คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : คุณยายโรคจิต
1
คุณยายโรคจิต
ความคิดของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าเขาวงกฤตที่แดนดาลัส (นักประดิษย์ของอันมีชื่อเสียงในตำนานกรีก) เป็นคนสร้างเสียอีก...
แต่สิ่งที่ซับซ้อนยิ่งกว่าความคิดมนุษย์มันยังมีอีกมากนัก... ไม่ว่าจะเป็นคร้อบเซอเคิ้ล หรือภาพที่ถ่ายติดสิ่งแปลกปลอม ผมเชื่อว่าทุกอย่างนี่ไม่ใช่ภาพตัดต่อทั้งหมดหรอกนะ พวกรูปภาพที่ว่อนตามอินเตอร์เน็ตน่ะ
ผมเป็นเด็กผู้ชายธรรมดาๆคนหนึ่งที่แสวงหาความมหัศจรรย์บนโลกใบนี้...
คุณเคยคิดไหมว่าโลกของพวกเรานั่นน่ะมันกว้างใหญ่เพียงใด... แล้วคุณไม่เคยเอะใจบ้างหรือ... สิ่งที่บางคนในโลกเราเอามาแต่งเป็นนิยายอาจจะมีบางส่วนที่มาจากประสบการณ์ที่เขาหรือเธอคนนั่นมิอาจบอกให้ใครล่วงรู้ได้... พวกเขาและเธอนั่นทำได้เพียงอย่าเดียวนั่นก็คือบอกว่าสิ่งที่ตนเองเขียนขึ้นมาเป็นเพียงแค่เรื่องแต่งทั้งๆที่มันเป็นความจริงทั้งหมด เหมือนกับสิ่งที่ผมกำลังจะทำในตอนนี้
คำเตือน คุณกำลังจะล่วงรู้ถึงอะไรบางอย่างที่มหัศจรรย์และยากที่จะคาดเดา
คำเตือน คุณกำลังจะเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง... มิติที่จะดูดกลืนความเป็นตัวตนของคุณ จงรักษาสติของคุณไว้ดีๆ
คำเตือนสุดท้าย คุณกำลังจะถึงจุดหมายแล้ว... ปิ๊ป ปิ๊ป ปิ๊ปๆๆๆ
สองเท้าของผมสลับกันก้าวด้วยความเร็วที่เร็วผิดปกติ สติของผมเริ่มลอยออกห่างขึ้นเรื่อยๆและถูกความกลัวเข้ามาทดแทน ภาพที่ปรากฏให้ผมเห็นนั่นเบลอไปหมด บรรยกาศอึมขรึมกดดันผมเรื่อยๆ ผมภาวนาในใจขอให้ผมหนีมันทันเถอะ... ถึงในใจผมจะภาวนาให้ผมหนีมันทันแต่ผมนั่นกลับไม่รู้ซะด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร และผมวิ่งหนีมันทำไม แต่สัญชตาญาณของผมมันบอกให้ขาสองข้างนี่วิ่งให้เร็วที่สุด วิ่งไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง และถ้าเกิดผมหยุดผมจะไม่มีวันหวนกลับไปในทางที่ผมมา
ภาพข้างหน้าของผมเป็นเพียงแค่ถนนเส้นยาว มืด และ เปลี่ยว ถนนสายนี้ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งปลูกสร้างของมนุษย์แต่อย่างใด มีเพียงแต่เสาไฟฟ้าที่ติดๆดับๆส่องแสงสลัวๆลงมายังถนนสายนั่น... สิ่งที่ผมสังเกตอีกอย่างคือถนนสายลมไม่พัด มันหยุดนิ่ง ผมมั่นใจว่าผมวิ่งด้วยความเร็วสูงแต่ทว่ากลับไม่มีลมพัดหน้าผมเลยสักนิด แต่น่าแปลกที่คืออากาศนมันกลับทั้งเปียก ชื้น และ เหม็นคาว
“แดนนี่” เสียงหวานใสดังก้องในหัวของผม กลิ่นดอกไม้พุ่งเข้ามาโจมตีจมูกผมอย่างจังและพอผมรู้สึตัวอีกทีผมก็ลุกขึ้นมาจากเตียงในสภาพเปียกปอน
“แม่บอกลูกแล้วไม่ใช่หรอว่าลูกต้องไปเรียนหนังสือ” หญิงวัยทองผมหยิกยาวสีดำทำหน้ายักษ์ใส่ผมและโยนเหยือกน้ำที่เธอได้สาดใส่ผมลงกับโซฟาข้างโต๊ะอย่างโมโห แม่สาดส่องสายตามองทั่วใบหน้าของผมอย่างจับพิรุธ
ใช่แล้วสิ่งที่ผมเพิ่งเผชิญเป็นเพียงแค่ความฝันเล็กๆที่แต่งเติมให้ชีวิตผมมีสีสันขึ้นเล็กน้อย ผมไม่ใช่แฮร์รี่พ๊อตตี้ที่ตื่นขึ้นมาแล้วมีแม่เลี้ยงโหดร้ายแถมสามารถไปโรงเรียนเวทมนตร์ได้ ผมไม่ใช่เพอซี่ย์แจ๊กสันที่ตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองเป็นลูกครึ่งเทพเจ้า แต่ผมเป็นเพียงมนุษย์เพศชายปกติๆคนหนึ่ง ถึงในใจลึกๆของผมจะภาวนาให้ชีวิตอันเรียบง่ายและน่าเบื่อของผมมีสีสันมากขึ้นขนาดไหน ผมก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้
“แน่ะๆ เมื่อคืนแอบอ่านหนังสือแฟนตาซีอีกแล้วใช่ไหมห้ะ... ยิ่งรู้ๆอยู่ว่าสายตาตัวเองไม่ได้ดีเลิศขนาดไหน ยังไม่คิดจะถนอมมันไว้อีก ไอ้ลูกคนนี่นิ” ผมว่าสิ่งเดียวที่แม่รักในตัวผมคือดวงตาสองสีของผม ดวงตาข้างขวาคือสีฟ้าทะเล ส่วนอีกข้างคือสีดำ ดำสนิท (Heterochromatin)
“ผมเปล่าอ่านนะ” ผมใช้เท้าแหย่ๆหนังสือแฟนตาซีเข้าไปใต้เตียงพร้อมกับปฏิเสธแม่อย่างแข่งขัน อีกหนึ่งอย่างที่ผมคิดว่าผมพิเศษกว่าคนอื่นคือทักษะโกหกคนอื่นอย่างแนบเนียน (หรือแถนั่นเอง)
“เออๆ... ไปๆเดี๋ยวพ่อเค้าจะอาบน้ำเสร็จแล้ว ลูกไปล้างหน้าแปรงฟันกินข้าวซะนะ” แม่พูดอย่างหน่ายๆและลูบหัวผมสองสามทีก่อนจะเดินออกจากห้องนอนของผม ผมยืนขึ้นเต็มความสูงและหันกลับไปมองเตียงที่เปียกแฉะและถอนหายใจเบาๆ ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำและเพ่งมองตังเองในกระจก สายตาของผมสาดส่องไปทั่วใบหน้าของผมเหมือนเรดาร์ และมาหยุดตรงดวงตาสองสีของผม
“เฮ้อ...” ไอ้ดวงตานี่มันช่างไม่น่ามหัศจรรย์อะไรขนาดนี่ มันไม่น่าทึ่งเลย มันก็แค่ดวงตาสองสีที่ผมต้องปกปิดเวลาไปโรงเรียน เนื่องจากอาจารย์ตาแก่บางคนชอบหาว่าผมใส่คอแท็กซ์ฯมาโรงเรียน (ตาแก่บ้าไม่ยอมเชื่อว่าผมมีตาสองสีจริงๆ)
หลังจากผมทำธุระในห้องน้ำเสร็จผมก็ลงไปหาแม่ที่ชั้นล่างซึ่งกำลังจัดเตรียมอาหารอย่างเมามันส์ (?)
“เอาหม่ำๆเข้าไปไวๆล่ะ เดี๋ยวสาย”
“คร๊าบคร๊าบบบ แม่บอกผมกี่ทีแล้วรู้ไหม?” ผมขานรับอย่างหน่ายๆ
“เอ๊ะ สมัยนี่กล้าต่อปากต่อคำกับแม่แล้วเรอะ”
“เปล่าคร้าบบบบ ทานแล้วนะครับ”
กลิ่นไข่ดาวขนมปังโจมตีเข้ากับจมูกผมส่งผลให้กระเพราะอันว่างเปล่าประท้วงดังลั่นเป็นเสียงเดียวกัน ผมหย่อนก้นลงนั้งบนเก้าอี้ไม้ ข้างๆโต๊ะไม้เก่าๆและทานไข่ดาวกับขนมปัง
แม่ผมเป็นเจ้าของร้านอาหารตามสั่งเล็กๆ ส่วนพ่อผมทำงานนอกบ้าน งานที่พ่อทำน่าจะหนักพอสมควรเนื่องจากพ่อผมนานๆทีกลับบ้านครั้งและกลับมาทีไรทำหน้าเหมือนไปออกรบมา ผมจึงได้แต่สงสารพ่อและตั้งใจเรียน
“แม่ฮ้ะ.. แม่ว่าคร้อปเซอเคิ้ลนี่มนุษย์ต่างดาวเป็นคนทำไหมครับ?” ผมถามขณะที่ขนมปังเต็มปาก
“อีกแล้วหรอลูก... ก็แม่บอกแล้วไงไม่มีหรอกมนุษย์ต่างดาว” แม่ส่งสายตาโหดเหี้ยมมาให้ผมและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกให้เห็นว่าเบื่อกับคำถามเดิมๆนี้แล้ว
“แต่แม่ลองคิดดูนะ ในอวากาศนี่มีอะไรหลายอย่างที่มนุษย์ยังคิดค้นไม่ได้ แม่ไม่คิดหรอว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างล่ะหน่า”
“เฮ้อ... ลูกอ่านหนังสือไร้สาระมากไปแล้ว ไป ไปโรงเรียนได้แล้ว”ด้วยความที่แม่อยากจะรีบจบบทสนทนานี่ให้เร็วที่สุดแม่จึงเลือกที่จะไล่ผมออกจากบ้าน (อย่างเช่นเคย)
“แต่ผมยังทานไม่เสร็จเลยนะฮะ” ผมค้านพลางยัดอาหารเช้าเข้าปากและพยายามเขี้ยวมันอย่างสุดกำลัง แต่ทว่าแม่ผมกลับคว้ากระเป๋าผมและผลักผมออกจากบ้านและยัดกระเป๋าเข้าไปในมือผม
“ตั้งใจเรียนนะลูก” และแม่ผมก็เอามือทาบปากของตัวเองและเด้งออกมาพลางทำปากจุ๊บๆมาให้ผม เรียกใบหน้ามุ่ยๆของผมออกมาได้ทันที ผมหันหลังและเดินออกจากบ้าน
ระหว่างทางผมเห็นยายแก่ๆซึ่งกำลังขนของหนัก และกำลังมุ่งหน้าไปยังโต๊ะที่มีผ้าสีม่วงคลุมอยู่ จากที่ผมได้กะไว้นั่นระหว่างโต๊ะตัวนั่นกับคุณยายมันห่างประมาณร้อยเมตรได้ล่ะมั้ง (ซึ่งมันน่าจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสสำหรับยายแกอ่านะ)
และด้วยความสงสารที่ยายแกแก่แล้วยังต้องถือของหนัก ผมจึงเดินเข้าไปหายายและยื่นมือออกไปพร้อมกับรอยยิ้มที่คาดว่าน่าจะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดที่ผมจะทำได้
“ให้ช่วยถือไหมครับ?”
“ดีเลยจ้ะ” ยายยื่นถุงพลาสติดที่บรรจุของน้อยกว่าอีกข้างมาให้ผม ทันทีที่ผมรับมันมา น้ำหนักของสิ่งที่ถูกบรรจุในถุงแทบจะทำผมหลังหัก ผมไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมถึงถุงพลาสติกใบเล็กๆบรรจุของน้อยๆจะหนักได้เพียงนี่
ผมใช้สองมือพยายามถือถุงที่ทำท่าจะตกลงมาจากมือผมและเดินตามยายช้าๆ หลังของผมครวญครางอย่างทรมานเพราะสิ่งที่ผมถืออยู่มันเป็นภาระบนหลังผมเป็นอย่างมาก ในที่สุดผมก็มาถึงโต๊ะสีม่วงนั่น ผมใช้แรงเฮือกสุดท้ายยกถุงขึ้นมาให้สูงที่สุดและวางมันบนโต๊ะด้วยความลำบากยากเข็ญ (ดีนะที่ผมไม่ได้เสนอหน้าถือถุงอันที่ใหญ่กว่า)
ผมมีความรู้สึกว่าร้อยเมตรที่ผมเพิ่งเดินมานั่นมันเป็นร้อยเมตรที่ยาวที่สุดที่ผมเคยเดินตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ร้องอุแว้ๆเลยล่ะ... ผมมองนาฬิกาข้อมือซึ่งกำลังบอกผมว่าผมสายแล้ว มันเป็นสาเหตุให้ผมตัดสินใจกล่าวลาคุณยายแล้วเตรียมวิ่งไปยังโรงเรียน
“ผมไปก่อนนะฮ้ะ” แต่ก่อนที่ผมจะก้าวเดินไปไหน ยายแกก็จับข้อมือผมและบีบมันแน่นมาก แน่นซะจนผมรู้สึกถึงกล้ามเนื้อของผมเต้นตามจังหวะหัวใจของผมที่เต้นถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ผมอยากจะบอกว่าผมน่าจะดีใจกว่านี่ถ้าคนที่จับข้อมือผมและรั้งผมไว้เป็นผู้หญิงสวยๆเอ็กซ์ๆ (ติดหื่นนิดๆ)
“ยายอยากจะขอบใจหนูมากๆนะ” ยายแกค่อยๆยืดตัวและยืดหลังที่ค่อมให้ตรง หลังจากนั่นยายนั่นเอามือเหี่ยวๆที่เป็นริ้วเป็นรอยมาทาบกับดวงตาสีดำสนิทซึ่งถูกปกปิดด้วยคอนแท็กซ์ฯสีฟ้าทะเล
ทันทีที่ผิวหน้าผมสัมพัสกับมือเย็นเฉียบของยาย ความเจ็บปวดรุนแรงก็ได้จู่โจมมาที่สมองของผม ความเจ็บปวดที่เหมือนมีคนเอามีดมาแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่สมอง แม้ยายแกจะเอามือออกแล้วความเจ็บปวดมันยังคงตรึงตราไว้ ความรู้สึกเย็นยะเยือกแผ่ซ่านซึมเข้ามาในผิวของผม ผมไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่นั่นคืออะไรแล้วมันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ผมรู้อย่างเดียวว่าความเจ็บปวดไม่ได้ทุเราลงเลยแม้แต่นิด
เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกถึงสติของผมเริ่มลอยออกห่าง ความหวาดกลัวเริ่มกัดแซะความกล้าของผมจนไม่เหลือชิ้นดี ผมกำลังกลัว กลัวในการไม่รู้ กลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น ผม... ผมกลัวไปหมดทุกอย่าง
ผมสะบัดหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่งหวังจะให้ความเจ็บปวดเพลาลง แต่สิ่งที่ผมทำไปนั่นมันเปล่าประโยชน์ การมองเห็นของผมเริ่มเบลอและไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดโลกทั้งใบก็เต็มไปด้วยความมืดมิด
“ลืมตาช้าๆซิพ่อหนุ่ม” เสียงแหบพร่าของคุณยายดังก้องในหัวของผม มันดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนผมแยกไม่ออกว่ามันคือเสียงของคุณยายจริงๆหรือสมองผมเล่นตลกกันแน่... ผมเลือกที่จะเชื่อเสียงแหบพร่านั่นและพยายามลืมตาขึ้นช้าๆ
“พ่อหนุ่มรู้สึกอะไรบ้างไหม?” คุณยายถามผมพลางส่งยิ้มจางๆที่แฝงไปด้วยความเย็นยะเยือก
“คุณยายทำอะไรของคุณยาย?” ทันทีที่สองตาของผมกระจ่างผมก็หันไปถามคุณยายด้วยน้ำเสียงค่อนข้างหงุดหงิด คุณยายกลับส่งรอยยิ้มเดิมมาให้กับผม
“ยายแค่ปลุกพลังของพ่อหนุ่มแค่นั่นเอง”
“พลัง? พลังอะไร?”
“พลังอะไรยายเองก็ไม่รู้... แต่ที่ยายรู้ก็คือเจ้าไม่ใช่คนของโลกนี่... เจ้ามีพลังที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไป และสิ่งที่ยายทำไปเป็นแค่การเร่งเร้าและปลุกพลังในตัวเจ้ายังไงล่ะ”
“ถ้ามีก็ดีซิ”ผมพูดประชดและใช้หางตาเหลือบไปมองคุณยายแปลกประหลาดและพิจรณาในสิ่งที่ยายเพิ่งกล่าว
“แต่ถ้าการคาดเดาของยายผิดล่ะก็... ไม่เป็นไรหรอก พ่อหนุ่มแค่เจ็บฟรีแค่นั่นเอง... แต่ถ้าพ่อหนุ่มเป็นมนุษย์ปกติจริงๆพ่อหนุ่มสามารถไปดินแดนทานทารัสได้นะเพราะพ่อหนุ่มผ่านการปลุกพลังมาแล้วถึงจะไม่มีพลังให้ปลุกก็ตาม” ยายแกใช้ประโยคที่ผมฟังแล้วแทบไม่รู้เรื่องอธิบายที่มาที่ไปของความเจ็บปวดที่ผมเพิ่งได้รับ แต่น่าเศร้าทีมันไม่ได้ทำให้ผมกระจ่างขึ้นแม้แต่นิด
ผมจับใจความได้เพียงอย่างเดียวคือผมเจ็บฟรี
“สรุปผมเจ็บฟรีว่างั้น?”
“ยายบอกแล้วไงการคาดเดาของยายก็ต้องมีคลาดเคลื่อนกันบ้าง” คุณยายทำหน้าหงุดหงิดมาให้ผมก่อนจะเดินเข้าไปใต้โต๊ะสีม่วงนั่น
ผมเลิกผ้าสีม่วงที่คลุมโต๊ะไว้อยู่ขึ้นมาและตั้งใจจะถามยายว่าเข้าไปทำไมแต่ผมกลับพบแต่ความว่างเปล่า
“...” ผมว่าผมอ่านหนังสือแฟนตาซีมากไปจริงๆ
ความคิดเห็น