
พิมพ์ลดาจำไม่ได้แล้วว่าวันที่เธอพบกับชยุตร์ครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะเดินทางไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกานั้นเป็นวันที่เท่าไหร่
หากแต่ว่าหญิงสาวยังคงจำภาพเหตุการณ์ในวันนั้นได้ดี ต้นพะยอมที่ขึ้นรอบๆ
ศาลาริมน้ำกำลังออกดอกขาวสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งบริเวณ
ห่างจากศาลาริมน้ำอันสร้างจากเรือนไม้หลังนั้นคือตัวบ้านรูปทรงสไตล์วิกตอเรี่ยนอันงดงาม
ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ที่นี่คือบ้านของเธอ...บ้านใหม่ที่เธอมีชีวิตอย่างมีความสุข
แต่ถึงกระนั้นนางดาราผู้เป็นมารดายังคอยกำชับเธอเสมอว่า
บ้านหลังนี้มิใช่สมบัติของตน
หากแต่ตนมีหน้าที่ต้องรับใช้และกตัญญูกับนายท่านเตชทัชและบุตรของท่านเท่าที่จะสามารถทำได้
พิมพ์ลดาได้ล่วงรู้ถึงความหมายของการสำนึกบุญคุณเหนือสิ่งอื่นใดของผู้เป็นมารดาเมื่อเธออายุย่างสิบห้าปี
ในวันที่นายท่านเตชธรจะปลูกเรือนอีกหลังให้มารดาเธอแยกออกมาอยู่ต่างหาก
ดารา
เป็นเพียงบุตรบุญธรรมที่นายท่านเตชธรที่นำมาชุบเลี้ยง
เมื่อครั้งที่พ่อและแม่ของเธอซึ่งเป็นเพื่อนรักของนายท่านเตชธรประสบอุบติเหตุเสียชีวิตด้วยกันทั้งสอง
ดาราในสิบขวบที่ไร้ญาติขาดมิตรอื่นใดจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า ด้วยความรักและสงสาร
นายท่านเตชธรจึงรับเด็กหญิงเข้ามาเป็นบุตรบุญธรรม
ส่งเสียเลี้ยงดูจนเธอเติบโตและได้ทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้
เมื่ออายุยี่สิบห้าปีดาราจึงสมรสกับทนายความคนหนึ่ง มีบุตรด้วยกันสองคนคือ
พิมพ์ลดา และพักตร์พิไลย แต่อยู่กินกันเพียงได้เพียงสามปี
สามีของเธอก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต
ดาราจึงกลายเป็นหม้ายสาวที่มีหนุ่มใหญ่หลายคนหมายปอง
เธอตัดสินใจแต่งงานใหม่อีกครั้งในวัยยี่สิบเก้าปี
หลังแต่งงานใหม่ดาราย้ายออกไปอยู่กับทรงศักดิ์ผู้เป็นสามีที่บ้านของเขา
หากแต่ผ่านไปได้ไม่กี่ปี ทรงศักดิ์ก็ประกอบธุรกิจขาดทุนจนต้องปิดบริษัทและถูกยึดทรัพย์สินไปหลายรายการ
หนึ่งในนั้นก็คือบ้านของตนด้วยเช่นกัน
ด้วยความเมตตาสงสารนายท่านเตชธรจึงให้ดารากลับมาอาศัยในบ้านเตชธรพร้อมกับสามีใหม่และลูกสาวทั้งสองคนของเธอ
ชายวัยเจ็ดสิบปีอย่างเช่นนายท่านเตชธร
ผู้ผ่านร้อนผ่าวหนาวมานานให้การเอ็นดูหลานสาวทั้งสองคนเป็นอย่างมาก
มอบความรักและใส่ใจให้ไม่ต่างกับหลานชายอีกสองคนของตนที่เกิดจากบุตรชายเพียงคนเดียวคือชัชชัย
ซึ่งถึงแก่กรรมก่อนวัยอันควรด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์กับภรรยาเขา
ทิ้งหลานชายทั้งสองคนซึ่งได้แก่ เชษฐาและชยุตร์ ให้เขาดูแล ทั้งเชษฐาและชยุตร์ที่ขาดพ่อและแม่ไป
จึงเข้ามาใกล้ชิดนางดารามากยิ่งขึ้นตามประสาเด็ก
และกลายเป็นเพื่อนเล่นของสองเด็กหญิงไปโดยปริยาย
เมื่อเจริญถึงวัยที่หัวใจเริ่มรู้สึกถึงความรักที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจ
พิมพ์ลดาก็เริ่มมองพี่ชายของเธอเปลี่ยนไป
มิตรภาพที่เขามอบให้แปรเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อน
ถักทอเกิดเป็นความรักอย่างที่เธอมิอาจรู้ตัวได้เลย
ในวัยสิบห้าปีที่นายท่านเตชธรปลูกบ้านหลังใหม่ให้เธอกับแม่ย้ายไปอยู่อาศัยเพื่อความสะดวกสบาย
เป็นวันเดียวกับที่ชยุตร์ต้องเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ เขาและเธอต้องพรากจากกันไป
และอีกนานหลายปีกว่าจะได้พบกันอีก การจากกันครานี้
ไม่รู้ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเขาจะยังคงคิดกับเธอเหมือนเช่นที่รู้สึกอยู่หรือเปล่า
ความรักอันบริสุทธิ์ในวันนี้จะแปรเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นหรือไม่หนอ ?
“พิมพ์...”
เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเบาๆ ที่ด้านหลัง
คนที่นั่งเอาเท้าแช่น้ำอยู่บนบันไดศาลาริมน้ำรีบหันไปมอง
ก่อนจะได้พบกับร่างสูงสมส่วนในวัยสิบเจ็ดปี แต่งตัวอย่างเรียบร้อยพร้อมออกเดินทาง
พิมพ์ลดารีบหยัดกายยืนขึ้น
ก้าวขาขึ้นจากบันไดไปบนพื้นศาลา ในดวงตากลมใสวาววับนั้นคลอด้วยม่านน้ำใส
ประสานกับสองตาคมของชายที่อยู่เบื้องหน้า
ชยุตร์เม้มริมฝีปากน้อยๆ
พยายามฝืนยิ้มข่มความรู้สึกอันอาดูรที่จะต้องพลัดพรากจากพิมพ์ลดาไป เขาค่อยๆ
เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบเอาของแทนหัวใจรักของเขาออกมา
พิมพ์ลดาใจเต้นแรง
รู้สึกหนักหน่วงหัวใจเมื่อชยุตร์เอื้อมมือมาดึงมือเธอขึ้นมาและบรรจงสวมแหวนเงินเกลี้ยงลงยังนิ้วนางข้างซ้ายของเธอ
มืออุ่นๆ
ของเขายังคงจับมืออ่อนนุ่มของเธอไว้แน่น สองตาสบประสานกัน
“พิมพ์อย่าลืมพี่นะ...พี่ฝากแหวนนี้ไว้แทนตัวพี่
เวลาพิมพ์ก้มลงมองมัน พิมพ์จะได้รู้ว่าพิมพ์มีเจ้าของแล้ว”
“พี่ยุตร์” พิมพ์ลดาเม้มปาก
แม้นจะส่งแววตาเง้างอดหากแต่น้ำตากลับปริ่มอยู่ขอบตา
ชยุตร์ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาที่ค่อยๆ
รินไหลลงมาจากสองตาของพิมพ์ลดาเบาๆ
ก่อนที่เธอจะหันไปยังถุงกระดาษใบหนึ่งที่วางอยู่บนที่นั่งของศาลา ตรงไปหยิบเอาของจากในถุงออกมาและส่งให้กับชยุตร์
“ผ้าพันคอค่ะ
พิมพ์เริ่มถักตั้งแต่รู้ว่าพี่ยุตร์จะต้องไปเรียนต่อที่อเมริกา”
เธอส่งผ้าพันคอซึ่งพับอย่างเรียบร้อยที่ถักจากไหมพรมสีครีมส่งให้เขา
ในส่วนปลายของผืนผ้านั้นปักชื่อของเธอและเขา โดยมีรูปหัวใจกั้นกลาง
ชยุตร์ก้มมองสิ่งของที่ได้รับพร้อมรอยยิ้มกว้างสดใส
พิมพ์ลดาพลอยได้คลายยิ้มทั้งน้ำตาตามไปด้วย ชยุตร์ยกผ้าพันคอผืนนั้นขึ้นมาหอมเบาๆ
ก่อนจะดึงร่างแบบบางตรงหน้าเข้ามากอดไว้สุดแรง
“พี่จะคิดถึงพิมพ์ทุกวัน...”
เสียงนุ่มนั้นกระซิบที่ข้างหูของพิมพ์ลดาแผ่วเบา และเป็นเสียงที่เธอจะนึกถึงก่อนหลับตานอนทุกวันเสมอ