คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่3 เมื่อลำน้ำเซนไหลย้อน
บทที่3 เมื่อลำน้ำเซนไหลย้อน
ชีวิตพี่เลี้ยงเด็กของโรส ผ่านมาได้เกือบหนึ่งเดือนแล้ว บ้าน ออร์คลีอองที่เธอพักอาศัยอยู่ไม่ได้ตั้งอยู่ในเขตกรุงปารีสแต่เป็นเพียงเมืองรอบนอกชื่อ เมืองบูโลญจ์ บียองกูร์ค Boulogne-Billancourt อยู่ติดกับเขต16 ที่สองฝาแฝดอาศัยอยู่ ชีวิตประจำวันของเธอผ่านไปด้วยดี ตอนเช้า โรสต้องพาจอฟฟรัวและมารีอองเจล ไปส่งที่โรงเรียน ที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก ส่วนตอนเย็น เธอต้องไปรับกลับบ้าน จัดของว่างให้เด็กสองพร้อมทั้งสอนการบ้าน ดูแลเรื่องอาบน้ำและอาหารเย็น ซึ่งเทเรซแม่บ้านหน้าตายเป็นคนปรุง ตอนนี้โรสพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเทเรซถึงดูเย็นชากับธอนัก เป็นเพราะว่าเทเรซไม่สามารถจะเรียกใช้เธอแบบจานน์ได้ หน้าที่ของเธอคือดูแลเด็กเท่านั้น แม้แต่จานน์ที่เป็นหลานสาวแท้ ๆ ของเทเรซยังแอบนินทาๆ ถึงความเฮี้ยบของคุณแม่บ้านกับโรสอยู่บ่อย ๆ
“อาเทเรซเค้าพวกวัยทองน่ะ เธออย่าไปใส่ใจเลยนะ แกมาเอบนินมาว่ามาดามลำเอียง ให้เธออยู่บนตึก ส่วนเราสองคนต้องอยู่ข้างหลัง แต่ชั้นชอบอยางนี้มากกว่า เลิกงานแล้วก็จบกัน ไม่ต้องตัวลีบเล็กอยู่ตลอดเวลา ที่บ้านเจ้านายเก่านะเธอ โดนเรียกตลอด24ชั่วโมง มาช้าโดนตัดเงินอีกแน่ะ จะหาใครใจดีแบบสองผัวเมียคู่นี้ไม่มีแล้วหละ” ได้ที...จานน์ร่ายเสียยาว โรสชอบนิสัยเปิดเผยของจานน์ดีอยู่ แต่บางทีดูโฉ่งฉ่างเหมือนไร้มารยาทไปบ้าง แต่โรสก็ไม่เคยถือสา เล็กน้อย อย่าก่อศัตรู แม่สอนเธอเช่นนี้เสมอ
วันพุธ เป็นวันหยุดของเด็กนักเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถม โรสคุยให้จอฟฟรัวฟังว่าที่เมืองไทยเด็ก ๆ ต้องเรียนห้าวันรวด แถมมีวันปิดเทอมน้อยกว่าที่ฝรั่งเศส เจ้านายตัวน้อยทำหน้าเหย๋เกโผมากอดคอพี่เลี้ยงสาว
“โอ๋ ...โอ๋ โรส คงต้องเรียนเหนื่อยสินะ”
เด็กชายรักและหลงใหลพี่เลี้ยงชาวไทยคนนี้มาก อย่างเมื่อสองวันก่อนโรสโทรศัพท์ไปเล่าให้ผู้เป็นแม่ฟัง ถึงเรื่องจอฟฟรัว
“แม่ขา ...เตรียมรับว่าที่ลูกเขยฝรั่งด้วยนะคะ เอิ้ก เอิ้ก”
โรสหัวเราะลงลูกคอไปทางโทรศัพท์ หอมจันทน์อึ้งไปนิดหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ ลองว่าโรสของเธอลงลูกคอจนหมดมาดขนาดนั้น คงเป็นเรื่องอำจนขำกลิ้งแน่ๆ
“โถ...พ่อคุณ”หอมจันทน์แกล้งลากเสียงยาว “น่าสงสารพ่อฝรั่งนะ หนูไปต้อนมาจากมุมไหนล่ะลูก อย่าหาที่หล่อกว่าป๊าเค้านะ ...มีงอนแน่ ๆ”
โรสปล่อยกิ๊กจนเจ็บพุง พ่อชอบห้ามเธอคบหนุ่มที่หล่อกว่าพ่อ
“หล่อกว่าพ่อรึเปล่า ยังบอกไม่ได้ค่ะเเม่ ที่แน่ ๆ ความใสทิ้งพ่อหลายขุม ฮ่ะ ๆ ลูกชายเจ้านายโรสค่ะแม่ ชื่อจอฟฟรัว สี่ขวบเองค่ะ เค้าขอโรสเต่งงาน บอกว่าจะปกป้องโรสเอง ...อิอิ ตัวเท่าเมี่ยงกระจิ้ดนึง แต่เค้าปกป้องจริง ๆ นะคะแม่ โรสพาจอฟฟรัวไปเล่นที่สวน จูงลูกหมาไปด้วย เจ้าตัวเล็กเค้าเกิดไอเดียหาเงินเข้ากระเป๋าขึ้นมาซะงั้น เดินร้องตะโกน *หนึ่งยูโรคร้าบ ...ลูบได้คลำได้* แล้วเลยมีหนุ่ม ๆ มาแซว ว่า ลูบหมารึว่าลูบพี่สาว ...โอ้โห ...ต้องมาเห็นกับตาค่ะแม่ จอฟฟรัวหน้าแดงก่ำเลยค่ะ ปราดเข้ามาขวางหน้ากันโรสไว้
*ไม่ใช่พี่สาวว๊อย ...นี่คู่หมั้นผม ใครยุ่งเจอคาราเต้* โรสขำจนท้องเข็งเลยค่ะแม่”
หญิงสาวเล่าเรื่องให้มารดาฟังท่าทางมีความสุข คนปลายสายยิ้มอย่างโล่งใจ อย่างน้อยลูกก็อยู่ใกล้คนดีๆ
“แม่ดีใจที่เห็นโรสร่าเริงนะลูก พ่อเค้าห่วงโรสมากบ่นถึงทุกวัน”
หอมจันทน์เอ่ยถึงสามี วงหน้าหวานของโรสสลดลงเมื่อนึกถึงพ่อ ป่านนี้คงจะกำลังทุ่มแรงกายแรงใจกับสวนกุหลาบเพื่อรอวันกลับของเธอ
“โรสรู้ค่ะแม่ โรสจะตั้งใจเรียน จบแล้วรีบกลับไปให้พ่อกับแม่เลี้ยงจนกว่าจะเข็ด ...ฮิฮิ รักแม่จังค่ะ แม่จุ๊ฟพ่อแทนโรสด้วยนะคะ โรสต้องไปเรียนแล้วค่ะ แม่ ...บ๊ายบายค่ะ” โรสปิดโทรศัพท์แล้วรีบจ้ำอ้าว ไปลงรถไปใต้ดิน
“แพง ...ไว ๆ เข้าสิ ชักช้าอยู่ได้ แล้วบ่นหิวตอนนั่งเรียน ทีงี้ ทำเป็นทอดน่อง”
เพื่อนพี่หันไปเร่งแพงน้อง ที่อ้อยอิ่งอยู่ข้างหลัง โรสพลอยหันตามไปด้วย เห็นแพงทอดหุ่น ชมนกชมไม้ไปตลอดทาง แต่นั่นยังไม่น่าประหลาดใจเท่ากับ มาเตโอที่ช่วยชี้ชวนชมสวนอยู่ข้าง ๆ
“นี่...อเล็กซ์ ช่วยบอกโรสหน่อยซิ สองคนนั่นเค้าญาติดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่” โรสหันไปถามคู่หูของมาเตโอ ที่เดินไปโรงอาหารพร้อม ๆ กันกับเธอ
นับจากวันแรกที่ได้เจอกัน สองกลุ่มหนุ่มสาวทั้งห้า ก็กลายมาเป็นกลุ่มเดียวกันโดยไม่บังเอิญนัก มาเตโอทั้งผลัก ทั้งดัน ทั้งฉุดเอาอเล็กซ์คู่หู มาติดสอยห้อยตามสามสาวราวกับเป็นเงาตามตัว ด้วยความรู้สึกดี ๆ ที่มีต่อเพื่อนพี่ แม้ว่ากับแพงน้อง สองคนนี้ยังคงเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอดก็ตามที แพงชอบเบะปากค่อนขอดนายอิตาเลี่ยน อยู่บ่อย ๆ
“เค้าไม่เรียกเงาหรอก อย่างนายพิซซ่าน่ะ “
แพงแกล้งพูดเสียงดังกะจะให้เข้าหูเจ้าตัว แถมยังบุ้ยปากเสียจนแทบจะชิดไรผมน้ำตาลเข้มของพิซซ่าที่ว่า
“เค้าเรียกเกาะแจยังกะไส้ติ่ง”
คราวนี้ อย่าว่าแต่พิซซ่าเลยที่จะทำหน้าเหลอหลา หมีขาวอย่างอเล็กซ์ก็พลอยงงงันไปด้วย ลูกเล่นทางภาษาของแต่ละชาติแตกต่างกันออกไป เพื่อนกับโรสนั้นหัวเราะนำไปแล้ว แพงก็ยังไม่ยอมอธิบายความหมายอีกนัยหนึ่งของ ไส้ติ่งให้สองหนุ่มเข้าใจ *รอให้ถามจะได้จัดให้อย่างสาสม อิอิ*หมวยตาโตลอบอมยิ้ม
“หมายความว่าไงเหรอแพง” มาเตโอทนความอยากรู้ไม่ไหว เลยต้องเอ่ยปากถามคู่ปรับ
“ก๊าก ...นาเซ่อยังกะถัง1 มันก็หมายความว่า ไส้ที่ติดมาแต่ไม่มีประโยชน์ จะต้องเจี๋ยนทิ้งสถานเดียวไงยะ”
แพงชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางแบบกรรไกรตรงหน้านายอิตาเลียน แล้วค่อยลดต่ำลงมาแถว ๆ เป้ากางแกง ขยับนิ้วเข้าหากันพร้อมกับขยับปากทำเสียงเสียง
*ฉับ ฉับ*
.
อเล็กซ์ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามของโรส แพงน้องก็สอดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงสดใส
“หิวสิพี่เพื่อน แต่จะรีบเดินไปทำไม โรงอาหารตอนนี้คนยังไม่เต็มเลย รอคนเยอะๆ มั่วดีเนอะ มาเตโอ”
หมวยตาโตกระแทกไหล่กับคู่ปรับที่อยู่ข้างๆเป็นเชิงขอคำรับรองจากทัพหนุน ...ไม่มีเสียหลาย พิซซ่าทำปากเบ้แบบนักเลงรุ่นเก๋าก่อนแค่นคำ
“อ๋วยยย ouiiii2” จากริมฝีปาก แล้วสองเกลอชั่วคราวก็หัวเราะฮี่ ฮี่ ราวกับกำลังวางแผนการชั่วร้ายอยู่ในหัว
“ดูร้าย ๆพิกลนะนี่สองคนนี้” โรสบ่นอุบอิบ หน้ายู่ยี่ด้วยความงงงัน เอเล็กซ์ที่ดูจะสุขุมที่สุดในกลุ่มขยี้ผมหญิงสาวด้วยความเอ็นดูราวกับน้องสาวแท้ๆ
“โรสพึ่งมากินข้าวครั้งแรกที่แคนทีน ยังไม่รู้อะไร เดี๋ยวเห็นแล้วก็เข้าใจเองแหละ” แล้วทั้งสองคน อเล็กซ์กับเพื่อนพี่ก็หัวเราะขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
เป็นจริงอย่างที่อเล็กซ์ว่า ....ทั้งห้าคนเหยียบย่างเข้าในแคนทีน มีคนค่อนข้างหนาตาพอสมควร เนื่องจากโรงอาหารเป็นบริการอย่างหนึ่งที่ทางสถานศึกษาต้องจัดหาไว้บริการ อาหารสะอาดราคาถูก เวลาพักทานอาหารเที่ยงอย่างนี้ จึงไม่ค่อยมีใครนิยมไปกินข้าวข้างนอกที่มีราคาสูงกว่ามากนัก โรงอาหารใช้ระบบช่วยตัวเอง หยิบถาดแล้วเดินเลือกหยิบอาหารที่ชอบ ตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อยไปจนถึงของหวาน ส่วนจานหลัก พวกเนื้อสัตว์ และเครื่องเคียง จะมีพนักงานตักให้ อาหารที่มีประจำ ทุก ๆ แคนทีนคือ เสต็ก ฟริต หรือที่รู้จักกันดีในนามเฟร้นส์ไฟร์ ของโปรดของสามสาว โรสจับสังเกตุว่าพอหยิบถาดเข้าคิว มาเตโอกับแพงน้องรีบแยกออกจากกันทันที เพื่อนพี่สะกิดหญิงสาวจุปากเบา ๆ
“ดู...ดู เริ่มแผนแลวร้ายแล้วสองคนนี้”
มาเตโอเดินนำ ขยุ้มมือลงในถ้วยสลัดผักในตู้ หยิบติดมือมากำโตแล้วโปะใส่ถ้วยสลัดของตัวเองในถาดอาหาร ส่านแพงน้องที่ตามหลัง เพื่อนกับโรสเพื่อมากันความสงสัยของเจ้าหน้าที่ประจำโรงอาหาร กวาดผักที่เหลือใส่ถ้วยตัวเองบ้าง ผลคือ ตรงตู้สลัดผักมีถ้วยเปล่าวางอยู่หนึ่งถ้วย แล้วยังของหวาน ทั้งสองคน หยิบขนมมาคนละสองชิ้น แล้วโปะลงในจานเดียวกัน โรสเขม้นมองเทคนิคของสองจอมตะกละอย่างนึกฉงน จนถึงบางอ้อ ร้องอ๋อออกมาเบา ๆ การคิดงินที่นี่คิดตามจานอาหารที่หยิบใส่ถาด คนเยอะ ๆ คนคิดเงินเลยไม่มีเวลาดูว่า สลัดกับขนมของสองคนนี้ ล้นถ้วยกว่าคนอื่น แถมขนมปังฟรี สองคู่กัดเลยเปรมปรีดิ์เป็นพิเศษ แล้วยังไม่พอ แพงน้องยังช่วยมาเตโอหยิบซองเกลอน้ำตาล ซอสมะเขือเทศ มายองเนสประดามีให้หยิบฟรี มาอีกจนตุงกระเป๋า พอโดนถามว่าทำไมต้องจิ๊กของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเตโอตอบหน้าตาย ว่าเขากำลังช่วยเหลือชาวบ้านผู้ยากไร้
“ถ้าเราใช้เงินประหยัด ๆ พ่อเราที่ป็น มาเฟียซิซีเลี่ยน จะได้ไถตังค์คนน้อยลงไง
“พ่อเอ็งน่ะอยู่คนละฝ่ายกะมาเฟียเลยไอ้บ้า” ” อเล็กซ์หัวเราะ ลั่น นึกถึงพ่อของมาเตโอที่เป็นผู้พิพากษาที่เกาะซิซิลี
“โรส
คืนวันเสาร์ ไปดูหนังกันไหม” เพื่อนพี่อิ่มอาหารหันมาทางโรส ในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังจิบกาแฟหอมกรุ่น ยกเว้นแพงน้องที่ยังก้มหน้าก้มตาละเอียดขนมปารีส-เบรส3 อย่างเอร็ดอร่อย
“คงไปไม่ได้หรอก เสาร์นี้โรสต้องดูน้องตอนกลางคืน เมอสิเออร์ออกงานเลี้ยงกับมาดาม... ไว้วันอาทิตย์ตอนสาย ๆ โรสแวะไปหาที่บ้านทำขนมจีนกินกัน นะ”
“ขอกินด้วยสิ เราชอบอาหารไทย แต่อย่าเผ็ดนะ” มาเตโอยื่นหน้ามาขอมีเอี่ยว
“ได้สิแต่นายต้องทำของมากินด้วยกันสักอย่าง ...พิซซ่าก็ได้ จะได้สมกับฉายาที่แพงตั้งให้” เพื่อนเเหย่ปนเสียงหัวเราะ มาเตโอลอบทำตาขวางใส่แพงน้อง รายนั้นก็ไม่ย่อย ยักคิ้วแผล็บ ๆ ตวัดลิ้นเลียครีมขนมที่ติด เรียวปากอิ่ม เฮ้อ ...สองคนนี้เปลี่ยนจากคู่จิ๊ก มาเป็นคู่กัดแบบเดิมอีกแล้ว
มาดาม เดอ ออคลีอองวางโทรศัพท์ ลงบนแป้นแล้วเดินเข้ามาหาพี่เลี้ยงของลูก ๆ ที่กำลังเตรียมของว่างอยู่ในครัว
“โรส...”
“คะ มาดาม” หญิงสาววางมือจากการละเลงเครป4 หันมองตามเสียงเรียกของนายจ้าง
“ตกลงคืนนี้งานเลี้ยงเค้ายกเลิกนะ อองตวนพึ่งโทรมาบอกตะกี้นี้เอง ชั้นเลยว่าจะพาลูกๆ ไปทานข้าวเย็นข้างนอก โรสจะไปด้วยกันไหม”
มารีชาลอตต์ชวนอย่างใจดี ด้วยเห็นว่าโรสอยู่คนเดียวอาจจะเหงา
“ขอบคุณค่ะมาดาม แต่โรสว่าจะไปลงเรือล่องแม่น้ำเซนค่ะ เห็น เมเตโอ ว่าคืนนี้อากาศดีมาก เห็นดาวชัด โรสอยากไปมานานแล้วค่ะ แต่เพื่อน ๆ ก็ไม่ชอบกัน พอดีเค้าไปดูหนัง โรสเลยว่าจะไปคนเดียวค่ะ”
“ฮือม...ก็ดีนะ แต่ไปคนเดียวระวังหน่อย ชั้นเป็นห่วง”
โรสได้ยินแล้วลอบอมยิ้ม มาดามชอบเห็นเธอเป็นเด็ก ๆ คงเป็นเพราะคนเอเชียร่างเล็กและหน้าอ่อนกว่าอายุจริง โรสยังจำตอนที่เจอเมอสิเออร์ครั้งแรกได้ดี อองตวนลากแขนภรรยาไปซุบซิบมุมห้อง
“ที่รัก...คุณแน่ใจนะว่าเด็กโรสนี่อายุยี่สิบจริง หน้ายังกะเด็ก สิบหก ลาดาส5 (la DDASS) เล่นงานตายเลยนะคุณใช้แรงงานเด็กนี่”
“ค่ะ มาดามโรสจะระวังตัวค่ะ เอ่อ ...มาดามคะ”โรสหลุดจากห้วงความคิด รับคำเจ้านายหญิงให้เธอคลายกังวล แล้วเลยถือโอกาสถามต่อ
“หือม?” มาดามเลิกคิ้ว
“โรสขอไปค้างบ้านเพื่อนได้ไหมคะ แล้วจะกลับวันอาทิตย์ค่ำๆ” โรสรัวคำถามแล้วกลั้นหายใจรอคำตอบ กลัวจะผิดหวัง พอเห็นมาดามองมาด้วยสายตาเจือความอ็นดู หญิงสาวค่อยรู้สึกใจชื้นขึ้น
“โรส ...โรส ทีรัก” มาดามโคลงศีรษะ “เธอไม่จำเป็นต้องขออนุญาติชั้นหรอกนะ แต่ต้องบอกกล่าวเท่านั้น สุดสัปดาห์เป็นวันหยุดของเธอ เธอจะทำอะไรก็เป็นสิทธิของเธอนะ แล้วเครปนี่ให้เทเรชเตรียมก็ได้นี่”
มาดามพยักหน้าไปบนเตาที่เธอกำลังละเลงแป้งเป็นแผ่นบาง ๆ แล้วตวัดกระทะจนขนมหวานมันลอยขึ้นฟ้า พลิกกลับด้านเองตามต้นตำรับ *ลา ชองดเลอร์6* โรสอมยิ้ม จะบอกมาดามยังไงดีนะ ...แม้จะเลยเทศกาลมาแล้ว มือซ้ายของเธอแอบกำเหรียญ เล็กๆสีทองไว้ตอนโยนขนม... เหรียญหลุยส์ทอง
ราว ๆ หกโมงเย็น โรสมาถึงท่าขึ้นเรือล่องแม่น้ำเซน ตรงสะพาน อัลม่า7 (Pont d’alma) หญิงสาวเลือกล่องเรือของบริษัทต้นตำรับจนใช้เรียกเรือล่องแม่น้ำเซนทุกยี่ห้อว่า บาโตมูช8 (bateaux Mouches)
“เรือออกเที่ยวแรก ทุ่มสิบห้านะครับ มาดมัวแซล” คนขายตั๋วบอกกับโรสเช่นนั้น เธอพยักหน้ารับรู้ แล้วก้มมองนาฬิกาบนข้อมือ
“หว่าย ...อีกชั่วโมงแน่ะ ไปเดินเล่นแถวนี้ก่อนดีกว่า”หญิงสาวพึมพัมกับตัวเอง พลางสาวเท้าเลียบริมฝั่งแม่น้ำเซนไปเรื่อยเปื่อย แลเห็นอนุเสาวรีย์เป็นรูปคบเพลิง ตรงฐาณเต็มไปด้วยดอกไม้ พวงหรีด เลยเตร่เข้าไปดูใกล้ ๆ
“มาดามคะ ทำไมถึงมีดอกไม้กับรูปของเลดี้ไดอาน่าตรงนี้คะ หรือนี่คืออนุเสาวรีย์ที่สร้างให้เธอ”
โรสถามคนขายหนังสือพิมพ์ตรง กิออส ข้าง ๆ
“ไม่ใช่หรอกหนู เดิมน่ะ ชื่อว่าอนุเสาวรีย์เปลวไฟแห่งสันติภาพ แต่รถของเลดี้มาประสบอุบัติเหตุตรงทางออกอุโมงค์ข้างล่างนั่น พอมีคนมาโยนดอกไม้ช่อแรก ช่อสอง ช่อสามก็ตามมาติดๆ คนเลยคิดว่าเป็นอนุเสาวรีย์ของไดอาน่าไป”
โรสฟังคนขายหนังสือพิมพ์เล่าเรื่องด้วยความสนอกสนใจ เพลินจนเกือบจะเลยเวลาลงเรือ หญิงสาวกล่าวขอบคุณ มาดามผู้ให้ความกระจ่าง แล้วออกวิ่งตึก ๆ ไปทางท่าเทียบเรือ
หญิงสาว เดินไปหาที่ว่าง ๆ ทางด้านท้ายเรือนั่งชมวิวอย่างสบายใจ ทุ่มกว่า ๆ ของเดือนพฤษภาคม พระอาทิตย์ยังคงทรงราชรถชมสวนอยู่ปลายทางปลายเขตสวรรค์ แสงสีบนท้องฟ้า จึงบรรเจิดแลดูดังทองทา โรสรวบผมยาวสลวยที่โดนลมลุ่มแม่น้ำพัดมาปรกใบหน้าไปทางด้านหลัง เรือกำลังตีวงอ้อมเกาะหงส์ เสียงผู้บรรยาย เล่าถึงสะพานต่าง ๆ ที่เรือลอดผ่าน หญิงสาวฟังบ้างไม่ได้ใส่ใจบ้าง มัวแต่ตื่นตาตื่นใจกับบรรยากาศสองฝั่ง ความจริงนั้น ริมน้ำเซนเธอเคยมาเดินเที่ยวหลายครั้งแล้ว แต่บนเรือภาพที่เห็นสองฝั่งน่าตื่นใจกว่ากันมากมาย เรือล่องเอื่อยใกล้จะถึงเกาะซิเต้ เกาะใหญ่กลางลำน้ำที่เคยเป็นที่ตั้งดั้งเดิมของเมืองลูเต็สLutèce หรือปารีสในปัจจุบัน และที่สำคัญเกาะซิเต้เป็นที่ตั้งของมหาวิหารนอตเทรอดามแห่งปารีส โบสถ์เก่าแก่กว่า800ปี ศิลปะโกธิคส์ โรสมัวแต่เคลิบเคลิ้มถึงบทละครของท่านวิคเตอร์ ฮูโก้ ที่กล่าวถึงความรักของชายหลังค่อมที่มีต่อนางเอสเมลคาดาหยิงยิปซีคนนั้น จนเผลอตัวสยายผมออกรับลม ลืมนึกถึงคนที่นั่งข้าง ๆ ที่โดนเรือนผมนุ่มสลวยของเธอทักทายเย้าเหย่จนเต็มไปหน้า
“อุ้บ ...ขอโทษค่ะ”
หญิงสาวรีบรวมเรือนไหมสีดำมันวาวเป็นประกาย มาขมวดมวนไว้ข้างลำคอระหง เอียงศีรษะหนีบไว้กับบ่ากันลมตี เธอไม่ได้มองหน้าคนที่เธอกล่าวขอโทษชัดนักดูเขาจะไม่ใส่ใจอะไร ...โชคดีไป...โรสคิดในใจ
หญิงสาว เงยหน้าขึ้นมองบนยอดตึกสูงบนเกาะซิเต้ เสียงผู้บรรยาย เจื้อยแจ้ว
*ตึก กองซิเยร์เจอรี (Conciergerie) คุกเก่าของกรุงปารีส นักโทษ การเมืองหลายคนในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศสเคยถูกคุมขัง ณ.คุกแห่งนี้ รวมทั้ง.... *
เสียงบรรยายผ่านเครื่องขยายดังสนั่นแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ของเรือน น่าประหลาดที่สองเสียงนี้ไม่ได้ขยายเข้าไปในโสตประสาทของโรสอินทวาเลยแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่ดึงดูดจักษุประสาทของเธอคือสตรีผมขาวบนห้องใต้หลังคาตึกกองซิเยร์เอจรี่ ส่วนโสตประสาทของเธอนั้น ถูกเสียงกระซิบเศร้าสร้อยของผู้หญิงคนนั้นสะกดเอาไว้
“ฝากลูกชายของเราด้วย อย่าให้เขาต้องจากไปโดยเข้าใจว่าไม่มีใครรักเขา ...ฝากลูกเราด้วย”
ระยะทางจากผิวน้ำถึงยอดตึก ไกลพอประมาณ แต่โรสกลับมองเห็นหยดน้ำใสกลิ้งตกจากขอบตาไหลรินรดมือเหี่ยวย่นของนาง สิ่งที่เธอสัมผัสได้คือความรักของแม่ที่มีต่อบุตรชาย อย่างไม่รู้ตัว สายตาของโรสไม่ละวางไปจากภาพที่เห็น เธอขยับริมฝีปากแปล่งเสียงแผ่วเบาจนตัวเองแทบจะไม่ได้ยิน
“อย่าร้องไห้สิคะ ...โรสสัญญาค่ะ ...โรสสัญญา”
หญิงสาวถอนสะอื้นเบา ๆ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าสตรีผมขาวผู้นั้นเป็นใคร แต่ในความรู้สึกของเธอ มีสายใยบางๆเกี่ยวพันเธอทั้งสองไว้ด้วยกัน ใยแห่งกรรม หรือไร ...
“คุณคิดเหมือนผมเลยใช่ไหม ว่าเธอไม่สมควรได้รับโทษขนาดนั้น”
เสียงนุ่มกังวานดังข้างขึ้นข้างๆหู โรสสะดุ้งสุดตัวหันไปมองต้นเสียงอย่างงงงัน
“คะ” หญิงสาวเบิกตากว้าง วงคิ้วเรียวโก่งน้อย ๆ เชิงฉงน ชายหนุ่มผมสีทองตาสีฟ้าตรงหน้า ถามอะไรบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
“ผมถามว่า... คุณคิดว่าพระนางมารีอังตัวแนต ไม่สมควรจะถูกลงทัณฑ์ขนาดนั้นใช่ไหม”
เขาย้ำพร้อมกับจ้องลึกลงไปในดวงตาของเธอ
“เอ่อ ...ไม่รู้สิคะ ...แล้วทำไมคุณถึงพูดถึงพระนางอังตัวแนต ชั้นงงไปหมดแล้ว”
โรสตะกุกตะกัก ตากลมโตของเธอจับจ้องชายหนุ่ม ...อา ทำไมเขาแลดูคุ้นเคย ผมสีทองเป็นลอนสลวย ดวงตาสีฟ้าใสฉายแววกระหายใคร่เรียนรู้ราวกับเด็กน้อย
“อ้าว ...ผมคิดว่าที่คุณถอนสะอื้นตะกี้นี้ เพราะฟังเรื่องเล่าแล้วสลดใจในชะตาของพระนางเสียอีก”
หนุ่มผมทองตอบเธอด้วยตาแวววามด้วยความขำ รอยยิ้มพรายบนใบหน้าสวยได้รูปของคนตรงหน้าเริ่มขัดตาหญิงสาว ตะหงิด ๆ
“คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ ...ชั้นหนาวฟันเลยกระทบกันมากกว่า
” โรสตอบสะบัด ๆ คนบ้า ...เค้าให้มาชมวิว ดันมาคอยจับผิดคน หญิงสาวนั่งคอแข็งจนกระทั่งจบนิราศลำน้ำเซน ผู้โดยสารลุกขึ้นเตรียมตัวขึ้นจากเรือจนเกือบหมดแล้ว โรสยังรี ๆ รอๆ อยู่ ....ให้อีตาบ้านี่ลงไปก่อน ...เดี๋ยวจะมา ตั้งคำถามบ้า ๆ กับเธออีก แต่พอเธอเหลียวหาอีกรอบ เขาก็ไม่อยู่ตรงนั้นเสียแล้ว...................
..........................................................................................
“มาดาม...อย่าร้องไห้ นิ่งเสียเถิดนะ ...โรสให้สัญญา”
โรสละเมอร้องไห้สลับกับพึมพัมปลอบโยนใครบางคน เพื่อนพี่เอื้อมมือไปแตะตัวเพื่อนสาว เขย่าเบา ๆ เรียกสติ
“โรส ...โรสจ๋า เป็นอะไรไป ฝันร้ายรึเปล่า”
“หือม ...เพื่อน มีอะไรเหรอ” โรสลืมตาขึ้นมองดูหน้าของเพื่อนที่ก้มมองเธอจนชิด สายตาบอกความงงงัน อย่างคนพึ่งตื่นนอน
“เราได้ยินเสียงโรสพึมพัม เรียกมาดาม... โรสคงจะฝันไปน่ะ”
“จริงเหรอ แล้วโรสพูดถึงมาดามว่าไง”
หญิงสาวซักความ ตากลมโตด้วยความอยากรู้ว่าสิ่งที่เธอหลุดปากพูดออกไปในขณะหลับ จะสอดคล้องกับความฝันของเธอไหม
“โรสร้องไห้แล้ว แล้วก็พูดว่า *มาดาม อย่าร้องไห้ โรสสัญญา* อะไรทำนองนี้หละ แล้วโรสฝันถึงมาดาม ออร์คลีอองเหรอ” เพื่อนเอียงหน้าถามโรส สงสัยว่าคนที่มีพร้อมอย่างมาดามงามสง่าคนนั้น จะมีทุกข์อะไรจนต้องร้องไห้
“ไม่ใช่หรอก” โรสส่ายหน้า “โรสฝันถึงผู้หญิงผมขาว ...” เธอยั้งคำ*คนนั้น* ไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นคนละเอียดอ่อนอย่างเพื่อนจะต้องเข้าใจทันทีว่าเธอเคยเจอกับผู้หญิงผมขาวคนนั้นมาแล้ว หญิงสาวกระอักกระอ่วนใจที่จะเล่าให้ใครต่อใครฟังว่า เธอเห็นคนนั่งร้องให้บนห้องใต้หลังคาของคุกเก่าแก่หลายร้อยปี ในขณะที่ ตัวเธออยู่บนเรือบาโต้มูส มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ นอกจากว่า เธอสติฟุ้ง หรือไม่ก็ ...วิญญาณหลอน...
“แล้วไงเหรอโรส ...เค้าทำอะไร โรสถึงร้องไห้แล้วยังต้องสัญญิงสัญญาอะไรด้วย”
“เปล่าหรอก เค้าดูน่าสงสารมาก ร้องไห้คิดถึงลูก เค้าบอกโรสว่ามีคนมาแย่งลูกชายเค้าไป และขอให้โรสช่วยดูแลลูกชายเค้า โรสไม่รู้จะปลอบผู้หญิงคนนั้นยังไง เลยต้องรับปากว่าโรสจะรักและดูแลลูกชายแทนตัวค้าเอง”
โรสเล่าความฝันประหลาดที่ต่อเนื่องจากภาพที่เธอเห็นตอนล่องเรือเมื่อหัวค่ำ
“โอ๊ะ ...โอ สงสัยพี่ลอคงจะอกหักจริงก็คราวนี้แหละ” เพื่อนอมยิ้ม ดวงตาฉายแววระริกราวกับเด็กหญิงได้ตุ๊กตาตัวใหม่
“อะไรเหรอเพื่อนโรสไม่เข้าใจ”
โรสมองเพื่อนพี่หน้าตาเหลอหลา อีกฝ่ายยื่นมือไปบีบแก้มเพื่อนสาวเบา ๆ ตอบเสียงกลั้วหัวเราะ
“ก็เธอกำลังจะเจอเนื้อคู่ไงโรส นี่...ว่าที่แม่สามีถึงกับฝากฝังลูกชายไว้กับเธอเชียวนะ อิอิ ...แล้วเห็นหน้าลูกเค้ารึเปล่าน่ะไปรับคำไปซะแล้ว ... หว๋าย ๆ ยายโรส ถ้าว่าที่เจ้าบ่าวเธอหน้าเป็น ปลาพยูนเกยตื้นแล้วจะว่าไง ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ”
เพื่อนพี่หัวเราะจนท้องคัดท้องเข็ง โรสมองค้อนอย่างหมั่นไส้เพื่อนสาว คนเค้ากำลังสับสนยังมาออกนอกเรื่องพาออกทะเลไปเสียอีก
“บ้าสิยายเพื่อน เนื้อข้งเนื้อคู่อะไรกัน พูดไปเรื่อย”
หญิงสาวคว้าหมอนมาฟาดไปที่เพื่อนที่ทำหน้าลิงหลอก ..ฮั่นแน่ ..
“แล้วอีกอย่างนะยะพระเพื่อนพี่ ชั้นจะบอกให้เอาบุญ...” โรสแกล้งลากเสียงให้ฟังดูน่าสนใจ
“ปลาพยูนที่ไหนจะมาเกยตื้นริมฝั่งแม่น้ำเซนยะหล่อน ขี้หมูขี้หมา ก็ปลาเทร้าส์สายรุ้งละวะ”
แล้วโรสก็โผนไปปล้ำคลุกเพื่อนพี่กลิ้งโค่โร่ลงไปที่พื้นทั้งสองคน
ประตูห้องนอนของเพื่อนเปิดออกพร้อมทั้งร่างบาง ๆ ปราดเปรียวราวแมวป่าของแพงกระโจนเข้าร่วมวงมวยปล้ำกับกับสองสาวที่กลิ้งอยู่บนพื้นปูพรมหนานุ่ม
“คุยเรื่องปลาโซม่ง9กันอยู่เหรอ...แพงกำลังอยากกินอยู่พอดี เอามาทำน้ำยาขนมจีนไหมเที่ยงนี้”
โรสกับเพื่อนมองหน้ากันแล้วหัวเราะร่วน แพงเอ้ย...แพง ชอบกินเสียจริง ๆ น่าสงสัยว่ากินเก่งขนาดนี้ทำไมถึงยังผอมเป็นกุ้งเสียบไม้ แพงน้องตอบหน้าตาเฉยแบบไม่มีเขิน *กินเข้าปากมากก็ออกตูดเยอะ เท่านั้นเอง ง่ายๆ*
“ยายแพง อาหารเช้ายังไม่ทันเขมือบคิดไปถึงมื้อเที่ยงเสียแล้ว” โรสส่ายหน้า ระอากับความช่างกินของเพื่อนสาว
เสียงโทรศัพท์ดังระรัวขึ้น เพื่อนพี่วางแก้วน้ำสัมคั้นลงก่อนลุกไปยกหูขึ้นรับสาย
“อะโหล ... อุ๋ยOui ...มาเตโอเหรอ อื้อ มีอะไรโทรมาแต่เช้า เดี๋ยวก็จะมากินข้าวเที่ยงที่นี่ไม่ใช่เหรอ ...ฮ้า ว่าไงนะ แป้งไม่ขึ้น อือ ๆ แล้วไง โอย...ไม่เป็นไร เพื่อนทำให้กินเอง มาเหอะ เนี่ยโรสก็มานอนค้างที่บ้านนะ แว้ก ...อเล็กซ์จองที่แล้วเหรอ...อือ ก็ได้ ๆ ร้านอะไรนะ ลาตาแวร์น10บนเกาะเซนต์หลุยส์เหรอ จ้ะ ๆ บ่ายโมงนะ แล้วเจอกันจ้ะ บิซู จุ๊ฟ ๆ”
แพงกับโรสมองหน้ากันงง ๆ เห็นเพื่อนพี่อือ ๆ ออ ๆพยักหน้าหงึกหงักกับโทรศัพท์อยู่พักใหญ่ แพงหันไปเลิกคิ้วถามพี่สาวเมื่อเห็นเพื่อนวางหูโทรศัพท์
“นายพิซซ่าเค้าต้องการอะไรน่ะเพื่อน”
“เค้าโทรมาเปลี่ยนแผน บอกว่าหมักแป้งทำพิซซ่าแล้วพลาด...ฮ่ะ ๆ แป้งแฟบไม่ขึ้น อเล็กซ์เลยจะเลี้ยงข้าวพวกเราแทน”
เพื่อนพูดไปขำ ไป ...โธ่เอ้ย มาเตโอ ทำเป็นเชิงว่าเเป้งไม่ขึ้น ทำพิซซ่าไม่เป็นก็น่าจะบอกมาตรงๆ
“ว้าย ...เด็ดๆ จะถล่มซะให้เข็ด” แพงลิงโลดถูมือไปมา โรสหัวเราะพลางตะโกนเย้ามาจากหน้าอ่างล้างจาน
“แค่กินธรรมดา ๆ แบบของแพงน่ะ อเล็กซ์ก็แทบจะโทรสั่งปาป้า ให้เร่งผลิตคาร์เวียแทบไม่ทัน อย่าว่าแต่ตั้งใจถล่มเลยยายแพง” โรสนึกถึงพ่อของเพื่อนที่เป็น เจ้าของกิจการขนาดเล็ก ๆ ขายไข่ปลามหาแพงนั่น
สามสาวโผล่มาจากสถานีรถไฟใต้ดินของเกาะเซนต์หลุยส์ ตรงหน้าเป็นบริเวณลานกว้างสำหรับคนเดินเท้า มีสวนดอกไม้เล็กๆอยู่ตรงมุมหนึ่ง ลักษณะสแควร์หรือจตุรัส ลานหรือสวนดอกไม้แบบนี้มีทั่วไปในกรุงปารีส เมืองหลวงที่ได้ชื่อว่าเป็นเลิศในการผสมผสานเก่าใหม่ ธรรมชาติและเทคโนโลยี่ คงจะเหมือนกับชื่อเล่นของประเทศ *หกด้าน* ราวกระจกหกมุม สะท้อนความแตกต่างเพื่อรวมเป็นหนึ่งเดียว
“ต้องเดินข้ามสะพานมารี11 ไปโน่น ...เกาะเซนต์หลุยส์อยู่ตรงโน้น”
โรสชี้ไปทางอีกฝั่งของแม่น้ำขณะสองฝาแฝดยังวุ่นวายกับการถ่ายรูปกับป้ายเมโทรอยู่ ส่วนโรสออกเดินไปเรื่อยจนถึงตรงกลางสะพาน หญิงสาวหยุดมองเกาะซิเต้ที่อยู่ตรงหน้า แลเห็นยอดแหลมของมหาวิหารนอตเทรอดามอยู่ลิบ ๆ เรื่องบนเรือเมื่อคืนกลับมาครอบคลุมความคิดของหญิงสาวอีกครั้ง โรสยืนเหม่อมองไปข้างหน้า ลมเย็นกลางฤดูใบไม้ผลิปะทะผิวหน้า จนเธอสั่นสะท้านแม้ว่าเสงแดดจะเจิดจ้า
“ขอโทษครับ”
เสียงเรียกดังขึ้นข้างตัว ๆ จนหญิงสาวสะดุ้งตกใจ เธอหันหน้ามาทางต้นเสียงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันระวังตัวว่าคนเรียกนั้นอยู่ใกล้ตัวเธอแค่เพียงไม่ถึงคืบ แก้มอุ่น ๆ สีชมพูเรื่อ ๆ ของหญิงสาวสัมผัสกับปลายจมูกโด่งเป็นสันของเจ้าของเสียงเรียก ความเย็นที่ลูบไล้พวงแก้มสีกุหลาบเรื่อ ๆ ทำเอาหญิงสาวสะดุ้ง แต่ลมหายใจอุ่นของเขาโอบกอดเธอไว้ป็นการทดแทน โรสนิ่งตะลึงวางสีหน้าไม่ถูก เมื่อสติของเธอเตือนบอกว่าริมผีปากของเขาและเธอแตะชิดกันจนเกือบจะเรียกว่าประกบ ...ตายละวา หญิงสาวคิด จูบแรกบนสะพานมารี.... โรสยืนตัวเข็ง จนกระทั่งเสียงเรียกนั้นดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณครับ สบายดีนะครับ” คนถามอมรอยยิ้มอยู่ที่ปากรอยเย้าแต้มตรงแววตา พอโรสรู้สึกตัวอาการงงงันเปลี่ยนเป็น ฉุนเฉียว เธอถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวเพื่อจะมองหน้าคู่กรณีเต็ม ๆ ตา
“คุณ ...” วงหน้าคุ้นตาที่เธอเคยเห็นมาแล้วเมื่อคืนนี้ หนุ่มผมทองบนเรือคนนั้นนั่นเอง
“เจอกันอีกแล้วนะครับ แล้วผมก็มีคำถามจะถามคุณอีกแล้ว”
เขาหัวเราะขำท่าทางของเธอ ส่วนโรสตีหน้าปั้นยาก เจอนายคนนี้ทีไรมีปัญหามาถามทุกที คำถามเมี่อคืนยังไม่ได้ตอบเลย หรือว่าตามมาขอคำตอบเก่า หญิงสาวคิดสะระตะในหัว
“เปล่าหรอกครับ ผมจะถามคำถามใหม่ ...นี่ใช่สะพานเนิฟ ไหมครับ”
ฟู่ว์ ...หญิงสาวเป่าลมออกปากอย่างโล่งใจ คำถามใหม่ หมู ๆ ตอบได้สบายแฮ
“ไม่ใช่ค่ะ นี่สะพานมารี สะพานเนิฟต้องอีกด้านค่ะ สะพานแรกของเกาะซิเต้นู่นค่ะ”
หญิงสาวชี้มือไปข้างหน้าตรงยอดวิหารลิบๆ
“โอ ผมหลงมาไกลเลยนะครับนี่ ...”
ชายหนุ่มยิ้มขำตัวเองจนโรสรู้สึกดีขึ้นมานิดกับหนุ่มผมทองคนนี้ ท่าทางเขาเป็นคนซื่อ ๆ จริงใจและที่สำคัญ ...พวงแก้มของหญิงสาวร้อนจนขึ้นสีเรื่ออีกครั้งเมื่อนึกว่า ที่สำคัญ...นายคนนี้หล่อจัง
เสียงเพื่อนแพงร้องเรียกชื่อเธอมาจากข้างหลัง สองสาวตั้งท่าตามแบบลูกหลานกรมเจ้าท่าจนสมใจแล้วเลยเดินมาสมทบ
“ใครน่ะ”
แพงถามทันทีโดยที่เพื่อนห้ามปากน้องฝาแฝดไม่ทัน โรสอ้ำ ๆ อึ้ง เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไงด้วยว่าเธอเองก็ยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย ชายหนุ่มมองดูสามสาวแม้จะไม่เข้าใจภาษาไทยที่แพงถาม แต่เขาสามารถอ่านจากท่าทางได้ โดยที่โรสไม่ทันตั้งตัว มือเรียวบางนุ่มนิ่มก็ตกอยู่ในกำมือของชายหนุ่มตรงหน้า เขายกมือของโรสขึ้นจรดจุมพิตเบา ๆ พร้อมกับย่อตัวถอนสายบัว
“หลุยส์- ชาร์ล... เดอ กอร์ฟฟ”
หลุยส์ชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะต่อชื่อสกุล โรสยังตะลึงกับเรื่องมือที่ถูกจุมพิต เลยไม่รู้สึกผิดสังเกต ได้แต่เอ่ยปากตะกุกตะกัก
“..เอ่อ ชั้นโรสค่ะ ...โรสอินทวา เลอโนตร”
เพื่อนกับแพงยืนมองทั้งคู่ด้วยสายตามึนงง ราวกับกำลังดูละครในโรงเอโปร่า ...ยังมีอยู่อีกรึนี่ เบส เม็ง12
ท้ายบท
1เซ่อยังกับถัง เป็นคำเปรียบเทียบ ถากถาง คำว่าโง่ในภาษาฝรั่งเศส ออกเสียง โซ เขียน Sot ส่วนคำว่าถัง เขียน seau เป็นคำพ้องเสียงกับโง่ ผู้เขียนประสบมากับตัวเองเพราะเคยมีเพื่อนร่วมงานนามว่านาย ถัง แต่ว่าไม่ค่อยฉลาด ใคร ๆเลยชอบใช้คำถากถางนี้กับนายถัง
2 อ๋วย.....ouiiiii ภาษาวิบัติที่มาจากคำว่า อุ๋ย oui แปลว่าใช่ และยังใช้ในการตอบรับโทรศัพท์แบบง่ายๆ
3ขนมปารีส-เบรส เป็นของหวานที่ทพมาจากแป้งเอแคล แต่ทำเป็นวงคล้ายโดนัท สอดใส้ครีมครีมเนยสดหรือเรียกว่าครีมมูสลีนพาลิเน่ แล้วโรบเม็ดอัลด์ม่อนคั่วฝานบางๆ ขนมปารีสเบรสนี้ ทำขึ้นฉลองการเข่งจักรยานทางใกลระหว่างเมืองปารีส และเมืองเบรส ที่อยู่สุดปลายของแคว้น เบครอตาญจ์รุปขนมจึงตั้งใจประดิษฐ์ให้เป็นรูปวงล้อเช่นจักรยาน มีอีกตำนานเล่าว่า บนรถไปสายปารีส-เบรส พ่อครัวประจำตู้สะเบียงลืมขนแป้งเค้กขึ้นรถมา ครั้นจะทำของหวานเลยไม่พอจึงต้องดัดเปลงขนม ที่เป็นก้อนกลมๆให้มีรูตรงกลาง เพื่อที่จะใช้แป้งน้อยลง
4ขนมเบื้องฝรั่ง Crêpe ขนมทำจากไข่ นม และเป้งสาลี คนให้เข้ากันแล้วละเลงเป็นแผ่นบาง ๆ ในกระทะก้นแบน รับประทานกับ น้ำตาล แยมผลไม้ หรือ น้ำเชื่อมเมเปิ้ลหรือน้ำผึ้ง หรือทำเป็นของคาวได้โดยโรยเนยแข็งขูดหมูเเฮม ต้นตำรับขนมเครปในฝรั่งเศสคือแคว้น เบรอตาญจ์ Bretagne ซึ่งมีเชื้อสาย เซลติกCeltique เช่นเดียวกับชาวอังกฤษ ไอร์ริช และ สกอตซ์
5 La DDASS ลาดาส กรมแรงงานและสังคม ดูแล เกี่ยวกับครอบครัวและเด็กๆเป็นพิเศษ
6ลา ชองดเลอร์ La chandeleur เป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์คือวันที่พระแม่มารี ทำพิธีประกาศตนของพระเยซูในโบสถ์ยิว ตรงกับวันที่15กุมภาพันธ์ ปัจจุบัน แพร่หลายในในชื่อวันแห่งขนมเครป สืบเนื่องมาจาก พระสันตะปาปา
Gélaseที่1 ทำขนมชนิดนี้แจกผู้มาแสวงบุญในวันนี้ ตามความเชื่อ ต้องจับกระทะโยนขนมโดยมือขวา ส่วนมือซายกำเหรียญหลุยส์ทองคำไว้ในมือ จะทำให้ร่ำรวย
7 สะพาน อัลม่า สะพานหนึ่งของปารีส เป็นขึ้นเรือล่องแม่น้ำเซน เสาสะพานมีรูปปั้นเรียกกันว่า ลา ซูอาฟ ใช้วัดระดับน้ำในแม่น้ำเซน สูงถึงนิ้วโป้เท้าถือว่าน้ำมาก สูงถึงเข่า เดินเรือให้ระวัง หากเมื่อไหร่ขึ้นถึงหัวไหล่ ใครอยู่ริมแม่น้ำจงรีบขนผ้าหนี ไม่ไกลจากสะพานอัลม่ามีอุโมงค์สำหรับรถลอดบนถนนวงแหวนรอบกรุงปารีส ซึ่งเจ้าหญิงไดอาน่า ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
8บาโตมูช Bateaux mouches เรือล่องแม่น้ำเซน เดิมบริษัทเดินเรือมูซขนส่งสินค้าทางน้ำเท่านั้น ต่อมาได้รับสัมปทานในสมัยงานนิทรรศการ ยูนิเวอร์เซล ปี1867 ให้เป็นเรือพาคนล่องชมแม่น้ำเซนในเขตกรุงปารีสได้ ชื่อมาตามเมอร์สิเออร์ มูชเจ้าของความคิด
9ปลาโซม่ง ก็คือปลาแซลม่อนนั่นเอง แต่เรียกแบบฝรั่งเศส Saumon
10 ลา ตาแวร์น la taverne ในสมัยก่อนมีความหมายคล้ายๆ กับโรงเตี้ยม ปัจจุบัน คล้ายกับpub มากกว่า หรือบางทีก็แค่ร้านอาหาร ที่เน้นความเป็นกันเองหารง่าย ๆ อิ่มอร่อย
11สะพานเมรี มีความเชือกันว่าเป็น สะพานของคู่รัก จากชื่อที่พ้องเสียงกับคะว่า สามี Mari แต่จริง ๆ ชื่อของสะพานมาจากวิศกรผู้ก่อสร้าง Christophe Marie ว่ากันว่าคู่รักคู่ใดจูบกันใต้สะพานแล้วคำอธิฐาณระหว่างจูบจะเป็น จริง หรืออีกอย่าง หญิงและชายที่จูบกันบนสะพานแห่งนี้จะให้แต่งงานกัน
12Baise main จุมพิตมือ เป็นการทักทายที่สุภาพบุรุษแสดงต่อหญิงสาว ในสมัยก่อน นิยมกันอย่างแพร่หลายแม้ในชนชั้นกลาง ปัจจุบันล้าสมัยไปแล้ว ยังคงใช้กันแต่ในวงสังคมชั้นสูงเท่านั้น เช่น ใช้กับราชนิกูล
หรือกิออส ขายหนังสือพิมพ์
ความคิดเห็น