ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Vampires War - แวมไพร์ต๊องป่วนสงครามแห่งสายพันธุ์

    ลำดับตอนที่ #2 : เด็กชายธรรมดา กับ สาวน้อยไร้เดียงสา

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 56


    เด็กชายธรรมดา กับ สาวน้อยไร้เดียงสา

     

                จงหาสมการเส้นตรง ของเส้นตรงที่สัมผัสวงกลม…” ผู้หญิงคนหนึ่งยืนถือปากกาเขียนกระดานไวท์บอร์ด ยืนตะโกนปาวๆอยู่หน้าห้อง ในขณะที่เด็กในห้องนั้นหลายคนนั่งจดสิ่งที่ผู้หญิงเขียนลงบนกระดานหน้าห้อง ก็มีเด็กบางคนที่กำลังเลื้อยหามุมเหมาะๆบนโต๊ะเพื่อการพักผ่อนในขณะที่มีเสียงกล่อมจากหน้าห้อง เมื่อหญิงสาวคนที่ยืนอยู่หน้าห้องหันกลับมามองเด็กนักเรียนของเธอที่นังเรียนอยู่ในห้อง ก็เห็นสภาพของนักเรียนบางคนที่กำลังสัปหงกและเลื้อยอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ

                นี่นักเรียนฟังครูบ้างหรือเปล่า เห็นหลับสบายเชียวนะ ง่วงมากออกไปยืนนอกห้องเลย เธออารมณ์เสียที่เห็นนักเรียนที่รักของเธอแอบหลับในคาบที่เธอสอน เมื่อเธอไล่นักเรียนที่หลับออกไปยืนนอกห้องเรียบร้อย เธอก็จะเข้าสู่การสอนต่อ แต่ทันใดนั้นเอง เธอสังเกตุเห็น เด็กหนุ่มผมสั้นสีดำกำลังนอนทับแขนตัวเองอยู่ไม่ตื่นอย่างนั้น เมื่อเธอเห็นดังนั้น เธอก็ตะโกนดังลั่น นี่นักเรียน ตื่นแล้วออกไปยืนนอกห้องเดี๋ยวนี้ เธออารมณ์เสียถึงที่สุด ที่ต้องปลุกนักเรียนอันเป็นที่รักของเธอถึงสองรอบภายในคาบเรียนเดียว นักเรียนที่นั่งรอบๆเด็กหนุ่มผมสีดำพยายามสะกิดให้เขาตื่น แต่ด้วยความที่เขาอยู่ในญาณขั้นสูง เขาจึงไม่ตื่นง่ายๆ จนสาวผู้เป็นครูทนไม่ไหว เขวี้ยงปากกาไวท์บอร์ดใส่หัวเด็กหนุ่มผมดำอย่างแม่นยำ

    โอ๊ย!” เด็กชายผมดำตื่นขึ้นพร้อมอุทานด้วยความเจ็บเหลือหลาย เขายังมีอการมึนที่ตื่นจากการหลับลึกของเขาในห้องเรียน เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเนื่องจากคอแห้ง อะไรครับครู มันเจ็บนะครับเนี่ย เด็กชายผมดำหงุดหงิด และหยิบปากกาไวท์บอร์ดนั้นขึ้นมา เดินเซเข้าไปหาคุณครูของเขา แล้วยื่นปากกาไวท์บอร์ดคืน จากนั้นเขาก็เดินออกนอกห้องไป ราวกับว่า เขารู้หน้าที่ของเขาดีเลยทีเดียว

    ฮ่าๆๆๆ เสียงหัวเราะดังขึ้นในห้องเรียนที่เด็กชายผมดำเพิ่งเดินออกมา เขามักทำให้เพื่อนๆของเขาฮาก๊ากอยู่เสมอในคาบคณิตศาสตร์นี้ แต่เอาเถอะอย่างน้อยเขาก็มีเพื่อนที่อยู่หน้าห้องอยู่แล้วหกคน

    นายนี่หลับแล้วไม่ตื่นจริงๆว่ะ เรย์ หนึ่งในหกคนพูดขึ้น เมื่อเห็นเด็กหนุ่มผมสั้นสีดำเดินเซออกมาจากห้องเรียน

     

    ใช่แล้วครับ ผมชื่อเรย์ ชื่อจริงๆ คือ เรซิวอน เค.ออซก้า ผมมีอายุสิบหกปี เป็นนักเรียนที่สร้างความเฮฮาในห้องเรียนด้วยการแสดงตลกแบบที่ตัวเองไม่ตั้งใจแสดง ผมเป็นลูกคนเดียวของสกุล เคออซก้า แถมเครือญาติในสกุลของผมก็ไม่มีใครเหลืออยู่แล้วนอกจากครอบครัวของผม แล้วพ่อกับแม่ของผมก็มาจากไปเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินเมื่อสองปีก่อน ทำให้ผมต้องมีชีวิตอยู่ด้วยตนเองและมีสมบัติของพ่อกับแม่ที่ทิ้งไว้ให้ผมใช้ประทังชีวิตผมไปได้อีกนาน แต่ผมโชคดีที่ผมหัดทำงานบ้านมาตั้งแต่เด็กๆ ผมจึงชำนาญงานบ้านทุกๆประเภท โดยเฉพาะงานในครัว ผมฝันว่าผมจะเปิดร้านทำเบเกอรี่สักร้าน

     

    เออน่า~ ผมตอบกลับไปโดยไม่ได้สนใจอะไรเท่าไรเพราะผมมันก็แค่ตัวตลกนี่นา จะพูดมากไปทำไมล่ะ ทันทีที่ผมตอบกลับไปเสร็จ ผมก็เดินเซสะดุดขาตัวเองล้มต่อหน้าเพื่อนหกคนหน้าห้อง เพื่อนๆของผมขำท้องแข็ง ส่วนผมทั้งเจ็บทั้งอาย จนไม่รู้จะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนแล้วเนี่ย

    ตกเย็นถึงเวลาเลิกเรียนผมก็กลับบ้านตามเวลาปกติของผมซึ่งเป็นเวลาที่พระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว ผมเดินออกจากรั้วโรงเรียนไปได้ไม่เกินสองร้อยเมตรซึ่งเป็นทางที่เปลี่ยวพอสมควร ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนพิงกำแพงอยู่ เธอใส่ชุดคลุมสีดำยาวจนถึงตาตุ่ม ใบหน้าขาวผ่องคล้ายหิมะ เส้นผมสีฟ้ายาวสลวยกับดวงตาสีโลหิตทำให้เธอดูมีเสน่ห์ไม่น้อย เธอยืนหรี่ตามองมาทางผม ผมรู้สึกแปลกๆที่เธอจ้องมองแบบนั้น เมื่อผมเดินผ่านเธอไปแล้ว ผมก็หันกลับไปมองเธอ แต่เธอไม่อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว ทั้งๆที่ผมเพิ่งผ่านเธอมาเพียงสามก้าวเท่านั้นอ้าว! หายไปไหนแล้วล่ะ …’ ผมคิดอยู่ในใจด้วยความประหลาดใจ

    ผมยังสงสัยในแววตาที่เธอจ้องมองผมอยู่จนผมเดินกลับมาถึงบ้าน ผมปลดล๊อกประตูบ้านแล้วก้าวเดินเข้าไปในบ้าน บ้านของผมเป็นบ้านสองชั้นหลังเล็กๆ มีห้องนั่งเล่น ห้องครัวห้องน้ำ ชั้นสองต้องบอกว่าเป็นแค่ชั้นลอยมากกว่า ซึ่งมีแค่ห้องน้ำ และห้องนอนสองห้องอยู่ข้างบน ผมเดินเข้าห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดทีวีทำลายความเงียบของบ้าน เพราะซอยบ้านผมเป็นลักษณะซอยเปลี่ยว มีความเงียบสงัดเป็นเอกลักษณ์เลยทีเดียว

    ผมชำระล้างร่างกายด้วยการอาบน้ำล้างหน้า เสร็จแล้วผมก็เช็ดตัวจนแห้ง แล้วนุ่งผ้าเช็ดตัวขึ้นไปข้างบนห้อง อ้าวก็ตู้เสื้อผ้าผมอยู่บนห้องนี่นาผมก็ต้องขึ้นห้องไปหยิบสิ

    เมื่อผมแต่งตัวเสร็จแล้วผมก็เดินลงบันไดมาเพื่อจะเตรียมมื้อเย็น ผมเดินเข้าห้องครัวเปิดตู้เย็นแล้วควานหาวัตถุดิบในการทำมื้อเย็น จนผมควานหาเนื้อเจอสองชิ้น ผมจึงคิดว่าเย็นนี้ผมลองทำสเต๊กกินเองดูซักทีดีกว่า ผมเตรียมเครื่องเทศในการทำไว้พร้อมแล้ว เพราะในตู้เย็นของผมน่ะ มีครบเลยทีเดียว! ผมหยิบเนยกับเนื้อออกมาวางไว้ข้างนอก เพื่อละลายน้ำแข็งที่เกาะอยู่ ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ภายในบ้านของผม เพราะเสียงทีวีที่ดังอยู่ฟังดูคล้ายถูกเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆ เหมือนกำลังหารายการที่ถูกใจอยู่ แต่หาไม่ได้สักทีอย่างนั้นแหล่ะ ซึ่งผมก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ ว่าผมอยู่บ้านคนเดียวนี่หว่า

    อ้าวเฮ้ย แล้วใครมาเปลี่ยนช่องทีวีผมล่ะ ผมไม่ใช่คนที่กลัวผีหรอกนะ แต่ที่เจอแบบนี้ผมว่าต่อให้จิตแข็งเท่าไรก็อ่อนยวบยาบลงได้เลยทีเดียว เอ๊ะเดี๋ยวก่อน หรือว่าเป็นโขมย แต่โขมยจะเปลี่ยนช่องทีวีเพื่ออะไรกันนะ อยากดูการ์ตูนหรือเปล่า ก็ไม่น่าจะใช่แฮะ

    ผมใช้ความคิดคุยกับตัวเองอยู่ไม่นาน ก็คว้ามีดแล้วค่อยๆย่องออกไปยังห้องนั่งเล่นของผม ซึ่งผมเห็น เห็นสาวผมยาวสีฟ้า นั่งกดรีโมตทีวีอยู่ พลางโยกหัวไปมาเหมือนกับว่า เธอกำลังเล่นสนุกอยู่กับรีโมตทีวีของผม ผมเห็นว่าเป้าหมายของผม เอ้ยผู้ต้องสงสัยของผมเป็นสตรี ผมจึงวางมีดลงบนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเธอ

    นี่เธอมาทำอะไรในบ้านฉันเนี่ย?” ผมยิงคำถามแรกไปโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว เธอสะดุ้งทำรีโมตทีวีหลุดมือร่วงลงพื้นดังตุบ แถมยังมองหน้าผมด้วยสีหน้าตื่นตกใจอย่างที่สุด เหมือนกับเธอเห็นตัวประหลาดอย่างนั้นแหล่ะ ผมเห็นเธอชัดๆแล้ว ผมก็นึกขึ้นได้ ผมเจอเธอเมื่อตอนเย็นตอนที่กำลังเดินกลับบ้านนี่เอง

    เธอค่อยๆคลายความตกใจที่เจอผม เธอใช้สายตาที่ดูไร้เดียงสามองผม แล้วก็ยิ้มให้ … ‘เธอเป็นใบ้หรือไงกัน ไม่พูดไม่จาเลยแฮะ ผมคิดในใจ แล้วถามเธอออกไปอีกรอบ เธอมาทำอะไรในบ้านฉันเนี่ย? ฉันถามเธอได้ยินไหมน่ะ

    เธอยืนขึ้นแล้วสะบัดผมยาวสลวยของเธอ เมื่อเธอสะบัดผมเธอเสร็จแล้ว เธอก็หันกลับมาจ้องผมอีกรอบ โดยที่เธอยังไม่เปิดปากพูดอะไรกับผมเลย เธอช่างดูไร้เดียงสาจริงๆ ผมยืนเงียบกับเธอดูบ้าง ซึ่งเธอก็ยังยืนมองผมอยู่อย่างนั้น ผมรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ก็น่ารักแปลกๆแฮะ เธอยืนจ้องผมจนผมรู้สึกเขินขึ้นมา ผมพยายามจะหลีกเลี่ยงสายตาเธอ โดยการหันหน้าไปมองทางอื่น เธอก็ยังมองผมอยู่ที่มุมเดิม จนผมทนไม่ไหว

    จะมองอะไรนักหนาฮะ แล้วนี่เธอเป็นใครเข้ามาในบ้านฉันทำไมเนี่ย?” ผมเริ่มใช้เสียงดังกับเธอ ซึ่งเธอก็ไม่สะทกสะท้านใดๆ เธอก็ยังยืนมองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาเช่นเคยผมเดินออกไปเปิดประตูเพื่อจะเชิญเธอออกไป เธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิมจ้องผมด้วยสายตาไร้เดียงสาเหมือนเดิม แต่คราวนี้แปลกตรงที่เธอกระพริบตาสองครั้ง แล้วก็กลับมาจ้องผมตาแป๋วเหมือนเดิมโอ้ยอะไรฟะเนี่ย!!!!! ยัยนี่มันเป็นใครกัน แล้วมันมาจ้องฉันทำไมฟะเนี่ย ว๊ากกกกกกกกก!!! ผมอาละวาด(ในใจ)  

    ฉันชื่อซีฟาร์ นายล่ะ?” เสียงหวานๆลอดออกมาจากริมฝีปากสีชมพูของเธอจากที่ผมมองเธอมาได้สักพัก ผมก็รู้สึกว่าเธอคนนี้ก็น่ารักอยู่ในเกณฑ์ห้าดาวเลยทีเดียว รวมถึงเสียงที่อ่อนหวานชวนน่าหลงไหลแบบนี้เอ๊ะนี่ผมคิดอะไรอยู่เนี่ย!! ผมโดนยัยนี่ถามชื่อโดยที่เธอยังไม่ตอบคำถามผมเลยว่าเธอเข้ามาทำไมแหง่ะ!! จะบ้าตาย

    ฉันชื่อเรย์ ผมตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ตกลงเธอตอบฉันได้หรือยัง ว่าเธอเข้ามาในบ้านฉันทำไม?” ผมถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่หงุดหงิดอยู่ขั้นหนึ่ง เธอก็กลับมามองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาอีกครั้ง

    ฉันขอโทษ คือฉันเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ก็เลย…” เธอแถไปคนละประเด็นกับที่ผมถามเลย ผมไม่ได้ถามว่าเข้ามายังไงสักหน่อย ผมถามว่าเธอเข้ามาทำไม!!!!! ว๊ากกกกกก!!! อยากจะอาละวาดจริงๆ ถ้าไม่ติดว่าเธอน่ารักขนาดนี้ผมคงอาละวาดไปแล้วล่ะ

    คือว่าฉันไม่มีที่จะไป ฉันอยู่ตัวคนเดียว ฉันไม่รู้จะไปที่ไหน…” เธอยืนจ้องผม จากสายตาที่ไร้เดียงสาของเธอ ได้เปลี่ยนเป็นสายตาที่แสดงความเศร้าของเธอออกมา หยดน้ำใสๆก็เริ่มพรั่งพรูออกจากตาทั้งสองข้างของเธอ เธอยืนร้องไห้อยู่ต่อหน้าผม แบบนี้เลยเนี่ยนะ! ทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ที่เธอพูดมานั้น เธอมีชีวิตเหมือนผมอย่างนั้นหรือ ถ้าหากเป็นจริงผมก็เข้าใจเธออย่างถ่องแท้เลยทีเดียว ผมเอื้อมมือไปจับไหล่เธอทั้งสองข้าง แล้วพยายามปลอบใจเธอ

    อย่าร้องเลยน่า ชีวิตที่ต้องอยู่คนเดียวมันก็ใช่ว่าจะอยู่ไม่ได้นี่ จากผมที่กำลังจะเชิญเธอออกจากบ้าน กลายเป็นผมในอีกเวอร์ชั่นซะแล้ว ผมกลายเป็นคนที่พยายามปลอบเธอให้หายเศร้าแทนซะงั้น

    เธอค่อยๆสงบลง หลังจากที่เธอปล่อยโฮออกมาระรอกใหญ่ เธอจับมือผมแล้วบอกผมว่า

    ขอบคุณนะ เธอเริ่มยิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมรู้สึกแปลกใจกับอารมณ์ที่แปรปรวนของเธอ มันเหมือนกับสภาพอากาศของโลกเราตอนนี้เลยแฮะ พยากรณ์ให้แม่นๆไม่ได้เลย

    อีกแล้วเหรอเนี่ย!!!.. เธอมองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาอีกครั้ง ก่อนผมจะได้ยินเสียงท้องเธอร้อง ท่าทางเธอคงหิวเอามากๆเลยนะเนี่ย ถึงมีเสียงดังขนาดนี้

    เธอหิวไหม?” ผมถามเธอ ซึ่งเธอก็พยักหน้าหงึกๆอย่างแรง เป็นการบ่งบอกว่าเธอหิวอย่างมาก งั้นเธอก็มากินมื้อเย็นกับฉันสิ ผมรู้สึกสงสารเธอขึ้นมาเพราะดูท่าทางเธอจะเพิ่งเจอกับเรื่องแย่ๆมา แต่อารมณ์ของเธอแปลกๆ เปลี่ยนเร็วเหลือเกิน

    ในขณะที่ผมทำอาหารอยู่ เธอก็ชวนผมคุยไปด้วย เธอถามเรื่องตั้งแต่ผมเกิด ยันปัจจุบัน ซึ่งผมยอมตอบเธอทั้งหมดน่าแปลกนะ ทั้งๆที่เราเพิ่งรู้จักกันแท้ๆ แต่เธอมีอัธยาศัยที่ดี แถมยังดูเป็นมิตรกับผมอย่างมากเลยด้วย

    ฉันเสียใจด้วยนะเรื่องครอบครัวนาย ซีฟาร์พูด ตอนที่ถามผมว่า ทำไมผมอยู่คนเดียว ซึ่งคำตอบของผมทำให้เธอตกใจพอสมควรเหมือนกัน

    ผมอยากจะถามเธอกลับ แต่ว่าผมกลัวเธอร้องไห้อีก แค่ผมทำให้เธออารมณ์ดีได้ก็โอเคแล้วล่ะตอนนี้

     

    กริ๊ง! เสียงเตาอบดังขึ้นเตือนว่า เสร็จสิ้นกระบวนการอบแล้วทำให้ผมรู้ว่า สเต๊กที่ผมอบนั้นเสร็จแล้ว  เอ้า! เสร็จแล้ว กินเลยไม่ต้องเกรงใจนะ ผมส่งจานสเต๊กพร้อมกับส่งมีดและส้อมให้ เธอรับมันไปและใช้อย่างชำนาญ ผมเห็นท่าทางการกินของเธอแล้ว เธอต้องอยู่ในตระกูลที่มีฐานะสูงพอสมควรแน่ๆ เพราะท่าทางลักษณะการกินของเธอเหมือนกับคุณหนูแบบในหนัง ในละครเลยทีเดียว เธอดูท่าทางรีบกินด้วยความหิว แต่เธอก็ไม่ได้ดูมูมมามแบบที่ใครหลายๆคนรีบกิน

    เมื่อกินกันเสร็จแล้ว ผมก็จัดการเก็บจานชามไปล้าง เธอช่วยผมเช็ดโต๊ะ และทำความสะอาดครัว ซึ่งเธอทำด้วยความสมัครใจของเธอเอง ในขณะที่กำลังเก็บกวาดกันอยู่นั้น ผมก็ถามเธอว่า แล้วเธอจะกลับบ้านยังไงน่ะ?” เป็นทำถามที่ทำให้เธอต้องยืนนิ่งอีกครั้ง แล้วเธอก็ก้มหน้าลงไป

    ฉันไม่มีบ้านให้กลับ อีกแล้วล่ะ ผมคิดว่าเธอจะร้องไห้อีก จึงรีบขอโทษขอโพยเธอ ซึ่งเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผมแล้วยิ้มแย้มให้ผม พร้อมกับบอกผมว่า ไม่เป็นไรหรอก ไว้ฉันจะเล่าให้ฟัง ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว เธอพูดกับผมแล้วเธอก็ทำท่าจะล้มลงไปนอนกับพื้น ผมจึงเข้าไปประคองเธอแล้วพาเธอขึ้นไปห้องนอนที่เคยเป็นห้องนอนของพ่อและแม่ ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้ว จึงให้เธอนอนในห้องนี้ ผมจัดการห่มผ้าให้เธอ เพราะอากาศจากข้างนอกก็หนาวพอสมควร ผมคิดว่าเธอคงเจอเรื่องหนักๆมาเยอะเหมือนกัน เธอถึงได้เป็นซะขนาดนี้

    ผมลงไปจัดการเก็บครัวต่อจนเสร็จ แล้วผมก็ปิดบ้าน ล๊อกหน้าต่างทุกบาน เพราะเธอบอกว่าหน้าต่างไม่ได้ล๊อก จากนั้นก็ปิดทีวี ปิดไฟชั้นล่าง แล้วผมก็เดินขึ้นไปชั้นบน ผมจัดการแปรงฟันก่อนเข้านอน เพราะตอนเช้าวันพรุ่งนี้ผมก็ต้องไปโรงเรียนอีก

    เมื่อผมแปรงฟันเสร็จ ผมก็ขึ้นเตียงนอนคิดเกี่ยวกับซีฟาร์ ซึ่งเธออยู่ๆก็มาโผล่ที่บ้านผม แถมยังมาอยู่กับผมเลยเสียด้วย เพราะเธอบอกว่าเธอไม่มีที่ไป ผมจึงเข้าใจว่าเธอจะขออยู่ที่นี่ แต่ผมไม่รู้ว่าเธอจะอยู่ นานเท่าไร

     

                เช้าวันรุ่งขึ้นผมตื่นขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน แต่งตัว และทำอาหารเช้าสำหรับไปโรงเรียน ผมเห็นซีฟาร์นั่งดูทีวีก่อนที่ผมจะลงมาเสียอีก เธอกำลังดูข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นใกล้ๆโรงเรียนผม ซึ่งผู้เคราะห์ร้ายเสียเลือดจากบาดแผลที่คอจนร่างกายแห้งกรังท้ายที่สุดก็เสียชีวิต ซึ่งผมไม่อาจออกความเห็นได้ เพราะบาดแผลที่คอของผู้เคราะห์ร้าย เหมือนรอยเขี้ยวยาวแทงลงไปอย่างลึก เธอดูข่าวนั้นจบ เธอก็ปิดทีวีแล้วหันมาหาผม

                จะไปโรงเรียนแล้วเหรอ เธอถาม แล้วมองผมด้วยสายตาไร้เดียงสาแบบเมื่อวานอีกครั้ง

                “ฉันกินมื้อเช้าเสร็จ เดี๋ยวก็ออกไปละ” ผมตอบ เธอก็พยักหน้าหงึกๆ “ไม่ต้องห่วง ฉันทำเผื่อเธออยู่แล้วล่ะ” แล้วผมก็ลากเธอไปที่โต๊ะอาหาร ผมจัดการตักข้าวต้มหมู ที่ผมทำเสร็จแล้วให้เธอ และตักให้ผมเองด้วย เรานั่งกินด้วยความเงียบสงบ จนกินเสร็จ ซีฟาร์ก็อาสาล้างจาน กับทำความสะอาดครัวให้ เธอไล่ให้ผมไปเรียนเลย ผมจึงต้องฝากบ้านไว้กับเธอ ที่รู้จักกันแค่วันเดียว... มันไม่น่าไว้ใจเธอแบบนั้นนะ แต่เธอบอกว่าเธอจะอยู่เฝ้าบ้านให้นี่นา

                ถ้าหากยัยนี่เป็นสายโจรล่ะ ความคิดที่ติดลบของผมผุดขึ้นมา ไม่น่าเป็นไปได้ เธอดูไร้เดียงสาเกินไป ผมสลัดความคิดที่ติดลบออกไป แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้ไปทั้งวัน

     

                ที่โรงเรียนผมก็ทำตัวเหมือนเดิม เมื่อเข้าห้องเรียนแล้ว ก็หามุมเลื้อยไปเรื่อยเช่นเคย แต่สิ่งที่ทำให้ผมนอนไม่หลับคือการคิดถึงบ้านที่ผมฝากไว้กับเธอ ทำไมผมช่างบื้ออย่างนี้นะทำไมผมยอมให้เธออยู่บ้านอย่างนั้นนะ โอยยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ไม่เป็นอันเรียนเลยจริงๆ ผมอยากเรียนนะเนี่ย!! อย่าทำหน้าไม่เชื่ออย่างนั้นสิครับคุณผู้อ่าน

                เมื่อถึงเวลาพักกลางวันผมที่ไม่เป็นอันเรียนเพราะไม่มีสมาธิจะเรียน ก็ลงมากินข้าวที่โรงอาหารของโรงเรียน ผมแวะเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวขาประจำของผม

                ป้า ถ้วยนึงครับ ผมยืนสั่งก๋วยเตี๋ยวของผม ซึ่งไม่ต้องบอกอะไรมาก ป้าก็ทำให้ตามใจผมนึก เพราะผมสั่งป้าเป็นเมนูประจำตลอด จนป้าไม่ต้องรอสั่ง (ไม่กลัวผมเปลี่ยนบ้างเหรอ!) เมื่อป้าลวกก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ผมก็ยื่นเงินให้ป้า แลกกับถ้วยก๋วยเตี๋ยวใบนั้น

                ผมนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่คนเดียว ก็ใช่สิครับ ผมไม่มีเพื่อนที่จะร่วมกลุ่มด้วยนี่ ผมแค่กลัวว่าจะไปทำอะไรตลกๆ จนตัวเองเครียดเสียเองอีก เพราะเพื่อนก็ช่างจะล้อกันตลอดเวลาเลย ผมคิดไปพลางกินไป ความซวยก็บังเกิด เมื่อมือไม้ของผมมันอ่อนลง ตะเกียบที่ผมคีบเส้นขึ้นมานั้น หลุดมือหล่นลงถ้วย น้ำซุปก๋วยเตี๋ยวน้ำตกที่ผมโปรดปราน ก็กระจายออกมาจากถ้วยใบนั้นอย่างงดงาม ทำให้เสื้อนักเรียนสีขาวของผม มีรอยจุดสีน้ำตาล ซึ่งเป็นคราบของซุปน้ำตกในถ้วยนั้น

                โอ๊ย ทำไมอยู่ๆมือไม้ก็อ่อนขึ้นมานะ ผมนึกในใจพลางหันซ้ายหันขวา เพราะหลายคนที่มองเข้ามาทำให้ผมชักวิตกว่าผมทำอะไรให้คนอื่นขำอีกแล้วใช่ไหม ว๊าก!!!! จะบ้าตายเฟ้ย!!

                เมื่อถึงเวลาคาบเรียนที่ต้องเรียน ผมกลับไม่ไปเรียน ผมขอกลับบ้านก่อน เพราะผมรู้สึกว่าผมจะมีไข้นิดหน่อย ไม่ได้อายที่เสื้อมีคราบจุดๆนะเออ ผมเดินทางไม่นานเท่าไรก็ถึงบ้านของผม

                ซึ่งผมเห็นสภาพบ้านของผม ผมทึ่งมากๆ ฝุ่นที่ผมอุส่าห์สะสมไว้ตั้งหลายเดือน ถูกเช็ดออกหมด ทุกอย่างสะอาดเรียบร้อย ผมเองที่เป็นเจ้าของบ้านรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรอบหลายเดือน โห! ฝีมือซีฟาร์แน่นอนเลย ผมคิดแบบนี้ เพราะไม่มีใครเป็นไปได้นอกจากรายนี้อีกแล้ว ว่าแต่เธออยู่ไหนล่ะเนี่ย

                โอ๊ย!” ผมรู้สึกเจ็บที่ปลายนิ้วจึงอุทานขึ้นมา ผมชักมือขึ้นมาดูพบว่าผมถูกหนามของกุหลาบทิ่มเอา เพราะมือของผมมันซนเอง ที่ไปถูตามโต๊ะโดยที่ไม่ทันได้มอง เศษหนามของมันเลยทิ่มผมเข้าให้

                เลือดออกเลย เยอะซะด้วยสิ เมื่อคิดได้ ผมจึงเดินหาสำลีเพื่อมากดแผลของผม ซีฟาร์ที่เพิ่งเดินลงมาจากชั้นบนทักทายผม กลับมาแล้วเหรอคะ ทันทีที่เธอเห็นแผลของผม นิ้วไปโดนอะไรมาคะหน้าของเธอดูซีดลงและดวงตาของเธอดูหวาดกลัวในระดับหนึ่ง เธอหันหน้าหนีแผลของผม แล้วเดินห่างไปไกล

                แปลกจริง หรือว่าเธอจะกลัวเลือดงั้นเหรอ ผมคิดอยู่สักพักแล้วก็รีบไปทำแผลให้เสร็จ เพราะเดี๋ยวแผลจะเปิดกว้างกว่าเดิมแล้วจะแย่เอา

                ปิดแผลเรียบร้อยแล้ว ผมพูดขณะที่ยืนอยู่ห่างๆเธอ เมื่อเธอได้ยินดังนั้นเธอก็ถอนหายใจออกเฮือกใหญ่ แล้วเดินกลับเข้ามาหาผมเหมือนเดิม

                ทำไมกลับมาเร็วจัง ฉันทำความสะอาดให้เรียบร้อยแล้ว ซีฟาร์พูดขึ้นแล้วยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร ผมรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มนั้น จนลืมว่าเสื้อผมมีรอยจุดๆอยู่เต็มไปหมด

                เสื้อไปโดนอะไรมาเหรอ?” เธอเอ่ยทักผม ทำให้ผมรู้ตัวว่าเสื้อผมมีรอยด่างอยู่ ผมรู้สึกอายๆที่จะเล่า จึงเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องก่อนแล้วเดินลงมา แต่แล้วเธอก็เดินสวนขึ้นไป

                จะไปไหนน่ะ ผมเอ่ยปากถามเธอที่เธอเดินสวนขึ้นไปข้างบน

                เอาเสื้อนายไปซักน่ะสิ ก็มันเลอะไม่ใช่เหรอ ว่าแล้วเธอก็เข้าไปหยิบเสื้อในห้องของผมแล้วเดินลงมา

                เธอเดินไปจนถึงห้องน้ำ เธอล้างกะละมังแล้วเติมน้ำ ใส่ผงซักฟอก แล้วก็แช่เสื้อของผมเอาไว้ ชำนาญจริง เธอคงทำมันบ่อยเหมือนผมแน่ๆ ถึงจำนาญในงานบ้าน อาจจะเก่งกว่าผมด้วยซ้ำไป แต่ฝีมือครัวผมน่ะ ไม่แพ้เธอหรอกน่า หึหึ!

     

                กิ๊งก่อง เสียงออดบ้านผมดังขึ้น เอ้ะใครมากันนะ นั่นคือสิ่งแรกที่ผมคิด เพราะคนที่กดออดที่บ้านผม จะมีไม่กี่คน มีลุงส่งจดหมายที่มาทุกวันเสาร์ ป้าที่คอยส่งผลไม้ให้ทุกวันอาทิตย์ ผมจึงแปลกใจที่ทำไมวันศุกร์แบบนี้ ใครมากดออดบ้านผมกันนะ มัวแต่คิดอยู่ได้ ออกไปดูก็สิ้นเรื่อง ประโยคสุดท้ายจากจิตใจก้นบึ้งของผมที่ยังมีสติอยู่

                ผมจะเดินออกไปเปิดประตูบ้านให้ แต่แล้วซีฟาร์ที่ไปถึงประตูบ้านตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ยืนคุยกับใครคนหนึ่งอยู่ ผมเพิ่งสังเกตว่า ซีฟาร์ใส่แหวนที่มีคริสตัลสีฟ้าๆ เหมือนกับคนที่เธอยืนคุยอยู่ด้วย ผมเดินออกไปดูว่าเขาคือใคร แต่ผมก็ต้องตกใจที่เขาหันมาทางผม ดวงตาสีโลหิตของเขาช่างดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก ร่างสูงร่างหนึ่งในชุดคล้ายขุนนางอังกฤษโบราณสีดำ เส้นผมที่ยาวสลวยสีดำ สะท้อนแสงอาทิตย์วิ้งวับทำให้เขาดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ผิวที่ขาวซีดราวกับหิมะ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

                คุณหนู อยู่กับมนุษย์คนนี้อย่างนั้นเหรอครับ เขามองผมแล้วพูดกับซีฟาร์ ซึ่งเธอพยักหน้าให้เขาเป็นคำตอบ

                เอ๋ อะไรกันนะ เรียกเราว่ามนุษย์อย่างนั้นเหรอ เขาไม่ใช่หรือไงนะ นี่คือสิ่งที่ผมคิด แต่ในโลกความเป็นจริงแล้วโลกนี้จะมีสิ่งมีชีวิตแบบไหนที่เหมือนมนุษย์อีก นอกจากมนุษย์ มันก็ไม่มีนี่นา ผมก็คิดไปเรื่อยเปื่อย จนชายผู้นั้นก้าวเข้ามาใกล้ผมช้าๆ ทำให้ผมรู้สึกกลัวเขาขึ้นมานิดหน่อยแล้วสิ ผมพยายามจะถอยห่าง แต่ขาที่สั่นเพราะเกรงกลัวแววตาคู่นั้นของเขา ที่ดูเหมือนเลือดกำลังไหลเวียนอยู่

                อย่าทำอะไรผมเลยครับ ผมพูดออกไปเพราะความกลัว จนในที่สุดชายผู้ที่ก้าวเข้ามาหาผม คุกเข่าลงข้างเดียว ทำให้ผมงงอย่างที่สุด อะไรกัน ทำแววตาซะดุดัน แต่มาถึงก้มคุกเข่าให้เราเฉยเลย ผมคิด

                ข้า อิเรอัส เป็น…” ชายผู้นั้นพูดไม่ทันจบ ก็ถูกซีฟาร์พูดแทรกว่า

                เป็นเพื่อนของฉัน เขาเป็นเพื่อนของฉันตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อซีฟาร์พูดจบ ชายที่แนะนำตัวเองว่าชื่ออิเรอัส หันกลับไปมองซีฟาร์ด้วยความสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเขาก็พูดต่อ

                ข้าจะขออยู่กับท่านด้วย ข้าจะคอยดูแลท่านและทำเพื่อท่านทุกอย่าง อิเรอัสค้อมตัวลง ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจอย่างมาก จนผมนั่งลงไปแล้วบอกให้เขาลุกขึ้นมายืนคุยกันปกติดีกว่า ชายคนนี้แปลกๆแฮะ หลงมาจากยุคไหนเนี่ย คำพูดเหล่านี้มันช่างดูโบราณเหลือเกินจริงๆ และอีกอย่าง อยู่ๆมาขออยู่ด้วยแบบดื้อๆแบบนี้เนี่ยนะ ผมสงสัยในการกระทำของพวกนี้ว่าจะมาทำอะไรผมหรือเปล่านะ

                ข้านอนนอกบ้านก็ได้ขอรับ อิเรอัสพูดอย่างเต็มใจ ผมตกใจแบบสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเขาเตรียมตัวหาที่นอนข้างนอก

                เอ่อ นอนข้างในก็ได้ครับไม่เป็นไรหรอกครับ ผมมีที่ว่างอีกเยอะเลยครับ ผมพูดเพราะผมรู้สึกว่าเขาก็น่าสงสารแฮะ หรือว่านี่ก็ไม่มีที่อยู่อีกคนนึง เพราะผมมองจากสายตาที่อ้อนวอนของเขา ช่างต่างจากตอนที่เขาทำตาดุดันใส่ผมเหลือเกิน

                ขอบพระคุณมากขอรับท่าน เขาคุกเข่าลงไปอีกที ทำให้ผมเหวออีกรอบ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องคุกเข่าให้ผม โอ๊ย! จะบ้าตาย สองคนนี้ ปกติไหมเนี่ย คนนึงก็ชอบทำหน้าไร้เดียงสาแบบเงียบกริบ อีกคนก็โอเวอร์ไปซะทุกอย่าง หรือว่านี่จะเป็นอะไรที่ทำให้ชีวิตผมซวยยิ่งขึ้นไปอีกหรือเปล่านะ คิดแล้วก็กลุ้ม เมื่อต้องมีสมาชิกในบ้านเพิ่มอีกคน ผมอยู่คนเดียวก็รู้สึกเหงานะ แต่ใครก็ไม่รู้มาอยู่ด้วยก็ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆเหมือนกันนะ

     

                เมื่อมีสมาชิกเพิ่ม อัตราการกินก็เพิ่มขึ้น อัตราการใช้น้ำ ใช้ไฟฟ้าก็เพิ่มขึ้น นั่นทำให้ผมต้องเสียเงินเพิ่มสินะ ผมนั่งกลุ้มอยู่ไม่นาน อิเรอัส ก็เดินเข้ามาหาผม แล้วบอกกับผมเบาๆว่า ค่าใช้จ่ายข้าจะจ่ายให้เอง ถือว่าเป็นการขอบคุณที่ให้ข้าอยู่ด้วยนะขอรับ เขายิ้มให้ผมด้วยความเป็นมิตร ผมก็รู้สึกว่ามันก็ดีนะที่จะมีคนจ่ายให้ แค่คิดแล้วก็เกรงใจเหมือนกันนะ

    หารกันก็แล้วกันโอเคไหมครับ ผมถามเขา เขาก็ทำหน้างงๆใส่ผมแล้วก็พูดกับผมด้วยคำที่ผมไม่คิดว่าจะออกมาได้

    หารคืออะไรหรือขอรับ สิ่งที่เขาพูดมาทำให้ผมช๊อกค้างไปสามวินาที เจ้านี่ไม่รู้จักการหารจริงๆอย่างนั้นหรือ โอยนรก! เหลือเชื่อว่า คนหน้าตาดีแบบนี้จะ ไม่รู้จักคำว่าหาร

    ก็ช่วยๆกันจ่าย จ่ายคนละครึ่งไง ผมพูดอธิบายเขา คราวนี้เขาก็ทำหน้างงใส่ผมอีก อะไรอีกล่ะ นี่อธิบายแล้วนะ

    จ่ายคนละครึ่ง มันจะพอหรือขอรับ โครม!! เสียงผมตกเก้าอี้ โอ๊ย…! เจ้านี่มัน ผมอธิบายไม่ถูกแล้วนะเนี่ย ผมจะอธิบายยังไงดี ยกตัวอย่างให้ก็แล้วกัน

    ก็สมมุติว่าเราต้องจ่าย สี่พัน เนี่ย ครึ่งหนึ่งของสี่พันบาทคือ สองพัน จ่ายคนละครึ่งก็คือ ผมจ่ายสองพัน คุณก็จ่ายสองพัน เมื่อรวมกันก็ครบสี่พัน พอดีไงครับ ผมอธิบายจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

    อ๋อ ท่านจะให้ผมจ่ายสองพันใช่ไหมครับ เอามันโยนลงจากตึกชั้น 20 สักทีสิ ผมไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว โอ๊ย! หงุดหงิดเหลือหลายจริงๆ อะไรของมันฟะเนี่ย

    นายอยากจ่ายทั้งหมดใช่ไหม งั้นนายก็จ่ายให้หมดนั่นแหล่ะ ผมพูดด้วยความหงุดหงิด

    ได้เลยขอรับ เขายิ้มรับปากข้าจะไปตลาด ท่านจะฝากข้าซื้ออะไรไหมขอรับ เขาถาม ผมโบกมือเป็นคำตอบว่า ไม่เอาครับ ขืนฝากไปซื้อ จะได้ของที่ผมอยากได้หรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับเนี่ย

    งั้นข้าไปก่อนนะครับ เขาเดินออกไป จากบ้านของผม ซีฟาร์ที่เห็นอิเรอัสเดินออกไปก็เกิดความสงสัย จึงหันมาถามกับผมว่า เขาไปไหนน่ะแล้วทำหน้าไร้เดียงสาใส่ผมอีกครั้ง

    ไปตลาดน่ะ พอผมพูดจบ เธอไม่รอช้า วิ่งตามอิเรอัสไปทันที เธออยากไปตลาดมากขนาดนั้นเชียวหรือไงกันนะ ส่วนผมก็นั่งทำ (ลอก) การบ้านตามปกติของผม ถึงผมจะไม่มีเพื่อนเป็นกลุ่ม แต่ผมก็มีเพื่อนที่คอยให้ลอกการบ้านล่ะน่า

     

                ผมนั่งมองนาฬิกาเมื่อเวลาผ่านไปนานเหลือเกิน ตอนนี้เวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว ฟ้าก็มืดแล้วด้วย … ‘สองคนนั้นไปไหนกันนะ ผมคิด คิดไปคิดมาชักจะเป็นห่วง ออกไปตามดีกว่า ผมใส่เสื้อโค้ชกันหนาวแล้วออกจากบ้าน โดยคล้องกุญแจบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว ผมค่อยๆเดินมองไปเรื่อยๆ เดินไปจนถึงตลาด ที่เหลือแต่ร้านเปล่าๆทั้งตลาด เพราะตลาดปิดแล้ว คนก็ไม่มีแล้วด้วยสิ บรรยากาศที่ดูวังเวง ช่างไม่น่าเดินเข้าไปเลย ไฟสักดวงก็ไม่มี ผมจึงใช้วิธี ตะโกนถามหา

                เฮ้ อิเรอัส ซีฟา อยู่นี่ไหม ผมตะโกนถามเข้าไปในตลาด ซึ่งคำตอบที่ได้คือความเงียบสนิทที่ตามมาเมื่อเสียงของผมหมดแรงสะท้อนแล้ว ท่าจะไม่อยู่แฮะ ผมคิดในใจ เมื่อผมหันหลังกลับมาผมพบว่ามีร่างสูงร่างหนึ่งยืนขวางทางผมอยู่ ผมชนเข้าที่ร่างนั้นจนเซล้มพับไปกับพื้น ผมพยายามจะลุกขึ้น แต่ว่ามือของร่างสูงร่างนั้นกดหัวผมไม่ให้ผมลุกขึ้น บรรยากาศแบบนี้ กับพฤติกรรมแบบนี้ โจรชัวร์ สิ่งที่ผมคิดออก แต่ทำไมมันมาเงียบมาก ทั้งที่ผมเดินย่องๆยังพอจะได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองเลย แต่ว่าผมคิดอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เพราะร่างข้างหน้านั่งยองๆลงมา ผมเห็น เขี้ยวแหลมยาวออกมาจากปากของเขา ดวงตาสีแดงแบบเรืองแสงออกมา ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวกับสิ่งที่พบเจอ เพราะไม่เคยมีใครพบไม่เคยมีใครเห็น แต่ผมนี่แหล่ะเห็นเป็นคนแรก ลักษณะแบบนี้ผมเห็นแล้วรู้สึกว่าผมดูหนังที่มีแวมไพร์อยู่เลยทีเดียว ผมไม่รู้จะสรุปบทยังไงดี แต่ว่าตอนนี้ผมสรุปให้เลยก็แล้วกันว่า ไอ้ตัวข้างหน้าเนี่ยต้องเป็นแวมไพร์แน่ๆ มันอ้าปากเตรียมตัวจะฝังเขี้ยวใส่คอผม

                ทันใดนั้นเอง ร่างนั้นจู่ๆก็ลอยขึ้นคล้ายโดนเหวี่ยงไปกระแทกกับร้านว่างร้านหนึ่ง ส่งผลให้โต๊ะขายของที่วางอยู่ตรงนั้นหักเป็นสองท่อน ผมมองหาผู้ที่ช่วยชีวิตผมไว้ ซึ่งเขาอยู่ไม่ไกลเท่าไร เขายืนอยู่ข้างๆผม ผมเห็นดวงตาของเขาทอแสงสีดำอยู่นิดๆ ซึ่งในความมืดของตลาด ยังมืดไม่เท่าแสงจากดวงตาของเขา แต่ผมเห็นว่าเขามีเขี้ยวเหมือนกับเจ้าตัวที่นอนอยู่นั่นเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×