คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : จะได้กลับไหมเนี่ย!
จะได้กลับไหมเนี่ย!
ไอร่ายืนเฉยอยู่ต่อหน้าไซนอล ผู้เป็นฟาเรลแห่งทะเลทราย ยังไม่เกิดการโจมตีใดๆทั้งสิ้นกลางทะเลทรายแห่งนี้ ที่ที่เป็นทะเลทรายมันควรจะร้อน แต่ตอนนี้ไอพลังความเย็นจากสายเลือดของวิหคน้ำแข็งทำให้ท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้เย็นไปทั่วทั้งพื้นผิวเลยทีเดียว
“คิดจะใช้พลังแค่นั้นกดดันผู้เฝ้าประตูมิติสู่โลกปีศาจ … ฉันว่ามันน้อยไปหน่อยนะ” ไซนอลแสยะยิ้มให้ไอร่าที่ยืนแผ่พลังอยู่ เขาไม่กลัวพลังของไอร่าเลยแม้แต่น้อย กลับมีความพึงพอใจราวกับได้เจอคู่ปรับของตนเสียที
ไซนอลยื่นมือขวาออกไปหน้าลำตัว เขาแบมือราวกับรอรับของบางอย่าง … ผมสังเกตเห็นว่าดวงตาของเขาเปลี่ยนไป มันมีแสงที่เป็นรูปโครงของดาวหกแฉกอยู่ในนั้นด้วย
เม็ดทรายหลายล้านเม็ดถูกดูดขึ้นมาสร้างเป็นอาวุธตามที่ฟาเรลแห่งทะเลทรายต้องการ มันค่อยๆจับตัวกันเป็นกระบองที่ยาวพอๆกับส่วนสูงของไซนอล เมื่อกระบองนั้นสร้างเสร็จตามใจคิดแล้ว เขาก็เอื้อมมือไปคว้ากระบองนั้นอย่างรวดเร็ว แล้วฟาดลงไปที่พื้น
คลื่นทรายที่เกิดจากการกระแทกของกระบอง สะกิดไอร่าได้แค่เพียงปลายเส้นผม เพราะเธอไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจาก ผมเธอกำลังโบกสะบัดไปตามแรงที่เข้ามา …
ขณะเดียวกันไอร่าปล่อยแส้น้ำแข็งของเธอลงสู่พื้น แส้น้ำแข็งซึมสู่พื้นทรายอย่างรวดเร็ว ทำให้เม็ดทรายแข็งและจับตัวกันเป็นก้อนกันทั้งหมดทันที
ไซนอลนิ่งอึ้งกับพลังของไอร่าอยู่พักหนึ่ง ก็โดนไอร่าตอบกลับด้วยการเอาท่อนแขนฟาดเข้าที่ท้ายทอย ก่อนที่จะใช้ความเร็วเหนือแสงพุ่งชนเขาจนกลิ้งกระเด็นกระดอนไปไกล
“ฮึ่ม!” ไซนอลคำรามเบาๆเมื่อเห็นว่าศัตรูของเขาเก่งกาจเพียงใด ก่อนจะแสยะยิ้มเล็กๆให้พวกผมเห็น
“ใช้ได้นี่ไอร่า พลังของเธอนี่ไม่เบาเลยจริงๆ แต่แค่นั้นจะทำอะไรได้อย่างนั้นหรือ” ทันทีที่พูดจบ ไซนอลก็เรียกทรายขึ้นมาเรียงกันเป็นดาบที่ดูแล้วมีความคมอย่างเห็นได้ชัด
ไอร่าตกใจเพราะคิดว่าทรายที่เป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว ทำไมมันยังเรียกใช้ทรายได้อีกล่ะเนี่ย!
ดาบถูกเหวี่ยงเข้ามาหาไอร่า แต่ไอร่าก็ใช้เกราะเวทย์กันไว้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะใช้พลังผลักไซนอลออกห่างตัว
ไซนอลถูกผลักออกอย่างแรง เขาไปนอนแอ้งแม้งอยู่ไกลจากไอร่านิดหน่อย … คนที่ถูกผลักไปล้มกลิ้งอยู่อย่างนั้นปกติจะต้องครวญครางหงิงๆไปแล้ว แต่ทว่า ไซนอลไม่ใช่ ไซนอลกลับนอนหัวเราะหึหึอยู่ตรงนั้น
“อ้าวโดนไปนิดหน่อยสติก็แตกซะแล้วเหรอ” ไอร่าถามด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบเฉย
“หลงตัวเองมากไปไหมไอร่า” ไซนอลลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ เขาแสยะยิ้มกว้าง แล้วกางแขนออกข้างลำตัว ก่อนที่จะพูดว่า “มาลองกับอาวุธของฉันดูดีกว่าไหม”
ดวงตาของไซนอลเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆออกมา ก่อนที่เม็ดทรายจะถูกลมหมุนพัดขึ้นมาหมุนรอบๆตัวเขาอย่างช้าๆ ทรายที่คล้ายกับโดนพายุหมุนรวบขึ้นมา โดยมีไซนอลยืนอยู่ใจกลางพายุนั้น
ไอร่าสังเกตเห็นสิ่งที่ไม่ชอบมาพากลจากพายุลูกนั้น … มันมีทรายที่จับตัวกันเป็นมีดคมกริบล่องลอยอยู่ในนั้นด้วย
เมื่อไอร่าเห็นดังนั้นแล้ว จึงรีบพุ่งไปคว้าซีฟาร์ออกมาทันที ก่อนที่ฝนมีดจะกระหน่ำลงสู่พื้น
พื้นดินเต็มไปด้วยมีดเล่มเล็กๆที่ทิ่มแทงทรายที่จับตัวกันเป็นน้ำแข็งโดยพลังของแส้น้ำแข็งที่ไอร่าทำไว้
“ไซนอล นายนี่มันสกปรกจริงๆ ทำไมไม่เล่นงานที่ฉัน กลับมาลงที่ซีฟาร์แทน ทำแบบนี้ได้ยังไง” ไอร่ามีสีหน้าที่โกรธขึ้นมาในทันที … ปกติผมเห็นเธอไม่ค่อยจะโกรธอะไรสักเท่าไรนะ
“เธอไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ?” ไซนอลในพายุทรายพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กวนอวัยวะเบื้องล่างที่ห่อหุ้มด้วยรองเท้าอย่างที่สุด “คำสั่งที่ออกมา ไม่ใช่ให้กำจัดเธอเพียงคนเดียวเสียหน่อย” ไซนอลพูดจบก็หัวเราะสะใจกับสิ่งที่ตนทำไป
ไซนอลเรียกดาบทรายมากมายขึ้นมาในพายุทรายหวังจะใช้การโจมตีแบบนั้นอีกครั้ง แต่แล้วก็ต้องชะงักที่ไอร่าเข้ามาปรากฎตัวต่อหน้าเขาอย่างรวดเร็ว …
“เป็นไปไม่ได้… พายุทรายของฉันยังไม่เคยมีใครผ่านเข้ามาได้แบบนี้” ไซนอลอุทานขึ้นมา ก่อนที่จะโดนหมัดของไอร่าเข้าที่หน้าอก ลอยละลิ่วออกจากพายุนั้นอย่างแรง พายุหมุนทรายสลายไปทันทีที่ไซนอลถูกเล่นงาน
“หึ! พลังของเจ้าคิดว่าจะสู้กับสายเลือดของวิหคน้ำแข็งได้อย่างนั้นเหรอ ตลกสิ้นดี” ไอร่ามีน้ำเสียงขึ้นมาเล็กน้อย
… เธอทำให้อากาศเป็นน้ำแข็งได้ มันจึงกลายเป็นออกซิเจนแข็งที่เห็นเป็นรูปดาบอย่างชัดเจน ไอร่าจะใช้มันเพื่อจัดการกับไซนอลที่ล้มไม่เป็นท่าอยู่กลางทราย
“หยุดก่อนท่านไอร่า” เสียงดังขึ้นจากข้างหลังผม ร่างของผู้หญิงผมสีส้มยาวระต้นคอ วิ่งเข้าไปหาไซนอลอย่างรวดเร็ว
“มิเรนเซีย… เจ้ามาทำไมเนี่ย” ไซนอลที่นอนแอ้งแม้งหมดท่าอยู่ยังจะขึ้นเสียงถามผู้หญิงผมสีส้มที่วิ่งเข้าไป
“มาดูเจ้าไงว่าจะตายยังไง” … ตกลงนี่เป็นพวกเดียวกันหรือเปล่าครับ ผมล่ะสงสัยจริงเชียว
“ฉันไม่ตายให้เจ้าเห็นง่ายๆหรอกเฟ้ย … ไอร่าก็แค่สายเลือดวิหคน้ำแข็ง จะกลัวอะไรไป นี่มันทะเลทรายนะ ฮ่าๆๆ” ทันใดนั้น น้ำแข็งที่เกาะทรายอยู่ทั้งหมดก็ละลายหายไปทันที ไอความร้อนปะทุขึ้นมาราวกับจะเกิดระเบิดขึ้นใต้ดิน
ไอร่าโดนทรายจับขา จนขยับขาไม่ได้ เมื่อไซนอลได้โอกาสแล้ว ก็ใช้มีดทรายแทงที่ไอร่าทันที
“ไอร่า!” เสียงของซีฟาร์ดังขึ้น เสียงของซีฟาร์คล้ายคนกำลังร้องไห้ เธอกรีดร้องเรียกไอร่าที่โดนแทงด้วยมีดทรายจนทะลุหน้าอกแบบนั้น
“หึ! เป็นยังไง วิหคน้ำแข็ง เจอมีดร้อนๆเข้าไปเป็นยังไงล่ะ” เมื่อสิ้นเสียงพูด ไอร่าก็ล้มลงท่ามกลางทะเลทรายแห่งนั้น “คิดว่าจะแน่ ที่แท้ก็แน่นิ่ง” ร่างของไอร่าสลายกลายเป็นน้ำซึมลงไปในทรายอย่างรวดเร็ว
เมื่อไอร่าสิ้นท่าแบบนั้นแล้ว พลังที่คลุมตัวผมอยู่ก็เปิดออก ทำให้ผมเดินไปไหนมาไหนได้เสียที แต่ว่า… มันอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับผมเลยก็เป็นได้ ถ้าหากว่าโดนลูกหลง
ทุกคนต่างสลดกับสิ่งที่เกิดขึ้น และต่างโมโหฟาเรลที่อยู่ตรงหน้าอย่างแค้นเคือง …
มิเรนเซียทำหน้าตื่นตกใจอย่างมากเมื่อเห็นไอร่าสลายไปต่อหน้าต่อตา … เพราะอย่างน้อยไอร่าก็เคยช่วยชีวิตเธอไว้ครั้งหนึ่ง
“ไซนอล … นายทำบ้าอะไรของนาย!” มิเรนเซียเบิกตากว้างแล้วพูดกับไซนอลที่ยืนอยู่ข้างๆ
“ฉันก็จัดการปีศาจ ที่มันจะพาพลังบริสุทธิ์ไปน่ะสิ” ไซนอลตอบ … ผู้พิทักษ์ประตูมิติ ทำไมช่างโหดร้ายเช่นนี้นะ นี่คือสิ่งที่ผมคิด
“… นี่นายไม่รู้ใช่ไหมว่าไอร่าสามารถดูดกลืนพลังของเวทย์มนตร์ที่ใช้โจมตีเธอได้น่ะ” ไซนอลได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเบิกตากว้างเลยทีเดียว …
“สายเลือดของวิหคน้ำแข็งทำได้ขนาดนี้เชียวเหรอ!” ไซนอลอุทานเสียงดัง …
“สายเลือดที่แฝงอยู่ในตัวเธอเสี้ยวหนึ่งต่างหากเจ้าโง่ … เธอเป็นดาร์คแองเจิ้ล แม้ว่าจะมีสายเลือดของดาร์คแองเจิ้ลอยู่หนึ่งในสิบหกของร่างกาย แต่นายไม่รู้หรือไงว่าดาร์คแองเจิ้ลเป็นผู้ที่ใช้พลังของเซนทราเรียน์ในด้านมืดได้” … ทีนี้ฟาเรลที่ชื่อว่าไซนอล ก็พูดไม่ออกเลยทีเดียว เมื่อกลุ่มไอสีดำซึมออกมาจากพื้นทรายอย่างรวดเร็ว ทำให้พื้นที่บริเวณทะเลทรายนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดจากไอสีดำนั้น … ร่างของไอร่าปรากฎขึ้นกลางกลุ่มไอสีดำนั้น
ดวงตาของไอร่ามีสีดำสนิท เรืองแสงออกมาเป็นสีม่วงเข้มๆ เธอมีเขี้ยวที่งดงามเหมาะกับใบหน้าของเธอ เส้นผมที่เปลี่ยนสีไปเป็นสีน้ำเงินทำให้เธอดูแปลกๆดี … ส่วนปีกของเธอก็เป็นปีกขนนกสีดำที่แสดงถึงความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง
ปีกของเธอกางออกกินพื้นที่ไปเยอะพอสมควร เพราะปีกของเธอใหญ่ขึ้นมาก … ไซนอลที่กำลังอึ้งกับร่างของดาร์คแองเจิ้ลที่อยู่ตรงหน้า โดยไม่ได้ระวังตัวเลยว่าพลังสายสีน้ำเงินเข้มฟาดผ่านตัวของเขาอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้ไซนอลกระอักเลือดออกมามหาศาล ไซนอลทรุดลงกับพื้นอย่างรวดเร็วราวกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง เขาพยายามจะใช้แขนยันตัวเองขึ้นมา แต่ความรู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักอึ้งราวกับแบกหินอยู่บนหลังไว้เป็นร้อยกิโลทำให้เขาทำได้แค่ชะลอตัวเองไม่ให้หัวฟาดพื้นแรงเท่านั้น
“ท่านไอร่า… อย่าทำร้ายไซนอลเลยนะ ไซนอลเขาบริสุทธิ์ เขาแค่ทำตามหน้าที่” มีเรนเซียอ้อนวอนขอให้ไอร่าไว้ชีวิตไซนอล … แต่เวลานี้ไอร่าที่อยู่ในร่างดาร์คแองเจิ้ลจะได้ยินคำขอของเธอหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ
เพราะว่าไอร่า เงื้อกรงเล็บสีดำของเธอเตรียมจะแทงใส่ไซนอลอย่างดีแล้ว … เฮ้ย!! ไอร่า ใจเย็นๆ เขาแค่ทำตามหน้าที่นะเฟ้ย
ฉึก!! กรงเล็บของไอร่ากระซวกทะลุร่างของไซนอลอย่างง่ายดาย ไซนอลเปิดตากว้าง … เหมือนผมเห็นอะไรเป็นแสงสีฟ้าๆที่มือของไอร่าแฮะ
ไอร่าดึงเล็บของเธอออกจากร่างของไซนอล … ร่างกายของไซนอลไม่มีแผลปรากฎให้เห็นแม้แต่รอยเดียว
เฮ้ย!! เมื่อครู่นี้ผมเห็นว่ากระซวกลงไปเต็มๆเลยนี่นา … ทำไมไม่มีแผลอะไรเลยล่ะครับ!
“ฉันประกอบวิญญาณคืนให้เขาแล้วนะ” ไอร่าพูด … เธอทำให้ผมงงนิดหน่อย อะไรประกอบวิญญาณ ช่างเถอะ! ไว้ผมจะถามเธอเอาเอง
“ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ แต่นายต้องรู้ไว้บ้างว่า นายกำลังสู้กับใคร” ไอร่าสั่งสอนไซนอลก่อนที่จะกลับคืนร่างผมสีเทา ตาสีเทาของเธอดังเดิม … ผมรู้แล้วครับว่าทำไมเทพแห่งสายน้ำยังกลัวไอร่า
เพราะพลังของดาร์คแองเจิ้ลไม่สามารถโจมตีทางกายภาพได้ แต่สามารถโจมตีทะลุถึงแกนวิญญาณให้แตกเป็นเสี่ยงๆได้ทันที … อิเรอัลไขข้อสงสัยให้ผมว่า ทำไมต้องประกอบวิญญาณคืน
“ร้ายกาจแบบนี้ ข้าคงวางใจให้พวกเขาลงไปได้…” ไซนอลพูดขึ้นพร้อมกับค่อยๆพยุงตัวเองลุกขึ้นยืน
“หมายความว่ายังไงครับที่ว่าให้พวกผมลงไปได้” ผมแหกปากด้วยน้ำเสียงของคนที่ตื่นตกใจเล็กน้อย เพราะสิ่งที่ผมคิดคือ มันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ
“ก็หมายความว่าอย่างนั้นหล่ะ ฉันแค่จะทดสอบพวกของนายว่าจะปกป้องนายในโลกปีศาจได้ไหม … แค่ไอร่าก็คงจะปกป้องนายได้อยู่แล้วล่ะ เรย์” ฟาเรลแห่งทะเลทรายยิ้มให้ผม ก่อนที่จะวาดมือไปข้างหลัง
ทรายที่อยู่บนพื้นเรียงตัวขึ้นมาเป็นประตูใหญ่บานหนึ่ง มีรูปปั้นที่ถูกฝังอยู่กับประตูทั้งสองข้าง ข้างซ้ายเป็นรูปแวมไพร์ในร่างที่คืนสภาพมีปีกค้างคาว ข้างขวาเป็นรูปปั้นของชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีผมยาวถึงกลางหลัง ใส่เสื้อคลุมคล้ายเสื้อกราวน์
ผมมองประตูด้วยความตื่นกลัว เพราะว่า ประตูมิติที่มีสีดำมืดสนิท ราวกับไม่มีแสงอยู่ที่นั่นเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผมหนาวไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว
พวกซีฟาร์ก้าวเข้าไปในประตูทีละคนๆ ทำให้ตอนนี้เหลือผม กับซีฟาร์สองคนเท่านั้น
เธอหันมายิ้มให้ผมแล้วบอกกับผมว่า “ไปโลกของฉันกัน มันไม่น่ากลัวอย่างที่เธอคิดหรอก”
“อื้ม ฉันก็เชื่ออย่างนั้นนะ” ผมตอบเธอกลับ สายตาของเธอที่แสดงถึงความดีใจที่จะได้กลับบ้านของเธอ ช่างดูงดงาม แต่หากในจิตใจของเธอ ผมคิดว่า เธอต้องเป็นห่วงพ่อของเธอมากๆ
‘ฟิ้ว!!~’ เสียงคล้าย เสียงลมพัดผ่านหูของผมไป พร้อมกับศรสีฟ้าที่พุ่งเข้าชนประตูมิติอย่างรุนแรง ส่งผลให้ประตูมิติทรายนั้นถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว ฟาเรลผู้เปิดประตูมิติให้กับผมเบิกตากว้างมองไปยังร่างที่สวมชุดสีฟ้าคราม มีผ้าโพกหัวปิดหน้าเพื่อป้องกันความร้อนจากทะเลทราย ทำให้ผมเห็นเพียงแค่แววตาของเขาเท่านั้น
เขามีดวงตาสีฟ้าอมดำ ทำให้ดวงตาของเขาดูมืดครึ้มคล้ายท้องฟ้าที่มีเมฆฝน สีผมที่โผล่ออกมาจากผ้านิดหน่อย ทำให้ผมรู้ว่าเขามีเส้นผมสีส้มแดง แววตาที่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึกจ้องมองมาทางพวกผมและฟาเรลอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่าเขาไม่ได้เกรงกลัวฟาเรลทั้งสองคนที่อยู่ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
… ในมือของเขาไม่มีอาวุธใดๆอยู่เลย … แสดงว่าศรสีฟ้าดอกนั้นต้องเป็นเวทย์มนตร์แน่ๆ
ร่างนั้นหมุนกลับหันหลังไปทามกลางความตื่นตะลึงของผมกับซีฟาร์ที่เห็นประตูมิติระเบิดไปต่อหน้าต่อตา …
“พลังของมันรุนแรงถึงขนาดทำลายประตูมิติแห่งโลกปีศาจได้ … เจ้านั่นไม่ธรรมดาแน่ๆ” ไซนอลมีน้ำเสียงอ้ำอึ้งอยู่กับพลังที่ชายผู้นั้นใช้ รวมไปถึงมิเรนเซียด้วย
เมื่อเรียกสติกลับคืนกันมาได้ ร่างนั้นก็เดินไปจนเกือบจะเป็นจุดเล็กๆในสายตาของผมแล้ว … ‘ทำไมเดินไวจังฟะ’
พวกไซนอลไม่รอช้า รีบวิ่งเข้าไปหาชายผู้นั้นด้วยความเร็วของฟาเรล (เกือบเท่าแวมไพร์) … รวมไปถึงผมกับซีฟาร์ เพราะผมขี่คอไซนอล ส่วนซีฟาร์ขี่คอมิเรนเซียไป เมื่อไปหยุดอยู่หน้าร่างที่สวมน้ำเงินคนนั้นแล้ว ไซนอลก็ปล่อยผมลง … การใช้ความเร็วระดับแค่นี้ทำไมผมรู้สึกอยากจะอ้วกจริงๆ … คิดไม่ทันจบมันก็ออกมากองอยู่ข้างหน้าผมอย่างรวดเร็ว
“กระจอกจริงๆ แค่นี้ก็อ้วกซะแล้ว” ไซนอลพูด … เพราะนายนั่นแหล่ะ วิ่งไปเขย่าไป ใครจะไม่อ้วกล่ะเฟ้ย
มิเรนเซียเมื่อปล่อยซีฟาร์ลงแล้ว เธอก็รีบเข้าไปคว้าคอเสื้อของร่างนั้นทันที … นักเลงไปไหมเธอ . . .
“นี่แกเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงทำลายประตูมิติได้!” มิเรนเซีย เรียกมีดเพลิงออกมาอยู่ในมืออีกข้างหนึ่งก่อนที่จะเอามีดเล่มนั้นเข้าจี้คอของชายหนุ่มผู้นั้น ก่อนที่จะพูดต่อว่า “และแกทำเพื่ออะไรกัน”
ร่างนั้นหัวเราะร่าเริงที่ถูกมิเรนเซียหาเรื่องพร้อมกับถอดผ้าคลุมหัวออก เผยให้เห็นหน้าตาที่ดูหล่อราวกับดาราเกาหลีมายืนอยู่ตรงหน้า เส้นผมสีส้มแดงของเขา พัดปลิวตามสายลมร้อนๆที่ผัดผ่านไป ส่วนคอเสื้อก็ยังถูกกำมือของมิเรนเซียดึงอยู่
“มีอะไรน่าหัวเราะฮึ แกเป็นคนก่อเรื่องไว้ แกจะต้องชดใช้ให้ประตูมิติแห่งนั้นแน่” ไม่ทันขาดคำ มิเรนเซียก็กดมีดเพลิงใส่คอของผู้ชายผมสีส้มแดงนั้นทันที แต่ทว่า มีดเพลิงที่มิเรนเซียออกแรงกดลงไปกลับหักเป็นสี่ท่อน … ผมชักเอะใจว่า มีดยังแทงไม่เข้า มันเป็นก้อนหินกันหรือเปล่านะเจ้านี่
มิเรนเซียตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น มีดแห่งเพลิงของเขาแข็งแกร่งขนาดฟันหินอัคนีได้ง่ายๆ ทำไมกลับหักได้แบบไม่มีชิ้นดีแบบนี้ ผมเห็นเธอตัวสั่นเครือราวกับเธอมีความรู้สึกว่า เธอหนาวสั่นไปทั้งตัว
“ผมไม่ได้มีธุระอะไรกับพวกคุณ ผมแค่ทำตามความต้องการของผม” หนุ่มหล่อดวงตาสีฟ้าอมดำพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ละมุนนุ่มนวลชวนให้น่าฟัง แต่พฤติกรรมของเขาช่างเชิญชวนให้เอาบาทาอุดปากที่มีน้ำเสียงละมุนนุ่มนวลนั้นเสียจริง
“หนอย! ออกมากระบองสองร้อยตัน” ทันที่ที่เสียงของมิเรนเซียพูดจบ กระบองเพลิงขนาดพอๆกับกระบองซุนหงอคงที่หดเล็กอยู่ ก็ออกมาอยู่ในมือของเธอ … ชายผู้นั้นกลับยิ้มอย่างเยาะเย้ยใส่มิเรนเซียแล้วพูดออกมาว่า
“แค่มอลเทียร์เธอก็ยังไม่ชนะเลย จะเอาอะไรมาสู้กับฉันงั้นหรือ” น้ำเสียงละมุนนอบน้อมพูดออกมาจากปากของชายผู้ที่ใกล้จะโดนสหบาทาในไม่ช้านี้ มีความดูถูกมิเรนเซียเป็นอย่างยิ่ง
“เหอะ! เรื่องเจ้านั้นน่ะ ฉันยอมให้ต่างหาก เพราะยังไงฉันก็จัดการมันไม่ได้ ร่างหมอกของมันน่ารำคาญจะตายไป” มิเรนเซียพูด พลางยิ้มให้กับชายผู้ที่ดูถูกเธอเมื่อครู่ แล้วเหวี่ยงกระบองเพลิงใส่ทันที
กระบองน้ำหนักสองร้อยตันถูกเหวี่ยงใส่ชายผู้นั้นอย่างรวดเร็ว แต่ชายผู้นั้นกระโดดหลบกระบองนั้นได้อย่างรวดเร็ว … ทั้งๆที่โดนมืออีกข้างของมิเรนเซียดึงคอเสื้ออยู่
อ้าวเฮ้ย พี่แกยอมสละคอเสื้อเลยจริงๆ ผมเห็นคอเสื้อที่ขาดออกมาจากตัวเสื้ออยู่ที่มือมิเรนเซีย แต่ตัวเสื้อยังอยู่กับชายผู้นั้นตามเดิม ...
“ยัยผู้หญิงป่าเถื่อน” เสียงละมุนที่ฟังดูไม่ละมุนในความคิดของมิเรนเซีย ทำให้เธอเส้นกระตุก หวดกระบองใส่อีกครั้ง
“ฉันป่าเถื่อน แล้วจะ ทำไม!!!!!” ปากเธอก็พูดไป กระบองก็หวดไป ผม กับซีฟาร์นั่งดูการวิ่งไล่กวดกันอย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะซีฟาร์ที่นั่งขำไปปรบมือไปราวกับดูการแสดง … ทั้งที่เธอไม่ได้กลับบ้านเนี่ยนะ!
ซีฟาร์กระโดดลงพื้นแล้วใช้ความเร็วแบบแวมไพร์พุ่งเข้าไปหาชายผู้นั้นอย่างรวดเร็วแบบไม่เห็นเงา … สมกับที่เป็นลูกของหัวหน้าเผ่าแวมไพร์จริงๆ
ปืนที่บรรจุกระสุนเวทย์มนตร์จี้อยู่กลางหน้าผากของชายผู้นั้นทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย … เพราะกลัวว่าถ้าเธอนิ้วกระตุกตามที่เขาขยับล่ะก็เกรงว่าสมองอาจโดนแทนที่ด้วยลูกปืนก็เป็นได้
มิเรนเซียเห็นความว่องไวของซีฟาร์แล้วก็ตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่นานเธอก็เข้ามาสอบสวนชายหนุ่มผมสีส้มแดงผู้นี้
“ตกลงแกเป็นใครกันแน่” มิเรนเซียถาม ในขณะที่ปืนกระสุนเวทย์มนตร์จี้หัวอยู่แบบนั้น
“คือฉันถูกจ้างมา ฉันเป็นแค่นักเวทย์ที่รับจ้างทำลายสิ่งต่างๆที่ผู้จ้างของข้าต้องการ” ชายหนุ่มผู้นั้นบอกกับพวกผม เพราะหากไม่บอก ก็กลัวว่าปืนมันจะลั่นโป้งป้างใส่หัวเขาน่ะสิ แต่จู่ๆเขาก็หัวเราะขึ้นมาดื้อๆซะงั้น
“ขำอะไร!” ซีฟาร์ทำเสียงดุใส่ คล้ายดุเด็กดื้อเลยจริงๆ
“ฉันเปล่าขำอะไรนะ แต่ฉันเป็นโรคหัวเราะต่างหาก” … เขาบอก
“ว่าไงนะ” ผมกับซีฟาร์พูดด้วยสีหน้าที่มุมปากกระตุกๆเล็กน้อย หน้าตาของผมกับซีฟาร์ตอนนี้แสดงออกคล้ายๆกัน คือแก้มจะพองๆหน่อย เหมือนเก็บลมไว้ข้างใน … ปล่อยไว้สักพักผมกับเธอก็ระเบิดก๊ากออกมา
ก็จะขำอะไรได้ล่ะครับ ผมก็ขำไอ้เจ้าผมส้มแดงนี่น่ะสิ เป็นโรคหัวเราะ … สงสัยจะติดยาเกินขนาด ประสาทเลยเพี้ยน
“แกเป็นโรคหัวเราะด้วย” ไซนอลพูดขึ้น พร้อมกับเบิกตากว้างก่อนจะพูดประโยคต่อมา “หรือว่าแกคือ…!”
“ฉันอลาทอร์ นักเวทย์สายทำลายล้าง” สิ้นสุดคำพูดของชายผู้ที่เรียกตนเองว่า อลาทอร์ ก็ทำให้ ไซนอล กับมิเรนเซีย รวมไปถึงซีฟาร์ต่างเงียบกริบเลยทีเดียว … นี่ผมเจอกับเหตุการณ์แบบใหม่อีกแล้วใช่ไหม ทำไมผมต้องซวยซ้ำซวยซ้อนแบบนี้ด้วยนะ จะไปช่วยพ่อของซีฟาร์ ก็ไปช่วยไม่ได้ เพราะโดนขัดขวาง แถมยังโดนแยกจากพวกไอร่าอีก แล้วไอ้ที่อยู่กับผมก็ดันเป็นแวมไพร์สาวที่ใช้ปืนเป็นอาวุธ นี่เธอไม่มีแรงจะสู้ จนต้องใช้เครื่องทุ่นแรงช่วยใช่ไหม โอยจะบ้าตาย แล้วผมจะไปโลกปีศาจเพื่อตามหาพ่อของซีฟาร์ยังไงล่ะเนี่ย แล้วพวกไอร่าจะทำยังไงที่ผมกับซีฟาร์ถูกแยกออกจากกลุ่มมาแบบนั้น
ความคิดเห็น