คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : เด็กหนุ่มไม่อยากเป็นนายก (นิยายเรื่องสั้น เขียนโดย ++Wadoiji++)
เด็กหนุ่มไม่อยากเป็นนายก
กลิ่นดินป่าหญ้าเขาลอยมาห่างไกล... ต้นยางขึ้นสูงเรียงรายเป็นแถวเป็นแนวโอนเอนกิ่งใบไปตามสายลมทะเล รถยนต์สีน้ำเงินเข้มแล่นไปตามถนนลาดยางอย่างเรื่อยๆ ในขณะที่แสงอาทิตย์ฉายฉาบทาบแสงรุ่งอรุณสีอ่อนๆทับบรรยากาศโดยรอบเมืองชุมพร เด็กชายหญิงหลังรถนอนหลับปุ๋ยอย่างเงียบงัน ในขณะที่พ่อของพวกเด็กทั้งสองกำลังเลี้ยวรถผ่านศาลพระภูมิเล็กๆ เข้าไปในอาณาเขตของบ้านไม้หลังหนึ่ง
"ทอฟฟี่ ไอซ์ ตื่นเถอะลูก ถึงแล้ว" ลดาที่นั่งอยู่ข้างคนขับหันไปปลุกเด็กหญิงที่นอนอยู่เบาะหลัง เธอรีบผงกหัวขึ้นจากความง่วงมามองนอกรถอย่างแปลกใจ เมื่อเห็นว่าบ้านของคุณปู่อยู่ที่เบื้องหน้านี่เอง สาวน้อยที่ชื่อทอฟฟี่จึงได้ขยับตัวมานั่งตรงๆอีกครั้ง ส่วนไอซ์ลูกชายวัย15ของครอบครัวก็งัวเงีย แต่ก็สงวนท่าทีเพียงขยี้ตาเท่านั้น
รถยนต์จอดนิ่งหน้าตัวบ้าน อานนท์ดับเครื่องแล้วลุกออกมาจากตัวรถ พร้อมยกมือไหว้พ่อของตัวเองที่นั่งอยู่ที่ชานบ้าน ก่อนจะเดินเข้าไปหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
"สวัสดีครับพ่อ" ชายหนุ่มส่งเสียงทักทาย ในขณะที่ชายชราได้แต่ยิ้มเสียแก้มปริ ยิ่งเห็นหลานสาววัยเจ็ดขวบตัวน้อยวิ่งโร่เข้ามาหา เขาก็ยิ่งยิ้มกว้างจนหน้าบาน
"สวัสดีค่ะคุณปู่!" เด็กหญิงตัวเล็กโผเข้ากอดชายชราด้วยความดีใจ นานเกือบปีแล้ว... ที่เธอไม่ได้มาที่นี่ คุณปู่ของเธอยังเหมือนเดิม มือคล้ำแดดที่มีร่องรอยเส้นเลือดปูดโปนลูบหัวเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู เป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ครอบครัวเล็กๆนี่จะมารวมตัวกันอีกครั้ง... หลายปีก่อน ที่บ้านไม้สีฟ้าหลังเล็กๆนี้ ยังมีหญิงชราคอยอยู่เคียงกายชายชรา แต่บัดนี้ไม่มีแล้ว...
ลดาจัดแจงเข้าครัวอุ่นพิซซ่าอิตาเลี่ยนร้านหรูที่นำมาจากกรุงเทพ ก่อนจะนำมาให้ทุกคนนั่งกินกันที่ชานบ้านโดยพร้อมหน้า ยัยหนูไอซ์หม่ำของโปรดอย่างเอร็ดอร่อย ในขณะที่ปู่ของเธอทำหน้าเจื่อนเล็กน้อยหลังจากได้ลิ้มรส มันเลี่ยนๆไม่ถูกปากเขาเอาเสียเลย แต่ชายชราก็ไม่นึกอยากจะบ่น เพราะยังไงลูกของเขาก็อุตส่าห์ตั้งใจซื้อมาให้ชิม...
ไม่นานลดาก็จูงลูกสาวไปทักทายเพื่อนบ้านที่อยู่ห่างไปไม่มาก เพื่อพาไอซ์ไปเจอเพื่อนวัยเดียวกันที่เป็นลูกๆของบ้านนั้น ปล่อยให้อานนท์นั่งอยู่ที่ชานบ้านกับพ่อเพียงสองคน...ส่วนไอซ์นั้นเดินไปดูต้นโป๊ยเซียนในกระถางข้างบ้าน
"...ไอซ์กับทอฟฟี่ โตขึ้นเยอะนะ" ชายชราเปรยถึงหลานเบาๆ ราวกับเสียงของเขาจะถูกกระแสลมบางเบากลืนหายไป อานนท์หันกลับมาทางชายชราผู้เป็นพ่อของเขา แล้วพยักหน้าเล็กน้อย เป็นเชิงเห็นด้วย จู่ๆชายหนุ่มก็เริ่มก้มมองแก้วน้ำเย็นในมือ แล้วจึงหันไปเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงชัดเจน
"พ่อ...จะไม่ไปอยู่กรุงเทพกับผมจริงๆหรือครับ?"
ชายชรานิ่งอึ้ง เขาหันไปสบตาสีเข้มที่ดูจริงจังของผู้ถาม ก่อนจะเผยยิ้มบางๆ
"...แล้ว...ทำไมลูกคิดว่าพ่อควรจะไปอยู่กรุงเทพล่ะ?"
"ทำสวนยางไปก็ไม่ได้ทำแล้วร่ำรวยอะไรนี่ครับพ่อ พ่อแก่แล้ว... ผมอยากให้พ่อได้พักบ้าง" ชายหนุ่มอธิบาย "ขายสวนที่นี่เถอะครับพ่อ แล้วไปอยู่บ้านที่กรุงเทพกับผมดีกว่า"
ชายชราหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้า พลางเบนสายตามองไปทางสวนยางของตน ที่ใกล้ตัวบ้านยังมีทั้งละมุด ต้นพริกเตี้ยๆ และผลหมากรากไม้อีกหลายอย่าง ที่เขาปลูกไว้กินเองบ้าง แบ่งเพื่อนบ้านบ้าง... สายลมร้อนตลอดปีที่พัดผ่านมาเอื่อยๆ ต้นหญ้าต่ำเตี้ยหน้าบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่าง... เขาเห็นสิ่งเหล่านี้จนชินเสียแล้ว...
ที่นี่...คือชีวิตของเขา...
เขาคว้าผ้าขาวม้าขึ้นพาดบ่า...บ่าเปล่าๆที่ไม่มีเสื้อสวมทับ ชายชราเดินนำเข้าไปบริเวณที่ปลูกผลไม้เล็กๆน้อยๆไว้ทานเอง ด้านอานนท์นั้นได้แต่ส่ายหน้าให้กับความหัวแข็งของบิดา ก่อนที่จะแยกเข้าไปในครัว...
อีกด้านหนึ่ง ไอซ์ที่ยืนเล่นดอกโป๊ยเซียน พอเห็นปู่เดินเข้าสวน จึงเดินตามไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เด็กหนุ่มขยับแว่นทรงรีของตนแล้วเดินดุ่มๆเข้าไปหาปู่ที่ยืนอยู่หลังต้นละมุดต้นหนึ่ง
"เอ้า..." เสียงทักดังขึ้น เมื่อเด็กหนุ่มโผล่หน้าเข้าไป ละมุดลูกกลางๆถูกส่งมาแทบจะชนหน้าเขา นั่นทำให้ไอซ์ตกใจนิดหน่อย แต่มือก็ยังตะปบคว้าผลไม้นั้นไว้อย่างรวดเร็วราวกับป้องกันตัว ปู่หัวเราะเบาๆ พลางเคี้ยวเนื้อละมุดในปากไปด้วย ไอซ์แอบขมวดคิ้วเหมือนจะโกรธนิดๆ แต่ก็เช็ดลูกละมุดกับกางเกงขาสั้นของตัวเอง แล้วเอาขึ้นมากินหน้าตาเฉย เพราะเขารู้ดีว่าผลไม้เล็กๆน้อยๆพวกนี้ปู่ของเขาไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลงอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องล้างก่อน
"อร่อยมั้ย?" ปู่ถามอย่างลุ้นรอ ไอซ์พยักหน้าเล็กน้อย เท่านั้นเองชายชราจึงถอนหายใจได้อย่างสบายใจ
"....แล้วไอซ์ล่ะ? คิดว่าปู่ไปอยู่กรุงเทพดีกว่ามั้ย?" เขาเอ่ยถามหลานชาย "จะได้อยู่กับไอซ์ด้วยไงล่ะ?"
ไอซ์ลิ้มรสชาติความหวานในปาก แล้วหวนนึกถึงครั้งที่เขาได้ทานละมุดที่ชุมพรนี้เป็นครั้งแรก มันหวานเหลือเกิน... เด็กหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบ...
"ไปอยู่กรุงเทพเพื่ออะไรหรือครับ?"
ทั้งสองหยุดนิ่งจ้องหน้ากันและกัน... ชายชราแปลกใจ...ที่ได้รับคำถามเป็นคำตอบ เด็กหนุ่มขยับแว่นทรงรีของตนอย่างเงียบงัน ในขณะที่สายลมไม่เคยพัดผ่านห่างหายไป
"พ่ออยากให้ปู่ไปอยู่กรุงเทพเพราะคิดว่ากรุงเทพสบาย จะหาจะซื้ออะไรก็มี แล้วก็มีคนคอยดูแล..." เด็กหนุ่มกล่าว "แต่พ่อเขาไม่ได้คิด ว่าแท้จริงแล้ว...อยู่ที่นี่ปู่ก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร อยู่กับธรรมชาติ เหมือนเมล็ดพันธุ์พืช ถ้าตกในที่ดินที่เหมาะสม ไม่ต้องอยู่ในเรือนกระจก... มันก็งอกงามได้ คนเราก็เหมือนกัน..."
ปู่รับฟังความคิดของหลานชายอย่างสงบ ไอซ์ยิ้มจางๆ พลางหันไปมองปู่ ที่ความสูงแทบจะไล่เลี่ยกัน
"บางคนคิดว่า...อยากให้จังหวัดของตัวเองพัฒนาเหมือนกรุงเทพ อยากมีนั่นมีนี่ ในขณะที่คนอีกกลุ่มหนึ่ง กลับพอใจกับชีวิตชนบท กับธรรมชาติที่มีอยู่ ดังนั้นถ้าเราพัฒนาทุกจังหวัดให้เจริญ และมีสาธารนูปโภคพอเพียงและทั่วถึง รวมถึงคงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติ อย่างที่ประเทศเราเป็นประเทศเกษตรกรรม ซึ่งปกติประเทศของเราก็อยู่ในระดับที่ว่าแล้ว..." ไอซ์เริ่มสรุป เขาหยุดพูดแล้วคายเมล็ดละมุดจากเนื้อหวานใส่มืออย่างสุภาพ แล้วจึงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
"แต่ปัญหาทุกอย่าง เกิดจากรากของปัญหา นั่นก็คือมนุษย์..." หนุ่มน้อยย้ำกับปู่ของตน "ถ้าผมเป็นนายก ผมจะพัฒนาคนก่อน เพราะถ้าเราสอนให้คนพอใจในสิ่งที่มีอยู่ได้ ชีวิตของทุกคนก็จะสงบสุข เศรษฐกิจก็ไม่ใช่ว่าเน้นส่งออกอย่างเดียว แต่ผลิตให้พอเพียงในประเทศก่อน เหลือก็ส่งออก แล้วก็ไม่นำเข้าสิ่งที่ประเทศเราผลิตเองได้ ไม่งั้นราคาก็ตกฮวบฮาบ เกษตรกรได้ตายกันหมด"
"นายก!?" ชายชราพูดเสียงดังแล้วเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ "ฮะ ฮะ หลานอยากจะเป็นนายกหรือ? โอ๊ย! อย่าเป็นเลย เป็นนายกโดนด่าทุกสมัยน่ะแหละ ไม่โดนด่าเพราะตัวเอง ก็โดนด่าเพราะลูกน้อง ลำบากเปล่าๆ"
"...ผมยังไม่ได้พูดสักคำว่าอยากจะเป็นนายก" ไอซ์บุ้ยปากอย่างไม่พอใจ "ก็แค่ออกความเห็นเท่านั้นแหละครับ แต่ถึงเอามาพูดกันเองแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร... เพราะรัฐบาลเขาไม่ได้อยากจะมารับรู้ความคิดเห็นเราสักหน่อย"
"ล้านคนก็ล้านความคิด หกสิบล้านคน ก็หกสิบล้านความคิด..." ชายชราคู่สนทนาเปรยน้ำเสียงท้อแท้ "รัฐบาลเขาจะไปมีเวลารับฟังทั้งปัญหา ทั้งแนวคิดของทุกคนได้ไง?"
เท่านั้นเองเด็กหนุ่มก็หยุดคิด เขาเงยหน้ามองฟ้ากระจ่างยามเช้า... เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่กับปู่ของตัวเอง จากเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างการจะย้ายที่อยู่ดีหรือเปล่า กลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ๆประเด็นสังคมและการเมืองได้อย่างไรก็ไม่ทราบ... ทว่าเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้เอง จึงรวมตัวกันเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ที่มีชื่อว่า "ส่วนรวม"
ดังนั้นการใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมอำนาจความคิดเห็นของประชาเข้าสู่ศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่ และกระจายการพัฒนาที่ยิ่งใหญ่ให้ทั่วถึงทุกย่อมหญ้า โดยรักษาวัฒนธรรมจรรยาธรรมชาติให้คงอยู่ยั่งยืนนาน ไปพร้อมการสร้างเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมให้ทัดเทียมไปด้วยกัน...
".....ก็ไม่ต้องฟังไปทีละคนก็ได้นี่ครับปู่ ผู้ใหญ่บ้านทำโพลความคิดเห็นส่งให้ทางจังหวัด จากจังหวัดก็รวบรวมความคิดเห็นแต่ละตำบลอำเภอ มารวมแล้วเฉลี่ยเปอร์เซ็นต์ ก่อนจะส่งให้รัฐบาล..." ไอซ์ขยับแว่น แล้วยืดอกกับความคิดของตนเอง "แค่นี้เราก็ได้ความเห็นโดยรวมของจังหวัดแล้ว"
"โธ่เอ๊ย...หลานปู่ แบบนั้นไม่มีทางเป็นไปได้หรอก สมมติว่าความคิดเห็นโดยรวมนั้นดันไปขัดผลประโยชน์ใคร แล้วคนใหญ่คนโตเขาสั่งให้แก้จนโพลออกมาเข้าข้างเขา ก็จบแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก" ชายชราปฏิเสธความคิดของเด็กหนุ่ม
ไอซ์ได้แต่ถอนหายใจในใจ... ทำไมผู้ใหญ่ถึงได้ชอบพูดว่า 'เป็นไปไม่ได้' ก่อนจะเริ่มทำ แบบนี้ทุกทีเลยนะ...?
แต่ปู่ก็พูดถูกในอีกแง่หนึ่ง เพราะงั้นจุดที่สำคัญที่สุด... คือคนที่จะมาเป็น "หัวหน้างาน"
นายกรัฐมนตรี...ต้องเป็นคนที่มีความสามารถ ทั้งในแง่ปฏิบัติ และด้านความรู้เรื่องทฤษฎี ทั้งยังต้องมีช่องทางที่จะสื่อสารกับประชาชนได้ทุกชนชั้น... ทำดีต้องกระจายข่าว ทำผิดพลาดต้องรีบแก้ไข ไม่ปิดหูปิดตาประชาชน... สำคัญที่สุดคือต้องแสดงออกถึงความเป็นผู้นำ แต่ไม่วางอำนาจแสดงความก้าวร้าว
ทำงานเป็นทีมไปพร้อมๆกับคนในรัฐบาลด้วยกัน... ถ้าเป็นคนที่ซื้อใจคนในพรรคได้ด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยเงิน...งานทุกอย่างก็ดำเนินได้ด้วยดี แถมยังได้ใจประชาชนอีกด้วย...
เด็กหนุ่มยังคงเชื่อว่า คนไทยยังคงต้องการผู้นำที่เข้มแข็ง เหมือนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์... แต่ขณะเดียวกันก็ต้องการให้ผู้นำรับฟังความเห็นของตนบ้าง ประเทศเราจึงได้เป็นประชาธิปไตยดังเช่นทุกวันนี้
"จริงมั้ยล่ะไอซ์?" ปู่ย้ำความเห็นของตัวเอง "ประเทศนี้น่ะ! พัฒนาไม่ได้แล้ว ใครโกงกินก็ยังโกง ไม่มีใครที่ดีจริงๆขึ้นมาบริหารบ้านเมืองเสียที เดี๋ยวคนนั้นลง คนใหม่ขึ้นมาแทนก็ไม่ได้ดีเด่กว่ากันเท่าไหร่หรอก..."
...ไม่เห็นด้วยครับ... ไอซ์ทำหน้าตายพลางขยับแว่นนิ่งๆ แต่ค้านเสียงแข็งอยู่ในใจ...
"...ก็คงจะอย่างนั้นล่ะมั้งครับ" เขาตอบรับคำถามของปู่ ด้วยความไม่อยากเถียง เพราะรู้ว่าความเห็นของเขาทั้งคู่ไม่ค่อยจะเอนเอียงไปในทิศทางเดียวกันเท่าไหร่
พัฒนาการเมืองไม่ได้...หรือว่ายังไม่ได้ลองพัฒนากันแน่?
ทั้งปัญหาคอรัปชั่น ปัญหายาเสพติด ปัญหาการศึกษา ปัญหาความรุนแรง และอื่นๆ คนเรามักพูดกันอยู่เสมอว่า 'ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้' แต่ก็ไม่เห็นมีใครออกมาแก้อย่างเป็นจริงเป็นจังให้มันชัดเจนเสียที... แก้ปัญหาให้ถูกจุด พร้อมกับพัฒนาบุคลากรไปด้วย...
เด็กหนุ่มไม่อยากเป็นนายก
และเขาไม่อยากเป็นนักการเมือง...
แต่เขาก็รักประเทศไทย แม้ว่าชื่อเล่นของเขาพ่อแม่จะตั้งให้เป็นภาษาอังกฤษ แต่เขาก็เป็นคนไทย ที่รักเมืองไทย...
เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง เหมือนประชาชนหลายล้านคนทั้งเด็กและไม่เด็ก ที่กำลังรอใครสักคน ที่จะสร้างทีมงานสักทีม... ที่จะออกมาพัฒนาประเทศของพวกเขา รวมนักการเมืองให้เป็นหนึ่ง เพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน...
เพื่อประเทศของเรา
แต่เพื่อนส่วนใหญ่ของเขา มักจะเกลียดการเมือง แค่ได้ยินก็ไม่อยากจะคุยแล้ว ถึงคุยกันก็เพียงแค่วิจารณ์ว่า คนนั้นดี คนนี้ไม่ดี คนนั้นโกง และตบท้ายด้วยคำว่า 'นักการเมืองสมัยนี้ไม่มีใครดีเลยจริงๆ' หรือไม่ก็ 'บ้านเมืองเราแย่ลงทุกวัน'
แต่ก็ไม่มีเพื่อนคนไหนของเขาเสนอไอเดียดีๆเกี่ยวกับการพัฒนาบ้านเมืองออกมาเลย
จะว่าไปในหมู่เพื่อนก็คงมีแค่เขาคนเดียวที่อ่านข่าวหนังสือพิมพ์หน้าการเมืองทุกวัน เพราะเพื่อนเขาส่วนใหญ่ก็มองเรื่องการเมืองเป็นเรื่องน่าเบื่อ...
ที่สำคัญที่สุด - เขาเองก็เบื่อ
เบื่อว่าเมื่อไหร่ภาพของการเมืองในสายตาประชาชนจะเปลี่ยนไปเสียที แล้วเมื่อไหร่ถึงจะมีคนใจกล้าออกมาจัดระบบบ้านเมืองให้มันเข้าที่เข้าทางเสียที... ขนาดในรัฐบาลยังมีการโกงกินกันเอง ปัญหาภายในยังแก้ไม่ได้ แล้วปัญหาบ้านเมืองจะแก้ยังไง?
ไม่รู้ว่าประชาธิปไตยคืออะไรกันแน่? ในเมื่อการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ยังมีอยู่ทุกๆครั้งที่มีการเลือกตั้ง
เขาอยากให้ภาพของการเมืองเป็นภาพที่สนุก ที่ทุกคนสามารถช่วยกันเติมสีสัน ช่วยกันออกความคิดเห็น เขาเองก็เป็นวัยรุ่นเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ไม่เข้าใจหรอก ว่าจะทำยังไง คนไทยถึงจะรวมเป็นหนึ่ง และเข้าใจถึงประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่ถ้ามีใครสักคนอธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด เขาเองก็อยากจะรับฟัง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นนักการเมือง...แต่ก็อยากจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อประเทศชาติ...
ถ้าวันหนึ่งประเทศของเรา สามารถร่วมกันพัฒนาสิ่งต่างๆ โดยที่ประชาชนมีส่วนร่วมไปพร้อมกับรัฐ ในตอนนั้นเอง...คงจะเรียกได้ว่า เราได้ประชาธิปไตยที่แท้จริงมาไว้ในมือแล้ว
"...ผมว่าปู่อยู่ที่นี่เถอะครับ ถ้าอยู่แล้วสบายใจ" ไอซ์กล่าวสนับสนุน ก่อนจะหันไปยิ้มให้ปู่ของตน... ชายชรามีสีหน้าสุขใจเล็กๆ กับคำตอบที่หลานชายเลือก ใจของเขาเห็นด้วย... ชายชราปล่อยสายตาพาความคิดลอยไปกับสายลมร้อน ผ่านแมกไม้ใบยาง และท้องฟ้าสีฟ้ายามเช้า ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดซึ่งใช้งานมานาน... จนรู้สึกว่าหัวใจพองโตที่เท้ายังได้เหยียบอยู่บนดินที่เป็นดินจริงๆ ไม่ได้เป็นพื้นคอนกรีตแข็งกระด้าง
ที่นี่ชนบท...บ้านนอกที่เขารัก รักในบรรยากาศเช่นนี้...
สุดท้ายแล้ว...เราต่างต้องการเพียงชีวิตที่พอมีพอกิน และสงบสุขเช่นนี้เอง...
]]]]]]]]]]
ความคิดเห็น