คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ความจริงหมายเลข3 : การปะทะ
ความจริงหมายเลข3 : การปะทะ
ที่โลกปีศาจเกิดเหตุวุ่นวายเล็กน้อยที่ชุมชนเล็กๆของเหล่าปีศาจอันธพาลที่คอยรีดไถชาวบ้านหรือปีศาจที่เข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนนี้อยู่เสมอๆ
… ในโลกปีศาจรูปลักษณ์ของปีศาจจะคล้ายกับมนุษย์ทุกๆอย่างยกเว้นแต่บางตนจะมีเขา หรือมีเขี้ยวที่ยาวกว่ามนุษย์ธรรมดา หรือบางตนก็มีหูแมว หูจิ้งจอก ฯลฯ
ผู้ชายผมสีขาวบริสุทธิ์ที่ยาวสลวยจนถึงเอว ร่างบอบบางที่ห่อหุ้มด้วยชุดคลุมแบบสูทตัวยาวลากพื้นสีทองตัดขอบด้วยสีแดง เสื้อที่ใส่อยู่ข้างในมีสีขาว เขาห้อยจี้สร้อยคอที่มีรูปปีกขนนกสีเงินประกบอัญมณีสีน้ำเงินรูปร่างคล้ายพีระมิด ดวงตาสีทองวิ้งวับราวกับมีเปลวทองล่องลอยอยู่ภายในดวงตาของเขา ใบหน้าที่งดงามแบบหาที่ติไม่ได้ ในมือซ้ายถือหีบสมบัติเล็กๆที่สลักลวดลายอย่างประณีต ดูจากท่าทางและลักษณะแล้ว เขาดูเป็นคนที่ถูกจัดว่าเป็นผู้ดี หรือคุณหนูจากที่ไหน เพราะถ้าประมาณอายุจากใบหน้าของเขา ก็คงราวๆสิบแปดปี
ชายผมขาวยืนอย่างสง่าท่ามกลางปีศาจอันธพาลที่ล้อมรอบตัวเขา และมีชาวบ้านแถวละแวกนั้นออกมายืนมุงดู อันธพาลที่กำลังหาเรื่องชายผมขาวอยู่ ณ ตอนนี้
“คุณชาย!” เสียงของปีศาจดูดเลือดเขี้ยวแหลม (แวมไพร์) ซึ่งมีลักษณะท่าทางเหมือนเป็นหัวหน้ากลุ่มอันธพาลกลุ่มนี้เอ่ยขึ้นเสียงดัง
“คุณชายแต่งตัวซะเรียบร้อยเลยนะคุณชาย ไม่ทราบว่าจะไปไหนหรือครับ” กลุ่มอันธพาลหัวเราะกันร่าเริงที่ได้แซว หนุ่มผมสีขาวมาดคุณชายแบบนั้น
“คือว่าผมมีธุระแถวนี้น่ะครับ ผมขอผ่านทางไปหน่อยได้ไหมครับ” หนุ่มผมสีขาวทำเสียงอ้อนวอนขอผ่านไป พร้อมกับทำตาวิ้งๆใส่ … รวมกับดวงตาที่วิ้งวับอยู่แล้ว ยิ่งทำให้แสบตาสุดๆเลย
หนุ่มผมขาวก้าวเดินไปได้ก้าวหนึ่งก็ต้องหยุดชะงัก เพราะแวมไพร์ตนนั้นเขวี้ยงมีดสามเล่ม ปักบนพื้นข้างหน้าหนุ่มผมขาว หนุ่มผมขาวสะดุ้งตกใจอย่างเห็นได้ชัด
แวมไพร์อันธพาลตนนั้นแสยะยิ้มให้คุณชายเส้นผมสีขาว พลางมองหนุ่มคนนั้นราวกับว่า ‘เจ้านั่นเป็นลูกไก่ในกำมือฉันแล้วล่ะ’
“คุณชายมาแล้วจะรีบไปไหนเสียล่ะ อยู่กับพวกเราก่อนสิ” แวมไพร์พูดขึ้น “ฉันว่าคุณชายคงทำเงินให้กับพวกเราได้เยอะน่าดูเลย” เมื่อแวมไพร์พูดจบ พวกปีศาจอันธพาลก็พยักหน้าเห็นด้วยกับสิ่งที่หัวหน้าพูด
“คือผมไม่ได้พกเงินมาพอที่จะให้ทุกคนหรอกนะครับ เอาไว้คราวหลังได้ไหมครับ” หนุ่มผมขาวพูดขอร้องอีกครั้ง … คราวหลังจะเอาเงินมาแจกเรอะ!
“ไม่ได้หรอกคุณชาย ถ้าคุณชายเกิดอยากเบี้ยวไม่โผล่มาอีกพวกฉันจะทำยังไงล่ะ ฮะ…?” แวมไพร์ทำหน้าไม่พอใจใส่ชายเส้นผมสีขาวคนนั้น
“คือผมมีธุระที่เร่งด่วนมากเลยครับ ผมขอรีบทำธุระก่อนได้ไหมครับ ผมต้องไปส่งของด่วนมากเลยครับ นะครับ!” สายตาอ้อนวอนจากชายผมขาว ทำให้พวกปีศาจชาวบ้านละแวกนั้นเริ่มซุบซิบกันแล้ว ว่าคุณชายคนนี้จะรอดไหม เพราะแวมไพร์หัวหน้ากลุ่มมันเริ่มมีเลือดขึ้นหน้าแล้ว
“บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้สิวะ!” แวมไพร์ตะโกนเสียงดังใส่หนุ่มผมขาวตรงหน้า “เอากล่องสมบัติในมือนั่นมาให้ฉันดีกว่า จะได้เดินตัวเบาลง รู้สึกว่าในนั้นจะมีของมีค่ามากๆอยู่สินะ ถึงต้องกอดมันแน่นเชียว” แวมไพร์มองกล่องสมบัติที่อยู่ในอ้อมแขนของหนุ่มผมขาวก่อนที่จะเข้าประชิดตัวเขาด้วยความเร็วระดับแวมไพร์
หนุ่มผมขาวที่กำลังยืนก้มหน้าอยู่ ทำให้แวมไพร์คิดว่าหนุ่มนั่นกำลังกลัวเขาอยู่ จึงใช้โอกาสเข้าไปฉกของในมือหนุ่มคนนั้น ปรากฎว่ากล่องนั้นไม่ยอมห่างออกจากมือของหนุ่มคนนั้นแม้แต่น้อยเลย
“จะหวงไปถึงไหนฟะ” แวมไพร์หงุดหงิดจนถึงกับเอาเท้าเขี่ยเด็กหนุ่มผมขาวอย่างแรง
“โอ้ย!!! เจ็บๆๆๆๆๆๆ” เสียงร้องลั่นขึ้นท่ามกลางชาวบ้านที่หลับตาปี๋ที่คิดว่าจะเห็นเทวดาผมขาวที่ยืนสง่าอยู่โดนรุมยำ แต่แล้วชาวบ้านก็คิดผิด
หนุ่มผมขาวยืนก้มหน้าเหมือนเดิมและไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย แต่ไอที่ครางหงิงๆเมื่อครู่นี้เป็นแวมไพร์ที่เตะเด็กหนุ่มนั้นต่างหาก มันยืนเอามือกุมหน้าแข้งตัวเอง แล้วกัดฟันกรอด
“เหมือนข้าเตะหน้าผาเลยว่ะ” แวมไพร์เสียงสั่น เหล่าปีศาจอันธพาลราวยี่สิบตนเบิกตากว้าง ที่หัวหน้าตนเองทำร้ายเจ้าหนุ่มผมขาวไม่ได้
“มันเป็นใครกัน!” ทุกคนเริ่มสงสัยจนส่งเสียงซุบซิบออกมากัน รวมไปถึงชาวบ้านที่มุงดูก็ยังซุบซิบกันเลย ส่วนพวกปีศาจอันธพาล ตอนนี้ทึ่งกันไปเป็นแถวแล้ว … เพราะตั้งแต่เกิดมาพวกเขาไม่เคยเห็นใครทนลูกเตะของแวมไพร์ได้เลย ดังนั้นแล้วเหล่าอันธพาล ก็หยิบจับดาบ หอก กระบอง ขึ้นมาเตรียมพร้อมจะอาละวาดใส่หนุ่มผมขาวคนนั้นเต็มที่
เด็กผมขาวเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่งดงาม ทำให้ปีศาจสาวๆหลงเสน่ห์ของเขาอย่างช่วยไม่ได้
“ยังจะยิ้มอยู่อีก เฮ้ย! พวกเรา ลุยมันเลย” สิ้นเสียงสั่งจากแวมไพร์อันธพาล พวกพ้องของเขาก็กรูเข้าถล่มชายผมขาวหวังจะจัดการให้ไม่เหลือซากเลย
อาวุธทุกชนิดพุ่งเข้ากระทบกับร่างของหนุ่มผมขาวคนนั้นอย่างรุนแรง แต่ทว่าสิ่งที่เสียหายกลับกลายเป็นอาวุธแทนที่จะเป็นร่างของเขา
‘เฮ้ย! มันเป็นหน้าผาเหรอวะ แข็งจริงๆ’ เหล่าปีศาจคิดได้ดังนั้นจึงพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน “แกเป็นใครกันแน่”
หนุ่มคนนั้นยิ้มกว้างขึ้น ก่อนที่จะพูดว่า “เราคิดว่าจะปล่อยพวกนายไปดีๆแล้วนะ สหาย” น้ำเสียงของหนุ่มผมขาวเปลี่ยนไป จากน้ำเสียงที่ฟังดูน่าเอ็นดู กลายเป็นเสียงที่ฟังดูไร้อารมณ์อย่างที่สุด
“แต่เมื่อพวกนายไม่ให้เราผ่านไป เราคงต้องทำตามใจของเราแล้วล่ะ” ชายผมขาวพูดขึ้นแล้วประกาศชื่อของตัวเองอย่างกึกก้องราวกับตะโกนอยู่ในหุบเขา “ข้าชื่อเซนทราเรียน์!”
เหล่าปีศาจเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อของชายผู้นั้น ปีศาจชาวบ้านในละแวกนั้นหนีหายเข้าบ้านกันหมดทุกตน เหลือเพียงแค่ชายหนุ่มที่ชื่อเซนทราเรียน์กับปีศาจอันธพาลที่ยืนอึ้งกันอยู่ตรงนั้น
“เซนทราเรียน์… ผู้คุมกงล้อแห่งชะตา ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้” เหล่าปีศาจอันธพาลต่างพากันสั่นหงกๆไปตามๆกัน กับความรู้สึกที่หนาวถึงจิตวิญญาณ
“เราบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าเรามีธุระที่ต้องทำ แต่พวกนายขวางทางเราไว้นี่ … จะสำนึกผิดตอนนี้คงสายไปแล้วล่ะ เพราะสิ่งที่เจ้าไม่ควรทำตั้งแต่แรก คือการเป็นนักเลงมาข่มขู่ข้า” เสียงดังสนั่นจากปากของเซนทราเรียน์ถูกปล่อยออกมาพร้อมกับคลื่นพลังที่แทรกสอดไปตามพื้นดิน จนเป็นคลื่นอย่างเห็นได้ชัด
เหล่าปีศาจอันธพาลไร้ทางหนีทันที เมื่อพื้นดินยกตัวสูงเป็นกำแพงขึ้นล้อมรอบเหล่าปีศาจเอาไว้ราวกับเป็นปล่องภูเขาไฟ และคลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากตัวเซนทราเรียน์กระทบถูกตัวปีศาจแล้ว ปีศาจตนนั้นก็กระเด็นไปกระแทกกำแพงที่ล้อมเอาไว้อย่างรุนแรง แต่กำแพงกลับไม่มีรอยร้าวแม้แต่น้อย
“โอกาสของพวกเจ้ายังมี ใครที่ยังวิ่งหนีไหวก็รีบไปให้พ้นๆซะ ก่อนที่ข้าจะเผาพวกเจ้าทิ้ง” เซนทราเรียน์ทำลายกำแพงทิ้งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แต่เนื้อหาที่พูดฟังดูไม่ค่อยอบอุ่นเท่าไรเลยนะ … แต่ท่าทางเซนทราเรียน์จะให้ความอบอุ่นกับปีศาจพวกนั้นจริงๆ เพราะที่มือข้างขวามีลูกไฟที่มีไฟอัดกันแน่นขนาดพอๆกับลูกบาสเก็ตบอล
ปีศาจอันธพาลเห็นดังนั้นก็รีบวิ่ง กลิ้ง คลาน ตีลังกา หนีเซนทราเรียน์ไปหมดอย่างรวดเร็ว ราวกับพื้นที่ตรงนั้นไม่เคยเกิดอะไรขึ้นเลย
“ท่านเซนทราเรียน์” เสียงทุ้มๆเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหลังเซนทราเรียน์ เมื่อเซนทราเรียน์หันกลับมามองเจ้าของเสียงนั้น เจ้าของเสียงทุ้มคนนั้นกำลังนั่งคุกเข่าทำความเคารพเขาอยู่
“ลุกขึ้นเถิดเรย์ซิฟอล เจ้ามิต้องเป็นพิธีการขนาดนั้นก็ได้” เซนทราเรียน์ยิ้มให้กับผู้ชายที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า ชาวบ้านทุกคนต่างเปิดประตูออกมาเคารพเจ้าของชื่อที่เซนทราเรียน์เรียก เพราะเรย์ซิฟอลคือราชาแห่งโลกปีศาจนั่นเอง
“เรารู้ข่าวคราวของเหล่าแวมไพร์แล้ว ตอนนี้เคย์เลอร์หายตัวไป ลูกสาวของเขาจะกลับมาในไม่ช้า พร้อมกับเด็กหนุ่มพลังบริสุทธิ์ที่เจ้ากำลังตามหา” เซนทราเรียน์พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกับราชาปีศาจ
ราชาปีศาจทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้งก่อนจะกล่าว “ขอบคุณท่านมาก ที่นำข่าวคราวมาบอกแก่ข้าน้อย”
เซนทราเรียน์ยิ้มให้กับราชาปีศาจอีกครั้ง ก่อนจะยื่นกล่องสมบัติในมือให้กับราชาปีศาจ
“เขาผู้นั้นเพียงคนเดียวที่จะมีสิทธิ์สวมสิ่งที่อยู่ในนั้นได้ เจ้าจะได้พบกับเขาคนนั้นในไม่ช้า” เซนทราเรียน์พูด ก่อนจะสลายร่างของตนกลายเป็นแสงสีขาวร่วงโรยสู่พื้นดิน … ราชาปีศาจตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะราชาปีศาจสัมผัสได้ว่า นั่นเป็นเพียงร่างจำลองของเซนทราเรียน์เท่านั้น … แต่ร่างจำลองของเขามีพลังมากขนาดนี้เลยหรือ! แล้วถ้าร่างจริงของเขาล่ะจะขนาดไหนกัน ดูจากพลังที่ใช้ไล่อันธพาลแล้ว เรย์ซิฟอลเองยังคงทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ยามรัตติกาลไร้ซึ่งเมฆมนบดบังความสุกสกาวของดวงดาวนับล้านบนท้องฟ้า มีพระจันทร์เต็มดวงสาดแสงสีเหลืองนวลสว่างอยู่กลางท้องฟ้า แม้แสงจันทราจะเจิดจ้าเพียงใด แต่ดาวดวงน้อยๆที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า ก็พยายามส่องแสงแข่งกับจันทราจนแสงดาวส่องสว่างออกมาเป็นประกายระยิบระยับอยู่ท่ามกลางผืนฟ้าสีดำผืนนั้น
เรย์ เด็กหนุ่มที่ติดพันอยู่กับเหล่าปีศาจ ยังนั่งดูดาวอยู่ไม่ขยับไปไหน เขามองดูจนสังเกตได้ว่า ดวงจันทร์นั้นย้ายข้ามหัวเขาไปอีกฟากหนึ่งแล้ว
“เฮ้อ…~” ผมถอนหายใจเสียงดัง สิ่งที่หนักอึ้งอยู่ในใจของผมตอนนี้เป็นอะไรที่ผมไม่เคยเป็นมาก่อน … ผมนั่งคิดถึงตอนที่ผมบอกว่าผมจะช่วยตามหาพ่อของซีฟาร์ ที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทำไมผมไม่คิดก่อนที่จะพูดออกไปนะ ทำไมไปสัญญาอะไรที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ถึงผมจะถูกกล่าวขานว่าเป็นมนุษย์สายเลือดบริสุทธิ์ แต่ผมก็ยังไม่ค้นพบว่าผมมีพลังอะไรแบบที่ปีศาจทำได้ เพียงแค่สายเลือดของผมบริสุทธิ์เท่านั้นเองอย่างนั้นหรือ … ผมพยายามที่จะหยุดคิดเรื่องเหล่านี้ เพราะมันทำให้ผมนอนไม่หลับมาสองคืนแล้วนับตั้งแต่คืนที่พ่อของซีฟาร์หายไป
ดวงดาวที่มากมายบนท้องฟ้า เปรียบเสมือนดวงตาที่มองมาทางผม ผมแค่มีความรู้สึกว่าดวงดาวนับล้านดวงบนท้องฟ้าคอยเป็นกำลังใจให้ผมอยู่เสมอ แต่ผมไม่ได้เห็นท้องฟ้าที่สวยงามแบบนี้มานานแล้วสินะ
ยามค่ำคืนของที่นี่ช่างเงียบสงบ มีสายลมเอื่อยๆพัดลมหนาวๆมาให้เป็นระยะๆ ตัวผมที่นอนอยู่ท่ามกลางเม็ดทรายที่ไม่อาจนับได้หมดเพราะมันมากมายเกินไป
… ทะเลทรายซาฮาร่า ใช่แล้วครับ ตอนนี้ผมกับพวกซีฟาร์อยู่ที่ทะเลทรายซาฮาร่าแล้ว เพื่อที่จะเดินทางไปยังโลกปีศาจ แม้ว่าเหล่าฟาเรลจะขัดขวางซีฟาร์แค่ไหน แต่ความตั้งใจของซีฟาร์คือกลับไปช่วยพ่อตัวเองให้ได้ ยังไงเธอก็ต้องกลับไปหาพ่อของเธอให้ได้ … เมื่อเธอมีความมุ่งมั่นขนาดนั้น ผมจึงขอติดเป็นภาระเธอไปด้วย ซึ่งเธอเต็มใจให้ผมไปด้วยตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ผู้หญิงผมสีฟ้าดวงตาสีโลหิตในชุดคลุมสีขาว ล้มตัวลงนอนข้างๆผม ที่กำลังดูดาวและคิดอะไรเพลินๆอยู่ ผมหันไปมองเธอทันทีที่เธอล้มตัวนอนลงมาข้างๆผม
“เป็นยังไงบ้าง?” ผมเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา ราวกับกระซิบความลับอะไรสักอย่างให้เธอฟัง
“ฉันแค่เป็นห่วงพ่อฉัน” ซีฟาร์ตอบด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก ก่อนที่เธอจะมีน้ำตาออกมาอีกครั้ง … เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนมากๆ ผมสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนของเธอ แม้เธอจะไม่ค่อยแสดงมันออกมาให้เห็นก็ตามที แต่เธอก็เป็นห่วงผมเอามากๆเหมือนกัน … หรือว่าเป็นห่วงเพราะกิจธุระของเธอกันแน่นะ
“พ่อเธอจะต้องไม่เป็นอะไรอยู่แล้ว” ผมพยายามให้กำลังใจเธอ “ยังไงฉันก็ตกลงว่าจะไปเป็นภาระเธอในโลกปีศาจต่อแล้วนี่”
“ใช่นายนี่เป็นภาระให้ฉันจริงๆเลยนะ” ซีฟาร์นอนขำคิกคักอยู่ข้างๆผม นั่นทำให้ผมยิ้มได้เมื่อเธอหัวเราะออกมา … เสียงหัวเราะของเธอช่างฟังดูไพเราะเหลือเกิน
อากาศที่เปลี่ยนแปลงจนทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ‘ทำไมมันร้อนจังเนี่ย’ ผมอุทานในใจก่อนที่จะเปิดตามองดูรอบข้าง แสงสว่างจ้าสาดส่องเข้าตาผมจนทำให้ตาของผมพร่าเบลอไปครู่หนึ่ง
ผมลุกขึ้นแล้วหันไปรอบกายทันทีเมื่อผมพบกับความเงียบสงัดแบบผิดปกติ … ซีฟาร์อยู่ไหน!! นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้
ความเว้งว้างกลางทะเลทรายทำให้ผมกลัวจนตัวสั่น เพราะกลางทะเลทรายแบบนี้คงมีสัตว์ประเภทงู หรือสัตว์มีพิษหลายๆอย่าง … รวมไปถึงพ่อค้าทาสที่ใช้ทางผ่านคือทางทะเลทรายนี้ในการลักลอบค้าทาส เรื่องนี้ผมได้ยินมาจากไอร่า
ทุกคนหายไปหมด ผมมองรอบตัวจนเห็นนิ้วชี้เล็กๆของใครไม่รู้จมอยู่ในทราย … นั่นทำให้ผมต้องตะกุยทรายจนผมเหนื่อยหอบ
ร่างของผู้หญิงผมสีเทา ดวงตาสีเทา นอนหลับเป็นตายอยู่ใต้กองทราย … ทำไมเธอไปจมอยู่ในทรายได้นะ แล้วนี่ไม่ขาดอากาศหายใจตายเหรอไง หรือว่าเป็นปีศาจไม่ต้องหายใจก็ได้อย่างนั้นเหรอไงกันเนี่ย
ผมปลุกเธอจนเธองัวเงียตื่นขึ้นมา จู่ๆเธอก็เอาแขนโอบคอผมแล้วพูดงืมงำๆพอที่ผมจะจับใจความได้ว่า
“หนาวจัง กอดหน่อย” จากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็จับผมกอดเสียแน่นเลยทีเดียว แอ้ก! ทำไมต้องมากอดผมด้วยเนี่ย ว๊าก!
ผมพยายามตะกุยออกจากอ้อมกอดของไอร่าจนสำเร็จ เธอนี่แรงเยอะจริงๆ กอดแน่นจนหายใจไม่ออกเลยจริงๆ … จากแรงที่ผมตะกุยออกมา ทำให้เธอตื่นได้เต็มที่เสียที
“ขอโทษ” เสียงที่ออกมาจากปากของเธอนั้นไร้โทนสูงต่ำราวกับเป็น ’กูเกิ้ลแปลภาษา’ พูดเลยทีเดียว ลองไปพิมพ์คำว่าขอโทษใส่กูเกิ้ลแปลภาษา แล้วให้มันพูดดูสิ ประมาณนั้นแหล่ะ
ผมโบกไม้โบกมือเป็นนัยบอกว่า ‘ไม่เป็นไร’ แล้วผมก็เข้าเรื่องที่ผมสงสัยต่อคือ …
“ทุกคนไปไหนหมด”
“อ้าวเมื่อคืนก็นอนด้วยกันหมดไม่ใช่เหรอคะ” ไอร่าก็ยังมีโทนเสียงแบบกูเกิ้ลอยู่ดี … นี่จะตกใจแบบใส่อารมณ์บ้างได้ไหมนะ
ไอร่าลุกขึ้นมานั่งหันซ้ายหันขวาอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่าไมมีใครแล้วเธอก็ …
“ดีจังแฮะ ไม่มีใครกวน นอนต่อดีกว่า…” ไอร่าพูดออกมาแบบดื้อๆ …
เฮ้ย! นี่จะไม่เป็นห่วงเพื่อนพ้องเลยเหรอยังไงกันเนี่ย ว่าแล้วเธอก็มุดลงไปในทรายต่อ …
ผมนั่งนิ่งพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้น … ทำไมไอร่าไม่ห่วงเพื่อนเลยนะ แล้วผมจะตามหาซีฟาร์ อิเรอัลและฟาร์ยังไงดีล่ะเนี่ย ยิ่งคิดผมก็ยิ่งกลุ้ม
ทันใดนั้นสายลมที่หนาวเหน็บ ซึ่งไม่น่ามีอยู่ในทะเลทรายแห่งนี้ ถูกพัดผ่านร่างของผมไป ผมรู้สึกหนาวเข้าไปถึงกระดูก ไอความเย็นเมื่อครู่นี้ทำให้ผมเกือบเป็นน้ำแข็งได้ในพริบตา
ไอร่าที่โผล่หัวขึ้นมาจากทรายด้วยสีหน้าที่เป็นปกติ … เธอนี่ไร้ความรู้สึกใช่ไหมนะ ผมคิดมานานแล้ว
“นั่นมันพลังของฟาร์ … แสดงว่ามีการปะทะกัน” ไอร่าพูดด้วยน้ำเสียงของกูเกิ้ล … ใส่อารมณ์ให้มันหน่อยจะได้มั้ยฟะ!!
“ว่ายังไงนะ!” ผมอุทานอย่างดัง ไอร่ามองหน้าผมแล้วถามผมด้วยความเรียบเฉยว่า
“จะแหกปากไปทำไม” … ผมจึงต้องปิดปากเงียบ เพราะถ้าผมทำอะไรขัดใจเธอ เธอจะแช่แข็งผมแน่ๆ
ไอร่าลุกขึ้นจากกองทรายที่เธอมุดลงไป แล้วกางปีกขนนกสีดำออกมา เธอทำท่าจะบินแล้ว แต่เธอก็หันขวับกลับมามองผม ก่อนที่เธอจะพูด
“จะไปไหม” ผมเดาอารมณ์เธอไม่ถูกเลยทีเดียวกับน้ำเสียงที่เรียบเฉยกับใบหน้าที่นิ่งสนิทของเธอ “ถ้าจะไปก็รีบขึ้นหลังฉันสิ” … ประโยคหลังทำให้ผมช๊อกค้างไปประมาณห้าวินาที ผมเนี่ยนะจะขี่หลังเธอ มันฟังดูแปลกๆไหมครับ
“เอ่อ..คือ!” ผมตะกุกตะกักเพราะความเกรงใจ ที่จะต้องไปขี่หลังเธอ หน้าตาของเธอดูน่ารักคล้ายๆกับซีฟาร์เลยทีเดียว แม้ว่าสีหน้าของเธอจะเรียบเฉยตลอดเวลาก็เถอะ … การที่จะให้ผมขี่หลังเธอคนนี้ ผมคงไม่กล้าทำแน่ๆ
“งั้นนายก็เดินไปก็แล้วกัน ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ไกลราวๆ ร้อยสิบหกกิโลเมตร” เธอยังคงความนิ่งเฉยของเธอไว้ แต่เธอพูดได้ทำร้ายจิตใจผมอย่างมากเลยทีเดียว จะให้ผมเดินไปเนี่ยนะ บ้าแล้ว!!
แต่ไอร่าที่ทำหน้านิ่งก็ยังยืนรอผมอยู่ดี … ผมมัวแต่คิดอยู่ว่าจะขี่หลังเธอดีไหม ถ้าไม่ขี่ก็คงต้องเดินไกลน่าดูเลยทีเดียว คงไม่ถึงในวันนี้แน่ๆ
ทันใดนั้นไอร่าก็พุ่งอ้อมไปด้านหลังตัวผม เธอโอบรัดผมจากด้านหลัง แล้วใช้ถีบตัวขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว ปีกของเธอกางออก แล้วสะบัดเพียงครั้งเดียว ตัวของเธอก็ทะยานพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว จนรอบกายผมมองเห็นเพียงความมืดมิดเท่านั้น
เมื่อไอร่าพุ่งทะยานด้วยความเร็วเหนือแสงมาหยุดอยู่กลางท้องฟ้า ขณะนี้ไอร่ากำลังบินอยู่เหนือการต่อสู้ของ พวกซีฟาร์ และกลุ่มคนแปลกๆที่มีประมาณห้าสิบคน พวกเขาคลุมผ้าสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้า ผ้าปิดบังหน้าของพวกเขาไว้จนเหลือแค่ตาทำให้ไม่รู้ว่าศัตรูเป็นเพศใด …
“เรย์ นายไปยืนดูอยู่ห่างๆเลยนะ” ไอร่าสร้างเกราะเวทย์ครอบผมไว้ แล้วพลักผมออกไปจากรัศมีการต่อสู้ ทันทีที่ผมลงพื้นแล้ว ไอร่าเธอก็ไม่รอช้า รีบลงไปปรากฎตัวท่ามกลางกลุ่มคนชุดสีดำทันที
แม้ผมจะอยู่ห่างรัสมีการต่อสู้แล้ว แต่เสียงของการต่อสู้และเสียงของผู้คนที่พูด ผมก็ได้ยินทุกถ้อยคำ
“พวกนายกล้าดียังไงถึงได้จับเพื่อนๆของฉันมาแบบนี้” ไอร่าที่ปรากฎตัวขึ้นกับน้ำเสียงกูเกิ้ลของเธอ ทำให้เหล่าคนชุดดำชะงักเล็กน้อย
“ไอร่า!” ซีฟาร์ตะโกนชื่อของสาวผมเทาที่ปรากฎตัวขึ้นกลางสมรภูมิรบนั้น … ผมได้ยินเสียงซุบซิบจากเหล่าคนชุดดำ ซึ่งจับใจความได้ว่า ‘ไอร่า… อย่างนั้นหรือ’
แต่พวกคนชุดดำก็ไม่ได้แสดงท่าที่เกรงกลัวใดๆหลังจากที่มีเสียงสั่งว่า “จัดการมันให้หมด!” ทันทีที่เสียงสั่งจบลง เหล่าคนชุดดำก็กรูเข้าหาพวกซีฟาร์ที่กำลังเตรียมรับมืออยู่แล้ว
… ดาบของเหล่าคนชุดดำก็ดูเหมือนดาบบนโลกมนุษย์ทั่วไปนะ แต่ทำไมมันปัดกระสุนที่ทำพิเศษของซีฟาร์ได้ง่ายๆแบบนั้น แถมยังสู้กับดาบของอิเรอัลซึ่งเป็นดาบที่สร้างด้วยเวทย์มนตร์ได้อีก … ช่างน่าแปลกใจเหลือเกิน
ซีฟาร์ใช้ปืนยิงใส่เหล่าคนชุดดำเหล่านั้น เมื่อกระสุนหมดแม็กกาซีน เธอก็สับเปลี่ยนมันได้อย่างรวดเร็วแบบมองไม่ทันกันเลยทีเดียว แต่ทว่ากระสุนทุกนัดที่ออกไป ไม่ได้ถูกเป้าหมายทุกครั้ง เพราะเป้าหมายปัดป้องกระสุนได้ แต่พวกคนชุดดำบางคนก็พลาดท่าโดนกระสุนของเธอเข้าไปนอนหงายเก๋งอยู่ตรงนั้นเลย
อิเรอัลใช้ดาบประกบกับคู่ต่อสู้แบบดุเดือด อิเรอัลมีเพียงดาบเดียว ส่วนศัตรูก็มีคนละดาบเหมือนกัน แต่ทว่าศัตรูช่างมีหลายคนเหลือเกิน จึงเปรียบเสมือนว่าศัตรูมีหลายดาบได้เลยทีเดียว เพราะฝีมือดาบของแต่ละคนถูกจัดอยู่ในขั้นเซียนเลยด้วยซ้ำ แต่อิเรอัลก็ยังไม่โดนดาบเฉือนร่างได้เลยสักแผล ‘ฝีมือระดับอิเรอัลคงรับมือไหวอยู่แล้วล่ะน่า’ … ผมคิดไม่ทันไร อิเรอัลก็กระซวกศัตรูทิ้งไปอีกคนหนึ่งก่อนที่จะเหวี่ยงดาบออกปาดคอของสามคนที่อ้อมเข้ามาข้างหลัง…ตายสนิท
‘นั่นไง โหดจริงด้วย’ ผมนึกในใจ ผมมองเห็นอะไรลอยมาหาผม เมื่อสังเกตดูดีๆแล้ว … มีดบินครับ นั่นมันมีดบิน ผมหลับตาปี๋กลัวว่ามีดมันจะโดนผม … ‘เคร้ง!’ เสียงดังขึ้นพร้อมกับมีดบินที่ถูกป่นเป็นผงโดยเกราะเวทย์มนตร์ที่ไอร่าสร้างให้ … ผมลืมไปได้ไงนะว่าเธอสร้างเกราะให้ผมไว้
ผมมองดูการต่อสู้ต่อ ... ฟาร์ที่กำลังใช้มือของเขา ปะทะกับดาบของศัตรูอย่างเมามันส์ ผมบรรยายไม่ผิดนะครับ คือ มือของฟาร์หักดาบของศัตรูง่ายๆแบบหักกล้วยเลยครับ … ‘ฮ่าๆๆ’ รายนั้นคงไม่ต้องเป็นห่วงจริงๆ เพราะฟาร์ตอบกลับด้วยการที่เอาท่อนดาบที่หัก เสียบใส่เจ้าของ … ‘ฟาร์ครับเก็บลิ้นหน่อยก็ได้ครับ ไม่ต้องแลบออกมาอย่างนั้นก็ได้ครับ’ ผมที่คิดในใจเพราะเห็น ซาตานกำลังแลบลิ้นและเอาเศษดาบที่เขาหักเสียบคืนให้เจ้าของแบบเลือดเย็นเป็นที่สุด … ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า พวกเธอหรือพวกชุดดำกันแน่ที่เป็นผู้ร้ายเนี่ย
ส่วนทางไอร่า เธอยืนทำหน้านิ่งยืนอยู่เฉยๆ ท่ามกลางวงล้อมของศัตรู … แต่ว่าทำไมศัตรูไม่เข้าไปสู้กับเธอสักทีล่ะ ผมเห็นแต่ละคนยืนนิ่งหันซ้ายหันขวาราวกับเกี่ยงกันว่า ‘นายเข้าไปก่อนสิ’ อีกคนก็คงประมาณว่า ‘นายแหล่ะเข้าไปก่อนสิ’
ไอร่าพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งสงบราวกับน้ำที่นิ่งสนิทในแอ่งว่า “เข้ามาพร้อมๆกันก็ได้ จะได้ไปพร้อมๆกันเลย” คำพูดที่ชวนขนหัวลุก แต่อีกนัยหนึ่งคือการยั่วยวนชวนกระทืบอย่างเป็นที่สุด แต่ผมคิดว่าพวกชุดดำมันคงเลือกข้อชวนขนหัวลุกเสียมากกว่า เพราะแต่ละคนวิ่งกระเจิงออกไปคนละทิศคนละทางเลย เมื่อเธอเรียกแส้น้ำแข็งออกมา
‘เหอะๆ! ผมคิดว่ารายสุดท้ายนี่ล่ะที่น่ากลัวที่สุด … ไม่ต้องลงมือลงแรงเลยจริงๆ’ ผมคิด มันทำให้ผมเริ่มกลัวไอร่าขึ้นมาอีกนิดหนึ่งแล้วสิ ดูท่าทางเธอจะร้ายกาจไม่เบาเลยจริงๆ
“ใช้ไม่ได้เลยพวกแกนี่!” เสียงของหัวหน้าพวกมันดังขึ้น ก่อนที่ผมจะเห็นแสงสีแดงๆถูกวาดเป็นลวดลายจากคนชุดดำคนหนึ่ง ซึ่งนั้นต้องเป็นเจ้าของเสียงแน่ๆ
ชายชุดดำคนนั้นร่ายรำแบบจอมยุทธที่เห็นในหนังจีนกำลังภายในอะไรทำนองนั้นเลย เส้นแสงสีแดงๆถูกวาดไปตามทางของนิ้วมือ ผมเห็นแล้วมันคล้ายอักขระเสียมากกว่าที่เป็นลวดลายมั่วๆ แต่อักขระนั้นผมอ่านไม่ออกจริงๆ
“อันตราย!” ซีฟาร์ตะโกนเสียงดังเตือนทุกคนที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อชายคนนั้นร่ายรำเสร็จแล้ว พายุทรายลูกใหญ่สูงราวๆตึกสิบสองชั้นก็ถาโถมเข้ามาทางพวกเธออย่างรวดเร็ว
… ดีที่ไอร่าสร้างเกราะเวทย์ช่วยทุกคนเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคงเป็นซากกลางทะเลทรายหมดแล้ว
“สวัสดีไซนอล ฟาเรลแห่งผืนทราย” ไอร่าพูดขึ้นหลังจากพายุทรายสงบลงแล้ว
“เจ้าก็รู้จักข้านี่ ไอร่า… เพื่อนยาก” เสียงของผู้ชายดังออกมาจากชุดดำนั้น เขาแกะผ้าที่ห่ออยู่ทั่วตัวออก เผยให้เห็นชุดแบบนักเวทย์ที่ดัมเบิ้ลดอร์ในแฮรี่พอตเตอร์ใส่ เพียงแต่ชุดของเขาเป็นสีน้ำตาลอ่อนเท่านั้น
เส้นผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีน้ำตาล พร้อมกับผิวสีแทนของเขา ช่างเข้ากับทะเลทรายแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
“เหลือเชื่อนะที่เพื่อนจะต้องมาตีกันเอง” ไอร่ายิ้มที่มุมปาก … อ้าวผมคิดว่าเธอไร้ความรู้สึกเสียอีก แต่ยังยิ้มเป็น แสดงว่าเธอยังแสดงความรู้สึกได้อยู่สินะ
“มันเป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องไม่ให้พลังบนโลกมนุษย์หลุดไปในโลกปีศาจ ซึ่งเธอ…กำลังจะทำมัน” ไซนอลทำตาขวางใส่ไอร่า … แต่ทว่าไอร่ายังรักษายิ้มที่มุมปากไว้ได้เช่นเคย แต่ดวงตาเธอไม่ได้ยิ้มไปด้วยแฮะ ดวงตาของเธอยังคงนิ่งสงบอยู่เช่นเคย
ความเงียบงันเริ่มเข้ายึดพื้นที่ทะเลทรายแห่งนั้นเรียบร้อยแล้ว ไอร่าหันกลับมามองซีฟาร์ แล้วพยักหน้าให้ซีฟาร์ … ผมเข้าใจว่า เธอจะลุยเดี่ยวเอง
“เลิกล้มความตั้งใจที่จะพามนุษย์คนนั้นไปยังโลกปีศาจเสียเถอะ นี่พวกเธอโชคดีแล้วนะที่เจอกับฉัน” ฟาเรลแห่งทะเลทรายยิ้ม … ผมชักอยากจะเห็นแล้วสิว่าเจ้าฟาเรลแห่งทะเลทราย กับไอร่าใครจะเจ๋งกว่ากัน
การปะทะจะเกิดขึ้นท่ามกลางทะเลทรายแห่งนี้ ระหว่างสายเลือดวิหคน้ำแข็ง กับฟาเรลผู้เฝ้าประตูมิติแห่งซาฮาร่า จะเกิดขึ้น … ผมชักหวั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วสิ ไอร่าเคยบอกว่าพลังของฟาเรลมหาศาลมากเสียด้วย
ไอร่าเรียกแส้น้ำแข็งของเธอออกมาเตรียมพร้อมที่จะจัดการชายตรงหน้า …
“จัดการมัน!” ไซนอลสั่งลูกน้องทุกคน ให้จัดการกับไอร่า ซึ่งลูกน้องของมันมีนับสิบ … จะปะทะกับไอร่าเพียงคนเดียว ชักจะมากเกินไปหน่อยแล้วนะ
ผมได้แต่คิดว่า พลังของไอร่าคงเพียงพอที่จะชนะพวกนั้นได้นะ เพราะถ้าเราขาดไอร่าไป เหมือนเราต้องเสียคนเก่งที่สุดของเราไปคนหนึ่งเลยทีเดียว
เหล่าคนชุดดำนับสิบคน พุ่งเข้าหาไอร่ากันแบบไม่กลัวตายใดๆทั้งสิ้น ไอร่าจึงเริ่มแผ่ไอพลังของเธอออกมา เหล่าคนชุดดำที่พุ่งเข้ามาเริ่มชะลอความเร็วลง
ไอพลังของไอร่าสัมผัสโดนพวกแถวหน้าที่วิ่งเข้ามาหวังจะจู่โจมเธอ แต่ทว่าเหล่าคนชุดดำเมื่อสัมผัสไอพลังของไอร่าแล้ว ก็ล้มลงนอนแน่นิ่งกับพื้นทันที เพราะไอพลังที่เย็นเฉียบทำให้ร่างกายเหือดแห้งอย่างรวดเร็ว ร่างกายของมนุษย์ที่ขาดน้ำอย่างกระทันหันทำให้เสียชีวิตลงทันที แสดงว่า…พวกนี้เป็นมนุษย์ แต่ว่าทำไมมันถึงสู้กับพละกำลังของแวมไพร์ได้กันนะ
“นี่น่ะหรือพลังของไอร่า!” พวกคนชุดดำตื่นตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไอร่าไม่สนใจความตื่นตระหนกของพวกเหล่าชุดดำ เธอกลับหมุนตัวเพื่อเหวี่ยงแส้น้ำแข็งของเธอราวกับเธอกำลังเต้นบัลเลท์อยู่เลยทีเดียว
ปลายแส้ที่สัมผัสกับร่างของคนชุดดำคนหนึ่ง … ในสายตาของผมเห็นว่าแส้นั้นไม่ได้ถูกเหวี่ยงแรงสักเท่าไรเลย แต่ร่างที่ถูกแส้นั้นกลับกระเด็นไปไกลพอสมควรเลยทีเดียว
ตอนนี้ทุกคนกลายเป็นวิ่งหลบแส้ของไอร่า แทนที่จะเป็นฝ่ายรุมโจมตีเธอ… ผมรู้สึกแค่ว่า ทำไมมันกระจอกอย่างนี้ฟะ!!
ทุกคนที่วิ่งหลบแส้ของไอร่า วิ่งหนีกันกระจัดกระจาย หายไปกันอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงพวกผม ไอร่าและไซนอล ฟาเรลแห่งทราย ดูท่าทางแล้ว ไซนอลพอใจในการต่อสู้ของไอร่าอย่างมาก
“เก่งจริงๆไอร่า เก่งเหมือนที่ตำนานกล่าวไว้เลยจริงๆ” ไซนอลโปรยยิ้มกวนประสาทให้แก่ไอร่า ผู้ครองหน้านิ่งได้ตลอดเวลา
“สมกับตำแหน่งองครักษ์ของเซนทราเรียน์จริงๆ” คำพูดนั้นทำให้ทุกคนเบิกตากว้าง รวมถึงผม ส่วนไอร่าก็ยังนิ่งสงบเช่นเคย … ความจริงของไอร่าเธอคือองครักษ์ของเซนทราเรียน์อย่างนั้นหรือ ทำไมทุกคนไม่เคยรู้เลยรวมถึงซีฟาร์เองด้วยสินะ ถึงได้ถลึงตาจนเกือบจะหลุดจากเบ้าได้แล้วนั่นน่ะ
...ตกลงไอร่า เป็นใครกันแน่นะ สิ่งนี้คือสิ่งที่ผมคิด และเธอคงต้องอธิบายเรื่องนี้หลังจากเสร็จธุระนี้แน่นอน
ความคิดเห็น