คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : กฏเหล็ก
2
กฏเหล็ก
ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมก็เดินทางมาถึงโรงเรียน ประตูหน้าของโรงเรียนนั่นถูกปิดสนิทและถูกล๊อกไว้อย่างแน่นหนา... ผมขมวดคิ้วและพยายามหาสาเหตุว่าทำไมประตูโรงเรียนถึงถูกปิดไว้แน่นขนาดนี่
“แดนนี่ นายมาทำอะไรน่ะ” เสียงอันหาคุ้นหูดังขึ้นหลังผม ผมหันหลังกลับไปและพบว่าลิซซี่เพื่อนร่วมห้องของผมกำลังยืนเท้าสะเอวจ้องผมอยู่ แต่ทำไมเธอไม่ใส่ชุดยูนิฟอร์มโรงเรียน?
“ลิซซี่ ทำไมเธอไม่ใส่ยูนิฟอร์มโรงเรียน?” ลิซซี่มองมาที่ผมอย่างไม่เชื่อสายตาพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แดนนี่ นายก็รู้นิว่าโรงเรียนเราเปิดเทอมพรุ่งนี่”
“พรุ่งนี่? แต่แม่ของฉันบอกให้มาวันนี่นิ” แม่ผมบอกให้มาวันนี้แถมย้ำไว้หลายรอบด้วย แม่ไม่ใช้คนที่พูดอะไรหลายรอบถ้าไม่มั่นใจ แต่ว่าทำไมแม่ถึงบอกให้ผมมาวันนี่ทั้งๆที่วันนี่ไม่ใช่วันเปิดเทอมของโรงเรียน?
“เฮ้อ แดนนี่ นายนี่ทั้งบ้า ติ๊งต๊องและปัญญาอ่อนมากมาย... อย่าโทษแม่นายซิ ถ้านายจำผิดนายก็บอกว่าจำผิดไม่เห็นต้องไปโทษแม่นายเลย” ลิซซี่บ่น
“แม่ฉันบอกฉันจริงๆ แต่เรื่องนั่นช่างมันก่อนเถอะ เธอมาที่นี่ทำไม? ทั้งๆที่วันนี่ไม่ใช่วันโรงเรียน และถ้าฉันจำไม่ผิดบ้านเธอไม่ได้อยู่แถวนี่นิ”
“หึ รู้ด้วยหรอว่าบ้านฉันอยู่ไหน ไม่ต้องมองหน้าฉันอย่างนั่นฉันจะตอบคำถามนายแล้วย่ะ เหตุผลที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะฉันต้องมาเอาของจากบ้านแมดดี้ไงล่ะ เห็นบ้านหลังคาเขียวนั่นไหม? นั่นแหละบ้านแมดดี้” ลิซซี่ชี้ไปยังบ้านหลังคาสีเขียวซึ่งห่างจากที่ๆพวกเรายืนไม่มากนัก
“เอาล่ะฉันไปก่อนล่ะเดี๋ยวฉันโดนแม่ด่า” ลิซซี่โบกมือให้ผมและวิ่งออกไปจาก ณ ที่พวกเรายืนอยู่ ผมจึงตัดสินใจหันหลังเดินกลับถ้าไม่ติดตรงที่ว่าผมดันเหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาแปลกประหลาดบินอยู่กลางท้องฟ้า
มันตัวใหญ่ยิ่งกว่าเครื่องบินอีก ปีกข้างหนึ่งของมันใหญ่เท่ารถเก๋งคันหนึ่ง มันบินเป็นวงกลมบินไปบินมาด้วยความเร็วที่ผิดปกตื มันมีลำตัวสีเขียวดุจมรกตและมีหัวสีเพลิงไฟ มันส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาก่อนที่มันจะร่วงลงมาจากฟ้า
ประเด็นแรกที่ผมสงสัยคือ ทำไมไม่มีใครสังเกตมันและอะไรจะสามารถทำให้นกยักษ์นั่นร่วงลงมาเหมือนใบไม้ได้
ผมวิ่งไปยังพื้นที่ที่นกยักษ์ตัวนั่นหล่นลงมา
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาผมทำเอาผมแทบจะกลิ้งลงไปกับพื้นและหัวเราะให้จุกเต็มที่ และสิ่งที่ผมหัวเราะอยู่นั่นคือร่างคนแคระที่ไม่สูงกว่าหน้าท้องของผมร้องฮุ้ยๆฮ่าๆพยายามยกนกตัวนั่นขึ้นหลัง แต่แค่สองตัวจะไปยกที่คาดว่าหนักเป็นตันๆได้หรอ (?) มันทั้งสองมีหูยาวคล้ายเอล์ฟบวกกับแต่งตัวด้วยชุดสีเขียวพิลึกกึกกือ
“บ๊อบบี้ข้าบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรอจะล่านกยักษ์ก็หักล่าให้มันเงียบๆหน่อย”
“โอ๊ยบ๊อบเจ้าจะอะไรกับข้ามาก ประเดี๋ยวๆก็บอกให้ข้าฆ่ามันประเดี๋ยวก็บอกข้าว่าข้าโง่ที่ฆ่า ข้างงนะเออ”
“ไอ้ปัญญาอ่อน... ข้าบอกให้ล่ามัน แต่ไม่ได้บอกให้ยิงเปรี้ยงๆสักหน่อย” คนแคระที่ร่างผอมกว่าอีกตัวตบเข้าที่หัวอีกตัวด้วยด้ามปืนกล
“โฮ๊ยยยยย บ๊อบบบ เจ้ากล้ามากนะที่ตีข้า... ถ้าปืนดังเปรี๊ยงข้าตายได้นะ”
“โหย ตัวก็ตั้งใหญ่”
“ข้าเนี่ยนะใหญ่”
“เออ”
“แต่เจ้าโทษข้าไม่ได้นะที่ข้ายิงมันดังเปรี๊ยงๆ... เพราะนี่คือโลกมนุษย์...พวกโง่ๆแบบนั่นไม่ได้ยินหรอกฮ่าๆๆ” สรุปว่าคนแคระพวกนี่ไม่ใช่มนุษย์งั้นหรอ แล้วถ้ามันไม่ใช่มันคือตัวอะไร
“ใครจะไปรู้ล่ะ ห้าสิบปีที่แล้วเจ้าก็มากับข้าเจ้าก็ยิงนกเปรี๊ยงๆแบบนี่แหละ และผลออกมาเป็นยังไง ดันมีมนุษย์พิเศษมาเห็นเข้า...”
“อ้อ ข้าจำได้แล้ว... สุดท้ายพวกเราก็ต้องประหารมนุษย์ตนนั่นที่บังอาจมาเห็นนี่นา” ประหารแล้วถ้าพวกมันเห็นผม ผมก็ตายซิ
และแน่นอนผมจะไม่อยู่โง่ตรงนั่นให้พวกแคระนั่นประหารผมเล่นแน่ๆ... จู่ๆผมก็นึกขึ้นมาได้ว่ายายแก่ๆนั่นบอกกับผมว่าผมมีพลังแอบซ่อนไว้อยู่ ผมต้องดึงพลังนั่นออกมาให้ได้
ผมค่อยๆหลับตาลงสูดหายใจเข้าลึกๆและปล่อยมันออกมา ผมทำเหมือนเดิมซ้ำไปซ้ำมาแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยเนี่ยนะ (แล้วอะไรบอกนายล่ะว่าหายใจเข้าออกจะเรียกพลังออกมาได้)
“มนุษย์... บ๊อบข้าเห็นมนุษย์อยู่มองเราอยู่ตรงนั่น” เจ้าคนแคระอ้วนนั่นชี้มาในทิศที่ผมยืนอยู่ ก่อนที่ผมจะมีโอกาสวิ่งหนี มันก็เขวี้ยงเชือกมาที่ผม เหมือนในการ์ตูนและนิยายแฟนตาซีของผมไอ้เชือกนั่นก็พลันมีชีวิตและรัดตัวผมแน่น แน่นซะจนผมทรงตัวไม่ได้และล้มลงไปกับพื้น
“เก่งมากบ๊อบบี้ เจ้าวันนี่จับมนุษย์ได้สำเร็จข้าคืนนี่จะต้มไก่งวงให้เจ้ากินเป็นรางวัล” คนแคระอีกคนจับหัวคนแคระร่างท้วมสองสามทีก่อนจะเดินมายังที่ๆผมนอนอยู่
“เห? ข้าไม่นึกไม่ฝันเลยว่าพวกเราจะเจอมนุษย์หน้าตาโง่ๆอย่างงี้ด้วยวันนี่”
“เหอๆๆๆ ข้าเห็นด้วยบ๊อบ”
“พวกนายเป็นตัวเอ้ย คนอะไรหรอ แฮ่ๆ” ผมยิ้มเจื่อนๆให้กับคนแคระประหลาดทั้งคู่
“โอ้ว เจ้าเห็นพวกเราและไอ้นกยักษ์นั่นด้วยแหะ สงสัยเจ้าจะเป็นพวกโชคดี... อืมคนแถวโลกมนุษย์เขาเรียกกันว่าอะไรนะ สัมพัสที่เจ็ดแปดอะไรนั่นหรือเปล่า....? เอาช่างเหอะ มนุษย์ผู้โชคร้ายข้าคงต้องประหารเจ้าโทษฐานที่แอบมองการล่าของพวกข้าชาวดวาฟ”
“เจ้าอย่าได้บังอาจดูถูกข้าเพราะความสูงนะเจ้ามนุษย์หน้าโง่”
“อ่า... ผมไม่ได้เห็นอะไรเลยครับ แฮะๆ ผมแค่เห็นคุณดวาฟทั้งสองเดินเล่นเองครับ” ผมโกหกไปอย่างหน้าตายและยิ้มแหยๆให้กับพวกมัน ดวาฟตัวอ้วนมองมาที่ผมและพยักหน้าอย่างเข้าใจซึ่งค่อยทำให้ผมสบายใจขึ้นมาหน่อย แต่ทว่าอีกตัวหนึงนั่นกลับทำหน้าไม่ไว้วางใจ
“ข้าจะมั่นใจได้ไงว่าเจ้าไม่ได้เห็นข้าล่านกยักษ์นี่”
“นกยักษ์อะไรหรอครับ?” ผมถามอย่างบื้อๆหวังให้พวกเขาช่วยหลับตาเชื่อผมและล้มเลิกความคิดที่จะประหารผม
“นั่นไงนอนอยู่ตรงนั่น นกยักษ์ที่นอนเลือดอาบอยู่นั่นเจ้าไม่เห็นจริงๆเรอะ” ผมพยักหน้าหงึกๆและพยายามดิ้นออกจากเชือกที่ยิ่งอยู่ยิ่งคลายตัว
“อ่าไม่เห็นครับ”
“งั้นดี” ดวาฟที่เหมือนจะฉลาดกว่าตัวอ้วนนิดหนึ่งพยักหน้าและยังคงยืนอยู่และยังจ้องหน้าผม อะไรเล่าผมไม่ได้กินนมเละปากอย่ามาจ้องเซ่
“แต่ช่วยไม่ได้ที่ข้าดันบรรยายให้เจ้าฟังไปแล้วว่าข้าฆ่านกตนนั่น ข้าต้องประหารเจ้า” ดวาฟตัวนั่นยกขวานอันใหญ่ขึ้นมาอย่างน่าหวาดเสียว คิดดูซิใบมีดของมันยังสะท้อนแวววับแสดงให้เห็นถึงความคมของมัน ผมรีบดิ้นเต็มที่จนในที่สุดเชือกมันก็หลุดออกมา ผมกลิ้งไปด้านซ้ายเพื่อจะหลบขวานที่ถูกทุ่มลงมาอย่างเต็มกำลังจากดวาฟตัวผอมนั่นอย่างหวุดหวิด ทันทีที่ร่างกายที่แต่เดิมโดนพันธนการไว้เป็นอิสระผมรีบกระโดดและวิ่งหนีออกจาก ณ ที่นั่นทันที
สองเท้าของผมออกแรงสุดขีดเพื่อจะวิ่งหนีดวาฟสองตัวที่ยังคงตามผมอย่างไม่เลิกรา
“ไอ้มนุษย์โง่หยุดเดี๋ยวนี่นะ”
“เจ้าชื่ออะไรอยู่ไหนบอกข้ามา ข้าจะได้ไปฆ่าเจ้าที่บ้าน” ....โห... สมัยนี่เขาถามกันดื้อๆงี้เลยหรอ
ผมหักเลี้ยวเข้าไปในซอยแห่งหนึ่งที่ไม่ค่อยจะคุ้นสักเท่าไหร่ หลังจากผมวิ่งจู๊ดๆเข้าไปแล้วผมก็เห็นถังขยะโตพอที่จะยัดคนเข้าไปได้ คุณคิดว่าผมจะทำไงล่ะผมก็กระโดดเข้าไปหวังจะแอบจากพวกดวาฟงี่เง่านั่นน่ะซิ (เรื่องอะไรที่จะยืนนื่งๆล่ะ) และเหมือนจะได้ผลพวกคนแคระนี่วิ่งผ่านผมด้วยความไวของแสงและ ฟ้าววว หายตัวไปภายในพริบตาเดียว
ผมต้องรีบกลับบ้านก่อนที่พวกมันจะกลับมา
ไม่ต้องให้ผมอธิบายว่าการเดินทางกลับบ้านครั้งนี่ของผมตาลปัตรขนาดไหน ผมต้องคอยหลบหลังถังขยะเอยเสาไฟฟ้าเอยเพื่อดูว่าพวกคนแคระอยู่ไหน... จริงๆแล้วผมจะไม่กลัวขนาดนี่ถ้าไม่ได้เพิ่งผ่านความตายมาอย่างหวุดหวิดเหมือนเมื่อกี้
“แม่ฮ้ะ ผมว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันและพ่อด้วยฮ้ะ” ผมเปิดประตูบ้านและเดินเข้าไป ผมถอดรองเท้าไว้ข้างหน้าบ้านและจ้ำขาอาดๆเดินเข้าไปด้วยอารมณ์งุนงงสุดขีด
“มาได้จังหวะพอดีเลยแดนนี่... นี่คุณลุงของหนูนะ นี่คุณลุงริชาร์ต”
“คุณลุงริชาร์ต?” ผมเหลือบไปมองชายร่างสูงในชุดฮาวายที่มองมาทางผมอย่างสบายๆราวกับจะพูดว่า อะโล่ฮ่าหลานรัก ผมไม่รู้ทำไมแต่ผมมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่เกี่ยวกับคุณลุงคนนี่
“ลูก... ลูกวันนี่เจอคุณยายแปลกๆหรือเปล่า” พ่อที่กำลังนั้งดื่มชาจ้องมาทางผมอย่างเคร่งเครียด ซึ่งมันก็ทำใหผมเครียดไปด้วยเช่นกัน พ่อรู้ได้ยังไงว่าผมวันนี่เพิ่งเจอคุณยายแปลกๆนั่น
“ครับ”
“ฮ่าๆๆๆๆ ฉันบอกนายแล้วปีเตอร์ว่าคุณยายเบรอเวอร์รี่มาหาลูกนายจริงๆ ฮ่าๆๆ” คุณลุงริชาร์ตหัวเราะดังลั่นทั่วบ้านถึงขั้นน้ำตาเล็ดออกจากขอบตา แตกต่างกับพ่อแม่ของผมที่มองมาที่ผมอย่างเคร่งเครียดและเศร้าในเวลาเดียวกัน
“ไม่ทราบว่าจะช่วยอธิบายสักนิดหนึ่งหน่อยได้ไหมฮ้ะว่าใครคือคุณยายเบรอเวอร์รี่นั่น”
“ฮ่าๆๆ คุณเบรอเวอร์รี่เป็นคล้ายๆกับ อืม...โลกมนุษย์เรียกว่าอะไรนะ ผู้เฒ่าอันชาญฉลาดหรือเปล่า ข้อนี่ลุงก็ไม่รู้หรอกนะ... เอาเป็นว่าหลานรักโลกเราไม่ได้มีแค่มนุษย์ที่อาศัยอยู่อย่างเดียวหรอกนะ” ข้อนั่นผมเพิ่งพิศูจน์มาด้วยตัวเองตะกี้
“ครับ... แล้วคุณยายเบรอเวอร์รี่ล่ะฮ้ะ?”
“เอาง่ายๆ คุณยายเบรอเวอร์รี่มาจากโลกทันทารัส แกจะมาเลือกคนที่จะพาไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งไงล่ะ...”
“แล้วทำไมต้องเป็นผม?”
“อันที่จริงพวกเราไม่ซิพ่อกับแม่ของหลานรักเป็นคนจากโลกอีกแห่งหนึ่งแต่พ่อแม่หลานดันไม่ชอบโลกนั่นจึงอพยบมาโลกมนุษย์เมื่อสามสิบปีที่แล้ว... และพ่อแม่ของหลานพยายามจะแอบไม่ให้ฝ่ายนู่นรู้ว่าพวกเขามีลูกแล้ว เพราะถ้าพวกฝ่ายนู่นรู้เขาจะเอาหลานไปไงล่ะ แต่ฮ่าๆๆ ลุงบอกปีเตอร์แล้ว (ชื่อพ่อผม) ว่าหนีหรือแอบให้ตายยังไงก็ไม่พ้นอยู่ดีหรอก ฮ่าๆๆ”
“หยุดพูดริชาร์ต ฉันบอกนายแล้วว่าถึงเวลาฉันจะบอกแดนนี่เอง นายหุปปากไปเลย”
“...ได้ ฉันเงียบก็ได้ แต่ฉันจะพาแดนนี่กลับไปยังอีกโลกอย่างแน่นอน”
“เรื่องนั่นฉันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วเนื่องจากคุณยายเบรอเวอร์รี่ดันมาเจอแดนนี่ซะแล้ว”
“รู้ไว้ซะก็ดี... โลกมนุษย์น่าเบื่อจะตายไปไม่รู้ทำไมนายถึงย้ายมาอยู่ที่นี่ เฮ้อ”
“แดนนี่ฟังพ่อนะ... พ่อมีเวลาไม่มากที่จะอธิบาย” พ่อผมจับไหล่ของผมให้ผมหันมาสบตา ดวงตาของพ่อส่องประกายความเป็นห่วงและความหงุดหงิดไว้อย่างไม่ปิดบัง ท่านสูดหายใจเข้าลึกๆและถอนมันออกมา “แดนนี่อย่างที่ลุงริชาร์ตบอกไป คุณยายเบรอเวอร์รี่มีอำนาจเยอะมากในโลกนู่น คุณยายเบรอเวอร์รี่จะมายังโลกมนุษย์เพื่อสืบและค้นหาเด็กจากโลกนู่นที่ถูกพามายังโลกมนุษย์... พ่ออยากให้ลูกโตขึ้นมาเป็นเด็กปกติ พ่อพยายามแอบลูกไว้ให้พ้นจากคุณยายและโลกนู่นแต่พ่อขอโทษพ่อแอบลูกไม่สำเร็จเพราะในร่างของลูกและเลือดที่ไหลเวียนในร่างของลูกล้วนเป็นเลือดจากชนชาวเผ่าจากโลกนั่นทั้งสิ้น เอาเป็นว่าโลกนู่นเป็นโลกที่เยียดเผ่าพันธุ์เยียดสีผิว แบ่งเป็นพรรค์เป็นพวกและเต็มไปด้วยเผ่าบ้าอำนาจ อีกไม่นานจะมีคนรับลูกไปยังโรงเรียนใหม่ในโลกนู่น จำไว้นะว่าลูกอย่าได้หลงใหลอำนาจที่คนพยายามยัดเยียดให้ลูก ลูกอย่าใส่ใจถ้าคนจะดูหมิ่นครอบครัวของลูก และท้ายที่สุด อย่าบอกใครเรื่องตาของลูกและเรื่องในโลกนี่เป็นอันขาด”
หลังจากพ่อเล่าและอธิบายเสร็จพ่อก็พรมจูบที่หน้าผากของผมและยิ้มเศร้าๆให้ผม
ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าทำไมพ่อผมถึงเกลียดโลกนั่นมากขนาด ทั้งๆที่ลุงริชาร์ตออกจะทำท่าชอบออกหน้าออกตาขนาดนั่น
แม่เดินเข้ามาและกอดผมแน่น ผมกอดแม่ตอบ
“แดนนี่ฟังที่พ่อพูดนะ และลูกอย่าได้ไปบอกใครเรื่องดวงตาของลูก เข้าใจใช่ไหมลูก แม่เป็นห่วงมากนะ เหตุผลที่แม่ส่งลูกออกจากบ้านทั้งๆที่ไม่ใช่วันโรงเรียนก็เพราะว่าแม่รู้ว่าวันนี่คุณยายเบรอเวอร์รี่จะมาบ้านเราเพื่อหาว่าพวกเรามีลูกกันหรือเปล่า... อ่ะนี่กระเป๋าแม่จัดให้แล้ว อีกประเดี๋ยวจะมีคนมารับลูกไปแล้ว” ผมรู้สึกถึงน้ำตาของแม่ซึมมาโดนเสื้อนักเรียนของผม ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาต้องเศร้าถึงขนาดนี่ ผมแค่ไปอีกโลกหนึ่งไม่ใช่หรอ
ผมรับเป้ที่แม่ส่งมาให้และสวมมันขึ้นหลัง มันค่อนข้างหนักและเหมือนจะบรรจุของเยอะพอสมควร ผมผละออกจากแม่และยิ้มให้กับแม่และพ่อ พวกท่านลูบหัวผมเบาๆสองสามที่อย่างรักใคร่และเอ็นดู
กริ๊งงง
“มิสเตอร์ กับ มิสสี่ส แม็กเคลเวอร์ อยู่ไหมครับ พวกเรามารับแดนนี่แม็กเคลเวอร์ไปยังโรงเรียน เอซีพี คร้าบบ” เสียงอันคุ้นดังขึ้นพร้อมกับเสียงออดของบ้านที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ว่าแต่ทำไมเสียงนี่มันคุ้นหูขนาดนี่นะ
“จ้าๆ มาแล้ว แดนนี่ไปเร็ว ดวาฟรับส่งนักเรียนมาแล้ว” แม่ของผมผลักผมออกจากห้องและจูงมือผมไปที่ประตูบ้าน พ่อผมเดินตามมาติดๆ ส่วนลุงริชาร์ตยังคงนั้งหาวในห้องคนเดียว
“พวกเราดวาฟรับส่งนักเรียนมารับแดนนี่แม็กเคลเวอร์แล้วคระ... เฮ้ยมนุษย์นั่น บ๊อบบี้เจ้าเห็นเหมือนข้าไหม” ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออกร่างเล็กๆของคนแคระที่สวมชุดสีเขียวก็ปรากฏขึ้น ในมือมันถือกระดาษยับๆที่มีบ้านเลขที่ของบ้านผมและชื่อของผมอยู่ในนั่น นั่นและว่าทำไมชื่อดวาฟมันคุ้นอย่างนี่ ไม่น่าเลยผม
“ไอ้มนุษย์ที่บังอาจหลบจากข้านี่นา” ดวาฟตัวท้วมมองมาที่ผมอย่างเอาเรื่องและแยกเขี้ยวใส่สองสามทีเพื่อจะขู่ผม และมันก็สำเร็จด้วย
“ลูกไปเจอกับดวาฟแสนใจดีพวกนี่ตั้งแต่เมื่อไหร่หรอจ้ะ?” แม่ผมถาม ซึ่งผมนั่นอยากจะแย้งอย่างเต็มที่ ดวาฟพวกนี่เนี่ยนะที่เขาเรียกว่าใจดี ดวาฟที่เที่ยวใช้ขวานประหารมนุษย์เนี่ยนะ
“ก็มีเรื่องนิดหน่อยน่ะครับ” เรื่องที่เกือบทำให้หัวผมหลุออกจากบ่าไงล่ะครับ
“บ๊อบ บ๊อบบี้ ฉันหวังว่าพวกนายจะไม่แตะแม้แต่ปลายเส้นผมของลูกฉันนะ” พ่อผมใช้สายตากดดันจนดวาฟสองตัวนี่แทบจะหดตัวเล็กลงกว่าเดิม
“ไม่กล้าหรอกขอรับท่านดยุกปีเตอร์”
“ดี.. เอาล่ะแดนนี่เดินทางให้ปลอดภัยนะ”
“พ่อฮ้ะไม่ใช่ว่าคนจากโลกนู่นมีพลังหรอ แล้วผมมีพลังอะไรล่ะ”
“เรื่องนั่นลูกต้องคนหาเอง พ่อเองก็ไม่รู้” พ่อผมผลักผมออกจากบ้านซึ่งมีฟักทองขนาดใหญ่เหมือนในเทพนิยายซินเดอร์เรล่าแต่แตกต่างก็ตรงที่ว่ามันมีอีกสิบๆลูกพ่วงไว้อยู่ซึ่งกำลังลอยเหนือบ้านเรา และหนึ่งในฟักทองที่พ่วงๆกันอยู่ประตูของมันก็เปิดออกมาช้าๆมีที่นั่งคล้ายเคียงกับชิงช้าสวรรค์ย่อนลงมา
“ขึ้นไปนั้งซะเจ้ามนุษย์ขี้โกหก” ดวาฟร่างท้วมรับหน้าที่ต่อจากพ่อผมโดยการผลักผมที่ยืนบื้ออยู่ให้นั้งลงบนชิงช้านั่น
“เกาะแน่นๆล่ะ มันจะดึงตัวขึ้นแล้ว” แม่เปรยก่อนจะยิ้มให้ผม
“ครับ ว่าแต่คนอื่นเขาไม่เอะใจหรอที่มีไอ้ฟักทองลอยลั้ลลาอยู่ตรงเนี่ยอ่ะ”
“คนอื่นมองไม่เห็นเหมือนเจ้าไง เจ้ามนุษย์ชอบพูดโกหก” ดวาฟตนนั่นยังคงมองผมอย่างเคืองๆและตบมือแป๊ะๆสองที จู่ๆชิงช้าสวรรค์นั่นเชือกของมันก็ถูกดึงตัวขึ้นไปเป็นแนวดิ่ง ผมซึ่งกำลังนั้งอยู่บนนั่นก็เริ่มรู้สึกหวาดเสียว ถ้าผมตกลงไปนี่ตายสถานเดียวนะเนี่ย ผมคงโดนดวาฟสองตัวนี่ถีบตกแน่ๆถ้าไม่ติดว่าพ่อกับแม่ของผมยืนจ้องอยู่
“ไปนะฮะพ่อแม่” ผมโบกมือหย็อยๆและปีนเข้าไปในฟักทองที่กำลังเปิดอ้าอยู่ ใช่มันฟังดูแปลกๆก็จริงแต่ฟักทองนี่มันลอยอยู่และเปิดอยู่จริงๆ ข้างในฟักทองใหญ่ยิ่งกว่าภาพลักษ์ของมันเสียอีกนันมีทั้งเก้าอี้ โต๊ะ ที่ชงกาแฟ แอร์ฯ แจกันดอกไม้ และกระจก โอเคมันก็เหมือนรถไฟปกตินั่นแหละแต่แตกต่างตรงที่ข้างนอกมันดูคล้ายละไมกับฟักทองนิดหนึ่ง
“ไอ้มนุษย์เบื๊อก... เจ้าอย่าคิดว่าเรื่องมันจะจบแค่นี่นะ”
“เปล่าคิดเลย” ผมหันไปหาเสียงห้าวๆแหลมๆแสนคุ้นนั่น เพราะว่าเจ้าของมันไม่ใช่ใครที่ไหนใดเพราะมันคือเจ้าดวาฟคู่อริของผมนั่นเอง มันมองผมด้วยสายตาเขียวปึ้ดและทำปากขมุบขมิบและเดินจากไป (แล้วมันจะเดินมาเพื่อ?)
ผมเดินเข้าไปสำรวจหาที่นั้งเหมาะๆสำหรับผมที่ๆสามารทมองออกจากหน้าต่างบานใหญ่เพื่อจะดูวิวข้างนอกได้
ว้าว... ฟักทองประหลาดนี่กำลังลอยอยู่จริงๆ ผมเห็นทุกอย่างเล็กเท่ามด อ่ะนั่นผมเห็นโรงเรียนของผม ไม่ซิโรงเรียนเก่าของผมด้วย ผมเห็นแม้กระทั่งท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่ห่างจากตัวเมืองของที่นี่ไม่เท่าไหร่นัก ทุกอย่างที่ผมเห็นและทุกอย่างที่ผมรู้สึกนั่นมันยิ่งกว่าฝันซะอีก ความรู้สึกนี่มันเหมือนผมกำลังบินอยู่ถ้าไม่ติดว่าผมกำลังนั้งบนเบาะส้มๆของเจ้าฟักทองนี่หรอกนะ
“ฮ้ะๆ... นายอยากหัวขาดหรือไง... เอิ่มนายชื่ออะไรนะ” ผมหันไปหาต้นตอของเสียงที่เพิ่งเรียกผมเมื่อกี้ เขาคนนั่นที่เพิ่งเรียกผมมีผมสีน้ำตาลทราย ใบหน้าใสกิ๊งยิ่งกว่าก้นเด็ก ตัวสูงและมีกล้ามเล็กน้อย แถมด้วย ดวงตาสีเขียวมรกต
“หมายความว่าไงหัวขาด?” ผมถาม
“เอิ่ม...ว่าไงดีล่ะ ทันทีที่เจ้าแบร์รี่ขยับตัวกระจกมันก็จะปิดโดยอัตโนมัติโดยการที่กระจกจะหล่นลงมาเป็นแนวดิ่งจากข้างบนและมาถึงปลายหน้าต่างอย่าแรง แต่แบร์รี่มันไม่ค่อยระวังน่ะ เช่นเวลามีคนยื่นหัวออกนอกหน้าต่างอย่างเมื่อครู่กระจกของหน้าต่างก็จะหล่นลงมาทับคอนายไง”
“อะไรคือแบร์รี่หรอ”
“ก็เจ้าสีส้มนี่ไงล่ะ มันเป็นหนอนวิเศษซึ่งถูกสร้างมาจากเวทมนตร์ของคุณยายเบรอเวอร์รี่ไง”
“นี่คือหนอน?” ผมถามด้วยความงุนงง นี่ไม่ใช่ฟักทองหรอกหรอ
“อืม... ว่าแต่นายชื่ออะไรหรอ แล้วนายมีพลังอะไร หรือว่านายเป็นหนึ่งในเด็กที่พลัดหลงมาอยู่ในโลกมนุษย์ อ้อ ฉันชื่อแมกซ์นะยินดีที่ได้รู้จัก” ชายแปลกหน้าที่อายุน่าจะประมาณสิบเจ็ดสิบแปดฉีกยิ้มและยื่นมือมาให้ผม
“ฉัน.. ไม่รู้ว่าพลังของฉันคืออะไรเนื่องจากฉันเติบโตที่โลกมนุษย์น่ะ” เจ้าแบร์รี่เริ่มขยับตัวขึ้นลงหลังจากนั่นรถไฟหนอนนี่ก็ขยับเคลื่อนตัวออกจากบ้านผม และเหมือนที่แมกซ์พูดกระจกก็ตกลงมันพลันปิดหน้าต่างกั้นไม่ให้ลมเข้ามา มันทำให้ผมเข้าใจว่าทำไมมันถึงอันตรายนักที่จะยื่นหัวออกไป เพราะกระจกมันทั้งหนาหนักและคม นี่ถ้าหัวของผมยังยืนออกไปนะตอนนี่บนบ่าของผมคงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง
“โอ้งั้นดิเท่ชะมัด”
“เท่?”
“ใช่เท่... ตกลงนายชื่ออะไรนะ”
“แดนนี่ แดนนี่แม็กเคลเวอร์” แมกซ์พยักหน้าและคลี่ยิ้มใหกับแมกซ์
“ฉันคือเจ้าชายองค์ที่สี่ของดินแดนทันทารัสน่ะ พลังหรอ.... อืมรักษาคนรักษาสัตว์ ถึงแม้พลังของฉันจะไม่ค่อยเหมาะแก่การเป็นราชทายาทของดินแดนแห่งความมืดก็ตาม ฮ่าๆๆ”
“จะ...เจ้าชาย?” ผมรีบคำหนับให้แมกซ์ทันที ดีไม่ดีคนอื่นมาเห็นเข้าผมก็โดนประหารน่ะซิ ผมมีศัตรูเป็นดวาฟอย่างเดียวก็พอแล้วผมไม่อยากได้ขวานมาจาบหัวผมหรอกนะ
“ฮ่าๆๆ นายนี่หลอกง่ายดีนะ เรื่องพลังน่ะฉันพูดจริงแต่เรื่องเจ้าชายนี่แต่งให้ดูเท่แค่นั่นเอง” ผมมองแมกซ์ด้วยสายตาขุ่นเคืองและลุกขึ้นมาหย่อนก้นนั้งบนเก้าอี้ที่ถูกจัดไว้ให้ ผมวางเป้ของผมไว้ข้างๆก่อนจะมองออกนอกหน้าต่าง
“เฮ้ยอย่างอนซิแดนนี่”
“เปล่างอน แต่อย่าเห็นฉันเป็นคนที่โตในโลกมนุษย์และจะมาหลอกอย่างนี่ซิ” ผมหันไปตะคอกใส่แมกซ์ที่ยังคงทำหน้าระรื่นอยู่ ระรื่นมากซะด้วย
“ฮ่าๆ นายนี่ตลกดีนะเนี่ย”
“ตลกบ้าอะไร มันไม่ตลกสักนิด นายจะรู้สึกยังไงอยู่ๆนายก็เจอคุณยายแปลกๆที่อยู่ๆก็มาจับตานายและหลังจากนั่นก็เริ่มเห็นคนแคระนกยักษ์แถมนายเกือบจะโดนประหารโดยพวกมันซะด้วย หลังจากนั่นนายก็ต้องวิ่งหนีเอาชีวิตกลับบ้านและก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์ปกติและยังต้องย้ายโรงเรียนอีก”
“คุณยายเบอรเวอร์รี่จับตานาย? ตานายเป็นอะไรทำไมคุณยายถึงเลือกที่จะจับตานายปลุกพลังนาย” แมกซ์ถามด้วยความใคร่รู้แต่เรื่องอะไรผมจะบอก พ่อผมยิ่งเตือนๆอยู่ไม่ให้เผยเรื่องนี่ให้ใครรู้เด็ดขาด
“เรื่องของนายงั้นหรอ” ผมแขวะก่อนจะมองออกไปนอกหน้าต่างตามเดิม
“นายไม่อยากรู้หรอพลังของนายคืออะไร”
“ไม่ค่อยแล้ว”
“เนื่องจากนายยังไม่ค่อยเข้าใจว่าดินแดนทันทารัสเป็นยังไงเดี๋ยวฉันจะอธิบายให้” แม้ผมจะปฏิเสธแล้วแต่แมกซ์ยังคงตอแยอย่างไม่เลิกราเพื่อจะอธิบาย
“ที่ไหนคือดินแดนทันทารัส?”
“ที่ๆเรากำลังจะไปไง... เอาเถอะนายยังโง่อยู่มาให้ฉันอธิบายเสียดีๆ คนชาวทันทารัสจะมีพลังที่แอบอยู่ในตัวอยู่ทุกคน แต่พลังที่มีอาจจะแตกต่างกันไปเรื่อย บางคนพลังก็ไร้ประโยชน์มากเช่นผายลมออกมาเป็นควันอะไรก็ว่าไป แต่บ้างพลังก็รุนแรงมากเช่นผู้ควบคุมไฟ... พลังพวกนี่เราเลือกเองไม่ได้และส่วนมากทุกคนจะมีเพียงแค่พลังเดียวแต่ในบางกรณีอย่างเช่นฉันพวกเราเกิดมาพร้อมสองพลัง”
“อ่าฮะ”
“ที่ฉันพูดเรื่องจริงนะเฟ้ย” แมกซ์ตะบบคอเสื้อผมให้หันไปมอง
“มีไรอีกว่ามา” ถึงแมกซ์จะน่ารำคาญขนาดไหนผมคิดว่าอย่างน้อยผมก็ควรศึกษาที่ๆผมกำลังจะไป
“แต่บางคนน่ะทั้งชีวิตก็ไม่สามารทปลุกพลังของตัวเองได้และถ้านายยังปลุกพลังตัวเองไม่ได้ก่อนนายอายุยี่สิบนายจะโดนประหารโดยการจับโยนให้ม้ากินเนื้อกินทั้งเป็น” แมกซ์มองผมด้วยสายตาเคร่งเครียดเพื่อบอกผมเป็นนัยๆว่าเขาไม่ได้โกหกหรือสร้างเรื่องเล่นขึ้นมาเพื่อความบันเทิงของตัวเอง “วันก่อนเพื่อนพี่ชายของฉันเพิ่งโดนประหารไปอย่างทารุณ เขาจะไม่ให้นายกินอาหารเป็นเวลาสองอาทิตย์ แต่อาจจะส่งน้ำไปให้ดื่มวันล่ะแก้วและพอครบกำหนดนั่นนายยังปลุกพลังตัวเองไม่ได้นายจะต้องตายสถานเดียว”
“แล้วฉันจะไปทำไมให้ฉันอยู่โลกมนุษย์ปกติไม่ดีกว่าหรอ” ผมแย้ง
“นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง ดินแดนทันทารัสนั่นจึงสร้างสถาบันโรงเรียนต่างๆเพื่อให้นักเรียนไปค้นหาตัวเองและปลุกพลังที่แอบซ่อนในตัวก่อนที่พวกเขาจะอายุยี่สิบเพื่อลดปริมาณของคนที่ต้องโดนประหาร”
“...ฉันเพิ่งอายุสิบหกเอง มีเวลาอีกตั้งสี่ปีแน่ะ”
“นายเข้าใจผิดแล้วล่ะเพื่อนยาก... ในโรงเรียนพวกที่พลังแข็งแกร่งสุดคือคิงกับควีนของโรงเรียนพวกเขามีสิทธิ์ที่จะฆ่าพวกด้อยกว่าอย่างไม่ผิดกฏหมาย ถึงกระนั่นพวกที่อ่อนแอกว่าสามารทสู้กลับได้แต่ส่วนมากก็จะบาดเจ็บสาหัสไม่ก็ตาย... ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกที่ยังหาพลังตัวเองไม่ได้ พวกนั่นน่ะต่ำยิ่งกว่าต่ำ อาหารที่จะได้กินคล้ายละไมกับอาหารสัตว์ ห้องนอนเองสภาพก็ไม่ได้ดีกว่าอาหารซะขนาดไหน และที่สำคัญพวกหาพลังไม่ได้เป็นเหยื่อของพวกแข็งแกร่ง...
ในโรงเรียนมีกฏที่ว่ายิ่งฆ่าคนมากเท่าไหร่เกรดจะยิ่งดีขึ้นเท่านั่น อาทิเช่นถ้าฉันฆ่าพวกอ่อนแอสิบคนฉันจะได้เกรดเพิ่มขึ้นหนึ่งเกรดจากซีเป็นบีไงล่ะ นี่คือสาเหตุที่คนพยายามเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน อ้อแต่ไม่ต้องห่วงนะเวลาพวกแข็งแกร่งฆ่าพวกด้อยก่อนที่พวกด้อยจะตายจริงๆคุณครูของโรงเรียนจะวาปพวกด้อยไปรักษาทันทีเพื่อไม่ให้ตายจริงๆ แต่เวลาโดนรักษาหนึ่งทีเกรดจะลดหนึ่งเกรดจากบีเหลือซี ถึงนายจะไม่ได้ตายจริงๆทางโรงเรียนก็นับว่านายตายหนึ่งทีแล้ว”
“ทำไมการปลุกพลังมันสำคัญนาดนั่น?” ผมถามด้วยใจที่เริ่มหวั่น ถึงพวกด้อยจะไม่ได้ตายจริงๆและพวกด้อยสามารทสู้กลับได้แต่ผมไม่อยากเจ็บตัวเพื่อเกรดบ้าๆนั่น
“คำทำนาย...”
“คำทำนายอะไร”
“คำทำนายว่าในวันที่ผู้ด้อยพลังอายุเกินยี่สิบความซวย ความตาย และความล้มละลายของแผ่นดินและคนในราชวงค์จะมาเยือน พวกเขาจึงตั้งกฏขึ้นมาว่าทุกคนที่อายุเกินยี่สิบแล้วยังไม่สามารทค้นหาพลังตัวเองได้จะต้องตายเพื่อไม่ให้คำทำนายนั่นเป็นจริงขึ้นมา”
“บ้าหน่าตกลงพวกเขาฆ่าคนเป็นพันๆเพราะคำทำนายที่ไม่รู้จะเป็นจริงหรือเปล่าเนี่ยนะ” มันน่าตลกสิ้นดีที่ผู้คนมากมายซึ่งไม่ได้กระทำผิดแต่อย่างใดต้องมาตายเพราะคำทำนายบ้าๆนี่
“ไม่แดนนี่ ที่ดินแดนทันทารัสมันแตกต่างกับโลกมนุษย์ คำทำนายมักจะเป็นจริงเสมอ มีน้อยครั้งที่จะไม่ตรงและมันเป็นอะไรที่คนไม่อยากเสี่ยงดู” มันก็จริงอยู่แต่ว่าเหตุผลมันไม่พอสำหรับการฆ่าคนเล่นแบบนี่
“เฮอะเสี่ยงดูไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย”
“นั่นมันเป็นความคิดของเด็ก... เสี่ยงแล้วไงงั้นหรอ ดินแดนจะล้มจม คนไม่ซิทุกชาวเผ่าที่พึ่งพาดินแดนทันทารัสและพวกเชื้อราชวงค์เองก็ต้องพังพินาศ ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จะบังเกิด ผู้คนจะล้มตายเพราะความหิวโหย ผู้คนจะฆ่าฟันกันหวังจะขโมยทรัพย์ซื้อของกินประทังชีวิต ทั่วทั้งแผ่นดินอณาจักรจะเหลือเพียงแต่ความพินาศ... นายยังคิดจะลองเสี่ยงดูไหมล่ะ” แมกซ์แสยะยิ้มเย็นๆให้กับผม ดวงตาสีมรกตที่เคยสดใสตอนนี่ทั้งขุ่นและน่ากลัว ไร้ซึ่งวี่แววของความรื่นเริงและความขี้เล่น
“ถึงอย่างนั่นมันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกที่แข็งแกร่งกว่าจะมีสิทธิ์ทำร้ายพวกอ่อนด้อยกว่าไม่ใช่หรอ”
“... ถ้าพวกเขาไม่ทำอย่างนี้ผู้คนจะพยายามปลุกพลังตัวเองงั้นหรอ ไม่... พวกเขาต้องการความกดดัน กดดันจากทางบ้าน ทางโรงเรียน ทางหมู่ชุมชน ใช่นี่มันเป็นเพียงแค่วิธีเดียวไงล่ะแดนนี่” แมกซ์ปล่อยคอเสื้อผมและเดินห่างออกจากผมสักสองสามก้าว
“นายจะไปไหน” ผมถาม
“ฉันมีหน้าที่บอกกฏและให้ข้อมูลแด่ผู้มาใหม่แค่นั่น... ไปล่ะแดนนี่หวังว่าพวกเราจะได้เจอกันในโรงเรียนนะ” แมกซ์ยิ้มจนตาหยีให้ผมและเดินไปจับประตูของแบร์รี่ ทันทีที่ประตูเปิดออกลมก็พัดโชยเข้ามาแตกต่างกับแมกซ์ที่กระโดดออกจากประตูออกไป... บ้าหน่านี่มันสูงเหนือเมฆเลยนะเออ เฮ้อ
......
.......
ความคิดเห็น