หนึ่งปีสำหรับรัฐประหาร
หนึ่งปีผ่านไปสำหรับรัฐประหาร
ผู้เข้าชมรวม
136
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาที่การรัฐประหารเมื่อ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ครบรอบหนึ่งปีพอดี จึงเป็นเรื่องปกติที่บรรดานักการเมือง นักวิชาการ และ สื่อสารมวลชน จะมีการประเมินผลงานในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาล และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) แม้แต่สื่อสารมวลชนต่างประเทศก็ให้ความสนใจในเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์ต่างชาติฉบับหนึ่งยังได้ตีพิมพ์บทความของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกรัฐประหารด้วย
คนจำนวนมากที่เคยสนับสนุนหรือดีใจกับการรัฐประหาร ยอมรับว่าผิดหวังกับหนึ่งปีที่ผ่านมา เพราะตั้งความหวังเอาไว้สูงเกี่ยวกับการสะสางปัญหาต่างๆของบ้านเมืองหลังการรัฐประหาร ยิ่งเห็นสภาพการเมืองที่ยังคงเต็มไปด้วยการต่อรองและผลประโยชน์ ก็ยิ่งมีความรู้สึกว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาอาจสูญเปล่า สำหรับผมนั้นหากย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงแรกที่ผมได้บันทึกไว้ในหนังสือ การเมืองไทยหลังรัฐประหาร ผมไม่เคยตั้งความหวังไว้สูงเพราะผมไม่เชื่อว่าการรัฐประหารจะสามารถเป็นคำตอบที่ยั่งยืนได้ แม้ว่าจะถูกกระทำขึ้นด้วยความตั้งใจที่ดีเพียงไรก็ตาม และได้ย้ำว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการเร่งกระบวนการฟื้นฟูประชาธิปไตยโดยแก้ปัญหาพื้นฐานที่เกิดขึ้นในเรื่องกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย การวางรากฐานการเมืองที่มีหลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพ การรักษาและเชิดชูสถาบันหลักของชาติ ที่สำคัญต้องหลีกเลี่ยงปัญหาการสืบทอดอำนาจ
หนึ่งปีต่อมา บ้านเมืองกำลังกลับคืนสู่สภาวะปกติ เรามีรัฐธรรมนูญใหม่ที่แม้จะไม่สมบูรณ์ แต่จุดบกพร่องต่างๆก็คงจะได้รับการแก้ไขจากสภาที่มาจากการเลือกตั้ง นายกรัฐมนตรีคนต่อไปต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ผู้นำรัฐประหารหากจะเข้าสู่การเมืองและหวังจะดำรงตำแหน่งสูงสุด ก็ต้องเข้าสู่การเลือกตั้ง พรรคการเมืองส่วนใหญ่ก็เชื่อมั่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มากกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆมา ในแง่นี้ หากบ้านเมืองเดินเข้าสู่การเลือกตั้งที่เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรม และราบรื่น อย่างน้อยที่สุดก็ถือได้ว่า คมช.และรัฐบาลได้มีส่วนช่วยนำพาบ้านเมืองให้คลี่คลายวิกฤติต่างๆไปได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าความรับรู้และความเข้าใจของโลกภายนอกจะยังมีความเคลือบแคลงใจต่อไป ส่วนหนึ่งเพราะเป็นธรรมชาติของประเทศประชาธิปไตยที่ไม่คุ้นเคยกับการรัฐประหาร แต่อีกส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกลุ่มอำนาจเก่าก็ยังเคลื่อนไหวทางการเมืองในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เช่น การที่อดีตนายกรัฐมนตรีเขียนถึงปัญหาการปิดกั้นสื่อและการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งต่างชาติจะเชื่อว่าเกิดขึ้นแน่นอนในรัฐบาลที่มาจากรัฐประหาร โดยอาจไม่ทราบว่าสภาพการณ์เหล่านี้เลวร้ายน้อยกว่าการบริหารงานภายใต้กลุ่มอำนาจเก่า ซึ่งผู้ทำงานด้านสื่อสารมวลชน หรือนักเคลื่อนไหวจำนวนไม่น้อยจะยืนยันได้
แต่ประเด็นที่ต้องตระหนักก็คือว่า การจะอ้างว่าปัญหาเหล่านี้ลดน้อยถอยลงนั้นไม่เพียงพอ สิ่งที่น่าผิดหวังในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมาก็คือ การแก้ปัญหาพื้นฐานเกี่ยวกับการเมืองไม่ได้ทำเป็นระบบ มีแต่การดูถูกดูแคลนหวาดระแวงนักการเมือง พรรคการเมืองโดยรวม โดยสะท้อนผ่านการเขียนรัฐธรรมนูญ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ๓ ฉบับ ที่กำลังจะมีการพิจารณาขั้นสุดท้ายในสัปดาห์หน้า แต่การสร้างระบบที่ราชการจะไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง สื่อที่เป็นอิสระ กระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่ตรงไปตรงมา หรือการเมืองที่จะหลุดพ้นจากอิทธิพลของเงิน สิ่งเหล่านี้กลับมีความคืบหน้าน้อยมาก
ในส่วนของคมช.และกองทัพนั้น สิ่งหนึ่งที่จะสามารถสร้างความมั่นใจได้ก็คือท่าทีของท่านผบ.ทบ.คนใหม่ที่จะมีต่อปัญหากองทัพกับประชาธิปไตย หากท่านจะใช้จังหวะโอกาสในขณะนี้
๑. ทบทวนกฎหมายความมั่นคง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่าจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการสืบทอดอำนาจ หรือ สร้างระบอบอำมาตยาธิปไตย โดยรอหารือรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเพื่อสะสางปัญหานี้ ก็จะทำให้ความชัดเจนของคมช.และกองทัพที่จะฟื้นฟูประชาธิปไตยมีมากขึ้น
๒. ตั้งเป้าหมายที่จะยกเลิกกฎอัยการศึกก่อนการเลือกตั้ง ยกเว้นในพื้นที่ที่มีปัญหาความไม่สงบจริงๆ เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคนไทยและชาวโลกว่า คมช. สามารถทำให้สถานการณ์ในประเทศกลับคืนสู่สภาวะปกติจริงๆและจะไม่มีการใช้กฎหมายหรือ อำนาจพิเศษ ที่จะทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยเสรีและเป็นธรรม
หากเริ่มต้นได้อย่างนี้ สามปีของผบ.ทบ.คนใหม่จะเป็นสามปีที่เป็นการนำพากองทัพกลับเข้าสู่การปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ มีเกียรติ ภายใต้รัฐธรรมนูญได้อย่างดียิ่ง
ในส่วนของคมช.นั้นนอกเหนือจากการนำบ้านเมืองกลับสู่ภาวะปกติแล้ว ก็ย่อมจะถูกประเมินตามเหตุผลสี่ข้อที่อ้างไว้ในการทำรัฐประหารด้วย (ความขัดแย้งแตกแยกในสังคม การทุจริตประพฤติมิชอบในการบริหารราชการแผ่นดิน การครอบงำองค์กรอิสระ และการจาบจ้วงหมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ) สิ่งที่ผมต้องการจะเห็นชัดเจนขึ้นในระยะเวลาที่เหลือ คือ
๑. การเร่งสะสางคดีทุจริต เพื่อนำคดีต่างๆเข้าสู่กระบวนการของศาลต่อไป ที่ผ่านมาถือว่า คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง แต่ก็ยังมีอีกหลายคดีที่ยังคั่งค้างอยู่ ซึ่งในฐานะของคนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบมาก่อนเห็นว่า น่าจะได้ข้อสรุปโดยเร็ว หากไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานใดก็ควรจะชี้ให้ชัดและรัฐบาลควรเร่งตอบสนอง
๒. การปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะขณะนี้ยังคงมีการใช้สื่อต่างๆทั้งในและ
ต่างประเทศจาบจ้วงโจมตีสถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนของคนไทย รวมทั้งการดำเนินการทางการเมืองในลักษณะที่กระทบกระเทือนต่อสถาบันสูงสุด
สำหรับรัฐบาลนั้น แม้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีส่วนใหญ่จะมีความตั้งใจที่ดีแต่ต้องยอมรับว่า ไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างความประทับใจในด้านผลงาน ซึ่งปัญหาหลักมาจากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากการส่งสัญญาณที่ผิดต่อภาคธุรกิจโดยเฉพาะนักธุรกิจและนักลงทุนชาวต่างประเทศ ที่ยังคงสับสน กังวลกับมาตรการของรัฐบาล และหวังว่ารัฐบาลชุดต่อไปจะเข้ามาคลี่คลายแก้ไข
ในระยะเวลาสั้นๆที่เหลือ รัฐบาลควรระมัดระวังที่จะสร้างปัญหาเพิ่มเติม กฎหมายใดที่จะเพิ่มความสับสนก็ควรจะชะลอไว้ เช่นเดียวกับการผูกมัดอนาคตของประเทศในเรื่องที่ต้องการการมีส่วนร่วมมากกว่านี้ เช่น พลังงานนิวเคลียร์ หรือ GMO
ในการชี้แจงของรัฐบาลหลายครั้ง สิ่งหนึ่งซึ่งมักมีการอ้างถึงเสมอคือ เรื่องอย่างน้อยรัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลที่สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรม แต่ก็บังเอิญว่าสัปดาห์นี้มีประเด็นเรื่อง หุ้นรัฐมนตรี ที่กลายเป็นบททดสอบสำคัญในเรื่องนี้
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เป็นต้นมา เรามีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติการจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นกฎหมายที่ห้ามรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทต่างๆเกิน ๕ % ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ป้องกันการมีผลประโยชน์ทับซ้อน แม้ต่อมารัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๕๕๐ จะมีบทเฉพาะกาลไว้คุ้มครองรัฐมนตรีในปัจจุบัน แต่รัฐมนตรีฯทั้งหลายจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย หรือ เจตนารมณ์ของกฎหมายไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมีรัฐมนตรีฯในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่ได้ปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นตัวอย่างไปก่อนแล้ว
การตัดสินใจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที)(นายสิทธิชัย โภไคยอุดม) เพื่อรักษามาตรฐานของรัฐมนตรี จึงสมควรแก่การชื่นชม เป็นแบบอย่างทางการเมือง เพราะเป็นการแสดงถึงจิตสำนึกโดยไม่มีกฎหมายบังคับ ผมเป็นคนหนึ่งที่ไม่เชื่อว่า รัฐมนตรีท่านนี้จะทุจริต หรือ แสวงประโยชน์จากอำนาจในช่วงที่มีการถือหุ้นอยู่ หรือ ท่านจะทำเช่นนั้นหากดำรงตำแหน่งต่อไป แต่ผมก็เห็นว่าท่านได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องแล้ว และแม้ผมจะไม่ได้เห็นด้วยกับหลายสิ่งที่ท่านทำในขณะดำรงตำแหน่ง แต่ท่านเป็นรัฐมนตรีในจำนวนไม่กี่คนที่รู้ร้อนรู้หนาวกับปัญหาภารกิจในความรับผิดชอบชัดเจน ตั้งแต่ปัญหาธุรกิจโทรคมนาคม ปัญหา Youtube ฯลฯ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าคนที่จะเข้ามารับผิดชอบงานของท่านจะกระตือรือร้นเหมือนท่านหรือไม่
แต่ที่น่าอัศจรรย์ก็คือ รัฐมนตรีฯที่อยู่ในข่ายเดียวกับท่านแต่ไม่ตัดสินใจเหมือนท่านโดยมีข้ออ้างต่างๆนาๆ
จริงหรือที่หากรัฐมนตรีฯคนใดคนหนึ่งไม่อยู่ในตำแหน่งแล้ว การบิหารบ้านเมืองจะเดินต่อไม่ได้
ผมคิดว่าประเทศไทย การเมืองไทยเดินหน้าได้ ไม่มีนักการเมืองหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคนไหนที่จำเป็นต้องอยู่ในตำแหน่ง
ผมไม่เชื่อว่า ๓-๔ เดือนที่เหลือของรัฐมนตรีฯที่ยังอยู่จะสร้างผลงานที่มีคุณค่าต่อประเทศมากกว่าการช่วยรัฐบาลนี้ยกระดับมาตรฐานทางการเมือง
ผมไม่คิดว่าการเปิดเผยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) จะเป็นผลพวงของการเล่นเกมการเมืองมีแต่การหย่อนมาตรฐานด้านคุณธรรม จริยธรรมเท่านั้นที่จะสร้างปัญหาการเมืองให้นายกรัฐมนตรี กับรัฐบาล
ไม่มีใครตำหนิว่าท่านทุจริต คิดร้าย แต่ถ้าระดับมาตรฐานในเรื่องนี้ หรือข้ออ้างต่างๆเหมือนกับนักการเมืองที่ถูกรัฐประหารจนท่านได้มานั่งอยู่ตรงนี้ในวันนี้ การเมืองของเราจะไม่ย่ำอยู่กับที่ได้อย่างไร
ผมไม่อยากเห็นการยึดติดกับตำแหน่งเป็นภาระของรัฐบาล เป็นภาระของนายกรัฐมนตรี เป็นภาระของบ้านเมือง
ยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนการตัดสินใจของท่าน
สำหรับพรรคการเมืองนั้น ผมก็อยากเชิญชวนว่า ต่อไปจะไม่มีการหลีกเลี่ยงบทบัญญัติในเรื่องนี้
แม้ในส่วนที่กฎหมายอนุญาต ก็อยากเชิญชวนให้ทุกคน ทั้งรัฐมนตรี และ สส.ทำความโปร่งใส เปิดเผยว่า คนและครอบครัวมีผลประโยชน์ทางธุรกิจในเรื่องใดบ้างเพื่อให้การดำเนินการต่างๆถูกตรวจสอบได้ง่าย
สำหรับพรรคประชาธิปัตย์นั้น นี่เป็นส่วนหนึ่งของ วาระประชาชน ที่ผมประกาศไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
23 ก.ย. 2550 10:13:52
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผลงานอื่นๆ ของ เด็กประชาธิปัตย์ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ เด็กประชาธิปัตย์
ความคิดเห็น