ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [AU]Fic Yowamushi Pedal-SanSaka

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่2-พบเจอ

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 58


    ผ่านไปสามวันหลังจากที่มานามิไปจิบะ

    มิยาฮาระหรือหัวหน้าห้องพ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนข้างบ้านของมานามิกำลังรู้สึกหน่าย

    ก็ไอ้คนที่อยู่ตรงหน้าเธอพอกลับจากจิบะครั้งนั้นก็ซึมเหมือนคนอกหักไปหนึ่งวันเต็มๆ ไอ้เราก็อุตส่าห์เป็นห่วงเลยไปตะโกนเรียกอยู่ตรงระเบียงที่ติดกันตั้งนาน ทั้งเรียกทั้งตะโกนจนแทบจะปาข้าวของใส่กระจกให้ไอ้คนที่ขังอยู่ในห้องออกมาตอบเธอสักทีว่ายังไม่ตาย จนเธอกังวลไปต่างๆนานาว่าไอ้ที่คนอยู่ข้างในมันได้คิดสั้นฆ่าตัวตายไปซะแล้ว สุดท้ายเป็นไง?

    ไอ้คนที่เธอเป็นห่วงกลับมายิ้มหน้าระรื่นอยู่ตรงที่นั่งของตัวเองซะงั้น!

    มันน่าต่อยนัก!!

    “ซังกาคุคุง....ไม่ทราบว่าเมื่อวานกับเมื่อวานซืนเป็นอะไรไปเหรอคะ?....หัวฟาดพื้นจนเพิ่งตื่นเมื่อเช้ารึไงถึงได้ไม่โผล่หัวมานะหา?”

    มิยาฮาระจงใจกดเสียงต่ำตอนท้ายเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอหงุดหงิดมากเพียงใด แต่คนตรงหน้าก็ยังหัวเราะคิกคักอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรทั้งสิ้น

    นอกจากต่อยแล้วเอามันไปถ่วงน้ำดีไหมเนี่ย?

    แต่ก็ทำได้แค่คิด มิยาฮาระถอนหายใจหน่ายๆก่อนจะถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงปกติ

    “แล้วตกลงเป็นอะไรล่ะ? เรียกตั้งนานก็ไม่ยอมโผล่มาสักที รู้ไหมทำเอาใจหายขนาดไหน”

    “ใจดีจังน้าหัวหน้าห้อง”

    “อย่ามาเลี่ยงประเด็นนะย่ะ!” มิยาฮาระพูดขัดพร้อมแก้มที่ขึ้นสีแดงน้อยๆ

    “ก็...ไม่ได้มีอะไรมากหรอก แค่คิดอะไรเพลินไปหน่อยเลยไม่ได้ยินที่เรียกเท่านั้นเอง”

    “คิด?...”

    คนอย่างนายมีสมองคิดเรื่องอื่นนอกจากจักรยานด้วยเรอะ...

    แต่มิยาฮาระก็ไม่ได้พูดออกไป พอดีกับอาจารย์เข้ามาสอนคาบเช้า เธอเลยต้องกลับไปนั่งที่ของตัวเองเพื่อเตรียมตัวเรียน

    เอ๊ะ?...คาบเช้า...

    เช้า....

     

    ...เฮ้ย...

    ซังกาคุไม่ได้โดดคาบเช้า!?

    เกิดอะไรขึ้น!?

     

    *************************

     

    มานามิรู้สึกว่าตัวเองว่างเปล่า....

    มันกลวงโบ๋ไปหมด

    ตลอดสามวันที่ผ่านเขาเขาพยายามคิด

    คิด...และคิด

    จนในที่สุดก็เลิกคิด

    “มานามิซังคะ”

    เขาหันไปมองข้างๆ แฟนสาวของเขากำลังมองมาอย่างเป็นห่วง ดวงตากลมโตของเธอฉายแววห่วงใยอย่างชัดเจน

    คล้ายกันเหลือเกิน

    “อื้อ?มีอะไรเหรอ?”

    มานามิตอบด้วยรอยยิ้มสบายๆอย่างที่ทำตามปกติ แต่รู้สึกว่าแฟนสาวของเขาจะคอยมองเขาตลอดเวลาเลยสามารถจับความผิดปกติได้

    “วันนี้ทำไมดูเหม่อลอยจังเลยคะ เกิดอะไรขึ้น?”

    อ่า...

    มานามิรู้สึกว่าตัวเองเห็นภาพซ้อนทับ

    กับใครบางคนเหลือเกิน

    “ไม่หรอก ไม่มีอะไร”

    มานามิยิ้มบางก่อนจะเอือมมือไปเล่นผมสั้นสีเข้มของเธอมาม้วนเล่น เจ้าหล่อนหน้าแดงเรื่อคงเพราะตั้งแต่คบกันมาอีกฝ่ายเพิ่งจะเคยแตะเนื้อต้องตัวเธอเป็นครั้งแรก

    เอาตรงๆนะ แค่จับมือยังไม่เคยเลย....

    ยิ่งมาทำแบบนี้มันไม่ดีต่อสุขภาพหัวใจนะ!

    มานามิเห็นปฏิกิริยาของเด็กสาวตรงหน้าก็หัวเราะเบาๆแต่กลับดูมีเสน่ห์ล้นเหลือ เล่นเอาเธอแทบจะละลายกองไปกับพื้นถ้าไม่ติดที่ว่าอีกฝ่ายกลับคว้าเอวเธอเอาไว้แล้วดึงมาแนบชิด พร้อมกับกระซิบเบาๆที่ข้างหู

    “วันนี้ไปเที่ยวกันหน่อยไหม?”

    แน่นอนว่าเธอไม่ปฎิเสธ.......

    เวลาผ่านไป มานามิกับแฟนก็เริ่มเหมือนคู่รักกันมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคู่ไปเที่ยวด้วยกัน เดินจับมือกัน หอมแก้มกัน จูบกัน....

    ...จนแม้แต่มีอะไรกัน...

     

     

    ยังว่างเปล่าอยู่....

    มานามิคิดขณะที่กำลังเดินเคียงข้างกับเด็กสาวที่เป็นแฟนของเขา ทำไมกันนะ ทั้งๆที่เขาควรจะมีความสุข ควรจะยิ้มได้จากหัวใจ

    แต่ทำไมมันถึงมีแต่ความว่างเปล่ากัน

    มีอะไรบางอย่างที่บอกว่ามันไม่ใช่

    “ซังกาคุคุง”

    น้ำเสียงเล็กสดใสเรียกเขากลับมาสู่โลกความเป็นจริง เขายิ้มบางให้แฟนสาวของเขาที่เดินเคียงคู่กันมาตลอดทาง

     

     

     

    ก่อนเขาจะเลิกกับเธอในเวลาต่อมา

    เขาจำได้ วันนั้นเธอร้องไห้ ตบหน้าเขา กรีดร้องว่าตลอดเวลาที่ผ่านมามันคืออะไรกัน เขาไม่ได้รักเธอเหรอ

    ยิ่งเขาไม่ตอบเธอยิ่งร้องไห้หนักและมีอาการคล้ายจะคลั่งเสียเดี๋ยวนั้น เธอดูอ่อนแอและน่าสงสาร

    น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอะไรเลย

    ไม่เลยสักนิดเดียว....

     

     

    “ซังกาคุคุง...”

    มิยาฮาระเอ่ยเสียงอ่อน เธอมองมานามิเพื่อนสมัยเด็กของเธอเหม่อออกไปข้างนอกหน้าต่าง เธอรู้ว่าเขาเลิกกับแฟนแล้วแม้ไม่รู้เหตุผลว่าเลิกกันทำไมก็ตาม

    จริงๆเธอรู้สึกว่าเพื่อนสมัยเด็กของเธอเปลี่ยนไปตั้งแต่กลับมาจากจิบะครั้งล่าสุดเมื่อหลายเดือนก่อนแล้ว

    จากคนที่ชอบขึ้นเขา...ช่วงนี้กลับไม่ได้ขึ้นไปเลย

    จากคนซื่อๆ...กลับทำตัวมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

    เหมือนจะเหม่อลอยบ่อยขึ้นด้วย บางครั้งก็ทำอะไรที่ไม่ใช่ตัวของตัวเอง

    แต่มีบางอย่างที่ไม่เปลี่ยนไป

    “ยังไม่ได้ส่งแผนการเรียนต่ออีกเหรอหา!!?

    คือความไม่สนโลกนี่ไงล่ะ!

    ให้ตายสิ เดี๋ยวก็จะปิดเทอมแล้วนะ เพื่อนของเธอคนนี้ยังไม่ได้ที่อยู่ในอนาคตเลย

    “อ้ะ โทษทีนะหัวหน้าห้อง พอดีลืมไปเลยนะ”

    ยังจะมีหน้ามายิ้มระรื่นอีก!

    “มาเขียนเดี๋ยวนี้เลยนะ มา!พูดมาว่าอยากได้มหาลัยไหน! เดี๋ยวฉันจะเค้นรายชื่อที่มีมหาลัยตามที่นายอยากได้ให้!

    “เอ๋ งั้นเหรอ....ถ้างั้น....”

    มานามิยิ้มบางๆก่อนจะเริ่มเอ่ยออกมา

    “ขอเป็นที่ที่ไกลจากที่นี่...”

    ที่ที่มีความทรงจำของฉันกับนายอยู่...

    “และขอที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่จิบะ”

    ที่ที่ฉันกับนายพบเจอกันครั้งสุดท้าย...

    “แค่นี้แหละ”

    มิยาฮาระมองคนที่ยิ้มบาง เธอคิดอยู่แล้วล่ะว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่จิบะแน่ๆ แต่นั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอควรถาม

    เพราะดูท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่อยากเล่าด้วยสิ

    เธอถอนหายใจอีกครั้ง พลางคิดว่าตัวเองอายุสั้นลงไปกี่ปีแล้วเนี่ย ให้ตาย...

    “มันก็มีอยู่นะ แต่นายจะต้องพยายามเพื่อสอบเข้าให้ได้อย่างสุดกำลังเลยล่ะ”

    ฉันจะช่วยนาย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...

    “ดังนั้น...ตั้งแต่วันนี้ก็เริ่มติวหนังสือได้แล้ว!ไป!! ไปหาหนังสือมาอ่านกัน!!

    เพราะฉันน่ะคือมิยาฮาระ หัวหน้าห้องพ่วงด้วยตำแหน่งเพื่อนสมัยเด็กและเพื่อนข้างบ้านของนาย

    แถมด้วยตำแหน่งคนที่แอบชอบนายมาตลอดสิบปีด้วยเลยเอ้า!

    “เอ๋ ฟังดูน่าเบื่อจังหัวหน้าห้อง”

    “เลิกโอดครวญแล้วไปร้านหนังสือได้แล้ว!

     

    **********************

     

    และแล้วมานามิก็สอบติดมหาลัยจนได้

    ต้องขอบคุณความพยายามของหัวหน้าห้องที่คอยเข็นมันมาอ่านหนังสือจนสอบเข้าได้จริงๆ

    แน่นอน ตอนผลประกาศคนสอบติดเธอแทบร้องฮาเลลูย่าแทนคนสอบเสียจริง

    น่าตื้นตันอะไรอย่างนี้...

    หลังจากนั้น ทั้งมานามิและมิยาฮาระก็ต้องวุ่นวายกับการลงทะเบียนหอพัก จัดการทางฝ่ายผู้ปกครองและประสานงานจนเธอแทบจะเซ็นว่าเป็นผู้ปกครองแทนแม่ของมานามิอยู่แล้ว

    โชคดีที่เธอสอบได้ทุนเรียนมหาลัยในฮาโกเนะก่อนแล้วถึงมีเวลามาจัดการเรื่องพวกนี้ได้

    “เอาล่ะนะซังกาคุคุง ในที่สุดนายก็มีมหาลัยอยู่สักที จากนี้ไปดูแลตัวเองแล้วกันล่ะ เพราะฉันจะไม่อยู่ด้วยแล้ว”

    มิยาฮาระบอกกับมานามิตอนที่เขากำลังขึ้นรถไฟเพื่อไปมหาลัยก่อนเปิดเรียนหนึ่งวัน มานามิหัวเราะน้อยๆ บ่นเบาๆด้วยสีหน้าระรื่นว่าทำตัวแบบนี้เดี๋ยวแก่เร็วขึ้นหรอก ทำเอามิยาฮาระอยากจะผลักมันให้รถไฟชนมันให้พิการ

    ไหนๆก็จะจากกันแล้ว ต่อยมันสักหมัดเป็นที่ระทึกดีไหมเนี่ย?

    เสียงประกาศว่าขบวนรถไฟกำลังจะมาถึงแล้ว มิยาฮาระเลยจะขอตัวกลับเลยเพราะยังไงสัมภาระที่มีก็ให้รถขนไปส่งก่อนอยู่แล้ว

    “งั้นฉันไปก่อนนะ ขอให้สนุกกับมหาลัยนะซังกาคุคุง”

    “.........มิยาฮาระ”

    กึก...

    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ”

    มานามิพูดพร้อมรอยยิ้มทำเอาคนมองต้องเผลอยิ้มตามอย่างห้ามไม่ได้

    “อย่าลืมมาตอบแทนแล้วกัน!

    “เอ๋ ไหงเป็นงั้นไปอ่ะ!?

    ทั้งคู่จากกันด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

     

     

    มีสิ่งหนึ่งที่มิยาฮาระไม่รู้เกี่ยวกับมานามิ

    นั้นคือการที่เขาทำตัวเป็นเพลย์บอย...

    ตั้งแต่เริ่มเปิดเรียนที่มหาลัย เขาก็กลายเป็นคนดังในคณะ ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ดูดี รอยยิ้มที่มีเสน่ห์ และความลึกลับภายใต้ความเป็นมิตรนั้น

    สเป็คสาวๆเลยล่ะ...

    เขาไม่ปฏิเสธคนที่เข้าหา แต่ก็ไม่ตอบรับความรู้สึกของคนพวกนั้นเช่นกัน

    หล่อเลวแบบนี่สาวๆยิ่งชอบเลยให้ดิ้นตาย

    หลังจากผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์ เขาก็เอาผู้หญิงขึ้นหอชาย แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าเขาแอบพาผู้หญิงขึ้นมาหรอก ก็ห้องเขาอยู่ริมสุด แถมห้องข้างๆก็ยังไม่มีใครอยู่

    จะทำอะไรก็ไม่มีใครรู้หรอก จริงไหม?

    วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดของทางมหาลัย มานามิลุกขึ้นจากเตียงโดยเมินร่างอวบอิ่มของสาวน้อยข้างกายเหมือนเธอเป็นแค่หมอนข้างในห้องซะงั้น ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กระจัดกระจายแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

    เมื่อคืนพวกเขานัดสังสรรค์เพื่อทำความรู้สึกกันในคณะ แล้วเขาก็ดันได้สาวติดมาหนึ่งคน ยังไงซะ...เขาก็ไม่ปฏิเสธใครอยู่แล้วนี่?

    พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาจากห้องน้ำเดินไปที่ตู้เย็นว่ามีอะไรพอจะทำอาหารเช้าได้บ้าง แต่ก่อนที่จะได้ทำอาหารเช้านั้น

    ออดดดดดดดดด

    ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นก่อน

    ใครกันที่มาหาแต่เช้าแบบนี้นะ?

    มานามิปิดตู้เย็นแล้วเดินไปเพื่อเปิดดูว่าใครที่มาหาแต่เช่าแบบนี้ หรือจะเป็นคนข้างห้อง ไม่สิ ห้องนั้นว่างไม่มีอยู่ใครอยู่นี่น่า แล้วใครกันนะ....

    ช่างเถอะ เดี๋ยวเปิดประตูดูก็รู้เองล่ะ

    “ครับ มาแล้วคระ....”

    “อรุณสวัสดิ์ครับ ผมเป็นเพื่อนข้างห้องคุณเพิ่ง...ย้าย....เข้ามา...........”

    ให้ตายสิ

    ภาพที่ฉายตรงหน้าทำเอาใจของเขากระตุก

    ผู้ชายร่างเล็ก ผมสั้นสีเข้ม แว่นตาทรงกลมอันใหญ่......

    “ซากามิจิคุง...”

     

    โอโนดะบอกกับตัวเองว่าทำไมเขาถึงซวยแบบนี้

    นี่เขาอุตส่าห์เลือกเรียนมหาลัยไกลๆแล้วนะ ทำไมยังเจอกันอยู่อีก

    แถมยังห้องติดๆกันด้วย!

    แม่ครับ ผมขอย้ายหอตอนนี้ยังทันไหมครับ?

    “ขะ ขะ ขอโทษด้วยครับ ดะ เดี๋ยว...ผมขอตัว!

    โอโนดะลนลานแล้วหมุนตัวเพื่อที่จะรีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ แต่ก่อนที่จะได้ก้าวไปไหนก็ถูกมือของอีกฝ่ายคว้าตัวเขาไว้แล้วดึงให้เข้ามาในห้องของอีกฝ่าย

    “ไหนว่าจะไม่มาให้เห็นหน้ากันอีกแล้วไง...เปลี่ยนใจแล้วงั้นเหรอ?”

    น้ำเสียงติดจะเย็นชาของมานามิทำเอาเขาไปต่อไม่ถูก ทั้งมือที่โอบเอวเขาไว้ก็ยิ่งทำให้เขาเกร็งจนตัวแข็งเป็นหิน ในมือกำกล่องของฝากที่จะมาให้เพื่อนข้างห้องกำแน่นจนสั่น

    บรรยากาศอึดอัดเสียจนโอโนดะอยากจะวิ่งหนีทะลุกำแพงไปเลยจริงๆถ้าเขาทำได้อย่างที่คิดน่ะนะ...

    “ใครมาเหรอซังกาคุคุง?”

    เสียงใสของหญิงสาวดังขั้น โอโนดะเงยหน้าเจอหญิงสาวแสนสวยเรือนร่างอวบอิ่มในเสื้อเชิ้ตตัวโคร่งที่ไม่น่าจะเป็นของหญิงสาวสักนิดออกมาจากห้องนอนของมานามิ

    ผู้หญิงในหอชาย...

    ผู้หญิงในห้องของผู้ชาย...

    และยังเรียกซังกาคุคุงอีก

    ...แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นอะไรกัน

    โอโนดะสังเกตเห็นใบหน้าของมานามิคุงฉายแววลำบากใจ ก่อนจะอ้ำอึ้งเหมือนจะพูดอะไรแต่ก็ไม่พูดออกมาสักที

    ...แต่นั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องรอฟังนี่น่า...

    โอโนดะชิงพูดขึ้นก่อนด้วยท่าทีร้อนรน

    “ผะ ผมเป็นคนที่อยู่ข้างห้องนะครับ เอาของฝากมาให้ ฝะ ฝากตัวด้วยนะครับ!

    พูดจบก็รีบยัดกล่องของฝากไว้ในมือของคนตัวสูงกว่าแล้วรีบวิ่งออกมาทันที โดยไม่ได้ทันสังเกตสีหน้าของอีกคนเลยสักนิด

     

     

    เมื่อเขากลับมาถึงห้อง เขาได้ยินเสียงกระแทกกำแพงเบาๆพร้อมกับเสียงอื้ออาดังมาจากอีกฝั่งทั้งๆที่เขายังไม่ทันได้ปิดประตูห้องให้สนิทดีด้วยซ้ำ...

    แปล๊บ.... ความเจ็บแล่นเข้าสู่ขั้วหัวใจเขาแทบจะทันที...

    เจ็บ....จัง....โอโนดะยกมือขึ้นมากำเสื้อบริเวณหน้าอก เสียจนมันยับ....

    ทั้งๆที่คิดว่าหายแล้วแท้ๆ..... มือทั้งสองเลื่อนขึ้นมาปิดหู....

                ดูท่า...เขาคงจะต้องรีบออกไปจากที่นี้แล้วล่ะ...

     

     

     

                แต่แล้วโอโนดะก็ได้รู้ว่ายิ่งกว่า ความบังเอิญ คือ ความซวย ทันทีที่เขาโทรไปคุยกับแม่เรื่องย้ายหอก็โดนบ่นใส่จนหูแทบชา(แน่นอนว่าเขาต้องบ่ายเบี่ยงว่าทำไมต้องการย้ายหอกะทันหันไปจนสีข้างแทบจะถลอก)

    ทำให้เขาต้องพับเรื่องย้ายหอหรือแม้กระทั่งห้องลงไปตามระเบียบ ทำได้แค่คอยหลบหน้าคนที่เขาไม่กล้าสู้หน้า ยิ่งจากเสียงของเมื่อวานที่ดังตลอดจนเขาแทบจะเอาหัวมุดเข้าไปใต้เตียง

    ให้ตายสิ!ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปเนี่ย!!!’โอโนดะคร่ำครวญในคาบ ก่อนจะฟุบหน้าลงไปอย่างหมดอาลัยตายอยากเสียจนโดนเพื่อนในห้องทัก

    “เฮ้!เป็นอะไรไปนะซากามิจิ!” ไม่ใช่แค่พูดทักแต่มือกลับโอบรอบคอพลางขยี้หัวเขาไปด้วย

    “ปะ...เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” โอโนดะตอบพลางหัวเราะแห้งๆ แต่กลับถูกขยี้หัวหนักกว่าเดิม

    “ทำไมจะไม่เป็นอะไรล่ะฟ่ะ!ดูหน้านายเด่ะ!อย่างกับคนไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาตั้งนาน...ฮั่นแหน่~ซากามิจิผู้น่ารัก นายแอบไปมีแฟนหรือเปล่า~!” เพื่อนร่วมชั้นปีแซวพลางเอานิ้วจิ้มหน้าเขาไม่หยุด แถมยังมีการพรรณนาต่อว่า เห็นเขาติ๋มๆแบบนี้กลับร้ายไม่เบา พลางมีเสียงคนทั่วห้องร้องแซวเป็นลูกคอไปด้วย

    “จะ...จะบ้าเหรอ!มะ..ไม่มีหรอกแฟนเฟินอะไรกัน!!!” เขาส่ายหัวดิ๊กๆ

    “งั้นก็เยี่ยมเลย!เย็นนี้เรามีนัดเดทเป็นหมู่กัน นายก็มาด้วยสิซากามิจิ!”

    เขาอ้าปากค้าง เดทหมู่! แล้วยังให้คนอย่างเขาที่คุยแต่เรื่องอนิเมะไปด้วยนี่นะ!

    ก่อนที่เขาจะเอ่ยปฏิเสธอย่างร้อนรนเพื่อนในห้องก็เอาหน้ามาคลอเคลียแล้วบอกประมาณว่า ถ้านายไม่ไปก็แสดงว่านายมีแฟนแล้วใช่ไหมล่ะ ฉันเสียใจนะซากามิจิ~’

    คนอย่างเขาหรือจะปฏิเสธได้...เลยต้องยอมคอตกรับปากไปอย่างว่าง่ายซะอย่างนั้น...

     

    ระหว่างที่คนร่างเล็กกำลังโดนล้อมรอบด้วยเพื่อนๆในห้องนั้น ก็มีสายตาหนึ่งจ้องมองมาจากนอกห้องอย่างไม่วางตา เสียงพูดคุยเสียงดังนั้นทำให้เขารู้แทบทุกอย่างในห้อง...

    ใช่...รู้ทุกอย่าง...ทั้งการเรียกชื่อต้นและการถูกเนื้อต้องตัวอย่างสนิทสนมนั่นด้วย...

    “เดทหมู่งั้นเหรอ...” มานามิยิ้มบาง แต่แววตากลับไม่ได้ยิ้มตาม

    ทีกับเขากลับบอกว่าไม่อยากเจอหน้า...ทีคนในห้องกลับพูดคุยได้อย่างสนิทสนม...

    ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าซากามิจิคุงหลบหน้าเขา ทั้งยังไม่แม้แต่สบตาหรือมองหน้า สะดุ้งและวิ่งหนีทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ มันน่าหงุดหงิดมาก...มันน่าหงุดหงิดเสียจนเขาไม่เข้าใจว่าตัวเองจะหงุดหงิดเรื่องอีกฝ่ายได้ถึงขนาดนี้

    เขายอมรับว่าเขาหัวเสียมากตอนที่ซากามิจิคุงวิ่งหนีจากเขาตอนที่เจอกันวันแรก เขาโมโหเสียจนต้องไประบายกับผู้หญิงคนที่โผล่ออกมาขัดจังหวะเขากับอีกฝ่าย

    “อย่าหวังเลย...” เสียงทุ้มเอ่ยออกมาเบาๆ พลางมองคนร่างเล็กที่หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่ข้างในห้อง...

    “ฉันไม่ยอมให้หน้าหลบหน้าฉันได้ตลอดหรอกนะ..ซากามิจิคุง”

     

     

     

     

     

    เสียงเฮฮาที่ชวนปวดหูแถมยังอบอวลไปด้วยกลิ่นแอลกฮอล์หึ่งแบบนี้ไม่น่าจะเป็นสถานที่คนตัวเล็กๆแถมยังดูใสซื่อแบบ โอโนดะ ซากามิจิ จะมาอยู่ได้

                แต่ก็จะให้ขอถอนตัวตอนนี้ก็คงเสียมารยาทเกินไป คงทำได้แต่ซดน้ำส้มในมือไปพลางปฏิเสธเหล้าเอยสาเกเอยไปพลาง คิดได้แบบนั้นโอโนดะก็น้ำตาตกใน แต่ก่อนที่เขาจะได้ปฏิเสธแก้วเหล้าแก้วที่สี่ก็มีบางอย่างหล่นมาโดนหัว

                “อึ่ก!” เขาตกใจเล็กน้อยก็จะหยิบสิ่งที่หล่นมาใส่กลางหน้าผากเขาได้อย่างพอดี

                แต่แล้ว...ความตกใจก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นในทันตา...

                “นะ...นี่มัน....!”พวงกุญแจฮิเมะแบบแรร์มากๆที่ต้องไปยืนรอเพื่อซื้อบลูเรย์รุ่นจำกัดสุดๆของฮิเมะนี่น่า!!! มันหายากเสียจนคนอย่างเขายังไม่สามารถหาได้เลยนะ!!!แล้ว...แล้วๆๆ แล้วนี่มันของใครกันล่ะเนี่ย!

                โอโนดะกวาดสายตามองไปมาอย่างร้อนรน ด้วยความหวังที่จะได้เจอคนที่พูดคุยเรื่องเดียวกันได้อย่างถูกคอ

                “อ๊ะ...ขะ...ขอโทษนะคะ...ของนั่นของฉันเองล่ะค่ะ....” หญิงสาวท่าทางเขินอายคนหนึ่งคลานเข่าเข้ามาใกล้เขา มือเล็กนั้นสั่นเล็กน้อยตอนชี้มาที่พวงกุญแจ ใบหน้าที่มีกรอบแว่นสีเหลี่ยมระดับอยู่เต็มไปด้วยรอยแดงระเรื่อ เหงื่อไหลเล็กน้อยเหมือนว่ากำลังประหม่า

                “ขะ...ของคุณเองเหรอครับ” โอโนดะถามพลางชูพวงกุญแจขึ้นมาอย่างลืมตัว

                “วะ..ว้าย!” หญิงสาวรีบประกบพวงกุญแจอย่างรวดเร็ว

                “วะ..เหวอ! ขะ...ขอโทษครับๆๆ!ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ!ขอโทษด้วยนะครับ!!” โอโนดะก้มหัวขอโทษปะหลกๆ

                “มะ..ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขะ...ขอบคุณนะคะที่เก็บพวงกุญแจให้” เธอตอบพลางยิ้มให้

                ทั้งสองทำท่าประหม่าอยู่ราวนาทีเศษๆก่อนโอโนดะจะเปิดฉากยิงคำถามประจำตัว(?)ว่า

                “อะ..เออ...ขอโทษนะครับ...คือคุณ....ชอบอนิเมะหรือเปล่าครับ!

                “อะ..เอ๋...”

                “คะ..คือจะว่าไงดี พวงกุญแจที่คุณมีอยู่มันเป็นของแรร์นะครับผมเลย...อะ...อ่า!!ขอโทษครับ!!ผมไม่ได้จะบอกว่...” โอโนดะท่าทางเงิ่กง่ะ แต่ก็ต้องชะงักไปเมื่อหญิงสาวตรงหน้ากุมมือเข้าไว้แน่นเสียจนเขาแทบสะดุ้ง

                “ชะ..ชอบค่ะ!!ชอบมากๆเลยล่ะค่ะ!” เธอพูดเสียงดังก่อนจะทำตาเป็นประกาย บ่งบอกว่าได้พบพวกเดียวกันสักที! (?)

                คนรอบข้างเริ่มมองทั้งสองคนด้วยสายตาแบบ “สารภาพรักมันตรงนี้เลยเหรอ” “เกรงใจชาวบ้านเขามั่งสิ”

                แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองจะไม่ได้สนใจคนรอบข้างเลย บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกสองเราที่มีแต่ภาษาที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้ในทันที แถมยังมือที่กุมกันนั้นไม่มีท่าทีจะหลุดออกได้ง่ายๆซะด้วย

                แต่ โอโนดะที่กำลังสนุกสนานกับการได้คุยกับคนที่ถูกคอนั้น ก็ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนจ้องตนอยู่ไม่วางตา...โดยสายตานั่นเพ่งเล็งไปที่มือที่กุมกันไว้...

               

     

     

     

     

     

                ผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็คุยกันจนสาแก่ใจ และฝ่ายหญิงก็ได้เอ่ยมาว่า

                “อะ...เออ..โอโนดะซัง...จะรังเกียจไหมคะ ถ้าจะขออีเมล์ไว้ติดต่อน่ะ...ค่ะ...” เธอพูดด้วยน้ำเสียงเขินอาย ฝ่ามือที่วางบนตักก็บีบแน่นเสียจนเหงื่อไหลซึมออกมา

                “ดะ..ได้อยู่แล้วครับ!” โอโนดะยิ้มให้

                แต่ก่อนที่ทั้งคู่จะคุยกันต่อก็มีเสียงๆหนึ่งขัดขึ้นมา

                “โย่”ชายหนุ่มผมฟ้ายิ้มอย่างสดใสพลางยกมือทักทายทั้งสองคน

                มานามิคุง!’

                โอโนดะสะดุ้งจนมือถือแทบหลุดออกจากมือ ดวงตาสีฟ้าเบิกกว้างแทบไม่เชื่อความจริงตรงหน้า

                “เห็นพวกเธอคุยกันสนุกดีนะ โอโนดะคุงนี่สนิทกับคนอื่นเร็วดีจัง” มานามิยิ้มก่อนจะโอบไหล่คนตัวเล็กกว่าเรากับเป็นเพื่อนสนิท

                “อะ...เออ พวกเราคุยกันเสียงดังขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”หญิงสาวยิ้มเกอโดยไม่ทันสังเกตว่าคนที่ถูกโอบไหล่มีสีหน้าหวาดกลัวอะไรบางอย่าง

                “อ้อ ไม่หรอกๆ”มานามิยิ้มก่อนจะแสร้งหัวเราะ

                “แค่เห็นพวกเธอคุยกันแล้วมันดูน่าสนุกดีนะ เนอะ โอ-โน-ดะ-คุง” มานายิ้ม

                ...แต่ดวงตากลับว่างเปล่า...

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×