และ ศัตรูที่น่ากลัว"

    "ชมหนูเกินไปแล้วคะพี่ผอบจันทร์" พี่กันยาพูดติดตลก

    "กันยาจะนั่งเป็นฝ่ายค้านของสภานักเรียน แล้วก็กิจกรรมหลายอย่างของชมรมวัฒนธรรมสังคมชั้นสูงที่เคยมีมาในอดีตก็ถูก ฝ่ายค้านคนนี้ละยกเหตุผลทำให้ต้องถูกยกเลิกไป เช่นการประชุมครั้งนี้จริงแล้วต้องจัดในโรงแรม แต่กลับมาเป็นสนามหญ้า ก็เพราะฝีมือของรุ่นน้องผู้นี้"

    "ขอบคุณคะ" พี่กันยายิ้มรับอย่างภูมิใจ พี่ผอบจันทร์มองแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมา

    "ดังนั้น อย่างพึ่งหลงชื่นชมกันให้มากละ" ประธานชมรมสังคมชั้นสูงเว้นคำพูดเล็กน้อย "ยังไง กันยาก็ประกาศตัวเป็นศัตรูของชมรมเราแน่นอนแล้ว"

    "หนูหมายถึงไม่อยู่ใต้คำสั่งของพี่นะคะ" พี่กันยาอธิบายเพิ่มเติม

    "นั้นละ เอาว่า วันนี้ขอบใจแล้วกันที่ช่วยทำให้รุ่นน้องได้ยินเสียงไวโอลินผลงานของสตราดิวาเรียสสมแล้วกับที่ถูกยกย่องว่าสร้างขึ้นในยุคทองของไวโอลิน"

    "ถ้าคนเล่นมือไม่ถึงก็เล่นแบบนี้ไม่ได้หรอกคะ" พี่กันยาย้อนทันทีเล่นเอาหลายคนในงานส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้

    "ก็อยากจะชมคนเล่นอยู่ละ ถ้าค่าตอบแทนในการเล่นครั้งนี้ เป็นเพียงคำว่าขอบใจ" พูดจบ พี่ผอบจันทร์หยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินขนาดเล็กพอกำไว้ในมือส่งให้ พี่กันยารับไวก่อนเดินตรงมาหาฉัน กระเป๋าไวโอลินถูกเปิดเตรียมไว้ พี่กันยาจัดวางทุกอย่างลงไปอย่างเบามือ สายตามองทางฉันเหมือนกำลังอ่านใจ

    "ไปทานเค๊กกันไหมเมย์"

    "เย็นมากแล้วหนูคงต้องรีบกลับบ้านคะ" พี่กันยาพยักหน้าก่อนยกกกระเป๋าไวโอลินมาถือเอง

    "งั้นก็นั่งรถไปพร้อมกับพี่ เดี๋ยวให้คนขับรถช่วยพาไปส่ง"

    "คือว่าไม่..."

    "เมย์" เสียงแม่มณีร้องขึ้นทำให้ฉันหันไป ก่อนเธอจะเดินเข้ามา

    "ขอบคุณมากคะสำหรับวันนี้พี่กันยา" แม่มณียกมือไห้วขอบคุณ พี่กันยายิ้มออกมา

    "พี่ไม่ได้เต้นรำมานานมากแล้ว ถ้าไม่มีเธอนำพี่ก็แย่เหมือนกัน" พี่กันยาเงียบไปเล็กน้อยก่อนล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินที่ได้รับจากพี่ผอบจันทร์ขึ้นมา "นี่สำหรับการเริ่มต้น" แม่มณีรับกล่องนั้นเอาไว้ก่อนเปิดออกมาดู

    "เข็มสีทอง" เธอพูดขึ้น น้ำเสียงแสดงความประหลาดใจ นั้นหมายถึงเข็มสัญญลักษณ์ของโรงเรียนสีเงินสำหรับนักเรียนทั่วไปแต่สีทองจะหมายถึงคนที่อยู่ในคณะกรรมการนักเรียน

    "ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการเข้าใจผิดเล็กน้อย พี่ผอบจันทร์ก็เลยจะให้เธอเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการนักเรียน ช่วยทำงานของประธานนักเรียน ยังไงก็ไปขอบคุณพี่เค้าด้วยละ" พี่กันยาอธิบาย แม่มณีรีบหันไปมองทางพี่ผอบจันทร์ ที่กำลังเดินเข้าไปในเรือนไม้สีครีม เธอรีบเดินตามไปอย่างเร่งรีบ ฉันเองคงได้แต่มองตามอย่างเป็นห่วง

    "เย็นมากแล้วพวกเราไปกันเถอะ" พี่กันยาเอ่ยปากและเดินนำไป

    "คะ" ...

    บ้านทั้งหลังปิดไฟเงียบ เหลือแต่ไฟในห้องครัวที่เปิดอยู่ จิ๊ดจ๋านั่งอ่านการ์ตูนกองโตอยู่ที่โต๊ะกินข้าว หันมามองฉันที่เดินเข้ามาสีหน้างอนเล็กน้อย ฉันเองก็ไม่รู้จะแก้ตัวยังไงนอกจากเอากล่องขนมเค้กวางไว้ตรงหน้าน้องสาวคนดี

    "กินอะไรไปหรือยังนะ" ฉันถามขึ้น

    "ทำบะหมี่ทานไปตั้งแต่เย็น แล้วก็นั่งอ่านการ์ตูนรอพี่อยู่" น้องสาวฉันพูดไปพลางแกะกล่อนขนมเค้กออกมา ฉันจับผ้ากันเปือนมาสวมทับชุดนักเรียน เตรียมทำอาหาร "พี่เมย์ไปร้านนี้อีกแล้วเหรอ"

    "นั้นสิ ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปแต่ทำไมถึงขัดไม่ได้ก็ไม่รู้สุดท้ายก็ต้องไปจนได้" ฉันพูดไปตามจริง

    "แล้วยังผูกผมเปียอีกด้วย" จิ๊ดจ๋าพูดขึ้นทำให้ฉันนึกขึ้นมาได้

    "อือ รุ่นพี่เป็นคนทำให้ โรงเรียนนี้รุ่นพี่เป็นใหญ่นะ จะขยับสั่งอะไรรุ่นน้องก็ต้องทำตาม"

    "คนดื้อเงียบแบบพี่เมย์นะเหรอ... หนูคิดว่าถ้าพี่ไม่พอใจ ก็คงจะแก้ผมออกแล้วมัดกลับตามเดิมนั้นละ"

    "แล้วถ้าชอบละ" ฉันย้อนถามน้องสาว

    "พี่ก็จะหาข้ออ้างว่าโดนบังคับไง" จิ๊ดจ๋าตอบอย่างมั่นใจ ฉันยิ้มกับตัวเอง

    "มาช่วยพี่ซอยหัวหอมใหญ่หน่อยมา"

    "งะ หนูไม่ได้ใส่แว่นแบบพี่นะ แค่ปอกหัวหอมก็มีหวังน้ำตาไหลไม่หยุดแล้ว" ฉันไม่พูดอะไรจับหัวหอมใหญ่ เขียงไม้ขนาดสมุดจดพร้อมมีดอีโต้ ลงบนโต๊ะตรงหน้าจิ๊ดจ๋าน้องรัก

    "ซอยให้ดีละเอาไว้ทอดปลาส้ม เลยต้องใช้มากหน่อย" น้องสาวที่แสนดีย่อมไม่กล้าขัดใจพี่สาว เพราะไม่รู้ว่าอาจจะโดนแกล้งอะไรที่มากว่านี้ จึงได้แต่หั่นหัวหอมใหญ่ไปน้ำตาซึมไป

    จบตอนที่ 2
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×