คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เรื่องของวาลอส
เรื่องของวาลอส
‘จิ๊บๆๆ เอ้กอิเอ้กๆ จิ๊บๆๆ!’ เสียงนกร้องยามเช้ารวมกับเสียงไก่ขัน ปลุกผู้คนยามเช้า ตั้งแต่ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า มีแสงสีฟ้าอ่อนๆสาดส่องเข้าห้องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งมีสีผมสีน้ำตาลเข้มยาวคลุมคอ ดวงตาสีทองอ่อนๆ ที่ถูกเปลือกตาบังอยู่ ซึ่งเขายังหลับไหลอยู่ภายในห้องของเขา
‘กริ๊งงง!!~’ เสียงนาฬิกาปลุกดังลั่นห้องของเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังไม่ตื่นดี เขายื่นมือไปกดปิดเสียงนาฬิกาปลุก แล้วก็เอาหน้ามุดซุกหมอน แล้วหลับต่อได้สักพักหนึ่ง
‘กริ๊งงง!!~’ คราวนี้เป็นเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือของเขา เขาตื่นขึ้น หยิบมือถือขึ้นมามอง ซึ่งตอนนี้เวลา
หกนาฬิกาสามสิบนาที ซึ่งเป็นเวลาที่เขาสมควรตื่นได้แล้ว เขาจึงลุกขึ้น เอามือลูบหน้า แล้วลุกจากเตียง เดินไปเปิดผ้าม่านออก มองดูทัศนียภาพด้านนอก แล้วยืนอ้าปากกว้าง หาวอยู่สักพัก ก็เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัว แล้วไปยังห้องน้ำ อาบน้ำล้างหน้า แต่งตัวเพื่อจะออกไปเรียน
ผมชื่อวาลอส พรายอน อายุ สิบเจ็ดปี ผมยังเป็นเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ผมอยู่บ้านนี้คนดียว
ขอย้ำว่าผมอยู่คนเดียว เพราะผมเสียพ่อกับแม่ไปตั้งแต่ยังเล็ก ลุงกับป้าก็เลี้ยงดูผมมาจนเมื่อสองเดือนก่อน ลุงกับป้าก็ประสบอุบัติเหตุ หายสาบสูญไปในแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ผมจึงมีชีวิตเหลืออยู่คนเดียว ไม่มีญาติพี่น้องเลย สมบัติทั้งหมดของตระกูลจึงเป็นของผมทั้งหมด เป็นสิ่งที่เลี้ยงชีวิตผมมาจนวันนี้ ผมตั้งใจจะเรียนให้จบเพื่อจะทำงานเก็บเงิน สร้างครอบครัวที่อบอุ่น
บ้านผมอยู่ไม่ห่างจากโรงเรียนนัก ผมจึงไม่ต้องรีบร้อนอะไรมาก ระยะทางจากบ้านไปถึงโรงเรียนแค่ประมาณร้อยเมตร เดินแค่เดี๋ยวเดียวก็ถึงแล้ว ผมเดินไปถึงหน้าประตูรั้วโรงเรียน ซื้อขนมปังกับนมหน้าโรงเรียนแล้วเดินเข้าโรงเรียน
โรงเรียนของผมมีเนื้อที่กว้างมากเลยทีเดียว แต่ก็ไม่ยากที่จะหาเพื่อนของผม เพราะนัดกันว่าตอนเช้าจะเจอกันที่สวนหลังโรงเรียนทุกวัน
“อ้าวนั่น วาลอสมาแล้ว” เด็กหนุ่มผมสีดำยาวระต้นคอ ตาสีมรกต ยืนโบกไม้โบกมือเรียกผม นั่นเป็นเพื่อนผม ชื่อว่า
ทีออส และเพื่อนสนิทผมมีอยู่ 2 คน ซึ่งทีออสคือหนึ่งในนั้น อีกคนชื่ออาร์ เขากำลังนั่งอ่านหนังสือการ์ตูนอยู่ เขามีเส้นผม
สีม่วง ดวงตาสีน้ำตาลเข้มชอบผูกผ้าสีแดงไว้ที่ข้อมือขวา ซึ่งคงเป็นแฟร์ชันที่เขาคิดเอง เพราะอาร์เป็นคนที่ชอบแหวกแนว ไม่เหมือนคนอื่นอยู่เสมอ แต่หน้าตาเขาก็ดีใช่ย่อยนะ ทีออสก็ไม่ค่อยสนใจแฟร์ชันเท่าไร แต่เขาก็แต่งตัวไม่เคยดูเชยสักครั้ง เพราะชุดไหนก็เข้ากับเขาหมด ก็เขาหล่อนี่ ทำอะไรก็ไม่เชยหรอกใช่ไหมล่ะ ส่วนผมที่หน้าตาธรรมดาๆ ที่เดินอยู่กับเพื่อนสองคนนี้ทีไร หน้าตาผมจะดูตกต่ำลงไปเลยทีเดียวล่ะ
หลายคนคงสงสัยทำไมผมถึงมีเพื่อนแค่สองคน เพราะเพื่อนๆคนอื่นคิดว่าผมประหลาด เพราะผมมีดวงตาสีทอง
บนโลกนี้ ไม่มีใครตาเป็นสีทองได้แบบผมเลย
“นี่รู้มั้ยเมื่อวานนะ ฉันไปว่ายน้ำมา ฉันเจอ ลัลฟาด้วยนะ” ทีออสพูดกับผม ทำหน้ายิ้มแย้มออกแนวเขิน
“แม่สาวผมแดงห้องวิทยาศาสตร์ คนที่นายชอบน่ะหรือทีออส” ผมถามเขากลับ
“อืม เธอน่ารักมากเลยล่ะ ว่ายน้ำเก่งด้วยน๊า~” สายตาของทีออสเป็นประกายปิ๊งๆ เหมือนกำลังจินตนาการภาพที่เขาเห็นเมื่อวาน
“งั้นเหรอ” อาร์ เอ่ยขึ้นบ้าง “เมื่อไรแกจะจีบเขาสักที มัวแต่แอบชอบอยู่เดี๋ยวก็มีใครคาบไปซะก่อนหรอก” อาร์พูด
“นั่นสิฉันว่าหน้าตานายก็ผ่านนะ” ผมเสริม ทำเอา ทีออสยืนบิดเป็นเกลียวอยู่ตรงนั้นเลย
“ถึงเวลาเข้าเรียนแล้ว ไปกันเถอะ” ทีออสบิดเบือนประเด็นเพื่อไม่ให้เพื่อนตัวเองแซวไปมากกว่านี้
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็นเลยนะแก” อาร์พูดแต่ก็เก็บหนังสือการ์ตูนเข้ากระเป๋าไป “ไปเรียนกันเถอะ” อาร์พูดต่อ พร้อมกับลุกขึ้นแล้วเดินนำพวกเราไปที่ห้องเรียน
ในห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษ ผมนั่งเรียนอย่างตั้งใจเพราะผมได้คะแนนจากวิชานี้สูงกว่าวิชาอื่นๆ จึงให้เป็นวิชาดีเด่นของผม ซึ่งวันนี้เรียนคู่กับเด็กห้องวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีสาวผมแดงซอยสั้น มีดวงตาสีนิล ใบหน้าที่ได้รูปทรง แบบที่ว่าผู้ชายที่เห็นต้องนึกในใจว่า ‘น่ารักอ้ะ’ ประมาณนั้นเลย เธอมีชื่อว่าลัลฟา ซึ่งทีออสก็มองเธอตลอด จนไม่ได้มองกระดานเลยทีเดียว
ลัลฟาหันมามองทีออสที่นั่งจ้องเธออยู่ แล้วเธอก็ยิ้มให้ทีออส ทีออสก็ออกอาการหน้าแดงขึ้นมา ทำให้ผมกับอาร์ กลั้นหัวเราะไม่ไหว แต่ก็ไม่อาจหัวเราะดังได้ เพราะอาจารย์ยังสอนอยู่
ผมสะกิดทีออสแล้วก็กระซิบกับเขาว่า “หมดคาบเรียนนี้นายก็เข้าไปขอเบอร์เขาเลยสิ”
“จะบ้าเหรอ เพื่อนเขาอยู่เยอะแยะเห็นมั้ย” ทีออสพูดกับผมเบาๆ
“นายจะกลัวเพื่อนเขาทำไมกันห๊ะ เราถามหน่อยเถอะ เพื่อนเขาจะกินแกเหรอไงกัน” ผมทำเสียงเซ็งๆ แบบเบาๆใส่
ทีออส ซึ่งเขาก็เงียบไปสักพักก่อนจะพูด
“ฉันไม่กล้าเว้ย คนเยอะแยะ ฉันก็อายเป็นเหมือนกันนะเว้ย”
“โถ่ แล้วนายจะได้คุยกับเขามั้ยฮะ ฉันถามหน่อยเถอะ มัวแต่อาย อยู่นั้นแหล่ะ” ผมหงุดหงิดกับความขี้อายของเพื่อนแต่ก็อย่างว่า ถ้าเป็นผมเองผมก็คิดว่าผมไม่กล้าที่จะเข้าไปบอกว่าชอบใครสักคน ต่อหน้าคนเยอะๆหรอกนะ
ทีออสเงียบไป และนั่งก้มหน้ามองโต๊ะของตัวเอง แล้วพึมพำอะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็ได้ยินไม่ชัดเท่าไร
เมื่อหมดคาบภาษาอังกฤษที่เรียนมาครึ่งวัน ผมกับทีออส อาร์ ลัลฟาและเพื่อนๆของเธอ ยังอยู่ในห้อง อาร์ยืนอยู่หน้าห้องแล้วตะโกนออกมาว่า
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ ถึงเวลามื้อเที่ยงแล้ว และอีกอย่างบ่ายนี้อาจารย์คณิตศาสตร์ไม่มาซะด้วย ฉันจะได้รีบกลับบ้านสักที”
ซึ่งคำชักชวนนั้นได้ผล เพื่อนๆของลัลฟาเดินออกไปพร้อมกับอาร์ แทบทั้งหมด เหลือลัลฟาที่บอกเพื่อนว่าให้ออกไปก่อน ทีนี้จึงเหลือแค่ผม ทีออส และ ลัลฟา เท่านั้น ซึ่งลัลฟามองมาทางผมและทีออส แล้วอ้าปากถามว่า
“มีอะไรหรือเปล่าคะ เห็นจ้องฉันมาตั้งแต่ต้นคาบแล้ว” เธอยิ้มให้ทีออส ทำให้ทีออสขวยเขินอยู่กับรอยยิ้มที่เธอส่งให้ ถึงกับพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
“เพื่อนผมมันชอบคุณอยู่น่ะครับ คุณลัลฟา” ผมตอบออกไปแทนทีออส
“งั้นหรือคะ? งั้นคุณและเพื่อนคุณชื่ออะไรคะ” เธอถามกลับมา ด้วยน้ำเสียงที่แสนหวาน
“ผมชื่อวาลอส ส่วนเพื่อนผม ทีออสครับ” ผมยืนลูบผมตัวเอง การที่คุยกับสาวที่เป็นขวัญใจหนุ่มๆในโรงเรียน ก็ทำให้ผมรู้สึกเขินได้เหมือนกันแฮะ
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ คุณวาลอส และคุณทีออส ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ เดี๋ยวจะหมดเวลาพักเอา” เธอยิ้มให้แล้วก็ชวนผมและทีออสไปกินข้าวที่โรงอาหาร ซึ่งทีออสยังเงียบอยู่เหมือนเดิม แต่มือเก็บของใส่กระเป๋า แล้วจับขึ้นมาสะพายเรียบร้อย
“คิกๆ ฉันว่าเพื่อนคุณขี้อายเกินไปหน่อยนะคะ คุณวาลอส” เธอพูดแล้วยิ้มหวานส่งให้ทีออสอีกครั้ง จากนั้นเราทั้งสามคนก็เดินไปยังโรงอาหาร ระหว่างที่เดินลงบันได เราพบกับนักเรียนหกคน ที่อยู่ในสภาพไม่เหมือนนักเรียน พวกเขาไม่ใส่ชุดคลุมตามเครื่องแบบของโรงเรียน แถมยังยืนถือไม้ ถือคัตเตอร์ ทำให้ดูเป็นพวกอันธพาลนี่เอง
ผม ทีออส และลัลฟา พยายามจะเดินผ่านไปโดยไม่สนใจนักเรียนกลุ่มนี้ แต่พวกเขาก็มายืนขวางเราทั้งสามคนไว้ แล้วหนึ่งในนักเรียนกลุ่มนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“เฮ้ย! จะไปไหนกันเหรอ จะผ่านทางฉันจ่ายค่าผ่านทางรึยังฮะ” พวกที่ยืนอยู่เฉยๆ ก็เปลี่ยนท่าเป็นยืนหัวเราะกัน
อีกคนในกลุ่มก็พูดว่า “ลัลฟาคนน่ารักอย่างเธอเดินกับสองคนนี้เบื่อมั้ยจ๊ะ” แล้วพวกก็ยืนขำกัน ลัลฟาก็ทำหน้าเบ้
“ขอโทษนะ พวกผมต้องไปแล้วล่ะ” ผมพูดออกมาพร้อมกับ ใช้ดวงตาสีทองของผมมองหน้าคนที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า
“เฮ้ย! ไอ้เด็กที่เขาว่าประหลาดนี่หว่า ตาสีทองแบบนี้มันประหลาดดีนะ สงสัยพาไปออกงานวัดน่าจะได้กำไรเยอะ” พอพวกนั้นพูดจบ ผมก็ยืนกำมือแน่น เหมือนเตรียมจัดการคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่ผมก็ยังพูดเจรจากับเจ้านั่นอีก
“ปล่อยผมลงไปข้างล่างดีๆ จะดีกว่านะครับ” ผมกัดฟันพูดสุภาพกับอันธพาลที่อยู่ข้างหน้า
“ไม่เว้ย พูดไม่รู้เรื่องเหรอวะ ว่าจ่ายค่าผ่านทางมาก่อนน่ะฮะ” ว่าแล้วมันก็หวดไม้ลงมาที่ผม ผมใช้มือรับไม้นั้นไว้แล้วเหวี่ยงไม้นั่นออกไป พวกที่ยืนอยู่เฉยๆตอนแรก ก็ชักอาวุทของตัวเองขึ้นมา ไม้ และคัตเตอร์ ทั้งหมดถูกเหวี่ยงมาที่ผม
แต่ลัลฟาเตะกวาดพวก คัตเตอร์ และไม้ที่อยู่ในมือของพวกอันธพาลกระเด็นหลุดมือหมด และเธอยังจับคอเสื้อคนที่ดูเป็นหัวหน้ากลุ่ม กระชากขึ้นมา
“พ่อแม่ส่งแกให้มาเรียน ไม่ใช่มาทำตัวเป็นนักเลงระรานสังคมอยู่แบบนี้” เธอพูดเสียงแหลมใส่ หูอันธพาลพวกนั้น
แล้วก็ปล่อยคอเสื้อของหัวหน้ากลุ่มอันธพาล แล้วมันก็พูดว่า
“ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ว่าแล้วมันก็วิ่งเผ่นแนบกันไปหมด
“ฝากแล้วรีบๆมาเอาคืนด้วยนะ” ลัลฟา ตะโกนตามพวกนั้นไป แล้วหันกลับมายิ้มให้ผมกับ ทีออส ที่กำลังตกใจกับเธอ ที่เอาชนะผู้ชายห้าคน ด้วยเท้าเดียว
“พ่อฉันเป็นนักคาราเต้ ฉันก็ได้เรียนรู้มาจากพ่อฉันน่ะ” ลัลฟายิ้มให้ผมกับทีออส ซึ่งกำลังคิดว่า สาวคนนี้ดูท่าทางเหมือนจะเป็นสาวหวานๆ แต่ไปๆมาๆแล้ว น่ากลัวเหมือนกันแฮะ
เราเดินถึงโรงอาหาร ซึ่งมีโต๊ะที่ อาร์จองไว้ให้ซึ่งเพื่อนๆของลัลฟาก็นั่งคุยกับอาร์อยู่ ผมกับทีออส วางกระเป๋าบนโต๊ะ เพื่อเดินไปหาอะไรกินก่อน เพราะตอนนี้หิว แถมยังมีเรื่องกับอันธพาลเมื่อกี้อีก ทำให้ท้องผมหิวขึ้นมาเหมือนกัน
เรานั่งกินข้าวกันเสร็จ เจ้าทีออสเพื่อนตัวดีของผม อาสาจะไปส่งลัลฟากลับบ้าน ซึ่งเขาจะพ่วงผมไปด้วย อาร์จึงขอเดินไปด้วยอีกคน
เราทั้งสี่คนเดินออกมาถึงหน้าโรงเรียนซึ่งตอนนี้มีกลุ่มอันธพาลกลุ่มใหญ่ สิบหกคนอาวุทครบมือ เหมือนทหารบ้าสงคราม ผมหันหน้าไปพูดกับ ลัลฟา “ที่มันฝากไว้ มันคงมาเอาคืนแล้วแฮะ”
“อืม ไวดีเหมือนกันนะ” ลัลฟาหันมองผม ซึ่งตอนนี้ พวกเราสี่คนตั้งท่าพร้อมจะมีเรื่องกันแบบสุดตัว ก็พวกเล่นยืนกั้นประตูทางออกโรงเรียนไว้ พวกนักเรียนที่เห็นเหตุการณ์ วิ่งเข้าไปในอาคารเพื่อจะบอกอาจารย์ บางคนหลบอยู่ เพื่อจะมองดูเหตุการณ์การปะทะกัน ระหว่าง สิบหกคน ต่อ สี่คน ซึ่งนี่มันมากกว่าสี่เท่าเลยนี่นา แถมพวกมันยังมีอาวุทครบมือ ส่วนพวกเรา … มือเปล่า ซึ่งดูยังไงก็เสียเปรียบเห็นๆ
“พวกฉันมาเอาคืน” หัวหน้าแก๊งค์อันธพาลยืนหัวเราะอยู่ต่อหน้าเรา แล้วสั่งให้พวกของตนล้อมเราสี่คนเอาไว้
“ดาเกียร์ เซร่า อัมมอนเบลก” เสียงกึกก้องดังมาจากข้างหลังเราทั้งสี่คน อันธพาลทั้งสิบหกคนลอยละลิ่วไปทางหน้าประตูโรงเรียน ล้มระเนระนาดอยู่กับพื้น ดูท่าทางจะเจ็บหนักกันหลายคน พวกผมทั้งสี่คนหันกลับไปมองต้นเสียงนั้น ก็พบกับชายสวมฮู้ดสีดำคนหนึ่ง วิ่งเข้าไปในป่าข้างโรงเรียน พวกผมจึงวิ่งตามเขาไป ตามหาเขาในป่าข้างโรงเรียน แต่ก็ไม่พบร่องรอยใครทั้งนั้น
ผมตามหาชายชุดดำนั้นจนเวลาบนนาฬิกาบอกผมว่านี่เวลาห้าโมงเย็นแล้ว ผมไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นเมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมา ซึ่งผมก็คิดว่า เพื่อนทั้งสามคนของผม ก็คงตกใจอยู่เช่นกัน ถึงเดินเงียบกลับบ้านกันแบบนี้ เมื่อเดินถึงบ้านของลัลฟา เธอได้พูดกับพวกเราว่า
“รีบกลับบ้านซะนะ ทุกคน” ลัลฟามีน้ำเสียงเป็นห่วงพวกผม
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เธอเข้าบ้านไปซะเถอะ” ผมบอกกับลัลฟา เธอก็โบกมือลาเดินเข้าบ้านไป
หลังจากส่งลัลฟากลับบ้านแล้ว พวกผมก็แวะไปที่บ้านของอาร์
บ้านของอาร์ เป็นบ้านที่ดูมีอายุมากแล้ว อาร์บอกว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของปู่เขาที่เสียไปแล้ว อาร์ก็อยู่บ้านนี้คนเดียว ไม่มีพี่น้อง แต่อาร์มีลุงที่อยู่ต่างจังหวัด ต่างจากผมที่ไม่มีญาติเลย เราคุยกันเรื่องที่มีชายฮู้ดดำที่เข้ามาซัดอันธพาลกลุ่มใหญ่ด้วยตัวคนเดียว ซึ่งอาร์เป็นคนที่ชอบศาสตร์ที่ลึกลับ อธิบายว่า ภาษาแปลกๆที่ได้ยินนั้น เป็นภาษาเวทย์ แต่เขาไม่รู้ว่าเป็น
เวทย์มนตร์สายไหน เพราะเวทย์มนตร์ถูกแบ่งเป็นหลายสาย ซึ่งผมยังไม่เชื่อที่อาร์เล่าเท่าไร แต่อาร์ยกตัวอย่างตำนานที่พวกเรารู้จักกันดีคือ พ่อมดเมอร์ลิน ในประวัติศาสตร์อังกฤษ ซึ่งผมก็คิดว่า มันแต่ตำนานล่ะน่า เราคุยกันเรื่องนี้จบก็ค่ำแล้ว ผมกับ
ทีออส จึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
เส้นทางที่ผมเดินกลับบ้านก็ต้องผ่านหน้าโรงเรียน เส้นทางที่ผมเดินมีเพียงหลอดไฟเล็กๆตั้งอยู่หน้าโรงเรียน ทำให้มีแสงสว่างอยู่ที่หน้าโรงเรียนแค่นั้น เพราะข้างๆโรงเรียนก็เป็นป่า อีกข้างหนึ่งจะเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีบ้านผมอยู่
เมื่อผมถึงบ้านผมเปิดไฟชั้นล่าง แล้ววางกระเป๋าไว้ที่ห้องนั่งเล่น เดินเข้าห้องครัวเพื่อจะไปดื่มน้ำ พอดื่มน้ำเสร็จ ผมก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง เปิดประตูเข้าห้องนอน แล้วผมก็ต้องช๊อกสุดขีด เพราะผมเห็นผู้ชายนั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของผม ดวงตาของเขาจ้องมองผมราวกับเห็นผมเป็นเหยื่อที่กำลังจะถูกล่า ดวงตาสีแดงอ่อนๆเกือบส้ม กับเส้นผมที่ดำเป็นเงาสะท้อนแสงจากนอกห้อง ยาวปิดใบหน้าของเขาที่ดูขาวซีด ริมฝีปากแดงก่ำเหมือนสีเลือด เขานั่งจ้องผมที่ช๊อกอยู่หน้าห้อง สายตาของเขาสร้างความกดดันให้ผมอย่างมาก ขณะที่ผมยังไม่ทันตั้งสติได้ เขาก็พุ่งเข้ามาหาผม ความเร็วที่พุ่งเข้ามา ทำให้ผมรู้ได้ว่าเจ้านี่ไม่ใช่มนุษย์แน่นอน มืออันแข็งแกร่งคว้าข้อมือผมไว้แล้วดันผมไปติดกับกำแพงด้านหลังอย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นทำให้ผมเจ็บไปทั้งร่างเลยทีเดียว
ความคิดเห็น