“ความแตกต่างทางชาติพันธุ์” โดย วิกรม กรมดิษฐ์
สำหรับคอลัมน์ นอกตำรา หนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม 2549 โดยวิกรม กรมดิษฐ์
ผู้เข้าชมรวม
1,003
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ปัญหาในโลกเราที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบันนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากความต้องการที่จะครอบครองหรือควบคุมผู้ที่อ่อนแอกว่าทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม ดังที่เราเข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตในยุคล่าอาณานิคม จนกระทั่งเกิดการแบ่งแยกสีผิว,เชื้อชาติ, ชนชั้นกันซึ่งในเรื่องนี้ทุกชาติ ทุกภาษาต่างมีวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นแล้วคลี่คลายมาถึงปัจจุบัน ในมุมมองของผม, ผมคิดว่าธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีความต่างตามเผ่าพันธุ์ในรูปลักษณ์และความสามารถ หรือแม้กระทั่งคนที่อยู่ในครอบครัวเดียวกันและเติบโตมาพร้อมๆกันยังมีความแตกต่างเกิดขึ้น ผมถือว่าความแตกต่างเหล่านี้เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” ( อันหมายความถึง “ความปกติ ธรรมดา” )ที่ถูกกำหนดมา แต่มนุษย์เรามีจิตใจที่ไม่เหมือนกันในรูปร่างและแบบอย่างของความโลภและอารมณ์ ทำให้เกิดความรักและความชอบที่ต่างกันเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการจับกลุ่มกันอย่างเสรีมากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มมีการแบ่งแยกโดยใช้เรื่องของความสามารถและภาษาที่ใช้สื่อสารมาเป็นเกณฑ์
ความจริงแล้วพื้นฐานของมนุษย์เป็นไปตามที่ธรรมชาติกำหนด คนที่ฉลาดและคนที่มีความรู้มากกว่าก็จะอยู่รวมกลุ่มกันเองโดยการแสดงออกทางด้านกายภาพ ( การรวมกลุ่ม ) ตัวอย่างเช่น มีผิวเป็นสีขาว จนนำไปสู่การนำคนที่ด้อยกว่าและอ่อนแอกว่า ความสามารถน้อยกว่ามาใช้งานและเอาประโยชน์กับคนกลุ่มนี้ ในอดีตคนผิวขาวหรือที่เราเรียกว่าฝรั่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกยุโรปในอดีต มักจะไปนำเอาแรงงานคนผิวดำจากแอฟริกา มาใช้แรงงาน และนำแรงงานเหล่านี้เข้าไปสู่อเมริกาเพราะชาวยุโรปได้อพยพเข้าไปที่อเมริกาเหนือและใต้ แรงงานผิวดำที่สามารถทำงานหนักได้และค่าแรงก็ถูกมาก จึงเป็นที่ต้องการของชาวผิวขาวที่ต้องการแรงงานจำนวนมหาศาลมาพัฒนาประเทศในช่วงเริ่มต้น ด้านคนผิวขาวมองคนผิวดำว่าเป็นคนที่ไม่มีความรู้และเป็นชนชั้นต่ำ หนักไปกว่านั้นคือการเหยียดชนกลุ่มนี้ว่าเป็นเหมือนทาส เพราะการนำคนเหล่านี้มาทำงานนั้นไม่ได้อยู่ในฐานะลูกจ้างและนายจ้าง แต่เป็นการซื้อขายแรงงานแทนการว่าจ้าง พร้อมกับการลงโทษอย่างหนัก ที่เป็นอย่างนี้เพราะบางครั้งด้วยความที่มีพื้นฐานที่ต่างกันยิ่งแรงงานที่เป็นคนผิวดำจากแอฟริกาด้วยแล้ว ยิ่งมีพื้นฐานความรู้ต่ำมาก มากครั้งจึงอาจทำให้ไม่สื่อสารกันได้ จนคนผิวขาวเองเกิดความระอาแทนที่จะใช้การว่ากล่าวตักเตือนก็กลายเป็นการลงโทษอย่างรุนแรงแทน จนทำให้คนผิวขาวถูกมองว่าขาดความเมตตาและไร้มนุษยธรรมเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า เศรษฐกิจของโลกพัฒนาขึ้นมาก สหรัฐอเมริกาเองกลายมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลก ทำให้ประชาชนอเมริกันมีความเป็นอยู่ที่ดี คนผิวดำเองจึงได้มีโอกาสที่จะได้มาอยู่รวมกลุ่มกันมากขึ้นและขยายตัวเป็นวงกว้างโดยมีศาสนาคริสต์เป็นฐานในการสื่อสารกัน ทำให้นำไปสู่ความร่วมมือเป็นกลุ่มเป็นก้อนกันมากขึ้น แต่คนผิวขาวยังมีการแบ่งชั้นวรรณะอยู่ไม่ว่าจะมีคนผิวเหลือง หรือคนเอเชียอื่น ๆ เข้ามาอาศัยและลงทุนในอเมริกาก็จะถูกมองว่าเป็นคนที่มีชนชั้นต่ำกว่าและการปฏิบัติต่อคนกลุ่มนี้ก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนักในช่วงเมื่อเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา
ที่ผมนำเรื่องนี้มาเกริ่นไว้ก็เพื่อจะได้นำชีวิตของชายคนหนึ่งที่ชาวอเมริกันผิวสียกย่องซึ่งบุคคลนั้นก็คือ “ดร.มาติน ลูเธอร์ คิง” ผู้ที่ทลายกำแพงกั้นระหว่างคนผิวสีขาวและสีดำเพื่อมาเล่าต่อในสัปดาห์หน้า เพราะเห็นว่าชีวิตการต่อสู้เพื่อคนผิวสีของเขานั้นน่าที่บุคคลรุ่นหลังควรเรียนรู้ เพราะกว่าจะมีวิวัฒนาการคลี่คลายดังเช่นทุกวันนี้ โลกของเรานั้นผ่านกระบวนการก่อเกิด -แบ่งแยก หล่อหลอมกันมานานนับหลายพันปี แต่เราไม่เคยตระหนักถึงโทษของการ “แบ่งแยก” หรือ “กีดกัน” กันเลย ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วเราจะหาความสงบสุขให้กับโลกมนุษย์เราได้อย่างไร ?
ผลงานอื่นๆ ของ delilah_doll ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ delilah_doll
ความคิดเห็น