เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ผู้กำกับระดับโลก - เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ผู้กำกับระดับโลก นิยาย เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ผู้กำกับระดับโลก : Dek-D.com - Writer

    เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ผู้กำกับระดับโลก

    โดย delilah_doll

    วิกรม กรมดิษฐ์

    ผู้เข้าชมรวม

    1,133

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    1.13K

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 มิ.ย. 51 / 00:35 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน (M. Night Shyamalan) ผู้กำกับภาพยนตร์ระดับแม่เหล็กของฮอลลีวูด มีชื่อจริงว่า มาโนช เนลลิยัตตู ชยามาลาน (Manoj Nelliyattu Shyamalan) เกิดเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ปี ค.ศ. 1970 ที่ตำบลมาเฮ ในเขตปอนดิเชอรี อยู่ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย

      ครอบครัวของเอ็ม ไนท์ ชยามาลาน เป็นชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูตามที่สืบทอดกันมา พ่อของเขาชื่อว่า เนลลิอัตตู ซี ชยามาลาน (Nelliattu C. Shyamalan) เป็นนายแพทย์เชื้อสายมาลายาลี ส่วนแม่ของเขาชื่อว่า ชยาลักษมี (Jayalakshmi) เป็นคนเชื้อสายทมิฬ มีอาชีพเป็นสูตินารีแพทย์ พ่อแม่ของเขาได้ย้ายมาอยู่ที่สหรัฐอเมริการาวทศวรรษที่ 1960 หลังจากที่ทั้งคู่มีลูกคนแรกชื่อว่าวีนา (Veena) แต่พอแม่ของเขาตั้งท้องเขาก็ได้เดินทางกลับมาอยู่ที่บ้านของพ่อแม่ตัวเองที่เมืองเชนไน หรือมาดราสเป็นเวลา 5 เดือนก่อนคลอด

      หลังจากที่คลอดออกมา เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน อยู่ที่ปอนดิเชอรีเป็นเวลา 6 อาทิตย์ หลังจากนั้นจึงย้ายมาอยู่ที่เพนน์ วัลเลย์ เมืองฟิลาเดลเฟีย ใน มลรัฐเพนซิลเวเนีย ทำให้เขาเติบโตขึ้นและใช้ชีวิต ที่นี่ ซึ่งการที่ครอบครัวของเขาได้อาศัยอยู่ในแหล่ง ชั้นดีของเมืองอย่างเพนน์ วัลเลย์ แสดงว่าฐานะครอบครัวของเขานั้นพอมีพอกิน เป็นครอบครัวที่มีการศึกษามีรายได้ดีทีเดียว

      พอเมื่อถึงวัยเข้าโรงเรียน พ่อแม่ของเขาได้เลือกให้เรียนที่โรงเรียนเอกชนระดับประถมศึกษาของศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิกที่ชื่อว่า “Waldron Mercy Academy” ถึงแม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ก็ตาม เพราะพวกเขาอยากจะให้ลูกได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนที่มีกฎระเบียบที่เข้มงวด เพื่อจะได้เป็นคนมีวินัย จากนั้นเขาเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนมัธยมเอกชนที่ชื่อ “The Episcopal Academy” ซึ่งเป็นโรงเรียนในศาสนาคริสต์แบบอีพิสโคปัล ในปี ค.ศ. 1988 เขาก็เรียนจบจากโรงเรียนแห่งนี้ และเขายังได้รับรางวัลศิษย์เก่า ดีเด่นของโรงเรียนนี้ประจำปี ค.ศ. 2001 อีกด้วย

      ตอนที่ชยามาลานได้รับของขวัญเป็นกล้องแบบ Super 8 mm film เมื่อมีอายุได้ 8 ขวบ เขาเกิดแรงบันดาลใจในความต้องการที่จะเป็นนักสร้างภาพยนตร์นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เขากลายเป็นแฟนตัวยงของผู้กำกับชื่อดังคือ สตีเวน สปีลเบิร์ก ซึ่งผู้กำกับคนนี้คือต้นแบบคนสำคัญของเขา และพอตอนที่เขามีอายุ 17 ปี เขาก็เป็นนักสร้างภาพยนตร์มือสมัครเล่นที่ผลิตหนังที่บ้านของตัวเองได้ถึง 45 เรื่อง

      ในเรื่องการศึกษาและการประกอบอาชีพนั้น แท้ที่จริงแล้วพ่อของเขาต้องการให้เขาดำเนินรอยตามครอบครัวในการเป็นแพทย์ แต่แม่ของเขานั้นเป็นคนที่สนับสนุนและกระตุ้นให้เขาทำตามความต้องการของตัวเอง (ครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวที่มีการศึกษาดีมาก พ่อแม่ ภรรยาของเขา และสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ อีก 9 คน ล้วนแต่เป็นแพทย์หรือไม่ก็จบการศึกษาระดับปริญญาเอกทั้งสิ้น)

      พอต้องเรียนในระดับมหาวิทยาลัย เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน เลือกเรียนด้านการสร้างภาพยนตร์ที่ทิสช์ สกูล ออฟ ดิ อาร์ต (Tisch School of the Arts) ของมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก (New York University’s) ในเมืองแมนฮัตตัน และเรียนจบ เมื่อปี ค.ศ. 1992 ซึ่งในระหว่างที่เขาเรียนที่นี่เขา ก็ได้ตั้งชื่อกลางของเขาใหม่ว่า ไนท์” (Night)

      เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน แต่งงานในปี ค.ศ. 1992 กับภาวนา ภัสวานี (Bhavna Vaswani) ซึ่งเป็น นักจิตวิทยาเชื้อชายอินเดียเช่นเดียวกัน ทั้งคู่พบกันระหว่างที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก และมี ลูกสาวด้วยกัน 2 คน ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ที่ เวนน์ ในมลรัฐเพนซิลเวเนียใกล้ๆ สถานที่ถ่ายหนังของชยามาลานในฟิลาเดลเฟีย

      ภาพยนตร์เรื่องแรกที่เขาสร้างขึ้นคือ Praying with Anger ขณะนั้นเขายังเป็นนักศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ฉายเมื่อปี ค.ศ. 1992 ในเทศกาลภาพยนตร์ที่โตรอนโต ซึ่งเป็นเรื่องราวที่มีพื้นฐานมาจากการเดินทางกลับไปที่บ้านเกิดเมืองนอนที่แท้จริงของเขาที่อินเดีย โดยในเรื่องเป็นเรื่องของชายหนุ่มที่เดินทางไปอินเดียเพื่อค้นหาต้นตระกูลของเขา เรื่องนี้เขาแสดงนำเองในบทเด็กหนุ่มผู้นั้น ในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาทำทุกๆ อย่างเอง เป็นทั้งผู้กำกับ ผู้อำนวยการสร้าง ผู้แสดงในเรื่อง และเป็นแม้กระทั่งผู้หาแหล่งเงินทุนมาใช้ในผลิตภาพยนตร์ และภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นภาพยนตร์เรื่องเดียวที่ถ่ายทำนอกเมืองฟิลาเดลเฟีย

      ภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของเขามีชื่อว่า Wide Awake ผลิตเมื่อปี ค.ศ. 1995 แต่ได้ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1998 และได้ออกฉายในโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรก แต่รายได้รวมแย่มาก คือ 2.88 แสนเหรียญสหรัฐ จากงบประมาณการสร้าง 7 ล้านเหรียญสหรัฐ เขาเป็นทั้งผู้เขียนบทและกำกับเอง โดยมีพ่อแม่เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ ซึ่งถูกซื้อโดยบริษัทภาพยนตร์อิสระที่เพิ่งเปิดใหม่ในเวลานั้นคือมิราแมกซ์ ในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่เขาสร้างบ่อยครั้งที่มักจะใช้ฉากหลังเป็นเมืองฟิลาเดลเฟียที่เขาอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในภาพยนตร์เรื่อง Wide Awake (1998), The Sixth Sense (1999), Unbreakable (2000), Signs (2002) และ The Village (2004)

      แม้ Wide Awake จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่ในปีต่อมาชยามาลานก็สามารถนำผลงานเรื่องใหม่ The Sixth Sense ออกฉายเมื่อปี ค.ศ. 1999 เขาเขียนบท กำกับ และอำนวยการสร้างเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวแบบไม่ครึกโครมนัก แต่ได้รับการตอบรับอย่างดีและต่อเนื่องจากการบอกต่อๆ กัน จนสามารถกวาดรายได้รวมอย่างมากมาย กลายมาเป็นหนังดีที่ทุกคนห้ามพลาดในปีนั้น

      The Sixth Sense
      เป็นเพียงภาพยนตร์ขนาดเล็กเกี่ยวกับสัมผัสที่หก มีดารานำที่มีชื่อเสียงเพียงคนเดียว คือ บรู๊ซ วิลลิส อีกทั้งยังเป็นภาพยนตร์ของ ผู้กำกับหน้าใหม่ คือ เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน ด้วย แต่สามารถขึ้นสู่บอกซ์ ออฟฟิศ อันดับ 1 ได้ทันทีในสัปดาห์แรกที่เข้าฉาย และยืนพื้นเป็นอันดับ 1 นานถึง 5 สัปดาห์ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วสามารถทำรายได้มากกว่า Star Wars Episode I : The Phantom Menace ภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่เข้าฉายในปีเดียวกัน

      The Sixth Sense
      เป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่แฝงประเด็นทางจิตวิทยาให้ตีความได้อย่างละเอียด อีกทั้งการแสดงที่ทรงพลังของ ฮาลี่ย์ โจเอล ออสเมนต์ ดาราเด็กที่สามารถสร้างชื่อได้ทันทีจากเรื่องนี้ โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “I See Dead People” เป็นไฮไลต์ของภาพยนตร์ไปทันที อีกทั้งยังมีการจบ ที่หักมุมอย่างที่ไม่มีใครคาดคิดถึงอีกด้วย ส่งผลทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ยอดนิยมในระยะเวลาไม่นานที่เข้าฉาย และท้ายที่สุดปรากฏว่ารายได้รวมของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ จากงบประมาณการสร้าง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ

      หลังจากประสบความสำเร็จจาก The Sixth Sense ชยามาลานก็กำกับภาพยนตร์เรื่อง Unbreakable เป็นหนังแนวระทึกขวัญเหนือธรรมชาติ แสดงนำโดย บรู๊ซ วิลลิส สวมบทนำเป็นชายคนที่พบว่าตนเองเป็นผู้มีความแข็งแกร่งเป็นพิเศษผิดจากมนุษย์คนอื่นๆ หลังจากรอดชีวิตจากอุบัติเหตุครั้งใหญ่ทางรถไฟที่มีคนตายเป็นร้อย โดย ผู้รอดตายไม่มีแม้รอยขีดข่วน ทำให้ผู้รอดตายเริ่มสงสัยตัวเอง และแคลงใจกับอดีตที่ผ่านมาของตัวเองว่าเคยบาดเจ็บหรือเคยเจ็บไข้ได้ป่วยบ้าง หรือเปล่า

      แม้เสียงวิจารณ์จะมีทั้งที่ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบหนังเรื่องนี้ แต่หนังก็กวาดรายได้อย่างมากมายในปี ค.ศ. 2000 หนังเรื่องนี้มีงบประมาณในการสร้าง 75 ล้านเหรียญสหรัฐ มีรายได้รวมในบอกซ์ ออฟฟิศ 95 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีรายได้รวมทั่วโลก 154 ล้านเหรียญสหรัฐ

      ในปี 2002 ชยามาลานได้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Signs ซึ่งนำแสดงโดย เมล กิ๊บสัน ในบทบาทของนักเทศน์ผู้สูญสิ้นศรัทธาภายหลังการตายของภรรยาและได้ประสบกับสิ่งมีชีวิตจากนอกโลก เรื่องนี้มีงบประมาณการสร้าง 72 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำรายได้ในประเทศ 227 ล้านเหรียญสหรัฐ และทำรายได้ทั่วโลก 408 ล้านเหรียญสหรัฐ

      ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของเขาคือ The Village ออกฉายในปี ค.ศ. 2004 แต่น่าเสียดายว่าหนังเรื่องนี้ ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก หากเทียบกับเรื่อง ที่ทำให้เขาโด่งดังมากอย่าง The Sixth Senses

      ผลงานเรื่องต่อมาคือ Lady in the Water ออกฉายในปี ค.ศ. 2006 ซึ่งหนังเรื่องนี้ชยามาลานเล่าว่ามีที่มาจากจากนิทานก่อนนอน เขาเคยกล่าวไว้ว่าเวลาผมเล่านิทาน เด็กๆ จะตอบเสมอว่าขอน่ากลัวที่สุด แต่พอเล่าจริงผมก็เล่ากลางๆ ฟังแล้วเด็กๆ ก็จะนอนหลับไม่ผวา แต่พอเล่าเรื่องหญิงสาวใต้น้ำ ทีไร มันเหมือนมีมนต์สะกด เด็กรบเร้าให้เล่าซ้ำแล้วซ้ำอีก ถามซอกแซกจนมันกลายเป็นมหากาพย์ประจำบ้านเรา ผมก็เล่าเรื่องลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนตัดสินใจว่าต้องทำเป็นหนัง และให้ตัวละครเอกเป็นผู้เล่าเรื่องเหมือนที่ผมเล่ากล่อมลูกนะแหละ ในหนังผมให้ตัวละครตัวนี้เดินทางไปกับเรื่องที่เขาเล่า จนกระทั่งมันถึงจุดที่เขาชักไม่แน่ใจว่ามันจริงหรือลวง และนิทานกล่อมเด็กอาจจะเป็นเรื่องจริงขึ้นมาก็ได้

      ชยามาลาน พิสูจน์ตนเองจนได้รับการยอมรับว่า เป็นยอดฝีมือในการสร้างบรรยากาศและเป็นนักเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ในภาพยนตร์ที่เขาสร้าง จะมีการการหักมุมในตอนท้ายเพื่อสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ชม และในภาพยนตร์หลายๆ เรื่องตัวละครที่โดดเด่นของเขาจะเกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดา 2 คนที่มีพลังหรือความสามารถพิเศษ หรือไม่ก็จะมีเหตุการณ์พิเศษหรือแปลกประหลาดเกิดขึ้นกับพวกเขา และตัวละครตัวใดตัวหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับเด็กหรือเป็นตัวละครที่เป็นเด็ก ซึ่งตัวละครที่เกี่ยวข้องกับเด็กนักจะต้องมีสถานภาพครอบครัวหรือการแต่งงานที่ไม่ราบรื่นทั้งสิ้น

      นอกจากนี้ ในภาพยนตร์ของเขามักจะใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์ของความตายหรือความอ่อนแอ ส่วนอุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นหัวใจสำคัญในภาพยนตร์ทุกเรื่องของชยามาลาน ไม่เพียงเท่านั้น ห้องใต้ดินยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เป็นฉากในภาพยนตร์ จะเห็นได้ว่าแก่นเรื่องในภาพยนตร์ของเขามี แนวโน้มที่จะเกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเขาได้รับอิทธิพลจากการเรียนในโรงเรียนของ ศริสตจักรมาค่อนข้างมาก

      เอ็ม ไนท์ ชยามาลาน เป็นผู้กำกับที่มีสไตล์เป็นตัวของตัวเอง ภาพยนตร์ทุกเรื่องของเขาจะเขียนบทเอง และอำนวยการสร้างเอง รวมทั้งจะร่วมแสดงเองด้วย โดยจะเป็นตัวประกอบในฉาก และเรื่องราวทุกเรื่องจะเกิดในเมืองฟิลาเดลเฟียเมืองที่เขา เติบโตขึ้น แต่ผลงานหลังจาก The Sixth Sense แล้ว ชยามาลานไม่ประสบความสำเร็จเลยในเรื่องของคำวิจารณ์ เพราะภาพยนตร์ทุกเรื่องดำเนินในสไตล์ The Sixth Sense ตลอด

      อย่างไรก็ตาม เขายังคงครองตำแหน่งนักเขียนบทภาพยนตร์ที่มีรายได้มากที่สุดในฮอลลีวูด เมื่อบริษัทดิสนีย์ให้เงินเขาจำนวน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Sign และภาพยนตร์เพียง 3 เรื่องของเขา คือ The Sixth Sense, Unbreakable (2000) และ Signs ทำรายได้รวมทั่วโลกมากกว่า 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ

      คงต้องใช้คำกล่าวที่ว่า ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนต่อไปกับผลงานการทำงานของชายผู้นี้ เพราะเขาอายุยังน้อย หนทางข้างหน้ายัง อีกยาวไกล

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×