คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4 ไม่เคยมีสองที่ไม่มีสาม Jamais deux sans trois
ตอนที่ 3 ไม่มีสองที่ไม่มีสาม Jamais deux sans trois 1
“เด็ก ๆ ให้แม่ขับขับรถไปส่งไหมลูก”
มารี -ชาร์ลอตต์ร้องถามลูก ๆ เมื่อเห็นทั้งสามรวมทั้งพี่เลี้ยงสาวพากันตั้งขบวนราวกับลูกเสือสามัญออกเดินทางไกลมีเป้หลังพร้อมกระติกน้ำสะพายข้าง ผู้เป็นแม่แอบค่อนในใจแต่รอยยิ้มพราวหน่วยตา
*ดูรึ... เตรียมแซนด์วิชไปกินกันยังกับจะค้างสักสองคืน เข้าตำรากองทัพเดินด้วยท้องเสียโดยแท้จริง *
เธอเหลียวมองแม่พี่เลี้ยงตัวดีที่เข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยกับลูกชายคนเล็กของเธอเพียงแค่จอฟฟรัวออดอ้อน *นะ...นะโรสที่รัก พรุ่งนี้เราไปเดินป่าที่สวนอัลแบรต์ คานน์ กันเถอะ* เท่านั้น แม่พี่เลี้ยงคนไทยก็เตรียมกางแผนที่จดรายการของใช้จำเป็นง่วนกันไป มารีอองเจล เด็กหญิงวัย6ขวบ เงยหน้าจากกองแผนที่เดินป่า อัลแบร์ คาน2 จ้องมองพี่ลี้ยงด้วยดวงตากลมโต คิ้วขมวดน้อย ๆ
“โรส ...ต้องเอา โอเบลิกซ์ไปด้วยไหม เผื่อหลงป่าแล้วเจอเสือ” คนถูกถามหันมองหมาน้อยพันธ์ยอร์คไชน์ตัวประมาณฝ่ามือที่นั่งกระดิกหางอย่างตั้งอกตั้งใจเมื่อได้ยินเสียงนายน้อยเรียกชื่อตัวเอง หญิงสาวแสร้งทำสีหน้าครุ่นคิดสักครู่ใหญ่จึงส่ายหน้าขึงขัง
“อย่าเลยเจ้าโอเบลิกซ์มันดุร้ายมาก...ถ้าไปทำร้ายเสือเข้าพวกเราจะลำบาก อย่าลืมสิว่าเสือเป็นสัตว์ป่าสงวนนะ ห้ามรังแก”
มาดามนั่งนึกไปอมยิ้มไป พี่เลี่ยงคนนี้ฉลาดน่าดู แถมวันนี้แต่งตัวแปลกตาไปจากทุกวัน กางเกงผ้าเวสปอยต์สีขี้ม้ากับรองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ ท่อนบนสวมเสื้อยืดขาวทับด้วยเจ็คเก็ตพันกระเป๋าแบบพรานเบ็ดสีเดียวกันกับกางกาง ส่วนหมวกบ็อบบนหัวของสามนักล่องไพร สงสัยจะไว้กันร่มเสียมากกว่าเพราะว่าแดดวันนี้ก็ไม่จัดนัก แถมอากาศยังเย็นนิด ๆ เสียอีก
“ว่าไงจ๊ะสามเกลอล่องไพร จะให้แม่ไปส่งไหม” เห็นไม่มีใครตอบมารีชาลอต์ตจึงถามซ้ำ อีกครั้ง
“ไม่ดีกว่าค่ะแม่ ...หนูอยากนั่งรถเมล์ นะโรสนะ เรานั่งรถเมล์กัน”
มารีอองเจลตอบมารดาแล้วหันมากระตุกแขนพี่เลี้ยง เด็กหญิงตื่นเต้นที่จะได้นั่งรถเมล์ป็นครั้งแรกแม้จะเป็นระยะสั้น ๆ แค่เพียงสามป้ายก็ตามที
“ค่ะมาดาม โรสจะพาน้องหัดนั่งรถเมล์ แค่สองสามป้ายเอง เดินต่ออีกนิดนึงก็ถึงสวน เอ้ย ...ป่าแล้วค่ะ คิคิ” หญิงสาวหัวเราะกับความรั่วไหลของตนเอง
“ตามใจ แต่อย่ากลับเย็นนักนะ หกโมงครึ่ง มีเรียนเปียนโนกันอีก”
เด็กสองคนแอบทำจมูกย่นด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ข้างหลังพี่เลี้ยวสาวพลางนึกภาวนาให้ครูสอนเปียนโนเป็นโรคท้องร่วงที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้ จอฟฟรัวออกเดินนำหน้าไปตามทางปูลาดด้วยหินตัดแบบดั้งเดิม พร้อมด้วยเสียงเพลง
ย่ำเท้าหนึ่งกิโลเมตร ...พื้นสึกแรงเสื่อม
ย่ำเท้าหนึ่งกิโลเมตร สึกหรอมหาศาล....
สองสาวสองวัยเดินซอยเท้าตามไปติด ๆ พร้อมร้องรับท่อนสร้อยโดยมีสายตาของผู้เป็นแม่แลตามหลังปิดขบวนล่องไพร ด้วยความรักและความห่วงใย
...........................................
“โรส ...โรส” มารี-อองแจลสะกิดแขนพี่เลี้ยงเสียงสั่นพิกล โรสก้มมองตามลำแขนเรียวเห็นสีหน้าหวาดระแวงของเด็กหญิงจึงเลิกคิ้วเป็นถาม
“ว่าไงอองเจล” เธอเรียกมารี-อองเจลสั้น ๆ ตามความต้องการของเจ้าตัวเมื่อ
ยามพ้นตาผู้ใหญ่ ชื่อผสมทำนองนี้ล้าสมัยไปแล้ว ยังมีแต่พวกตระกูลเก่าเท่านั้นที่นิยมใช้ตั้งชื่อบุตรหลาน อย่างหลุยส์-ชาร์ล ...หญิงสาวหน้าแดงวูบวาบนึกอายแก่ใจที่อยู่ ๆ ก็ดันไพล่ไปนึกถึงนาย เจนเติ้ลแมน บงชิก บงจอง3 คนนั้นไปได้
“โรส...ดูตาคนนั้นสิ ข้างหลังเราน่ะ หนูว่าเค้าตามเรามาตั้งแต่หน้าประตูบ้านแล้วนะ”
อองเจลบุ้ยใบ้ไปข้างหลัง โรสใจหายวาบรีบจับแขนมารี-อองเจลไว้แน่น มองปราดไปอย่างระแวดระวังที่จอฟฟรัวที่เดินนำหน้า เมื่อคืนเพิ่งจะออกข่าวลูกเศรษฐีถูกจับตัวไปเรียกค่าไถ่ระหว่างเดินไปโรงเรียนกับเจินฟียย์โอแปร์แบบเธอ แถมพี่เลี้ยงยังเป็นสายให้ไอ้โจรเสียเองอีก หญิงสาวสืบฝีเท้าถี่ยิ่งขึ้นจนทันเด็กชาย เธอจับแขนเขาไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่งพลางจุปากส่งสัญญาณเตือนภัยให้จอฟฟรัวรู้ เธอสอนเด็กทั้งสองไว้เช่นนี้หากมีอะไรผิดปกติให้อยู่ใกล้กันไว้แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่าให้เป็นที่ผิดสังเกต
*ถ้าเราทำเผยให้ศัตรูรู้ถึงความกลัวที่เกาะกุมเรา นั่นคือประตูแห่งหายนะเปิดอ้าให้ข้าศึกจู่โจม*
ทั้งสามคนก็ยังคงเดินตรงไปที่ป้ายรถเมล์ข้างหน้าตามปกติ หญิงสาวหันศีรษะไปทางด้านข้างทำทีเป็นสนใจของในตู้โชว์สินค้าแต่ความจริงคือเหลือบมองไปทางหลังโดยอาศัยเงาสะท้อนแต่ก็ไม่สามารถเห็นหน้าคนทีเดินตามหลังได้ จากเสียงผีเท้าเขาคงอยู่ในระยะกระชั้นชิดกับเธอมาก พี่เลี้ยงสาวค้อมตัวลงกระซิบกระซาบกับเด็กทั้งสอง
“หนึ่ง...สอง ...ส้าม” ทั้งสามกลับหลังหันมาประจันหน้ากับผู้สะกดรอยตามอย่างพร้อมตะลุมบอน ฝ่ายตรงข้ามไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะพลิกผันถึงเพียงนี้ ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
“โอ้ พระแม่ผู้อ่อนโยน”4
คราวนี้โรสเป็นฝ่ายงงเสียเอง โจรเรียกค่าไถ่ที่ไหนจะหวานแหว๋วเชยแหลกขนาดนั้นไปได้ ใครเขาอุทานเบบนั้นกันเล่าสมัยนี้มีแต่*โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด*กันทั้งนั้น มิหนำซ้ำเสียงนุ่มทุ้มนั้นคุ้นหูเธอเหลือเกินหรือว่า...
“โรส ...นั่นคุณ ใช่ไหม โรสอินทวา”
ใช่เลย...คุณชายคนเดิม นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือที่พ่อเคยพูดถึงภาษิตฝรั่งเศสที่ว่า
*ไม่เคยมีสองที่ไม่มีสาม *จะเป็นจริง เธอต้องวนเวียนมาเจอกับเขาเป็น ครั้งที่สามแล้ว
“เอ้อ ...หลุยส์ใช่ไหมคะ” โรสแกล้งทำเชิงว่าไม่ค่อยสนใจเขาเท่าไหร่นักจึงจำชื่อเขาไม่ได้ แต่ความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ใครจะลืมตาสีฟ้าใสสวยราวกับลูกแก้วในขวดโหลที่เธอเคยเล่นสมัยเด็ก ๆ ...หลุยส์ชาร์ล เดอ กอร์ฟฟ
“ครับ...” เขาตอบพร้อมเสียงหัวเราะแลเห็นแนวฟันเรียบขาวสะอาด ผมสีทองหยักสลวยยาวประบ่าของเขาเป็น ประกายจ้าในแสงแดดอ่อนๆ ยามบ่าย
“ผมมีเรื่องถามคุณอีกแล้ว นี่ถนน คฮูท ลา เคนน์5 ใช่ไหมครับ”
“ใช่ค่ะว่าแต่ ... คุณจะไปไหนล่ะคะดิฉันจะได้บอกทางให้ คือว่า...พักอยู่แถว ๆ นี้ค่ะ พอจะรู้จักทางบ้าง”โรสตอบอย่างคนโอบอ้อมยิ่งเห็นท่าทางเปิ่น ๆ ของหลุยส์แล้วนึกสงสาร สงสัยจะมาจากต่างจังหวัด
“คือผมจะไปที่ชาโต้ เซงคลู จำได้ว่าตอนนั้นตามขบวนท่านแม่ พลม้าใช้เส้นทางนี้ตัดตรงจากปารีสข้ามลำน้ำเซนไปตรงไปบรรจบตัวปราสาท”
ชายหนุ่มตอบโรสด้วยท่าทางเป็นปกติ ไม่ได้เฉลียวใจว่าภาษาที่ตนใช้ทำให้คนฟังมีสีหน้าทะเม่ง ยังไม่ทันที่โรสจะได้ตอบคำถามหลุยส์จอฟฟรัวก็ร้องตะโกนขึ้นจนทุกคนสะดุ้งโหยงหันไปดูในทิศทางที่เด็กน้อยชี้นิ้ววอยๆ
“รถเมล์มาแล้ว” ว่าแล้วจอฟรัวก็ออกสปินเต็มเหนี่ยวตรงไปยังป้ายรถเมล์ที่อยู่ไปไกลอีกราว ๆ ห้าสิบเมตร เป็นที่รู้กันว่ารถมเมล์ที่นี่ไม่จอดรับนอกป้ายแล้วก็ไม่รอผู้โดยสารแม้จะเห็นว่าวิ่งตามหลังมาไว ๆ เนื่องจากรถเมล์เข้าป้ายตรงเวลา จะคลาดไปก็เพียงสองหรือสามนาทีเท่านั้น โรสจึงไม่พลูพล่ามคว้าอองเจลมือหนึ่ง คว้าหลุยส์-ชาร์ลอีกมือหนึ่งลากถูลู่ถูกังขึ้นรถเมล์ไปจนได้
แฮ่ก ...แฮ่ก หญิงสาวหายใจหอบขณะที่สอดตั๋วเข้าเครื่องตอกบัตรบนรถ เด็กสองคนทำตามพี่เลี้ยงด้วยท่าทางตื่น ๆ ทั้งคู่ เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นรถเมล์แถมยังตอกตั๋วเองเสียอีก พรุ่งนี้คงต้องไปอวดเพื่อนในห้องเรียนเสียหน่อย หนุ่มน้อยจอฟฟรัวคิดด้วยความตื่นเต้น แต่ในขณะที่ทุกคนจะพากันไปนั่งตรงที่ว่างท้ายรถ เสียงคนขับรถเมล์ก็ดังขึ้น
“คุณผู้ชายตอกตั๋วด้วยครับ” ผู้โดยสารทั้งคันรถหันมามองหลุยส์เป็นตาเดียวกันแต่เจ้าตัวดูจะไม่เข้าใจอะไรนัก โรสจึงช่วยสะกิด
“หลุยส์ ตั๋วล่ะ”
“ตั๋วอะไรหรือ”
หน้าหลุยส์ซื่อเสียจนโรสไม่กล้าคิดว่าเขาทำฟอร์มตีขลุมคิดเบี้ยวค่าโดยสารอย่างที่มาเตโอชอบทำอยู่เป็นประจำ ซ้ำร้ายตอนนี้แพงน้องก็กำลังเอาอย่างคู่ปรับ มาเตอำตัวเป็นขนมครกประกบเพื่อนพี่เพื่อผ่านประตูลงรถไฟใต้ดินไปด้วยตั๋วเพียงหนึ่งใบ ส่วนแพงน้องตามติดหลังอเล็กซ์ราวกับเป็นหนอกกับคนค่อม
โรสถอนใจ...มาจากไหนหนอนายทึ่ม หญิงสาวเดินไปยื่นตั๋วรถเมล์ให้ชายหนุ่มแล้วบุ้ยใบ้ไปที่เครื่องตอกตั๋ว
“ฮื่อ ...เนี่ย สอดไปตรงนี้แหละ”
หลุยส์สะดุ้งชักมือออกจากเครื่งตอกบัตรแทบไม่ทันเมื่อตั๋วรถเมล์สีเขียวถูกดูดจากมือเขาหายวับเข้าไปในข้างกล่องเหล็กแล้วโผล่กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มขมวดคิ้ว เหลียวมองสารถีอย่างหวาดหวั่นแล้วรีบยัดเยียดตั๋วใบเดิมเข้าไปในเครื่องอีกครั้ง
*ตู๊ด...*กล่องเหล็กดื้อด้านส่งเสียงประท้วงจนหลุยส์สะดุ้งโหยงคว้าบัตรสีเขียวที่ถูกคายออกจากมาอีกครั้งแล้วตั้งหน้าตั้งตายัดกลับไปทีเดิม
“กลืนหน่อยเถอะนะ”ชายหนุ่มเว้าวอน
นอกจากเสียงเครื่องตอกบัตรที่ร้องคำรามตู๊ด...ตู๊ดด้วยความโกรธาแล้ว ทั้งคันรถไม่มีใครเอ่ยวาจาใด ๆ ได้นอกจากเสียงหัวร่อ จนโชเฟอร์ต้องครวญครางอย่างน่าเวทนาสองมือกุมท้องด้วยความเจ็บปวดจากกล้ามเนื้อที่หดและคลายตัวอย่างกระทันหันโดยการกระตุ้นของเสียงหัวร่อ
“พ่อหนุ่มเอ้ย จะไปกันได้รึยัง ป้ายหน้าคนเค้ารออยู่นะ”
ร้อนถึงโรสที่ต้องเดินมาลากเอานายอบเชยไปหลบทางท้ายรถด้วยดวงหน้าสีแดงก่ำ ชายหนุ่มเดินตามโรสไปนั่งข้างหญิงสาวจ้องมองตั๋วรถเมล์ในมืออย่างชอบอกชอบใจ ลืมความตั้งใจเบื้องต้นที่จะไปชาโต้แซงคลูไปเสียสนิท
โรสแอบมองคนข้าง ๆ นึกฉงน ขนาดสองหนูลุยป่ามีบ้านหลังโตกับสวนสวย ยังตื่นเต้นกับความงดงามของสวนอัลเบร์ คาน ที่จัดเป็นหลายส่วน ทั้งสวนกุหลาบที่โรสชื่นใจอยากให้พ่อมาอยู่ข้าง ๆ ชมความงามของดอกไม้ประจำใจของผู้เป็นบิดา หรือสวนฝรั่งเศสรูปทรงเรขาคณิตนั่นก็งามจับตา แต่ทว่าหลุยส์-ชาร์ลกลับไม่มีท่าทางยินดียินร้าย ราวกับว่าเป็นของพื้น ๆ ธรรมดา จะมีก็แต่สวนญี่ปุ่นเท่านั้นที่ดึงดูดความสนใจของหลุยส์ได้บ้าง
“ใช่ชาวอาทิตย์อุทัยไหม*ญี่ปี่น*ที่คุณว่า คล้ายชาวสยามหรือเปล่า ท่านปู่ทวดของผมเคยติดต่อกับเจ้ากรุงสยาม”
โรสหันไปมองหน้าหลุยส์ย่างงงัน ...อีตานี่ หลุดมาจากไหนกันนี่ ถึงขั้นเรียกพระเจ้าอยู่หัวว่า *เจ้ากรุงสยาม*นี่ ...ไม่ย่อยเลยทีเดียว
หญิงสาวร้องเรียกอองเจลและจอฟฟรัวมาทานของว่าง คนฝรั่งเศสถือว่าอาหารว่างตอนสี่โมงเย็นสำหรับเด็ก ๆ เป็นอาหารมื้อสำคัญที่ขาดไม่ได้ บางทีเรียกกันสั้นๆว่า เลอ กาเทรอที่แปลว่า 4โมง อองเจลดูจะชอบใจหลุยส์เป็นพิเศษแตกต่างจากตอนแรกเห็น เด็กหญิงส่งขนมปังบาเก็ต6หั่นครึ่งท่อนผ่าสองซีกทาเนยและตับบดเคียงด้วยสลัดและแตงกวาดองให้หลุยส์ ในขณะที่จอฟฟรัว ออกอาการหึงคู่หมั้นรุ่นพี่อย่างออกหน้าออกตา
“อย่าไปมองนายผมทองนะโรส ...แม่บอกว่าคนผมทองเจ้าชู้ เชื่อเราเหอะ”
โรสหอมแก้มหนุ่มน้อยเบา ๆ พร้อมกับให้สัญญา ถึงจอฟฟรัวไม่บอกโรสก็ไม่กล้ามองเขามากนัก หันไปทีไรหลุยส์กำลังจ้องเธออยู่ทุกครั้ง...แกล้งกันหรืออย่างไร...
“หลุยส์ เล่นไล่จับกันนะ” อองเจลดึงเขนชายหนุ่มทันทีที่เขาอิ่มของว่าง ส่วนจอฟฟรัวลืมความหึงหวงเสียสนิท กระโดดหยอง ๆ
“ดี ดี ดี...โรสเล่นด้วยกันนะ” โรสส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก้มลงมองตรงข้อมือ
“ไม่เอา...โรสวิ่งไม่ไหวแล้ว แต่แค่เดี๋ยวเดียวนะไม่อย่างนั้นกลับบ้านไม่ทันครูเปียนโนละก็ คราวหลังเราคงอดมาเดินป่าแบบนี้กันอีก”
“อย่าไปชวนเลย โรสเค้าผอมขนาดนั้นวิ่งไม่ไหวหรอก”
นายผมทองจอมเจ้าชู้ของจอฟฟรัวร้องเย้าโรสกลั้วเสียงหัวเราะ จริงสินะ...หลุยส์คิดในใจ หากท่านแม่เห็นเข้าคงจะตกใจว่าที่บ้านเธอคงไม่มีอะไรให้กินถึงได้ผอมขนาดนี้ ส่วนโรสเก็บข้าวของลงเป้หลัง ด้วยใบหน้างอง้ำราวกับม้าหมากรุก ...ถือดีอยางไรถึงมาว่าเธอ ตั้งเต่จำความได้เธอได้รับแต่คำชมมาตลอดว่าสมส่วน หญิงสาวก้มหน้าลงจนคางชิดหน้าอก ลอบมองดอกบัวตูมสองดอก อวบไม่เบาเหมือนกันนะยะ หญิงสาวแอบคิด
“เอ้ ...หลุยส์ แล้วชาโตล่ะ ไม่ไปแล้วเหรอ”โรสหันมาถามชายหนุ่มเมื่อเห็นเขาเดินจูงมือเด็กสองคนขึ้นรถเมล์กลับบ้านพร้อมกับเธอ ขากลับนายเชยไม่ลืมตอกตั๋ว เขาแบมือมาตรงหน้าหญิงสาว
“โรส ...ตั๋วใบนึงสิ” ชายหนุ่มทำหน้าเป็นเสียจนเธออยากจะหยิกให้เนื้อเขียว นี่นายอบเชยเห็นเธอเป็นเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติไปตั้งแต่เมื่อใหร่ ความหมั่นไส้ของโรสพลอยเจือจานไปถึงเด็กทั้งสองคนด้วย ดูทีรึ... ขามายังโรสอย่างนั้นโรสอย่างนี้ ขากลับทิ้งโรสแบกเป้คนเดียวหลังเอ้ก มัวแต่ไปประจ๋อประแจ๋ หลุยส์อย่างงั้นหลุยส์อย่างงี้กันทั้งสองคนพี่น้อง
ที่หน้าบ้านออร์คลีออง มาดามกำลังเคลื่อนรถออกจากบ้านเมื่อทุกคนไปถึง มารี-ชาร์ลอตต์ชะลอรถจนจอดสนิท ยื่นหน้าออกไปทักทายนักล่องไพรทั้งสาม
“กลับมาทันเวลาพอดี ครูเพิ่งมาถึงแน่ะลูก ...เอ้อ แล้ว ....” มาดามจนคำพูดเมื่อเห็นลูกจูงชายแปลกหน้ามาด้วยอีกคน มารีชาร์ลอตต์ขมวดคิ้วมุ่น...สั่งไว้แล้วว่าอย่าคบคนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า
“สวัสดีครับคุณผู้หญิง”หลุยส์ย่อตัวทำท่าราวกับจุมพิตปลายมือของมารี-ชาลอตต์
“ผม หลุยส์ชาร์ล เดอ ...กอร์ฟฟ”
สองครั้งแล้วที่หลุยส์ติดอ่างนิด ๆ ตอนเอ่ยถึงชื่อสกุล มารี-ชาลอตต์จ้องมองชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าอย่างงงงัน นานมาแล้วที่ไม่เคยเห็นใครถอนสายบัวได้งดงามเป็นธรรมชาติราวกับอยู่ต่อหน้าพระพักตร์แห่งองค์สุริยะราชันย์เช่นนี้มาก่อน
“แม่ขา...หลุยส์เค้าเป็นเพื่อนของโรสค่ะแล้วก็ของหนูด้วย วันหลังเราชวนหลุยส์มากินข้าวที่บ้านนะคะแม่” อองเจลออดอ้อน
“จ้ะ ๆ” อารามรีบ มารี-ชาร์ลอตต์ส่งนามบัตรให้หลุยส์ แต่ก่อนจะออกรถไปเธอทิ้งประโยคสุดท้าย
“โทรมาได้ทุกเวลานะหลุยส์ ...อ้อ ทิ้งที่อยู่ไว้ที่โรสด้วยนะ”
โรสมองตามท้ายรถของนายจ้างอย่างมึนงง หันไปทางหลุยส์ที่ยืนยิ้มแต้ราวเด็ก น้อยได้ลูกอมแล้วให้ขัดใจนัก นายผมทองคนนี้ท่าจะมีคาถามหาระรวย ไม่เช่นนั้นก็แขวนพระขุนแผน ทำไมใครเห็นใครเอ็นดูถึงขนาดนี้ ดูแต่มาดามยังส่งนามบัตรให้เพียงแค่เจอหน้าครั้งแรก หญิงสาวอมยิ้มในหน้าอยู่คนเดียว เมื่อนึกครึ้ม ๆ ว่า
*ต้องทดสอบกับเทเรชเสียแล้ว ...ถ้ายายคุณแม่บ้านหน้าแข็งทื่อยังตกหลุมเสน่ห์ นายหลุยส์ก้อ แน่นอนเลยทีนี้ ...พระขุนแผน ชัวร์* สุดท้ายหญิงสาวต้องหุบยิ้มพอเจอสายตาสีฟ้าของหนุ่มผมทอง ที่จับจ้องตรงมา
“เปล่า ๆ นะ ชั้นไม่ได้คิดอะไร” โรสร้อนตัวรีบปฏิเสธพัลวัน หลุยส์ฉีกยิ้มกว้าง มองเธอด้วยแววตารู้ทัน
“ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักหน่อย คุณร้อนตัวไปเอง” โรสมองค้อนก่อนจะหันไปหาเด็กๆ
“เข้าบ้านกันได้แล้วค่ะ ครูรออยู่” จอฟฟรัวและอองเจล จูบลาหลุยส์
“แล้วเจอกันอีกนะหลุยส์ ...สัญญานะ” อองเจลแบมือสองข้างยื่นไปตรงหน้า หลุยส์-ชาร์ลทำตามแต่คว่ำมือ แล้วตีลงเบาๆลงบนมือของอองเจล
“ตั้บล่า7”
โรสอมยิ้ม จอฟฟรัวเพิ่งสอนท่าตอบตกลงสัญญาให้เมื่อครู่ ลูกศิษย์หนุ่มนำมาใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว หลุยส์มองตามหลังเด็กทั้งสองเดินผ่านประตูที่เทเรชยืนรอรับอยู่ เขาหันกลับมาทางหญิงสาวตรงหน้า
“ผมคงต้องลาจากคุณตรงนี้ หวังว่าคงจะได้พบกันอีก”
หลุยส์-ชาร์ลก้าวเข้าประชิดตัวหญิงสาวจับบ่าของเธอไว้อย่างนุ่มนวลพลางค้อมศีรษะลงจุมพิตลาที่พวงแก้มปลั่งสองข้าง ณ.เวลานั้นหญิงสาวแน่ใจตัวเองว่าสีของชมพู่แก้มแหม่มได้แปรเป็นแดงจัดจ้าราวกับมะเหมี่ยว นายผมทองไม่ทำตามประเพณีเสียแล้วเล่นใช้ริมฝีปากอุ่น ๆ แถมยังปลายจมูกแหลม ๆ นั่นอีก
*ปาปู๊เน่...มีคนแอบชมกุหลาบดอกงามในสวนของพ่อเสียแล้วค่ะ*หญิงสาวร่ำร้องในใจ พอหายตะลึง โรสเห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่มที่ไกลออกไป
“เดี๋ยวหลุยส์ ...เอ้อ มาดามสั่งให้ถามที่อยู่คุณน่ะค่ะ” โรสอึกอึก เกรงหลุยส์-ชาร์ลจะจับเค้าได้ว่าเธอเองต่างหากที่อยากจะถาม มาดามเพียงแต่รับหน้าจัดให้อย่างรู้ใจเธอเท่านั้น
โอ้หนอ เป็นสตรีมีนวลสงวนไว้
ชายหนุ่มเหลียวแลหลัง แสงอาทิตย์รำไรสาดส่องเสี้ยวหน้ากับรอยยิ้มที่สดใส หลุยส์ดูราวกับเจ้าชายน้อยในหนังสือนิทานเล่มที่เธออ่านให้จอฟฟรัวฟังก่อนนอน
“ตริอานง ...แวร์ซายย์” ชายหนุ่มทิ้งท้ายก่อนเลี้ยวลับไปตรงมุมตึก
หญิงสาวหันหลังกลับเข้าบ้านแล้วต้องชะงักเท้าด้วยสียงเรียกจากด้านหลัง...เทเรซนั่นเอง แม่บ้านรอปิดประตูด้วยตัวเอง
“คะ”
“เพื่อนชายของเธอหรือ ...ท่าทางดีนะ” คุณแม่บ้านหน้าตายถามสั้น ๆ โดยไม่รอคำตอบ ทิ้งให้โรสยืนเอามือลูบหน้าตัวเองครางเสียงระโหย ...พระเจ้า นายหลุยส์เล่นของ...
.....................................................
“จริง...จริ้ง โรสไม่ได้เม้าท์นะเพื่อน” หญิงสาวนอนคว่ำข้อศอกท้าวอยู่บนที่นอนหนานุ่มในมือถือโทรศัพท์ประกบข้างแก้ม เสียงใส ๆ บอกอารมญ์สดชื่นของผู้พูดจนปลายสายจับนัยได้ เพื่อนพี่หันไปพยักเพยิดกับลูกขุนพลอยพยักที่รายรอบรอฟังข่าวอย่างใจจดใจจ่อ
“ชวนไปเที่ยววันเสาร์อาทิตย์นี้เลยสิโรส” เสียงมาเตโอดังมาไกล ๆ
“โหล ๆ เพื่อน นั่นเสียงมาเตโอเหรอ อยู่กันครบทีมสิท่า”
“อื้อ ...” เพื่อนพยักหน้ากับหูโทรศัพท์ “สองหนุ่มตื้อให้ลี้ยงข้าวตอบแทน ยายแพงเลยทำข้าวผัดพริกเลี้ยงซะ ฮ่ะ ๆ”
“ตายแล้วสองคนนั่นจะกินไหวเหรอ เผ็ดแย่เลย” โรสนึกหน้าสองหนุ่มตอนเจอพริกในจานข้าว
“นายพิซซ่าพอไหวนะ ...แต่นายหมีขาวนี่สิ กลายเป็นมังกรพ่นไฟไปเลย ...ฮ่า ฮ่า... แล้วว่าไง จะทำอย่างที่มาเตโอว่าไหม ชวนไปเที่ยวด้วยกัน ...ประหลาดไม่ประหลาด เดี๋ยวก็รู้” ยังไม่ทันจะวางหูโทรศัพท์สนิทดี เพื่อนพี่ก็ถูกทุก ๆ คนรุมซัก
“ว่าไง โรสจะชวนนายลึกลับนั่นมาเที่ยวกับพวกเราไหม” เอล็กซ์ถามด้วยเสียงแสดงความกระตือรือร้น เพื่อนพี่พยักหน้าอมยิ้มตุ่ยตาวาววามด้วยความสนุก ...อยากรู้กันนัก เดี๋ยวคงจะสมใจนึกถ้าเธอเปิดเผยสถานที่ออกเดทที่โรสหมายตาไว้
“ฮ้า ....พิพิธภัณฑ์” สามสหายอุทานขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
“ช่ายแล้ว” เพื่อนลากเสียง อดขำสีหน้าของน้องสาวฝาแฝดกับเพื่อนทั้งสองไม่ได้ เป็นที่รู้กันว่าทั้งสามคนคิดพ้องกันว่าพิพิธภัณฑ์นั้น ต้องเก็บอาไว้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลังวัยเกษียณแล้วเท่านั้น
“อยู่เฉย ๆ ตอนแก่ เดี๋ยวเป็นอัลไซเมอร์” เจ้ามาเตโอลอยหน้าว่า
“หว๋ายยยยยย...โรสน่าจะรอไปตอนวันอาทิตย์แรกของเดือนนะ” แพงหน้ามุ่ยจนมาเตโอได้ช่วง รีบฉวยโอกาสเหน็บเอาทันที
“ยายงก...เอ้ย แค่ห้ายูโรกว่า ๆ เองมีของดีให้ดูตั้งเยอะ นี่ราคาลดแล้วนะ รีบ ๆ ไปดูซะเหอะ เหี่ยวเกินยี่สิบห้าปีแล้วต้องจ่ายเต็ม มาดามขี้งก”
แพงหันมาค้อนใส่วงใหญ่แล้วยังไม่หนำใจ กำหมัดฟาดตุ้บเข้ากลางหลังจนมาเตโอครางอูย
“ปากดีนักนะนายพิซซ่า ...ตัวเองก็พูดได้สิ เข้าฟรีนี่หว่า ลองมาเสียเงินแบบเพงบ้างสิ จะอยากไปดูของดี ๆ ในพิพิธภัณฑ์ไหมล่ะ”แพงย้อนถามยังไม่ทันจบประโยคดี นายพิซซ่าส่ายหน้าจนผมกระจาย ...หึ
“ยายโรสเค้าคิดประหลาดนะ”อเล็กซ์ทำท่าครุ่นคิด “ไปออกเดทในพิพิธภัณฑ์ ...เออนะ พอ ๆ กับชวนสาวไปปิคนิคที่ป่าช้า”
เพื่อนพี่หัวร่อเสียงใสจนมาเตโอลอบมองอย่างตื่นตา หญิงสาวนึกขำความช่างเปรียบเทียบของอเล็กซ์
“เอล็กซ์ล่ะก้อ ...ว่าไป โรสเค้าชอบแบบนี้แหละ ดูภาพ สวย ๆ งาม ๆ จะว่าไปมันก็งานของพวกเรานะ เรียนออกแบบต้องรู้จักหาความรู้จับของเก่าของใหม่มาผสมกัน ว่าแต่...เอล็กซ์พูดเกินไปรึเปล่านี่เรื่องปิคนิคกลางป่าช้า ใครจะน่าเกลียดขนาดนั้น”
เอล็กซ์ไม่ตอบคำถามเพื่อนพี่ได้แต่หัวเราะท่าทางของมาเตโอที่ลอบส่งสัญญาณถอดความว่า *กรุณาเถิด ...ท่านเอล็กซ์ ...พลีส ...พลีส*จะบรยายแบบภาษาไทย คงต้องบอกว่า มาเตโอลงนั่งไหว้ปะหลก ๆ
*บรรยายากาศดีจะตายป่าช้าน่ะ ดอกไม้สดดอกไม้แห้งอูฟู แถมเวลาผีหลอก สาว ๆ ผวาเข้าอ้อมกอด* นายคาสาโนว่าเคยให้เหตุผลไว้อย่างนั้น
“เอ้าตกลงว่า วันอาทิตย์ไปเดินดอร์เซ่ย์8กันนะพวกเรา ช่วยโรสขบปัญหาหัวใจ” เพื่อนสรุป
“แล้วปัญหาหัวใจของเรา ใครจะไขให้ล่ะ”
มาเตโอหยอดทั้งน้ำคำและแววตาหวานฉ่ำ เพื่อนมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้า แล้วให้รู้สึกประหลาดใจในตัวเอง โดนวางหาบขนมจีบซึ่งๆ หน้าแล้วใยไม่สะทิ้นอาย เธอกลับจ้องมาเตโอได้เต็มตาพร้อมรอยยิ้มกว้าง
“โน่นไง... แพงขันอาสาอยู่นู้น แน่ะ” เธอโบ้ยไปทางน้องสาว รายนั้นถูมือรอลูกชงส่งมาจากพี่สาวอยู่นานแล้ว
“มาสิเราไขให้ ประตูส้วมเขรอะกว่านายอีกนะ มาเตโอ แพงยังไขมาเรียบร้อย”
แพงน้องลอยหน้าเฉิบ ๆ ยักคิ้วแผล็บ ตั้งใจกวนโมโหฝ่ายตรงข้ามอย่างถึงที่สุด อเล็กซ์โคลงหัวกับคู่ทะเลาะนิรันดร์กาล หันไปถามเพื่อนพี่ทั้งที่เสียงหัวเราะยังดังขลุก ๆ ในลำคอ
“ถามจริง ๆ เหอะ เธอสองพี่น้องนี่นอกจากนิสัยจะต่างกันแล้ว มีส่วนไหนต่างกันอีกหรือเปล่า ดูอย่างโรสสิเค้ายังแยกเธอสองคนออกเลย เรามองไม่ออกนะถ้าไม่เอ่ยปากพูดน่ะ”
“อ้าว...อเล็กซ์ว่าเราปากมอมรึเปล่านี่”
แพงร้อนตัวทำหน้างองุ้ม อเล็กซ์รีบปฏิเสธเป็นพัลวัลจนแพงหายงอนหัวเราะร่าแล้วเอียงแก้มซ้ายให้ดู ตรงมุมปาก ที่มีรอยผลเป็นเล็ก ๆ จาง ๆ แทบจะมองไม่เห็น
“ตกต้นม่ะม่วง กิ่งมันเกี่ยวเอาปากฉีกเป็นรอย นี่ ๆ ดูตอนยิ้มสิ ต่างกันนิดนึง”
เพื่อนพี่กับแพงน้องฉีกยิ้มกว้างพร้อมกันทั้งสองคน สองหนุ่มพิจารณาแล้วผงกหัวอย่างเห็นจริง
ท้ายบท
1 ไม่มีสองที่ไม่มีสาม Jamais deux sans trois เป็น คำพังเพยของฝรั่งเศสหมายถึงว่า อะไรที่เกิดขึ้นถึงสองครั้งจะต้องมีครั้งที่สามตามมาอย่างแน่นอน
2สวนอัลแบร คานน์ Albert khann เป็นสวนสาธารณะอยู่ในตัวเมืองบูโลจญ์ Boulogne
3บงชิก บงชอง Bon chic bon genre คำเรียกกึ่งเสียดสีพวกที่เป็นผู้ดีมีตระกูล มากมารยาททั้งหลาย
4โอ้ พระแม่ผู้อ่อนโยน
5ถนน คฮูต ลา เคนน์ Route la reine ถนนตัดตรงจากเขตสิบหก ข้ามแม่น้ำเซนไปถึง เมืองแซง คลู saint Cloud ที่ตั้งของปราสาทที่มารีอังตัวเนตชอบไปพักด้วยเชื่อว่าอากาศที่นั่นดีกว่าในปารีสจะช่วยรักษาสุขภาพของลูก ๆ ได้ จึงบัญชาใเสร้างถนนตัดตรงไปที่นั่นเพื่อความสะดวกในการเดินทาง
6ขนมปังบาเก็ต Baguette คือขนมปังยาวที่เรียกว่าขนมปังฝรั่งเศส แต่จะมีขนาดเล็กกว่าขนมปังทั่วไปและกรอบอร่อยกว่า
7ตั้บล่า คืออาการที่คนสองคนปรบมือใส่กันแบบคว่ำมือคนหนึ่งหงายมือคนหนึ่ง แล้วเปล่งเสียง ตั้บล่า มาจากกริยาTaper = tapes là แปลตรงตัวคือ*ตบลงตรงนี้* มีความหมายเท่ากับให้คำสัญญา คนขอสัญญาจะหงายมือ ส่วนคนให้จะคว่ำมือ
8ทุกๆวันอาทิตย์แรกของเดือน พิพิธภัณฑ์จะเปิดให้เข้าชมฟรี
ความคิดเห็น