“กัดดาฟีศัตรูผู้ต่อต้านตะวันตก”
สำหรับคอลัมน์ มองบุคคลโลก หนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ ประจำวันอาทิตย์ที่ 6 สิงหาคม 2549 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ
ผู้เข้าชมรวม
1,088
ผู้เข้าชมเดือนนี้
3
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมื่อผมได้ศึกษาอุปนิสัยและชีวประวัติของกัดดาฟีตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันทำให้ผมเกิดมุมมองที่ทำให้สรุปได้ว่า ความขัดแย้งของโลกเราเริ่มรุนแรงและกระจายตัวขึ้นเมื่อกองเรือของมหาอำนาจยุโรปออกตระเวนล่าอาณานิคมไปทั่วทั้งโลก โดยเริ่มจากประเทศที่มีอาณาเขตติดกับประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ ไล่เรียงมาจนถึงประเทศที่อยู่ห่างไกลโพ้นทะเล ไม่ว่าจะเป็นอเมริกาใต้ หรือแม้กระทั่งเอเชียตะวันออก เช่น ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น จีน เกาหลี ถือเป็นยุคแห่งการล่าอาณานิคม และใครที่แข็งแรงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีอาวุธที่ร้ายแรงกว่า ก็จะกลายเป็นผู้ที่สามารถรุกราน และครอบครองแผ่นดินอื่น และแย่งชิงเอาทรัพยากรธรรมชาติด้านต่าง ๆ มาเป็นของตนด้วยความชอบธรรม
คำกล่าวที่ว่า จักรภพอังกฤษคือดินแดนที่พระอาทิตย์ไม่มีวันตกดิน เกิดจากความยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งของกองทัพอังกฤษทำให้สามารถเข้ายึดอาณานิคมต่าง ๆได้ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ตะวันออกกลาง แอฟริกา เอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อเมริกาเหนือ หรือแม้แต่บางส่วนของอเมริกาใต้ จนเรียกได้ว่า ธงของอังกฤษโบกสะบัดอยู่ทั่วทุกมุมโลก เพราะไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดมองไปมุมไหนก็จะเห็นประเทศต่าง ๆ ที่เคยอยู่ภายใต้ธงของเครือจักรภพทั้งสิ้น สำหรับประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส ฮอลแลนด์ สเปน โปรตุเกส อิตาลี ก็ต่างเป็นประเทศที่ออกแสวงหาอาณานิคม ทำให้เกิดการแย่งชิงกันในส่วนของผลประโยชน์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ จนเป็นมูลเหตุให้เกิดการรบราฆ่าฟันและทำสงครามกันอย่างต่อเนื่อง เมื่อกว่า 200-300 ปีที่แล้ว สำหรับบ้านเรานับเป็นโชคดีที่ประเทศไทยของเรานั้นมีผู้นำที่ทรงพระปรีชาสามารถทำให้เรารอดพ้นจากการสูญเสียเอกราชให้กับประเทศนักล่าอาณานิคม โดยยอมเสียดินแดนบางส่วนไปบ้างจึงทำให้เราสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นประเทศเอกราชที่ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศตะวันตกมาก่อนได้
อย่างไรก็ตาม การยึดครองของนักล่าอาณานิคมก็ได้รับการต่อต้านมาตลอด เพียงแต่ว่าด้วยความยิ่งใหญ่ของกองกำลังและอานุภาพของอาวุธทั้งหลายทำให้ผู้ต่อต้านล้วนแต่ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด แต่ต่อมาประเทศที่ถูกปกครองต่างก็ขับไล่ผู้รุกรานออกนอกประเทศจนในที่สุดก็ได้รับเอกราชกลับคืนมาแทบทั้งสิ้น ทุกคนต่างค่อย ๆ ลืมอดีตและหันหน้ามาร่วมมือกันพัฒนาประเทศ โดยอาศัยพื้นฐานการที่ได้เคยตกเป็นเมืองในอาณานิคมของประเทศนั้น ๆ ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษในการช่วยเหลือจนทำให้เรื่องราวความบาดหมางในอดีตถูกลืมเลือนไป
แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับการเข้ายึดครองของมหาอำนาจใมนยุโรปที่เข้าไปยึดครองตะวันออกกลาง ซึ่งผมถือว่าประเทศเหล่านี้มีความแตกต่างสูง เพราะพวกเขาเป็นมุสลิมที่เคร่งศาสนาอย่างมาก ทำให้การถูกเข้ารุกรานโดยนักล่าอาณานิคมชาวยุโรปเป็นตัวเพาะบ่มความรุนแรงให้ จนในที่สุดคนกลุ่มนี้ก็กลายมาเป็นพวกหัวรุนแรงในปัจจุบัน ซึ่งในอดีตชาวอาหรับมีฐานะยากจน ต่อมาเมื่อพวกเขาค้นพบน้ำมันและครอบครองแหล่งน้ำมันซึ่งเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีค่าทางเศรษฐกิจมหาศาลจึงทำให้ระบบเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ดีขึ้น และมีเงินที่จะนำมาใช้พัฒนาอาวุธสู้กับประเทศต่าง ๆ ได้ จนดูเหมือนว่าในท้ายที่สุดแล้วประเทศอาหรับเหล่านี้ก็ได้กลับมาแก้แค้นพวกประเทศในยุโรป เนื่องจากการที่พวกเขาเป็นพวกหัวรุนแรงทำให้ต่างจากประเทศในเอเชีย ที่ลืมอดีตอันโหดร้ายไปจนหมดสิ้น แต่พวกอาหรับเหล่านี้กลับไปต่อสู้ และปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาโดยเฉพาะ “น้ำมัน” ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วโลกต้องการ
ความขัดแย้งระหว่างอาหรับและประเทศตะวันตกมีมาอย่างต่อเนื่องและเพิ่มความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนตัวจุดชนวนความเป็นศัตรูระหว่างทั้งสองกลุ่มเพิ่มมากขึ้นคือการที่อังกฤษให้การสนับสนุนแก่สหประชาชาติให้มีการอนุมัติให้ยิวทั่วโลกได้เข้าไปตั้งถิ่นฐานและตั้งประเทศอิสราเอลขึ้นมา พื้นที่ส่วนนั้นเองที่เป็นพื้นที่ของพวกปาเลสไตน์และเป็นพื้นที่ของนครเยรูซาเลมด้วย ทำให้ความโกรธแค้นชิงชังชาวตะวันตกของพวกอาหรับเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาลนอกเหนือจากอดีตอันขมขื่น และกระทบกระทั่งกันเรื่อยมา จนในที่สุดอเมริกาก็ถูกดึงเข้ามาอยู่ฝ่ายตะวันตกด้วย เพราะการขยายตัวอย่างรวดเร็วของรัสเซียเขตตะวันออกกลางที่มากจนพวกฝรั่งคิดว่าไม่น่าจะคุยกันรู้เรื่อง ทำให้มีการดึงเอาอเมริกาเข้ามาร่วมวงด้วย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะพวกยุโรปและอเมริกาต่างพากันคิดว่า หากรัสเซียเข้ายึดครองตะวันออกกลางได้จริง แหล่งพลังงานของโลกกว่าครึ่งหนึ่งจะตกเป็นของรัสเซียซึ่งจะเป็นเหมือนขุมพลังอันมหาศาลที่สามารถใช้เป็นตัวขับเคลื่อนระบอบคอมมิวนิสต์ให้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วจนแทบจะไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้
ลิเบีย เป็นประเทศอาหรับประเทศหนึ่งที่เคยถูกอิตาลีเข้ายึดครองเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สองที่ความโกรธแค้นที่เก็บกดไว้ประทุออกมาและนำไปสู่การต่อสู้กับชาวตะวันตกโดยตรงอย่างเปิดเผย ในขณะนั้นลิเบียเป็นประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียง 4 ล้านคนเท่านั้น อิตาลีเข้ามายึดครองลิเบียและตักตวงเอาผลประโยชน์และทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก ลิเบียเองก็ไม่สามารถที่จะต่อต้านได้เลย แต่สุดท้ายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง ที่สหประชาชาติได้คืนเอกราชให้กับลิเบีย ทำให้เกิดบุคคลท่านหนึ่งขึ้น ที่ต่อต้านชาติตะวันตก รวบรวมเอาชาวอาหรับทั้งหลายมาเป็นพวกเดียวกัน และขับไล่พวกยิวออกไป รวมไปถึงการก่อการร้ายทุกรูปแบบและทุกโอกาสที่เขาจะสามารถทำได้ ฉะนั้นหลาย ๆ ครั้งที่เกิดเหตุร้ายขึ้น ผู้นำลิเบียผู้นี้จึงตกเป็นผู้ต้องสงสัย จนสหประชาชาติต้องคว่ำบาตร และสหรัฐอเมริกาก็ได้บรรจุเอาประเทศลิเบียและผู้นำคนนี้ให้เป็นศัตรูอันดับต้น ๆ ไม่แพ้ซัสดัม ฮุสเซนของอิรักเลยทีเดียว
เนื่องจากกัดดาฟีมีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหลาย ๆ ครั้ง จนครั้งสุดท้ายที่ตอนหลังมีการปรับปรุงดีขึ้นเพราะรัฐบาลลิเบียได้มีการประกาศชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ก่อการร้ายแพนแอม 103 ในปี 1988 ที่ลิเบียเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง โดยจ่ายค่าเสียหายไปกว่า 2,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐให้กับทางผู้เสียหาย ผมคิดว่าการที่กัดดาฟียอมจ่ายค่าเสียหายให้กับญาติของผู้เสียชีวิตในการก่อการร้ายในครั้งนั้น ทำให้โอกาสที่สหรัฐอเมริกาจะใช้กองกำลังเข้าถล่มลิเบียหลังจากได้จัดการกับอัฟกานิสถานและอิรักได้หมดไป แต่ยังไงก็แล้วแต่ กัดดาฟีก็ยังคงเป็นอาหรับหัวรุนแรงที่พยายามจะต่อต้านและเป็นปฏิปักษ์ต่อชาวตะวันตกต่อไป เพียงแต่ว่าเขาเป็นพวกที่ไม่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ เขาพยายามที่จะโจมตีซาอุดิอารเบียในระบบราชวงศ์เสมอมา และต้องการรวบรวมเอาประเทศอาหรับให้เป็นหนึ่งเดียว และเขาเองก็พร้อมที่จะเป็นผู้นำเพื่อทำการต่อต้านและขับไล่อิสราเอล และในขณะเดียวกันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาที่เขาได้ครอบครองลิเบีย ทำให้เขาได้คิดวางแผนซึ่งหากแผนนี้สำเร็จ ความเป็นเอกภาพของตะวันออกกลางก็จะมีมากขึ้น และผมเชื่อแน่ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกคงแพงกว่านี้ไม่รู้กี่เท่า เพราะลิเบียมีอาวุธที่สำคัญของโลกอยู่ในมือซึ่งก็คือ “น้ำมัน”
มีคนกล่าวประโยคติดตลกไว้ในช่วงปี 1981 ว่า “มีปีศาจตนหนึ่ง กำลังหลอกหลอนทำเนียบขาวอยู่ ปิศาจตนนี้ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ แต่เป็นผู้นำประเทศเล็ก ๆ ที่มีประชากรเพียง 4 ล้านกว่าคนเท่านั้นเอง” ผู้นำที่เขากล่าวถึงคนนั้นคือกัดดาฟี ความสำคัญของกัดดาฟีในสายตาของสื่อมวลชนอเมริกันในตอนนั้น มีความสำคัญและยิ่งใหญ่กว่าเบรสเนฟ ผู้นำรัสเซียสมัยนั้นเสียอีก
ขณะนั้นรัฐบาลสหรัฐอเมริกาอ้างว่ากัดดาฟีได้วางแผนส่งทีมสังหารไปฆ่าประธานาธิบดีเรแกน รวมทั้งผู้นำคนอื่นๆ ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งข่าวนี้เองที่ทำให้นายเรแกนเกิดกลัวกัดดาฟีขึ้นมาจริงๆ จนหนังสือพิมพ์อเมริกันเองกล่าวว่า เรแกนทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตจนเกินจริงไป จะอย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กัดดาฟีก็ถูกประณามมามากมายแล้ว ในฐานะตัวการที่หนุนหลังแผนก่อกวนบ่อนทำลายรัฐบาลประเทศอาหรับที่นิยมตะวันตกในตะวันออกกลางและแอฟริกา ตลอดจนหนุนหลังพวกก่อการร้ายทั่วโลก สิ่งนี้เองที่เป็นเหตุให้ประธานาธิบดีเรแกนส่งเครื่องบินรบไปถล่มที่พักของกัดดาฟี แต่เขาก็รอดชีวิตมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ เราลองมาทำความรู้จักชีวิตของชายผู้เป็นปฎิปักษ์ต่อโลกตะวันตกตลอดกาล
ประวัติ
กัดดาฟีเกิดในปี ค.ศ. 1942 เขาเกิดในกระโจม ใกล้ๆ เมืองเซอร์ตี มีชื่อเต็มว่า มูอัมมาร์ อาบู มีเนียร์ อัล-กัดดาฟี พ่อของกัดดาฟีเป็นชาวอาหรับเร่ร่อนที่เรียกกันว่า ชาวเบดูอิน ไม่เคยตั้งหลักแหล่งถาวร เร่ร่อนไปในทะเลทราย มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ขาย ตระกูลของกัดดาฟีนับตั้งแต่ปู่ลงมา ล้วนเคยต่อสู้รบกับกองทหารอิตาเลี่ยนที่บุกเข้ามายึดครองลิเบียอย่างกล้าหาญ ถือได้ว่าเขาได้สืบสายเลือดชาตินิยมอาหรับมาโดยตรง
ในวัยเด็ก กัดดาฟีเรียนหนังสือได้ดีมาก และเมื่อมีอายุได้ 14 ปี นัสเซอร์ ผู้นำอียิปต์ได้โอนคลองสุเอซเป็นของรัฐ ยังผลให้อังกฤษ ฝรั่งเศส และอิสราเอลสามัคคีกันยกทัพบุกอียิปต์ กัดดาฟีก็ได้จัดตั้งกลุ่มนักเรียนขึ้น ทำการเคลื่อนไหวสนับสนุนนัสเซอร์ซึ่งนับแต่นั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ซึ่งถือว่านัสเซอร์เป็นวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ในใจของเขาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
ตอนนั้นเขาถูกปลูกฝังให้ต่อต้านรัฐบาลอิตาลีด้วยเหตุนี้เขาจึงได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการต่อต้านตั้งแต่เด็กจวบจนกระทั่งเขามีอำนาจ เขาทำทุกอย่างตามแบบวีรบุรุษของเขา โดยมีการตั้งทฤษฎีปฏิเสธวัตถุของลัทธิทุนนิยม และทฤษฎีปฏิเสธพระเจ้าของคอมมิวนิสต์ สิ่งที่ทำให้เขาได้รับการยกย่องในการเป็นผู้นำนั้น เป็นเพราะเขาไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน และไม่ใช้ชีวิตเหลวแหลกในเรื่องผู้หญิงด้วย และยังนับถือข้อห้ามตามหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด ถือเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของการใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์และมัธยัสถ์ และยังยึดมั่นในอุดมการณ์อย่างเหนียวแน่นจนกลายเป็นตัวตนของเขา ด้วยความที่เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า ทำให้บางครั้งก็ขาดความรอบคอบ จนเป็นเหตุให้เขากระทบกระทั่งกับคนอื่นไปทั่ว
กัดดาฟีเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมือง จนถูกไล่ออกจากโรงเรียน พ่อต้องจ้างครูมาสอนที่บ้านจึงเรียนจบ เมื่ออายุได้ 19 ปีก็เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยที่เบงกาซีตามแบบนัสเซอร์ ในระหว่างเป็นนักเรียนนายร้อย กัดดาฟีก็พยายามเผยแพร่และปลูกฝังลัทธิชาตินิยมอาหรับกับเพื่อนๆ ชั้นเดียวกัน พอได้เพื่อนร่วมชั้นเป็นพวกแล้ว ก็ปลูกฝังความคิดกับนักเรียนชั้นต่ำกว่าตนลงไปเป็นขั้นๆ และตัวเขาเองก็ได้ขึ้นมาเป็นผู้นำ จนเมื่ออายุ 24 ปี เขาได้เป็นทหารและถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษ แต่พอกลับมาในปี ค.ศ. 1969 เขากับเพื่อนนายทหารก็ได้ทำการยึดครองอำนาจและ โค่นรัฐบาลระบอบกษัตริย์ของลิเบีย
ลิเบียเป็นประเทศที่ถูกต่างชาติเข้าครอบครองหลายชาติหลายภาษา อยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา จุดพลิกผันของลิเบียเกิดขึ้นในปี 1959 ที่มีการค้นพบน้ำมันทำให้ความร่ำรวยตกไปสู่กษัตริย์ในตอนนั้นคือ กษัตริย์ไอดริส แต่หลังจากนั้นตระกูลเซลฮีก็ได้รับสัมปทานและสร้างรายได้กว่า 125 ล้านเหรียญสหรัฐฯในเวลาเพียงแค่ 4 ปีเท่านั้น
ความแตกต่างระหว่างคนรวยกับคนจนนี่เองที่เป็นสาเหตุให้กัดดาฟีเลือกที่จะทำการปฏิวัติโดยเลือกเอาวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1969 เนื่องจากขณะนั้น กษัตริย์ไอดริสเสด็จออกไปนอกประเทศ และในคืนวันที่ 1 นั้นเอง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพบกได้จัดงานเลี้ยงใหญ่ กัดดาฟีก็เคลื่อนกำลังเข้าจู่โจมจับกุมตัวนายทหารและนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ในงานเลี้ยงได้ทั้งหมด ขั้นต่อไปเขาได้ส่งคนไปยึดเมืองต่าง ๆ และสถานที่สำคัญทั้งหมด จากนั้นเขาจึงเข้าครอบครองลิเบียและขับไล่ทหารอังกฤษออกจากลิเบีย
เขาขึ้นค่าภาคหลวงน้ำมันจนถึง 120 เปอร์เซ็นต์ และกล้าเสี่ยงแม้แต่การริเริ่มโอนกิจการน้ำมันซึ่งบริษัทต่างชาติเข้าไปผูกขาดให้กลับมาเป็นของรัฐ โดยไม่เกรงกลัวว่าจะถูกต่างชาติแทรกแซงโค่นล้มส่งผลให้ลิเบียมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ รายได้ส่วนถัวเฉลี่ยของชาวลิเบียคนหนึ่งสูงถึง 7,000 เหรียญดอลลาร์สหรัฐในปี 1970 คนลิเบียจึงเกิดความเป็นชาตินิยมสูงมาก เขายึดรถยนต์เมอร์ซิเดสเบนซ์ของเจ้านายและนักการเมืองในอดีตถึง 600 คัน ส่วนเขาเองยังคงนั่งรถจี๊ปแลนด์โรเวอร์ อาหารหลักยังคงได้แก่นมเปรี้ยวและอินทผาลัมเหมือนที่เขากินมาตั้งแต่เด็ก แสดงให้เห็นถึงความมัธยัสถ์ของเขานั่นเอง
ปี ค.ศ. 1973 กัดดาฟีต้องการจะรวมประเทศกับอียิปต์ แต่ประธานาธิบดีซาดัตของอียิปต์ไม่เห็นด้วย ทำให้เขาส่งคนลิเบียเข้าไปในอียิปต์เพื่อหลอมรวมคนทั้งสองชนชาติเข้าด้วยกันแต่ก็ถูกขับไล่ออกมาอย่างไม่เป็นท่า จนในภายหลังที่เขาต้องการรวมประเทศกับตูนีเซีย เพราะเขามองว่าผู้นำตูนีเซียในตอนนั้นอายุ 70 แล้ว เขาจึงยอมที่จะเป็นรองประธานาธิบดีเพื่อรอว่าซักวันหนึ่งตัวเองจะได้ขึ้นเป็นใหญ่ แต่ด้วยความต่างของทั้งสองประเทศที่ฝ่ายหนึ่งถ้อยทีถ้อยอาศํยกับอิสราเอล แต่อีกฝ่ายมุ่งแต่ทำลายล้าง ทำให้การรวมประเทศในครั้งนี้ไม่สำเร็จ
กัดดาฟีสร้างศัตรูไว้รอบด้าน ใช้นโยบายแข็งกระด้างและวางนโยบายแบบท้าทายโลกนี้โดยที่เขาไม่คิดที่จะเป็นมิตรกับใคร การก่อการร้ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องล้วนแล้วแต่ถูกมองว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง จนทางการรัฐบาลสหรัฐอเมริกากล่าวหาว่า กัดดาฟีให้ความสนับสนุนพวกก่อการร้ายอาหรับถึงขนาดให้สถานที่ฝึกอบรมและส่งคนไปโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองที่ลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ข้อกล่าวหาที่ว่ากัดดาฟีหนุนหลังพวกก่อการร้ายนี้เองที่ทำให้รัฐบาลประธานาธิบดีเรแกนเคยส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิดที่พำนักของกัดดาฟีถึงในลิเบียเมื่อปี ค.ศ. 1986 ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้น ในสายตาของรัฐบาลประเทศตะวันตก กัดดาฟีดูจะเสื่อมศักดิ์ศรีไปไม่น้อย แต่ในสายตาของนักชาตินิยมอาหรับ กัดดาฟียังคงเป็นผู้นำในการต่อต้านมหาอำนาจตะวันตกของโลกอาหรับอยู่เช่นเดิม
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่เดือนมีนาคมที่ผ่านมานี้กัดดาฟีได้เดินทางไปปาฐกถาพิเศษให้กับมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกาซึ่งนับเป็นนิมิตหมายอันดีที่เขาสามารถกระชับความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจที่เปรียบเสมือน “ไม้เบื่อไม้เมา” กันมายาวนาน และเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็มีข่าวออกมาว่า แร่ยูเรเนียมความเข้มข้นสูงที่เป็นวัตถุดิบของการทำอาวุธนิวเคลียร์ได้ถูกส่งกลับคืนรัสเซียกว่า 20 กิโลกรัม เพื่อนำไปลดความเข้มข้นแล้วนำกลับมาใช้ในกิจการพลเรือนของลิเบีย ถือได้ว่าสถานการณ์นี้เป็นการลดความตึงเครียดระหว่างลิเบียและประเทศตะวันออกได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว เรื่องราวของบุรุษผู้นำลิเบียคนนี้มีสีสันไม่น้อยจนทุกคนในโลกต้องรู้จักชายชื่อพ.อ.กัดดาฟีซึ่งหากเปรียบเทียบกับดินแดนลิเบียซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ มีประชากรไม่กี่ล้านคนเท่านั้น
ผลงานอื่นๆ ของ delilah_doll ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ delilah_doll
ความคิดเห็น