ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Vampires War - แวมไพร์ต๊องป่วนสงครามแห่งสายพันธุ์

    ลำดับตอนที่ #4 : ความจริงหมายเลข2 : ยังไงกันแน่!

    • อัปเดตล่าสุด 20 ม.ค. 56


    ความจริงหมายเลข 2 : ยังไงกันแน่!

     

              ท่ามกลางห้องที่เป็นโดมทรงครึ่งวงกลม ไร้ซึ่งแสงสอดส่องจากภายนอก เพราะโดมนี้ถูกปิดทึบจนแสงไม่สามารถผ่านเข้ามาได้แม้แต่น้อย แต่ด้วยแสงไฟจากเทียนที่ตั้งอยู่ทั้งหกมุมของห้อง ที่พื้นมีร่องถูกเซาะจนเป็นรูปดาวหกแฉก  ที่ปลายดาวหกแฉกมีอักขระแปลกๆรายล้อมจนเป็นวงกลมครอบดาวหกแฉกนั้นไว้

                ร่างของเรย์ที่ยังคงไร้สติ นอนอยู่ท่ามกลางดาวหกแฉก ซึ่งในโดมนั้น มีเขาเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

                แอ๊ด!~’ เสียงประตูดังขึ้นมาจากทางฟากหนึ่งของโดม แวมไพร์ผมสีม่วงกับชายร่างสูงรูปร่างบอบบางในชุดคลุมแบบมีฮุ้ดสีดำ เดินผ่านพ้นธรณีประตูเข้ามาภายในโดม ทันใดนั้นแสงสีน้ำเงินจากร่องที่ถูกเซาะเป็นรูปดาวหกแฉกก็เรืองรองขึ้น

                ยังไม่ฟื้นอีกอย่างนั้นหรือ เจ้า ใช้เวทย์ขั้นสูงกับมนุษย์ผู้นี้ได้เยี่ยงไรกัน เจ้าทำให้วิญญาณของเขาอ่อนแอลงมากถึงเพียงนี้ โอกาสที่เขาจะรอดคงมีน้อยแล้วล่ะ ชายร่างสูงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาใส่แวมไพร์ผมสีม่วงด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง

                ข้าแค่ต้องการให้พวกซีฟาร์ไม่มาขวางทางข้า จึงใช้พลังขั้นสูงขนาดนั้น แต่ไม่น่าเชื่อว่าพลังนั้นจะกระทบถึงวิญญาณของเขาเลยจริงๆ แวมไพร์ผมม่วงตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาพอๆกัน ทันใดนั้นชายร่างสูงที่ใส่ฮู้ดคลุมอยู่ก็สะดุ้งขึ้นมา

                หึหึ พลังวิญญาณของเด็กนี่กลับมาแล้วสินะ ฟื้นฟูได้เร็วดีจริงๆ ร่างสูงพูดขึ้นมาโดยที่แวมไพร์หัวม่วงยืนงงอยู่ตรงนั้น ผมค่อยๆมีสติจนลืมตาขึ้นได้ ผมมองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัย ที่ไหนกันเนี่ย ทำไมบรรยากาศมันดูน่ากลัวเหลือเกิน ผมคิดในใจ

                เรซิวอน เคออสก้า นี่คือชื่อจริงของเจ้าใช่หรือไม่ ชายร่างสูงผู้คลุมฮู้ดถามผมด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเป็นมิตรให้ผมฟัง เสียงของเขาฟังดูไพเราะ มีน้ำหนักเสียงที่นุ่มสบายหู ผมนิ่งมองเขาสักระยะหนึ่ง และมองไปยังแวมไพร์ผมสีม่วงตนนั้น ผมเกิดความไม่ไว้ใจขึ้นมาทันที

                ถ้าใช่แล้วจะทำไม แล้วอีกอย่าง พาผมมาที่นี่ทำไมกัน ผมมีน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความหวาดกลัวที่เกาะกุมจิตใจในเวลานี้ ชีวิตของผมเพิ่งเกิดมาไม่ทันถึงครึ่งอายุขัยคนเลยนะ ทำไมผมต้องซวยแบบนี้ด้วยเนี่ย

                ข้าไม่ทำร้ายเจ้า ในที่นี้ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้หรอกหนุ่มน้อย ร่างสูงนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ละมุนน่าฟังเป็นที่สุด

    เขาเอื้อมมือลงมาลูบหัวผมเบาๆ ถึงเขาจะพูดแบบนั้นผมก็ยังกลัวเขาอยู่ดีล่ะ ก็อย่างว่า ใครจะไปยอมรับว่าตัวเองเป็นคนไม่ดีล่ะครับ ยิ่งคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขาเคยทำร้ายผมมาถึงสองครั้ง ผมจะเชื่อใจเขาได้อย่างไร

                ชายร่างสูงเปิดฮู้ดที่คลุมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าที่หล่อเหล่าของเขา เส้นผมสีทองกับดวงตาข้างขวาที่มีสีน้ำเงินเข้มและดวงตาข้างซ้ายมีสีฟ้าอ่อน เขามีหน้าตาแบบมนุษย์ปกติ แต่อยู่ในระดับนายแบบที่หล่อที่สุดที่ผมเคยพบได้เลยก็ว่าได้ แต่ ทำไมดวงตาของเขามีสองสีล่ะ ถึงเขาจะเปิดหน้าตาให้ผมดูแต่ผมก็ไม่เชื่อคนที่หน้าตาหรอกนะเฟ้ย

                ข้าชื่อคารอน ข้าเป็นเทพแห่งสายน้ำ สิ่งนี้คงยืนยันข้าได้ว่าข้าจะไม่ทำร้ายเจ้า เมื่อเขายื่นมือขวาของเขาออกมา แล้วหันหลังมือให้ผมดู ผมเห็นน้ำที่เรื่องแสงสีฟ้าอ่อนไหลออกมาจากปลายนิ้วของเขาเรียงตัวกันเป็นอักขระแปลกๆที่ผมอ่านไม่ออก แต่ผมรู้สึกคุ้นๆว่าผมเคยเห็นที่ไหนนะ

                ออกไปซะเฟย์รอม ข้าจะคุยกับเรย์ตามลำพัง คำสั่งที่เด็ดขาดทำให้เฟย์รอมรีบถอยกรูดออกจากห้องโดยไม่มีการเถียงด้วยสักคำเดียว

                ท่านเป็นเทพแห่งสายน้ำจริงๆอย่างนั้นเหรอ คำถามที่ผมถามออกไปเพื่อเช็กความมันใจว่า เขานั้นคือของจริง

                ตามข้อตกลงระหว่างสามโลก หากปีศาจอ้างตัวเป็นว่าเทพกับมนุษย์เมื่อไร ปีศาจตนนั้นจะกลายเป็นธุลีไปในทันทีจากคำสาปของเซนทราเรียน์ เขาพูดยืนยันด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ก่อนจะยิ้มให้ผม

                ผมไม่รู้จะตัดสินใจเชื่อเขาได้เลยดีไหม ผมถึงกึ่งเชื่อกึ่งไม่เชื่อไปก่อน แต่ผมก็ยอมคุยกับเขาแต่โดยดีแน่นอนครับ เพราะถ้าหากเขาเป็นเทพแห่งสายน้ำจริงๆ ผมคงไม่รอดแน่ถ้าขัดใจเขา แต่ท่าทางเขาดูเป็นคนที่อารมณ์ดีพอสมควรนะ

                ชีวิตของเจ้าติดพันกับสายพันธุ์แวมไพร์โดยที่เจ้ารู้เรื่องแล้ว การที่เหล่าแวมไพร์จะพาเจ้าไปยังโลกปีศาจนั้น เหล่า ฟาเรล หรือว่าผู้ดูแลมิติของโลกไม่ยอมให้เจ้าผ่านเข้าไปเป็นแน่ เทพแห่งสายน้ำเริ่มเปิดประเด็นในการคุยกับผม

                หมายความว่ายังไงครับ ที่ไม่ให้ผมผ่านเข้าไป ผมถามกลับเพราะเกิดความสงสัย

                จิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ในตัวของเจ้า เป็นสิ่งที่โลกต้องการ หากเจ้าข้ามมิติไป จิตวิญญาณที่อยู่ในตัวของเจ้าอาจสูญหายไปในทันที สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือพลังบนโลกจะสั่นคลอน เจ้าจงรู้ไว้ว่าโลกของเจ้าที่ยังปลอดภัยอยู่ เป็นเพราะพลังจากจิตวิญญาณของเจ้าที่ทำให้พลังของปีศาจอ่อนลง หากเจ้าข้ามมิติไปแล้วล่ะก็ เจ้าคงรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น ชายผู้มีตาสองสียืนทำหน้าบึ้งให้ผมแล้วกล่าวต่อ จริงๆแล้วมันไม่ใช่หน้าที่ของข้าเลยนะเนี่ย พวกฟาเรลต้องการจะบอกเจ้าจึงต้องทำแบบนี้

                แล้วถ้าหากผมยังคงต้องไปยังโลกของปีศาจ พวกฟาเรลจะทำยังไงเหรอครับ ผมสงสัยถ้าหากผมยังดื้อจะไปอยู่ เขาจะทำอะไรยังไง

                พวกเขาจะกำจัดปีศาจที่จะพาเจ้าไปโดยไม่มีการต่อรองใดๆน่ะสิ เทพแห่งสายน้ำพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่เขาพูดคือความจริง

                หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงแล้ว ซีฟาร์ ไอร่า อิเรอัล ฟาร์ จะต้องถูกเก็บเพราะถูกคิดว่าจะพาตัวเราไปอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเรื่องสายเลือดที่บริสุทธิ์ของผมทำไมมันต้องเป็นจริงด้วยนะ! เรื่องราวของผมชักจะไปกันใหญ่แล้วนะ อีกอย่างที่ผมสงสัย ตกลงเฟย์รอม แวมไพร์หัวม่วงเป็นฝ่ายไหนกันแน่ ทำไมมาสนิทกับเทพแห่งสายน้ำได้ ถ้าเขาเป็นฝ่ายที่อยู่กับเทพทำไมต้องทำร้ายเราในตอนนั้นด้วย ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

                เจ้าไม่ควรไปที่โลกปีศาจนั้น มันเป็นที่ที่เจ้าไม่ควรอยู่ เทพแห่งสายน้ำยืนยันอีกครั้งเพื่อย้ำว่าผมไปที่นั่นไม่ได้จริงๆ

    แล้วเรื่องราชาปีศาจที่ต้องการหยุดสงครามแวมไพร์ล่ะครับ ผมถามกลับไป เพราะผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรแก้ไขอย่างด่วนเช่นกัน

    สงครามแวมไพร์ที่ต้องการความเป็นอิสระของตัวเองอย่างนั้นหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าจะจบเรื่องนั้นได้อย่างนั้นหรือ ขนาดราชาปีศาจยังไม่สามารถจบสงครามนั้นได้เลย แล้วเจ้าเป็นใคร จะเข้าไปยุ่งกับสงครามแวมไพร์นอกคอกพวกนั้น เทพแห่งสายน้ำคารอน พูดด้วยน้ำเสียงที่โกรธแค้นพวกแวมไพร์ที่ก่อสงครามกันเอง ทั้งๆที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันแท้ๆ แต่กลับเข่นฆ่ากันเอง มันไม่เห็นค่าของเผ่าพันธุ์ของพวกมัน มันต้องการแค่อำนาจ นั่นเป็นสิ่งที่เกิดจากความโลภทั้งนั้น ข้าคิดว่าให้มันฆ่ากันเองให้หมดสายพันธุ์นั่นแหล่ะ คารอนพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกพวกแวมไพร์เหล่านั้น

     

                แต่พ่อฉันไม่ใช่ เสียงเล็กแหลมที่ดังมาจากข้างหลังคารอนทำให้ เรย์และคารอนหันกลับไปมองผู้หญิงผมยาวสีฟ้าดวงตาสีโลหิตที่ดูทรงอำนาจอย่างเหลือเชื่อ กับ ฟาร์ อิเรอัล และ ไอร่า ที่ยืนเรียงกันอยู่หน้าห้อง เปิดตัวอย่างกับจะมาประกวดเดอะสตาร์เลยเน้าะ

                หึหึ! ลูกสาวสายพันธุ์แวมไพร์อย่างเจ้าก็ต้องเข้าข้างพ่อของเจ้าอยู่แล้วสิ คารอนมีน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นมาทันที เมื่อเขาหันกลับไปมองซีฟาร์

                แกกล้ากล่าวหาว่าพ่อฉันเป็นคนบ้าอำนาจ สงสัยเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว ซีฟาร์พูดขึ้นพร้อมกับชักปืนของเธอออกมา นี่ใครมาว่าพ่อของเธอ ถึงกับต้องยิงกันเลยเหรอ น่ากลัวแฮะผู้หญิงคนนี้

                สิ่งที่ข้าพูดมันผิดอย่างนั้นหรือ แวมไพร์น้อย ทันทีที่คารอนพูดจบ ซีฟาร์ก็เผยเขี้ยวของเธอออกมาให้ผมชมต่อหน้าต่อตา เฮ้ย! แวมไพร์ยิงปืน! เธอดูหนังเรื่องอันเดอร์เวิร์ลมากไปหน่อยหรือเปล่านะปืนที่ผมเห็นเหมือนในหนังเลย ซึ่งปืนนั้นมันอยู่ในมือของเธอ และนิ้วของเธอก็เตรียมลั่นไกแล้วด้วย

                นี่ไม่ใช่สำหรับพ่อฉัน แต่นี่ฉันจะเอาคืนในข้อหาที่แกลักพาตัวเรย์มาที่นี่ ว่าแล้วเธอก็ส่งกระสุนสีทองสลักลวดลายแปลกๆที่หัวกระสุนออกมาจากปากกระบอกปืน พุ่งเข้าหาคารอนทันทีโดยไม่ฟังคำอธิบาย

                คารอนยกมือขึ้นมาแล้วกำมืออย่างรวดเร็ว เมื่อเขาแบมือออกมาก็พบว่ากระสุนถูกหยุดอยู่ในมือของเขาอย่างง่ายดาย คารอนแสยะยิ้มแล้วพูดออกมา นี่หรือกระสุนเวทย์ พลังกระจอกกว่าที่ข้าคิดไว้ซะอีก

                ซีฟาร์ อิเรอัล และฟาร์ เบิกตากว้าง เพราะในประวัติศาสตร์ที่พวกเขารู้ คือไม่มีใครต้านทานพลังของกระสุนเวทย์ได้ ทำให้พวกเขารู้ตัวว่า คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

                แกเป็นใครกันแน่…” เสียงของซีฟาร์ฟังดูเหมือนคนกำลังตื่นตระหนกกับอะไรสักอย่าง ซึ่งต้องเป็นคารอนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอแน่นอน เพราะในที่นี้ไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าชายผู้นี้อีกแล้ว แต่เขาก็เป็นเทพนะเฮ้ย!

                ฉันไม่อยากยุ่งกับปีศาจอย่างพวกแกนักหรอกนะ คารอนมองซีฟาร์ด้วยหางตา เป็นการแสดงว่าเขาดูถูกเธออย่างรุนแรง ต่อให้เจ้าเอาพวกของเจ้ามาสักสิบคน ก็ยังไม่ชนะข้าเลยล่ะมั้ง คารอนหัวเราะในลำคอ

                ช่างเป็นเทพที่ชั่วร้ายมาก (หมายถึงเสียงหัวเราะนะครับ)

                อิเรอัลไม่ยอมโดนดูถูกอยู่ฝ่ายเดียว เขารุกเข้ามาหาคารอนด้วยความเร็วสูง ข้าอยากเห็นที่เจ้าพูด ว่าจริงไหมสิบคนชนะเจ้าไม่ได้ อิเรอัลเรียกแวมไพร์ออกมาสิบตนล้อมรอบคารอนอย่างรวดเร็ว ทำให้คารอนสะดุ้งเล็กน้อยเพราะผู้ที่จะเรียกแวมไพร์ออกมาได้แบบนี้ ต้องเป็นแวมไพร์ที่อยู่ในระดับสูงเท่านั้น

                ขณะที่คารอนยังตกใจอยู่นั้น แวมไพร์สิบตนก็เข้ารุมทึ้งเขาอย่างรวดเร็ว แต่ทว่า ดาบทุกเล่มที่ฟันใส่เขากลับกลายเป็นฟันใส่พวกเดียวกันเองส่งผลให้แวมไพร์ทุกตนที่ลุยเข้าไปตายเรียบ อิเรอัลเบิกตากว้างด้วยความตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                มันเป็นใครกันแน่ อิเรอัลเสียงสั่น เพราะเขาก็เริ่มกลัวคนที่อยู่ตรงหน้าเพิ่มขึ้นมาอีก

                คารอนเป็นเทพแห่งสายน้ำครับ!!!!” ผมตะโกนสุดเสียงเพื่อบอกพวกเขาว่า คารอนเป็นใคร เพราะผมตะโกนไปหลายรอบแล้ว แต่ทำไมไม่ได้ยินกันสักที จึงใช้ไม้สุดท้ายคือการใช้เสียงเก้าหลอดของผม แต่ผมก็ไอค่อกแค่กทันทีที่แหกปากเสร็จ

                ว่าไงนะ!!” ซีฟาร์ อิเรอัล ฟาร์ อุทานขึ้นมาพร้อมกัน

    ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรกฮะ ซีฟาร์เปลี่ยนเป้าหมายมาโมโหผมแทน

    ฉันน่าจะถามเธอว่าทำไมเธอไม่ฟังฉันตั้งแต่แรกมากกว่านะ ผมพูดเสียงแหบเพราะเจ็บคอกับการใช้เสียงเก้าหลอดไปเมื่อครู่ ก็จริงไหมล่ะครับ ผมยืนบอกอยู่ตั้งหลายรอบ แต่มีใครสนใจผมบ้างไหม!!! เฮ้อเศร้า

    คารอนเทพแห่งสายน้ำ ร้ายกาจขนาดนี้แล้วอย่างนั้นหรือ ไอร่ายืนที่ทำหน้านิ่งตั้งแต่เข้ามาพูดขึ้นบ้าง

    ไอร่า!” เทพแห่งสายน้ำมีน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกขึ้นมาบ้างแล้วจากที่เขาเย็นชาอยู่นาน ผมเห็นคารอนยืนกัดปากตัวเองอยู่ไม่นาน ก่อนที่เขาจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมสงสัยในตัวไอร่าเพิ่มขึ้น แค่เสียงของเธอก็ไล่เทพได้เลยอย่างนั้นหรือ

    ผมขอถามอะไรหน่อยได้ไหมครับ ผมยืนเกาหัวอยู่กับที่ เพราะความงง และความสงสัยบังเกิดขึ้นในหัวผมอย่างรวดเร็วเหลือเกิน คือว่าทุกคนที่อยู่ตรงนี้มีเผ่าพันธุ์อะไรบ้างครับ…” ผมคิดว่าพวกเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ

    ฉันเป็นแวมไพร์ และเป็นลูกสาวของเคย์เลอร์ ผู้นำฝ่ายแวมไพร์ ซีฟาร์ยืนเท้าสะเอวบอกผม

    ข้าเป็นแวมไพร์ และเป็นหนึ่งในที่ปรึกษาทั้งห้าของราชาปีศาจ อิเรอัลชี้นิ้วเข้าหาตัวเองแล้วตอบ

    ฉันเป็นซาตาน แค่นั้นแหล่ะ ฟาร์ยืนยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร แต่ดวงตาของเขาช่างดูเจ้าเล่ห์สมเป็นซาตานจริงๆ

    ฉันเป็นเทพแห่งความมืดครึ่งหนึ่งอีกครึ่งหนึ่งเป็นสายเลือดวิหคน้ำแข็ง ไอร่าพูดด้วยน้ำเสียงไร้โทนสูงต่ำ และน้ำเสียงที่มีไอเย็นของเธอทำให้ผมหนาวเข้าถึงวิญญาณเลยทีเดียว ไปๆมาๆแล้ว ผมก็อยู่กลางดงปีศาจชั้นสูงซะแล้ว เฮ้อ!!~

                เทพแห่งสายน้ำทำไมต้องมาพาตัวนายไปด้วยนะฉันไม่เข้าใจเลย แล้วเฟย์รอมไปไหนซะล่ะ ซีฟาร์พูดขึ้นมาแบบหัวเสีย ที่เทพมาทำกับเพื่อนของเธอแบบนี้ เห็นทีผมควรจะบอกเรื่องที่ฟาเรลไม่ยอมให้เราผ่านประตู

    ฉันมีอะไรจะบอก ผมพูดขึ้น แล้วเล่าเรื่องฟาเรลให้ทุกคนฟังจนจบ

     

    ว่ายังไงนะ แสดงว่านายเป็นคนนั้นจริงๆสินะ ซีฟาร์แหกปากลั่นจนผมต้องเอามืออุดหูไว้ แล้วพยักหน้าแทนคำตอบว่าใช่

    แต่ผมก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเป็นเรื่องจริงไหม แต่เทพแห่งสายน้ำมาบอกเองผมคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง พอผมพูดจบ ทุกคนก็เข้าสู่โหมดขรึมกันหมด ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ…?

    ถ้าหากศัตรูของเราตอนนี้คือฟาเรล คงยากที่จะกลับไปยังโลกปีศาจแล้วล่ะ ซาตานผมสีแดงทำเสียงเครียด

    ฟาเรลฝีมือร้ายกาจขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมถามด้วยความสงสัยอีกรอบ ซึ่งคราวนี้ไอร่าพยักหน้าให้ มันจึงเป็นคำตอบที่ยืนยันและสามารถบอกได้ว่าฟาเรลน่ากลัวกว่าที่ผมคิดไว้เสียด้วย เพราะขนาดครึ่งเทพความมืดยังพยักหน้าให้เลยนี่ครับ

    ยังไงฉันก็ต้องกลับให้ได้ก่อนที่จะเกิดเรื่องไปมากกว่านี้ซีฟาร์พูดด้วยความเร่งรีบจนผมเกือบฟังไม่ทัน

     

                กลางดึกท่ามกลางถนนที่ไม่มีรถวิ่งอยู่เลย ถนนใหญ่นี้ถูกแบ่งฟากไว้ ฟากละสี่เลน ซึ่งมีเกาะกลางถนนกั้นไว้อยู่ ผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่บนเกาะกลางถนน ยืนมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

                เขาก้าวเดินลงมาจากเกาะกลางถนนเพื่อเดินข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แต่แล้วก็มีรถวิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูง ชนเข้ากับร่างชายคนนั้นเต็มๆ ชายคนนั้นถูกรถชน แต่ด้วยรูปร่างที่สูงของเขา ทำให้เขาตีลังกากลับไปทางข้างหลังรถ แทนที่จะปลิวไปข้างหน้า และคนขับรถคันนั้นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาหักพวงมาลัยออกซ้ายอย่างรวดเร็วแต่ไม่ทัน แถมยังทำให้รถเสียหลัก หงายท้องอยู่กลางถนน คนขับรถรอดตายเพราะคาดเข็มขัดนิรภัยและมีถุงลมนิรภัยช่วยเขาเอาไว้ แต่แรงกระแทกก็ทำให้คนขับเวียนหัวไปสักครู่ คนขับหันไปทางประตูเพื่อจะเปิดประตูออกจากรถ แต่แล้วเขาก็ต้องเบิกตากว้างเพราะร่างที่ถูกชนแบบนั้นคงต้องกระดูกกระเดี้ยวหักเป็นชิ้นๆ แต่นั่นเขากำลังดัดแขนตัวเองอยู่ คนขับรถโชคร้ายคนนั้นพยายามจะเปิดประตูออก แต่สลักประตูบนรถคงเสียเพราะถูกกระแทกไปทำให้ประตูเปิดไม่ได้ เขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายเป็นคลานออกจากทางหน้าต่างที่กระจกแตกละเอียดไปแล้วแทน แต่แล้วร่างชายที่ถูกรถของเขาชนหายไปจากตรงนั้นแล้ว ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาหาคนขับรถคนนั้นทันที

                ทันใดนั้นรถที่หงายท้องอยู่ก็ถูกพลิกกลับขึ้นมาอยู่ในสภาพที่ล้อแตะพื้นได้เหมือนเดิม แต่สภาพรถที่เละเทะจากการกลิ้งมาหลายตลบคงไม่สามารถวิ่งต่อได้ คนขับตกใจจนน้ำตาไหลออกมาจะร้องหาความช่วยเหลือก็คงไม่มีใครผ่านมาทางนี้แน่ๆ เพราะเส้นทางนี้ทุกครั้งที่เขากลับบ้านก็ไม่มีรถสักคันที่จะวิ่งเป็นเพื่อนร่วมทางกับเขาเลย

                อยู่ๆประตูรถก็ถูกกระชากออกจากตัวถังรถโดยมือที่มองไม่เห็นอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างของชายผู้หนึ่งที่มีเส้นผมสีดำยาวระต้นคอดวงตาสีส้มใส่เสื้อคล้ายขุนนางอังกฤษโบราณสีดำ กับร่างของชายผู้หนึ่งที่ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกางเกงยีนส์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นร่างของชายที่ถูกรถชนไปเมื่อครู่ เขาจำเสื้อเชิ้ตได้

                อย่าทำอะไรผมเลย ผมกลัวแล้ว คนขับรถที่แสนโชคร้ายคนนั้นร้องไห้อ้อนวอนขอชีวิต

                คนที่สวมชุดขุนนางอังกฤษโบราณมองคนขับรถด้วยสายตาที่เย็นชา พร้อมกับแยกเขี้ยวออกมาเตรียมจะฝังลงที่คอของคนขับรถที่แสนโชคร้ายคนนั้น

    โครม!!’ เสียงดังลั่นขึ้นเมื่อแวมไพร์ผมสีดำระต้นคอ ปลิวไปชนกับเกาะกลางถนนอย่างเต็มแรงทำให้เกาะกลางถนนแตกกระจายออกจากกัน แวมไพร์ตนนั้นนอนแผ่กลางถนน แถมยังกระอักเลือดออกมาเฮือกใหญ่ ส่วนแวมไพร์ที่สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงินที่ปลิวมาพร้อมกับแวมไพร์ผมสีดำนอนแน่นิ่งไปเรียบร้อยแล้ว

    แวมไพร์ผมสีดำระต้นคอ ลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองร่างร่างหนึ่งที่กำลังเดินย่างก้าวเข้าใกล้เขาเข้ามาเรื่อยๆ

    มอลเทียร์ เจ้าก็ร่วมกับเขาด้วยอย่างนั้นหรือ ร่างที่เดินเข้ามาใกล้จนพอให้แวมไพร์ผมสีดำเจ้าของชื่อมอลเทียร์ เห็นเขาได้ชัดขึ้น ทันใดนั้นมอลเทียร์ก็เบิกตากว้าง เพราะคนที่เห็นตรงหน้าเป็นคนที่ใครๆต่างก็รู้ดีว่าร้ายกาจเพียงใด

    มิเรเซีย! ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะมาเป็นฟาเรลอยู่ที่นี่ มอลเทียร์เรียกชื่อและตำแหน่งของผู้หญิงคนที่ทำให้เขาบาดเจ็บได้ขนาดนี้

    หึ! ฉันสัมผัสได้อยู่แล้วล่ะว่ามิติในเขตที่ฉันดูแลถูกเปิดขึ้น และอีกอย่าง มิติของนายน่ะกลิ่นมันแรงเสียด้วย มิเรเซีย แสยะยิ้มให้มอลเทียร์ แต่มอลเทียร์ก็หัวเราะออกทั้งๆที่ตัวเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบแล้วแท้ๆ ทำให้มิเรเซียรู้สึกอยากจะส่งแวมไพร์ตัวนี้กลับไปยังนรกโดยเร็ว ว่าแล้วเธอก็เรียกกระบองเพลิงออกมาจากอากาศอย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้มันฟาดลงที่ที่มอลเทียร์นั่งอยู่ แต่แล้วมิเรเซียก็ฟาดโดนแค่พื้น แรงของกระบอกส่งผลให้พื้นปูนแถบนั้นยุบลงไปเกือบเมตร

    ยังคล่องกระบองเหมือนเดิมเลยสินะ ว่าแต่พื้นทำอะไรให้เหรอ ถึงต้องไปตีมันด้วย ฮ่าๆๆๆ มอลเทียร์ที่ยืนอยู่บนอากาศหัวเราะเยาะเย้ยที่มิเรเซียฟาดกระบองเพลิงใส่พื้น ฉันว่ากระบองที่หนักสองร้อยตันที่เธอใช้มันหนักเกินไปนะ ฮ่าๆๆๆ

    มิเรเซียเลือดขึ้นหน้าที่ถูกแวมไพร์ล้อเลียนถึงขนาดนี้ เธอหันกระบองกลับมาหวดใส่มอลเทียร์อย่างรวดเร็ว แต่ทว่าครั้งที่หวดคราวนี้กลายเป็นหวดลมแทน กระบองที่ถูกหวดออกไปแหวกลมเป็นคลื่นพุ่งใส่ก้อนเมฆบนฟ้า ทำให้ก้อนเมฆแหวกเป็นรูปตามคลื่นลมที่พุ่งออกไป

    ว๊าว! แรงของเจ้าเยอะขนาดนี้เลยหรือเนี่ย งั้นสองร้อยตันนี้คงสบายๆสำหรับเจ้าสินะ มอลเทียร์แลบลิ้นกวนอวัยวะเบื้องล่างของมิเรเซีย ราวกับว่าเชิญชวนให้ ยันลงมาเต็มแรงเลยสิ!’

    หึ! พูดไปเถอะ!!!” มิเรเซียตวาดกลับ แล้วเธอก็ยื่นมือออกข้างหน้า เกิดลมหมุนขนาดเล็กๆในฝ่ามือของเธอ จนอัดตัวกลายเป็นก้อนกลมๆ เธอซัดมันใส่แวมไพร์ผมดำอย่างรวดเร็ว ความเร็วของก้อนพลังลมที่มีความเร็วเหนือเสียง พุ่งเข้าใส่ร่างของแวมไพร์ผมดำอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าพลังนั้นกลับพุ่งผ่านทะลุร่างของแวมไพร์ตนนั้นไปแบบดื้อๆ ทำให้เธอต้องอ้าปากค้าง

    อย่าบอกนะว่าเจ้า…!” มิเรนเซียเสียงสั่น ราวกับว่าเจอสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเธอ

    หึหึ!! ใช่แล้ว ข้าเป็นแวมไพร์ตนเดียวที่ได้ลงบ่อน้ำแห่งสายหมอกยังไงล่ะ มอลเทียร์ยืนแสยะยิ้มเผยเขี้ยวที่ยาวและแหลมคม กรงเล็บที่คมกริบถูกเผยออกมาจากปลายนิ้วของเขา ตอนนี้เขาพร้อมจะเอาคืนผู้หญิงตรงหน้าแล้ว

    มอลเทียร์พุ่งเข้าหามิเรนเซียด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ เขาใช้หลังมือฟาดที่ท้องของเธออย่างรวดเร็ว แต่ทว่าแรงที่ฟาดลงไป ไม่พอที่จะซัดกระบองที่หนักสองร้อยตันไปด้วยได้ ทำให้ร่างของมิเรนเซียยังอยู่ตรงนั้น แต่ถึงกระนั้นเธอก็นั่งจุกอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตรงนั้นเลยทีเดียว

    กระบองของเจ้าหนักจริงๆเลยนะ มิเรนเซีย ฮ่าๆๆ นี่หรือฝีมือของฟาเรล แวมไพร์แสยะยิ้มแล้วถลึงตามองมิเรนเซีย ก่อนจะพูดต่อเพียงคำเดียว … “สวะ!”

    เพียงเท่านั้นมิเรนเซียก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีก เมื่อถูกหยามศักดิ์ศรีกันขนาดนี้ เป็นตายยังไงก็ไม่ยอมแน่นอน เธอจับปลายกระบองทั้งสองข้างของเธอ ก่อนจะดึงมันออกจากกัน กระบองที่ถูกเปิดเผยให้เห็นใบดาบคมกริบอยู่ภายในกระบองนั้น ตกลงกระบองนั้นเป็นฝักดาบใช่ไหม คำถามเกิดขึ้นในหัวของมอลเทียร์อย่างรวดเร็ว แต่ความคิดของมอลเทียร์ยังช้ากว่าดาบที่ฟันเข้ามาหาตัวเขา แต่เขาก็เอี้ยวตัวหลบได้เกือบพ้น ทำให้ดาบปาดต้นแขนของเขาไปนิดหน่อย

    ว่องไวดีนี่ ดาบของเจ้าสวยดีนะ แต่สวยสู้ดาบของข้าไม่ได้หรอก มอลเทียร์เรียกดาบเรียวยาวที่มีใบดาบทำด้วยผลึกสีน้ำเงินมาอยู่ในมือ ทันทีที่ดาบของมอลเทียร์เข้าปะทะกับดาบของมิเรนเซีย ทำให้ดาบของมิเรนเซียหักเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย แต่มิเรนเซียรีบเอาส่วนที่เป็นฝักดาบ ที่เป็นกระบอง ออกมารับคมดาบไม่ให้เข้าถึงตัวเธอได้ทัน

    เธอใช้เท้าถีบส่งแวมไพร์ตัวนั้น ร่างของแวมไพร์กลิ้งหลุนๆไปตามแรงถีบที่แรงพอๆกับรถที่วิ่งมาสักประมาณหนึ่งร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงวิ่งชนเอาน่ะ

    คุณช่างเป็นผู้หญิงที่มือเท้าหนักจริงๆเลยนะครับ มอลเทียร์เก็กเสียงหล่อใส่มิเรนเซีย แต่มิเรนเซียไม่สนใจอาการเก๊กของมอลเทียร์ เธอรีบซัดมีดบินใส่มอลเทียร์ทันที แต่ก็ได้ผลเหมือนกับที่ใช้พลังบอลลมใส่ มีดบินทะลุร่างของมอลเทียร์ไปดื้อๆซะแบบนั้น เหมือนกับร่างของเขาเป็นหมอกได้ตามใจเขา แบบนี้มิเรนเซียต้องเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด และเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบมากถึงมากที่สุดเสียด้วย

    อย่างเจ้าไม่น่าเป็นแวมแพรนิสเลยนะ มิเรนเซียพูดขึ้นในขณะที่มอลเทียร์กำลังลุกขึ้นยืน เขายืนยิ้มให้เธอ รอยยิ้มที่เขายื่นให้เธอช่างน่าใช้กระบองฟาดให้ฟันหักไปเสียเลยจริงๆ

    อ๋อถ้าข้าไม่เป็นแวมแพรนิส เจ้าจะได้ไม่ต้องมาออกกำลังกายกับข้าแบบนี้น่ะเหรอ เจ้าก็จะนอนอ้วนลงพุงอยู่ในบ้านของเจ้าน่ะสิ ฮ่าๆๆๆ!” คำพูดที่ยียวนกวนประสาทของมอลเทียร์ ส่งผลให้กระบองสองร้อยตันลอยมาลงที่เขาอย่างรวดเร็ว

    กระบองของเจ้า ไม่ได้หนักอะไรสำหรับข้าหรอก มอลเทียร์พูดจบ เขาก็เอานิ้วชี้รับกระบองสองร้อยตันที่ลอยเข้ามาหาเขา กระบองสองร้อยตันเมื่อสัมผัสกับนิ้วชี้ของมอลเทียร์แล้ว ตัวกระบองก็แหลกกลายเป็นฝุ่นผงไปในพริบตา สร้างความตกใจและใจหายอย่างสุดขีดแก่มิเรนเซียอย่างยิ่ง

    มอลเทียร์พุ่งเข้าไปบีบคอมิเรนเซียอย่างรวดเร็ว ข้าจะบอกให้นะ ว่าพลังของเจ้ากับข้า มันคนละชั้นกัน มอลเทียร์พูดกรอกหูมิเรนเซีย แต่มิเรนเซียก็ถมน้ำลายใส่หน้ามอลเทียร์เต็มๆก่อนจะพูดว่า

    เจ้ามันขี้โกงน่ะสิ ใช้พลังของสายหมอกปกป้องร่างตัวเองน่ะ มิเรนเซียทำเสียงแหลมใส่มอลเทียร์ ทำให้มอลเทียร์บีบมือแน่นขึ้นอีก มิเรนเซียดิ้นทุรนทุรายเพราะหายใจไม่ออกเมื่อถูกบีบคอแน่นขนาดนั้น

    หยุดเดี๋ยวนี้ น้ำเสียงที่ครอบคลุมด้วยไอเย็นดังมาจากข้างหลังมอลเทียร์ ทำให้มอลเทียร์มือกระตุก ปล่อยคอของมิเรนเซียอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็หันกลับมามองเจ้าของเสียงอย่างรวดเร็ว

    ไอร่า!!” มอลเทียร์ เบิกตากว้างเมื่อพบกับสาวผมสีเทา ดวงตาสีเทาที่ดูหม่นหมองตลอดเวลา ไอที่เย็นยะเยือกถูกแผ่ออกมาจากร่างของเธอตลอดเวลา ความหนาวสุดขั้วทะลุเข้าถึงวิญญาณของมอลเทียร์ ร่างกายของมอลเทียร์สั่นหงกๆเพราะความหนาวถึงจิตวิญญาณ (หรือกลัวนั่นแหล่ะ)

    มอลเทียร์ นายไม่ควรอยู่ที่นี่ น้ำเสียงแบบเย็นชาที่ให้ความรู้สึกเย็นเฉียบจากไอร่า ทำให้ขนที่อยู่ตรงแขนของมอลเทียร์ทุกเส้นพร้อมกันลุกขึ้นมายืนตรงอย่างรวดเร็ว มอลเทียร์มีสีหน้าซีดเผือดและร่างกายที่สั่นเทาไม่สามารถควบคุมได้

    มอลเทียร์ได้สัมผัสความหนาวถึงจิตวิญญาณเป็นครั้งแรก เขารู้จักไอร่าเพียงแค่ในประวัติศาสตร์เท่านั้น ไม่เคยพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเลย แต่วันนี้เขาได้พบแล้ว ไอร่าตัวเป็นๆยืนอยู่ต่อหน้าเขา คงเป็นเพราะเธอมีประวัติที่ทำให้เหล่าปีศาจแม้แต่เหล่าเทพ ก็ยังต้องขนลุกขนชันเมื่อเจอเธอ

    สายเลือดวิหคน้ำแข็ง อยู่ตรงนี้แล้วอย่างนั้นหรือเนี่ย มอลเทียร์พูดอย่างยากลำบากเพราะความเย็นในร่างกายของเขาราวกับอวัยวะภายในร่างกายของเขาจะเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว แม้ขนาดข้าใช้ร่างหมอกในการป้องกันการโจมตีร่างกาย แสดงว่าจิตของมันแผ่เข้าถึงวิญญาณจริงๆสินะ

    เอาเป็นว่าฉันฝากไว้ก่อนก็แล้วกัน ฟรึ่บ!! มอลเทียร์พูดจบก็สะบัดผ้าคลุมแล้วหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

    มิเรนเซียที่นั่งสูดหายใจให้ชุ่มปอดมองดูร่างที่งดงามของไอร่าแล้วก็อึ้งไปสักพัก

    ฉันเองไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณปีศาจเท่าไรนักหรอกนะ มิเรนเซียเบือนหน้าหนีไอร่า ซึ่งตอนนี้เธอเก็บจิตเยือกแข็งไปเรียบร้อยแล้ว ไอร่านั่งลงข้างๆมิเรนเซียแล้วก็ยิ้มให้

    ฉันเองก็ผ่านมากับเพื่อนฉันอีกสี่คนที่ยืนมองอยู่ข้างบนนู้นน่ะ แล้วไอร่าก็ชี้ขึ้นไปยังสะพานที่พาดข้ามถนนเส้นนี้ มิเรนเซียเห็น เด็กหนุ่มผมสีดำตาสีดำยืนยิ้มให้อยู่ จู่ๆเธอก็หน้าแดงขึ้นมาซะงั้น

    เด็กผมสีดำตาสีดำคนนั้นน่ะให้ฉันลงมาช่วยคุณ ไอร่าพูดแค่นี้ แล้วเธอก็กระโดดขึ้นมาบนสะพานอย่างน่าเหลือเชื่อ

    เธอคนนั้นเป็นฟาเรล ฉันสัมผัสได้ ไอร่าเอ่ยขึ้นมา ไหนว่าฟาเรลฝีมือฉกาจไงล่ะ ทำไมแพ้แวมไพร์นั่นราบคาบเลยล่ะ นี่คือสิ่งที่ผมคิด

    ทำไมถึงแพ้แวมไพร์นั่นง่ายๆเข้าล่ะ ซีฟาร์เอ่ยขึ้นมา ตรงกับความคิดผมเป๊ะเลยแฮะ ดีผมจะได้ไม่ต้องเอ่ยถาม

    รู้สึกว่าเขาซ่อนพลังอะไรบางอย่างอยู่ ประกอบกับแวมไพร์นั่นมีร่างหมอก ทำให้การโจมตีปกติส่งผลไปไม่ถึงร่างจริง ร่างหมอกเราต้องโจมตีเข้าถึงวิญญาณเท่านั้น ไอร่าพูด พลังของไอร่าคนเดียวสินะที่ทะลวงถึงวิญญาณได้เนี่ย ผมชักจะเกรงๆไอร่าขึ้นมาอีกระดับนึงแล้วสิ

    คุณไอร่ามีพลังเยอะขนาดนี้ ทำไมไม่ไปหยุดสงครามแวมไพร์เองล่ะครับ ผมถามออกไปแบบไม่ได้คิดอะไร เพราะผมไม่รู้อะไรอยู่แล้วนี่ เหอะๆๆๆๆ!

    ไอร่าสู้กับแวมไพร์ระดับสูงหลายๆคนไม่ไหวหรอก อิเรอัลพูดขึ้นมา ทำให้ไอร่าถอนหายใจออกมาเล็กน้อย

    ไอร่ายังสู้ไม่ได้ แล้วผมล่ะ ผมที่ถูกทำนายไว้ว่าจะเป็นคนหยุดสงครามแวมไพร์นี้ ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าผมจะหยุดสงครามนี้ด้วยวิธีไหน

    ซีฟาร์ยกมือขึ้นแนบหูแล้วพูดราวกับคุยโทรศัพท์อยู่เลย ผมคิดว่าเธอบ้าแน่ๆเลย ผ่านไปสองนาทีตั้งแต่เธอลดมือลง ตาเธอค้างนิ่งอยู่ เธอสั่นไปตลอดทั้งตัว อิเรอัลก็เอ่ยปากถาม

    ท่านซีฟาร์เป็นอะไรหรือขอรับ

    ซีฟาร์น้ำตาไหลออกมาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “… ท่านพ่อหายตัวไป

    เมื่อสิ้นคำพูดของซีฟาร์ ทุกคนรวมถึงไอร่าและผมก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจอย่างมาก ซีฟาร์ที่ยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้นทำให้ผมทำอะไรไม่ถูก ผมจำได้ว่าเธอเข้ามาหาผมที่โดมประหลาดนั่น แถมยังจะลงโทษเทพข้อหาที่ลักพาตัวผมมา ...จริงๆแล้วเธอก็เป็นห่วงผมมากเหมือนกันสินะ

    ผมเดินเข้าไปใกล้เธอแล้วจับเธอกอดไว้แน่นแล้วผมก็พูดกับเธอ ฉันไม่ยอมให้พ่อของเธอ หรือเธอเป็นอะไรแน่นอน ฉันจะช่วยเธอตามหาพ่อของเธอเอง!” ผมพูดด้วยความรู้สึกที่ผมเป็นห่วงเธอมากที่สุด เธอเองก็ซุกที่หน้าอกผมแล้วกอดผมไว้แน่น ผมลูบหัวปลอบเธอแล้วพูดกับตัวเองว่า ฉันรู้แล้วว่าเธอทำเพื่อฉัน…! และฉันคิดว่ามันถึงเวลาที่ฉันก็ควรทำเพื่อเธอได้แล้ว…!’

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×