ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [AU]Fic Yowamushi Pedal-SanSaka

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอน1-แตกหัก

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 58


                   ช่วงนี้มานามิรู้สึกแปลกๆ

                   แปลก...เหมือนจะคล้ายอาการป่วย

                 แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ คล้ายกับตอนที่เขาปั่นจักรยานขึ้นเขา เขามักจะเอามือกุมหน้าอกและรู้สึกได้ถึงชีวิต

                แต่นี่...มันต่างออกไป

                 ใจของเขาเต้นระรัว จนแทบกระเด็นออกมา

                เมื่อเห็นเขา

                “มานามิคุง”

                ภาพรอยยิ้มแสนไร้เดียงสาแวบเข้ามาในหัว

                เพื่อนและคู่แข่งคนสำคัญ

               

     


     

                คิดไปเองล่ะมั้ง?

               

     

    *************************

                วันนี้เป็นวันธรรมดา เขาที่จู่ๆก็ถูกเรียกโดยทางจดหมายในตู้เก็บรองเท้า จริงๆเขาเกือบจะทิ้งมันแล้วถ้าไม่ใช่หัวหน้าห้องโวยวายบอกว่านี่เป็นจดหมายสารภาพรักเชียวนะ เขาเองก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมหัวหน้าห้องถึงโกรธขนาดนี้ สุดท้ายก็โดนไล่ให้มาตอนหลังเลิกเรียนตามเนื้อความในจดหมายจนได้

                ให้ตายสิ ไม่เห็นน่าสนใจเลย

                มานามิมองพื้น มองตึก มองฟ้า มองธาตุอากาศ มองอะไรก็ได้ที่ทำให้หายเบื่อ สักพักก็คิดได้ว่าจ้องเซลล์แบคทีเรียในอากาศที่อยู่รอบๆคงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไร สุดท้ายวนกลับมาเรื่องเดิมๆ

                เรื่องจักรยาน...

                สงสัยจริงๆว่าในหัวนี่นอกจากจักรยานแล้วมันจะมีแต่ขี้เลื่อยอยู่รึเปล่า

                แต่เนื่องจากไม่สามารถผ่าสมองออกมาดูได้ คำตอบของคำถามนี้เลยเป็นปริศนาต่อไป

                มานามิที่ได้คิดเรื่องจักรยานแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น ใบหน้าหล่อยกยิ้มขึ้นอย่างอารมณ์ดีพลางคิดว่าวันนี้จะไปขึ้นเขาทางไหนดีนะ แต่ก็ช่างเถอะ เห็นภูเขาลูกไหนก่อนก็ขึ้นลูกนั้นไปเลยแล้วกัน อ๊ะ จริงสิ...

                ครั้งหน้าชวนซากามิจิคุงมาขึ้นเขาด้วยกันอีกดีกว่า

     

     

    อื้อ?

                ทำไมเขานึกถึงซากามิจิคุงอีกแล้วล่ะ?

                มานามิเผลอทำสีหน้างุนงงพลางเกาหัวแกรกๆ พักนี้ตัวเขารู้สึกว่าจะคิดถึงอีกฝ่ายมากไปหน่อย คงเพราะตอนนี้ทั้งเขาและซากามิจิคุงขึ้นปีสามกันแล้วต่างฝ่ายต่างยุ่งๆเรื่องเรียนต่อมหาลัยเลยไม่ค่อยติดต่อกันบ่อยนัก เพราะแบบนี้เลยคิดถึงอีกฝ่ายบ่อยๆหรือเปล่านะ

                คงใช่แหละ...เนอะ?

                “อะ...เอ่อ...”

                สงสัยจะคิดเพลินไปหน่อย เลยไม่ทันสังเกตว่ามีอีกคนได้เข้ามาใกล้ มานามิหันไปมองฝ่ายที่เรียกเขามา เป็นหญิงสาวตัวเล็กท่าทางจะเป็นรุ่นเดียวกับเขา เธอมีผมสีเข้มไว้ยาวประบ่า และสวมแว่นตาทรงกลมอันใหญ่....

                เหมือนกันเลยแฮะ

                “ขะ ขอบคุณที่มาน่ะคะ....คือว่า.....”

                หญิงสาวเอ่ยอย่างติดๆขัดๆด้วยความตื่นเต้น

    “คะ..คือว่า ฉันชอบมานามิซังนะคะ!

                ริมฝีปากสีสดเอื้อนเอ่ย เสียงเล็กที่ออกมาจากริมฝีปากก็ช่างคล้ายกันอย่างน่าประหลาดจนนึกว่ามายืนอยู่ตรงหน้าจริงๆ

                “เพราะงั้น...มานามิซังคะ....”

                เธอเงยหน้าขึ้นมาเพื่อที่จะสบตากับเขา ดวงตาของเธอนั้นเหมือนท้องฟ้ายามรุ่งเช้ามีประกายเขินอายอยู่ในนั้น

                ส่องประกายออกมาระยิบระยับ

                เป็นดวงตากลมโตที่น่าหลงใหล

    คล้ายกับใครบางที่เขารู้จักดี

    “ช่วยคบ...กับฉัน...ดะ ได้ไหมคะ?”

     

    ก่อนที่จะได้นึกถึงความเป็นจริงที่ว่าคนตรงหน้าเป็นเพียงเพื่อนร่วมรุ่นไม่ใช่คนที่อยู่ห่างไกลกัน

    “อื้อ...”

    เขาก็ได้ตอบตกลงไป

     

     

    ********************************

    วันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วง ในที่สุดมานามิก็หาทางมาที่จิบะจนได้ ช่างมีความพยายามล้นเหลือจริงๆ

    “มานามิคุง ทางนี้”

    มานามิที่ก้าวลงจากรถไฟเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เขาหันขวับไปตามเสียง ก่อนจะยิ้มแย้มออกมา

    “ซากามิจิคุง!

    ภาพตรงหน้าคือเด็กหนุ่มผู้มีรอยยิ้มแสนสดใส

     

     

    มาจริงๆด้วยสินะ มานามิคุง

    โอโนดะยิ้มให้กับความบ้าของอีกฝ่าย จู่ๆเมื่อคืนก็โทรมาบอกว่าจะมาหาที่จิบะ ทำเอาเขาลนลานแทบตายจนวันนี้เผลอตื่นเร็วกว่าปกติทำให้รู้สึกปวดหัวนิดๆแต่ก็ยังอุตส่าห์มาถึงสถานีอย่างปลอดภัย

    ก็นานๆทีจะเจอมานามิคุงนี่น่า ไม่เป็นไรหรอก

     “ในที่สุดก็ได้เจอกันสักทีเนอะ ซากามิจิคุง”

    “อื้อ ดีใจที่มาได้นะมานามิคุง”

    สองหนุ่มที่ปล่อยออร่าดอกไม้บานอย่างไม่รู้สึกถึงสายตาคนรอบข้างเอาซะเลย ก่อนที่คนที่มองจะนึกหมั่นไส้มากกว่านี้ ทั้งคู่ก็ตัดสินว่าจะไปเที่ยวที่อากิฮาบาระที่ประจำของโอโนดะคุง จริงๆโอโนดะคงรู้จักสถานที่นั้นดีที่สุดแล้วแหละ

    มานามิดูตื่นเต้นมากที่ได้มาอากิฮาบาระแบบจริงๆจังๆสักที ครั้งก่อนที่มาแค่มาวางขวดน้ำไว้เอง ยังไม่ทันได้เที่ยวเลย

    ทั้งคู่เที่ยวเล่นกันจนกระเพาะโอโนดะส่งเสียงประท้วงว่าต้องการข้าว ทั้งคู่เลยออกจากร้านขายอนิเมะมาร้านอาหารแถวนั้นแทน

    “ที่นี่ใหญ่จริงๆเลยเนอะ ซากามิจิคุง”

    “อื้อ ผมมาที่นี่หลายครั้งยังแอบหลงเลย”

    บทสนทนาสบายๆระหว่างรออาหารที่สั่งไป ทั้งคู่พูดกันด้วยเรื่องมากมายตลอดที่ไม่ได้เจอกัน แม้จะคุยกันทางโทรศัพท์บ้าง แต่ยังไงได้เจอตัวจริงก็ดีกว่าอยู่ดี ทั้งคู่ยิ้มแย้มให้กัน พูดคุยกันอย่างเป็นธรรมชาติ

    “จริงสิ ลืมพูดเรื่องนี้ไปเลย”

    มานามิพูดขึ้นระหว่างกำลังทานแฮมเบอร์เกอร์ โอโนดะเงยหน้ามองเชิงถามว่าอะไรงั้นเหรอ มานามิหัวเราะคิกคัก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นๆว่า

    “ซากามิจิคุงต้องตกใจแน่ๆเลย คือว่านะ...”

    โอโนดะตั้งใจจะงับแฮมเบอร์เกอร์ของตัวเองระหว่างที่ฟังมานามิเล่าเรื่องที่ลืมพูดไป...

    “ฉันมีแฟนแล้วล่ะ”

    ...กึก...

    จู่ๆก็หยุดปากที่จะงับแฮมเบอร์เกอร์ไปซะเฉยๆ

    “อะ เอ๋?งะ...งั้นเหรอ...”

    มานามิคุงมีแฟนแล้วงั้นเหรอ?

    “ใช่แล้วล่ะ เราเพิ่งคบกันได้ไม่นานมานี้เอง...”

    เสียงร่าเริงของอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในหัวเขาอีกแล้ว ความจริงที่ตีเข้ามาใส่หน้าของเขา มันเจ็บเสียจนใบหน้าทั้งใบด้านชา

    “แล้วก็นะ....”มานามิยังคงพูดจ้อไม่หยุด โดยไม่ทันไปมองคนร่างเล็กกว่าที่เริ่มกำมือแน่น

    เจ็บจัง....

    เจ็บ...เพราะอะไรกัน

    ทำไมถึงได้รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเดี๋ยวนี้

    ไม่สิ...แล้วทำไม

    เขาต้องรู้สึกเจ็บล่ะ?

    เขากับมานามิคุงเป็นแค่เพื่อนกันนี่น่า เป็นเพื่อนกันก็ต้องแสดงความยินดีกับอีกฝ่ายที่มีเรื่องน่าดีใจเกิดขึ้นแบบนี้สิ

    ต้องดีใจด้วยสิ

    เราเป็นเพื่อนกันนี่

    “ยอดไปเลยมานามิคุง ดีใจด้วยนะ”

    โอโนดะพูดออกมาด้วยใบหน้าที่พยายามยิ้มแย้มให้เป็นปกติมากที่สุด แต่ด้วยความที่ว่าโอโนดะเป็นคนที่โกหกไม่เก่งเอาเสียเลย ใบหน้านั้นเลยกลายเป็นฝืนยิ้มซะจนคนมองรู้สึกเป็นห่วง

    “เป็นอะไรไปซากามิจิคุง?สีหน้าดูไม่ดีเลย”

    น้ำเสียงห่วงใยถูกส่งมาพร้อมสีหน้ากังวลของอีกฝ่าย โอโนดะทำได้แค่เบือนหน้าหลบ อาหารที่สั่งมาก็เริ่มรู้สึกไม่อยากกินขึ้นมาซะงั้น ทั้งๆที่เมื่อกี้ยังหิวจนท้องร้องออกมาอยู่เลย

    “ขอโทษนะ...พอดีรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยนะ”

    พยายามฝืนยิ้มเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร รอยยิ้มแห้งๆทำเอาคนมองเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิมว่าคนตัวเล็กนี้จะเป็นอะไรรึเปล่า หรือว่าจะไม่สบายกันนะ?

    “ไหวรึเปล่าซากามิจิคุง ไปพักก่อนไหม? ขอโทษนะที่จู่ๆก็เรียกออกมาแบบนี้” มานามิพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด ใบหน้าเซื่องซึมลงอย่างเห็นได้ชัด

    “มะ ไม่เป็นไรหรอกมานามิคุง!พักสักแปปก็หายน่า งะ งั้นเดี๋ยวผมขอกลับบ้านก่อนได้ไหม?” โอโนดะลนลานรีบอธิบายเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายทำหน้าเศร้าแบบนั้น

    แม้ตอนนี้เขาจะไม่มีอารมณ์ที่จะสามารถปลอบใจใครได้ก็เถอะ....

    “จริงเหรอ งั้นเดี๋ยวไปส่ง...”

    “ไม่ต้อง!

    โอโนดะที่เผลอพูดขึ้นเสียงออกมาทำเอาทั้งมานามิและตัวคนพูดเองตกตะลึง

    แย่ล่ะ...

    “มานามิคุงรีบกลับเถอะนะ เดี๋ยวก็ได้กลับฮาโกเนะค่ำหรอก ผมนะมาที่นี่บ่อยนะ แค่กลับบ้านเองนะทำได้สบายอยู่แล้ว”

    คนตัวเล็กลนลานรีบลุกขึ้นหยิบกระเป๋าขึ้นมาสบายด้วยน้ำเสียงร้อนลน มานามิเห็นว่าอีกฝ่ายคงอยากรีบกลับไปจริงๆเลยไม่ได้รั้งเอาไว้ เพียงแค่พูดว่า

    “งั้นคืนนี้ผมจะโทรไปหานะ”

    โอโนดะยิ้มรับตกลงก่อนจะเดินออกจากร้านไป

    พร้อมกับหัวใจที่หนักอึ้ง

    ทำไมกันนะ...ทำไมในส่วนลึกในใจของเขา

    มันเหมือนกำลังกรีดร้องไม่เอา

    เขาไม่ต้องการ

    ไม่ต้องการให้มานามิคุงพูดถึงเรื่องแฟนของเขา

    ไม่ต้องการให้เธอได้รอยยิ้มของมานามิคุงไป

    ไม่ต้องการ....

     

                เสียงเบรกจักรยานดังเอี๊ยดตรงทางขึ้นเขาที่มีเขาอยู่เพียงคนเดียว ใบหน้าที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อก้มลงเหมือนคนหายใจไม่ทัน หยาดเหงื่อหยดลงกับพื้นและแห้งไปแทบจะในทันที...

                ‘ไม่นะ...หยาดน้ำตาที่คลออยู่ที่เบ้าตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว...หวาดกลัวกับความรู้สึกของตัวเอง

    เราไม่ควร...รู้สึกแบบนี้... เสียงในใจร่ำร้องบอกว่า สิ่งที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้มันผิด...

    ผิดเสียจนเขาไม่กล้าสู้หน้ามานามิคุง...

    ถ้ามานามิคุงโทรมาเขาจะรับสายดีไหม...

    แต่ถ้ามานามิคุงโทรเพื่อคุยเรื่อง แฟนล่ะ....

    เขาจะหัวเราะแล้วตอบกลับไปแบบปกติได้งั้นเหรอ...

    โอโนดะเอาหัวพิงกับแฮนด์จักรยาน ก่อนจะพูดตอบสิ่งที่เขาถามตัวเองอย่างสั่นเครือว่า

                 “ทำ...ไม่ได้หรอก...”


     

    สุดท้าย...คืนนั้น

    เขาก็ไม่ได้รับสายมานามิคุง...

    ไม่แม่แต่จะ...แตะต้องมือถือด้วยซ้ำ...

    ************************

    ช่วงนี้ซากามิจิคุงไม่รับโทรศัพท์เขาเลย

    ถึงจะรับแต่ก็แค่ถามคำตอบคำแล้วตัดสายไปเท่านั้นเอง

    เป็นอะไรรึเปล่านะ?

    “มะ มานามิซังคะ...”

    เสียงเล็กๆดังขึ้นมาตรงหน้าที่นั่งในชั้นเรียนของเขา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับดวงตากลมโตประกายของเด็กสาวที่ขึ้นชื่อได้ว่าเป็นแฟนของเขา

    อ้ะ...นี่เขาเผลอใจลอยจนเย็นอีกแล้วเหรอ

    มานามิเผลอลนลานรีบลุกของกวาดของบนโต๊ะลงกระเป๋าเรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากเด็กสาวตรงหน้าได้อย่างดี

    “เป็นอะไรไปเหรอคะ?ช่วงนี้เหม่อบ่อยเชียว”

    “อ่า...ก็....”

    เขาควรบอกเธอสินะ?....ก็เป็นแฟนกันนี่น่า

    มานามิเลยเล่าเรื่องของโอโนดะให้เธอฟัง ตบท้ายด้วยปัญหาที่เขาประสบอยู่ตอนนี้ เล่าไปเล่ามาก็ยิ่งซึม นี่หรือว่าเขาทำอะไรผิดจนอีกฝ่ายเกลียดเขาแล้วนะ

    ฝ่ายแฟนสาวของมานามิเมื่อเห็นอาหารซึมลงเรื่อยๆก็ชักเป็นห่วงว่าแฟนของเธอจะล้มลงไประหว่างทางรึเปล่า เลยเสนอทางช่วย

    “งั้นมานามิซังก็ไปหาเขาอีกรอบสิคะ”

    “หือ?”

    “ถ้าเป็นเพื่อนกันต้องคุยกันเข้าใจแน่คะ ยิ่งเป็นเพื่อนสนิทด้วยแล้วนี่น่า”

    เพื่อนสนิท...งั้นเหรอ....

     

    ทำไมเขาถึงแอบรู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นนะ

    แต่การไปหาโอโนดะอีกครั้งก็นับเป็นความคิดที่ดี เขาไม่อยากเอาแต่คิดมากแบบนี้แล้ว ต้องไปเจอเจ้าตัวแล้วคุยกันให้ได้!

     
     

    ในวันที่มีหิมะตกเขาก็เดินทางมาที่จิบะอีกครั้ง

    ครั้งนี้ลงทุนมาหาตอนหลังเลิกเรียนเลยนะ!

    “ซากามิจิคุง!

    ในที่สุดเขาก็หาห้องของชมรมปั่นจักรยานเจอจากการถามนักเรียนในโรงเรียนมาเรื่อยๆ พอเปิดประตูเข้าไปก็พบสามเกลอปีสามอันประกอบด้วยโอโนดะ อิมาอิสึมิและนารูโกะที่กำลังนั่งคุยกันอยู่ว่าวันนี้จะพาพวกรุ่นน้องไปปั่นจักรยานดีไหมเพราะมีหิมะตก แต่ตอนนี้คงได้คำตอบแล้วล่ะ

    มีคนมาเยี่ยมถึงที่แบบนี้ ถ้าโอโนดะยังอยู่ก็ไม่ใช่โอโนดะแล้ว!

    “นายกลับไปก่อนเถอะโอโนดะ เดี๋ยววันนี้ฉันบอกพวกรุ่นน้องเองก็ได้”

    นารูโกะได้ทีโบกมือไล่อีกฝ่ายให้ไปรับแขก โดยไม่สนใจสีหน้าคนที่ต้องรับแขกเลยสักนิดว่ากำลังหน้าซีดขนาดไหน

     

     

    ซวยแล้ว

    โอโนดะร่ำไห้กับตัวเองในใจ ตอนนี้เขาไม่พร้อมที่จะเจอกับมานามิคุงเลยสักนิด เขายังจัดการกับปัญหาในใจของตัวเองไม่ได้เลยนะ!

    ตอนนี้บรรยากาศระหว่างเขากับมานามิคุงกำลังเย็นตามสภาพอากาศ โอโนดะเดินเลี่ยงก้มหน้ามองพื้นตลอด แต่มานามิกลับจ้องมาที่ใบหน้าของโอโนดะอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากกว่าเดิม

    “ซากามิจิคุง...”

    “อ๊ะ! อื้อ!?อะ อะ อะไรเหรอ!?

    โอโนดะที่เผลอสะดุ้งสุดตัวจนลนลานพูดรัวๆออกมา หากเป็นปกติมานามิคงยิ้มน้อยๆให้กับอาการไร้เดียงสาของคนตรงหน้าแล้ว

    แต่ครั้งนี้ไม่ใช่....

    มานามิเพียงแค่หรี่ตาลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังต่อว่า

    “ทำไมช่วงนี้ถึงพยายามหลบหน้ากันล่ะ?”

    บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาชั่วครู่ ก่อนโอโนดะจะก้มหน้าหนีแล้วฝืนยิ้มพูดว่า

    “เปล่านี่”

    คำตอบนั้นทำเอาคนฟังคิ้วกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่

    “งั้นทำไมไม่รับโทรศัพท์กันเลยล่ะ?”

    “ผม...ค่อนข้างยุ่งนะ เรากำลังจะเข้ามหาลัยแล้วนะ”

    โอโนดะเพียงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆไม่ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าสามารถพูดออกไปได้อย่างไร

    “แล้วเมล์ล่ะ? นายเองก็ไม่ตอบเมล์ด้วยนะ ไม่มีเวลาขนาดนั้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”

    “อ่า...ผมลืมนะ ขอโทษด้วยนะ”

    โอโนดะไม่รู้ตัวเลยว่า คำตอบนั้นจะทำให้บางสิ่งเริ่มมีรอยร้าว

     

    ลืม...

    ซากามิจิคุงลืมเขา

    ทั้งที่ๆเขาคิดถึงอีกฝ่ายอยู่ตลอดเนี่ยนะ

    ทำไม...

    “งั้น...ตอนวันหยุดครั้งหน้าเรามาเจอกันได้รึเปล่า? ครั้งนี้ไปที่ฮาโกเนะได้ไหม?”

    ทำไมล่ะ...

    “คงไม่ได้หรอก ยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะนะ”

    นี่เขาคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปเหรอ?

    “แล้ววันอื่นล่ะ ไปได้รึเปล่า?”

    เขาคิดไปเองสินะ ว่าตนเองสำคัญกับอีกฝ่ายเหมือนกัน

    “ไม่รู้สิ แต่คงไม่ได้ไปเร็วๆนี้หรอก”

    จริงๆแล้วเขามันไม่ได้สำคัญอะไรเลยสินะ

    “ไม่คิดจะไปหากันบ้างเหรอ?”

    ตอบสิ ซากามิจิคุง...

    เพียงแค่ตอบมาว่าอยากเจอกัน

    แค่นั้น ขอแค่นั้น...

    “....”

    คำตอบที่ได้มาคือความเงียบ

    นั่นทำเอาหัวใจเขาเจ็บปวดเหลือเกิน

    “ถ้าไม่คิดจะมาเจอกันบ้าง...”

    ถ้าเขาไม่สำคัญ...

    “...งั้นก็ไม่ต้องมาเจอกันอีกเลย”

    และแล้วบางอย่างก็ได้พังทลายลง

    โอโนดะที่ได้ยินได้แต่นิ่งเงียบก่อนจะเงยหน้าเค้นยิ้มบางออกมา

    “นั้นสินะ...”

    มานามิเบิกตากว้างพร้อมกับสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินจากอีกฝ่าย

    “งั้นเราก็...”

                ในเมื่อตอนนี้มานามิคุงมีผู้หญิงที่เขารักอยู่แล้ว

                “อย่ามา...”

                คงจะไม่มีเวลา...มาหา และคงไม่มีความรู้สึกให้ผมแล้วสินะ...

                “เจอกันอีกเลย...”

                เพื่อมานามิคุงแล้ว

                “นะ...”

                ผมจะเดินออกไปเอง...

     

    TBC.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×