คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : สาวผมบรอนด์
สาวผมบรอนด์
“ดวงตาของเจ้าคล้ายกับคนนั้นจริงๆ เลยนะ” เจ้าคนผมสีดำเงา พึมพำกับตัวเอง ขณะที่ยังจับข้อมือวาลอสทั้ง
สองข้าง กดติดกำแพงอยู่ “เด็กธรรมดา อย่างเจ้าไม่น่ามีอยู่ในคำทำนายเลยนะ วาลอส” เจ้านี่มันคอยตามสืบผมหรือไงกันนะ ถึงได้รู้ชื่อผม
“ปล่อยเขาซะ เจ้าแวมไพร์อเมร่า ฉันขอเตือน” เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังมาจากระเบียงห้องผม ซึ่งผมมองเห็นเธอนั่งอยู่ที่ขอบระเบียง เธอมีเส้นผมยาวสลวยสีบรอนด์ ดวงตาของเธอมีสีทับทิม เธอมีหน้าตาน่ารักพอสมควร แต่แววตาของเธอดูมั่นคง มีอำนาจมากเกินตัว ในมือถือดาบสีเงินยาวเรียว มีอักขระแปลกๆสลักเป็นแถวอยู่กลางใบดาบ สะท้อนแสงจันทร์วิ้งวับ
“หึหึ! เจ้าน่ะเหรอที่เตือนข้า เป็นข้าต่างหากที่ต้องเตือนเจ้า” คนที่กำข้อมือผมหันขวับไปตะโกนใส่หญิงสาวคนนั้น แล้วละมือจากผม หลอดไฟในบ้านผมดับหมด ขณะแวมไพร์พุ่งเข้าไปหาเธอที่ระเบียง
ฟึ่บ! เธอเหวี่ยงดาบใส่ อเมร่า อย่างรวดเร็ว ใบดาบปาดที่แขนของเจ้านั่นเรียกเลือดออกมามากพอสมควร
“ฮึ่ม! เจ้า… เจ้าลาฟเฟล” อเมร่ากัดฟันกรอด ผมเห็นว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไป เขามีเขี้ยวงอกยาวออกมา ที่มือมีกรงเล็บ กลางหลังมีปีกค้างคาวกางออกมา กำลังจะบินหนี ผมเห็นแล้วรู้สึกเหมือนได้ดูหนังแวมไพร์ ในกองถ่ายเลย มีกล้องมั้ยเนี่ย
“จะหนีไปไหนฮะ!” สาวผมบรอนด์ตะโกนใส่แวมไพร์ตนนั้นก่อนจะท่องภาษาแปลกๆออกมา “โอเม เรฟา เทร่าเมเร”
ผมเห็นดวงตาของเธอมีแสงสีม่วงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วเธอก็หายไปจากที่ ที่เธอยืนอยู่ ไปโผล่กลางอากาศดักหน้าแวมไพร์ที่กำลังจะบินหนี เธอเอาดาบวาดผ่านคอแวมไพร์ แต่แวมไพร์เอี้ยวคอหลบคมดาบได้อย่างเฉียดฉิว ก่อนจะเอาหลังมือฟาดที่ไหล่ของเธอ ทำให้เธอปลิวลงไปกระแทกกำแพงบ้านผม แล้วแวมไพร์ตนนั้นก็บินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ
“ดาเกียร์ เซร่า ทรันดราอัมเฟล ลีเวลลิส” แวมไพร์ท่องคาถาจบ ผมเห็นสายฟ้าสีม่วงๆ พันอยู่รอบๆมือของเจ้าแวมไพร์ ก่อนที่จะซัดมันออกมาทางผม ผมขยับไม่ได้ หลับตาปี๋ ถ้าตายเพราะสายฟ้ามันจะเจ็บมากมั้ยนะ มันต้องทรมานมากแน่ๆ ผมนึกในใจ
‘เปรี้ยง!’ เสียงสายฟ้าฟาดเข้ามาในหูผมอย่างสนั่น ผมต้องโดนสายฟ้านั้นแล้วแน่เลย แต่ ‘เอ๋’ทำไมผมไม่รู้สึกเจ็บเลยล่ะ ผมลืมตาขึ้นมา ก็พบกับผู้หญิงผมสีแดงสั้นถือเคียวขนาดใหญ่สีดำอยู่ข้างหน้า ที่เคียวมีไอสีขาวๆออกมาตลอดเวลา เธอยืนกันสายฟ้าให้ผม
“ขะ.. ขะ..ขอบคุณนะครับ” ผมพูดอย่างยากลำบาก เพราะตกใจอยู่กับเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่ผมมองเห็นเส้นผมของเธอจากด้านหลัง ผมก็รู้สึกคุ้นๆว่า เหมือนเคยเห็นทรงผมแบบนี้ที่ไหนกันนะ ส่วนเจ้าแวมไพร์นั้น หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้
สาวที่ยืนถือเคียวอยู่หันหน้ามาหาผม เธอคือลัลฟา เฮ้ย! ผมเห็นไม่ผิดแน่ เธอคือลัลฟา เธอใส่ชุดคลุมสีเขียวเข้ม ในมือถือเคียวขนาดใหญ่ ด้ามเคียวยาวกว่าตัวเธอเสียอีก ซึ่งผมมองดูแล้วท่าทางก็หนักใช่ย่อย เพราะด้ามเคียวทั้งด้ามทำด้วยเหล็กเลยนี่นา
“ลัลฟา นี่เธอ…” ผมช๊อกค้าง พูดไม่ออก เหมือนมีอะไรมาจุกอยู่ที่คอ อยากพูดแต่ก็พูดไม่ได้
“ไว้ค่อยคุยกัน ลงไปดูคอลลิซก่อนเถอะ” ลัลฟาตอบผมด้วยน้ำเสียงร้อนรน เธอรีบวิ่งออกไปนอกระเบียง แล้วกระโดดลงจากระเบียงบ้านผม เฮ้ยนี่มันชั้นสองนะ ผมวิ่งตามออกไปยืนดู เธอกระโดดลงไปเท้าลงพื้นอย่างนิ่มนวล ราวกับร่างเธอเป็นขนนกเลยทีเดียว เธอวิ่งไปดู ผู้หญิงผมสีบรอนด์ ซึ่งผมก็รีบวิ่งลงบันได แล้วออกจากบ้านมาดูเธอ ผมเห็นกำแพงผมเป็นรอยร้าว แต่หญิงสาวดูเหมือนแค่สลบไปเท่านั้น
“วิญญาณเธอยังไม่ออกจากร่าง รีบพาเธอเข้าไปในบ้านเถอะ” ลัลฟาหันมาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงร้อนรนอีกครั้ง ผมจึงอุ้มสาวผมบรอนด์คนนี้เข้าไปในบ้านผม ถึงตัวเธอจะดูไม่อ้วน และไม่สูงเท่าไร แต่เธอก็ตัวหนักพอสมควรเลยนะเนี่ย
ผมอุ้มเธอขึ้นไปนอนบนเตียงของผม จัดแจงห่มผ้าให้เธอเรียบร้อย แล้วก็ออกมายืนคุยกับ ลัลฟา
“ลัลฟา นี่เธอเป็นแบบพวกนั้นเหรอ?” ผมมองหน้าเธอแล้วถามด้วยความสงสัย
“อะ…อื้ม ใช่แล้ว ฉันเป็นยมทูติ” ลัลฟาตอบแบบหลบสายตาผมออกไป เธอเอาเคียวไปวางพิงกับกำแพงข้างหนึ่ง ทำให้กำแพงนั้นเกิดรอยร้าวขึ้น เธอตกใจ คว้าเคียวกลับขึ้นมาในมือเช่นเคย
“เธอปลอมตัวเป็นคนธรรมดา เข้าเรียนในโรงเรียน เหมือนคนปกติ ให้คนไม่คิดสงสัยหรือไง เธอมีแผนอะไรถึงต้องทำแบบนี้” ผมถามแบบไม่เกรงใจ ในเมื่อเธอเพิ่งรู้จักกับผมวันนี้เอง ผมจึงยังไม่รู้จักเธอทั้งหมด แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าผมรู้จักเธอมากกว่าที่หลายคนรู้จักซะแล้ว
“ฉันไม่มีแผนการอะไรหรอกค่ะ แต่ที่ต้องแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนเพราะว่า ฉันต้องดูแลความสงบของโลกนี้ ไม่ให้ปีศาจมันเข้ามาทำร้ายมนุษย์” ลัลฟาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “ซึ่งบางทีพวกเราก็ดูแลได้ไม่ทั่วถึง ปีศาจบางตนจึงจัดการมนุษย์ได้ พวกเราเลยต้องแฝงตัวในหมู่มนุษย์” ลัลฟาพูดต่อ ถ้าหากผมไม่เจอเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ผมคงไม่เชื่อที่เธอพูดหรอกว่าเรื่องพรรค์นี้มีอยู่จริง
“ที่ว่าเธอเป็นยมทูติ คงเป็นเรื่องจริงสินะ ที่ว่าพ่อเธอเป็นนักคาราเต้ล่ะ” เธอเงียบกับคำถามของผม ผมพยายามทำความเข้าใจ และผมก็รู้ดีว่าเธอคงไม่ทำอะไรผมหรอก เพราะเธอเป็นคนที่เข้ามาช่วยผมไว้นี่นา ผมจึงยอมวางใจเธอกับสาวผม
บรอนด์ที่ต้องมาบาดเจ็บเพราะพลาดท่าเจ้าแวมไพร์นั่น
“เรื่องปีศาจ กับพวกเรามันเกิดขึ้นมาเป็นหมื่นๆปีแล้ว กับโลกใบนี้ ซึ่งพวกเราอาศัยอยู่ แต่ไม่มีใครเคยรู้เคยเห็นตัวตนของพวกเรา” ลัลฟาเริ่มเล่าเรื่องและความเป็นมาของพวกเธอ ซึ่งผมก็อยากรู้เหมือนกัน
“จนเมื่อตอนสี่พันปีก่อน” เธอเล่าต่อ “ตอนที่ธอลิเฟลซึ่งเป็นราชันย์แห่งความมืด ยกกองทัพเข้าสู้กับท่านเซนทราเรียน์ที่ออกมารับมือเพียงคนเดียว เพื่อแย่งชิงบางสิ่งจากเหล่าเทพ ซึ่งท่านเซนทราเรียน์เป็นผู้ชนะ ธอลิเฟลจึงถูกลงโทษด้วยการผนึกพลังไว้สี่พันปี และจัดตั้งให้มีลาฟเฟลขึ้น เพื่อลงมาช่วยควบคุมความสงบบนโลก แต่ตอนนี้ผนึกพลังของธอลิเฟลถูกคลายแล้ว เหล่าความมืดและปีศาจที่สนับสนุนฝ่ายธอลิเฟลก็ได้เคลื่อนไหวอีกครั้ง พวกเรามีจำนวนน้อยกว่าปีศาจที่ลักลอบเข้ามาบนโลกมนุษย์ จึงไม่อาจจัดการได้ทั้งหมด” เธอทำหน้าเครียด “เพราะเป้าหมายของธอลิเฟลคือการยึดโลกมนุษย์ และเปลี่ยนชะตากรรมของเหล่าปีศาจ”
“ทำไมมันถึงต้องการยึดโลกมนุษย์นะ ฉันไม่เข้าใจเลย” ผมถามขึ้นบ้าง
“เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์อ่อนแอน่ะสิ ถ้าหากเผ่าพันธุ์มนุษย์ไร้ซึ่งราชาปีศาจ และมหาเทพทั้งสามที่คอยดูแลโลกอยู่ ฉันว่า ธอลิเฟลคงมายึดโลกนี้ด้วยตัวเองแล้ว ธอลิเฟลต้องการทวงคืนโลกของมัน” ลัลฟาบอก ซึ่งผมชักสงสัยว่า โลกนี้เคยเป็นโลกของปีศาจหรือไงกัน
“โลกนี้แต่ก่อนที่มีสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่ พวกนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เป็นสายพันธุ์ชั้นต่ำ จึงไม่ได้มีความสำคัญกับพวกเรานัก แต่ธอลิเฟลไม่คิดแบบนั้น” เธอบอกเหมือนรู้ว่าผมกำลังสงสัยอะไร
“เพราะท่านเซนทราเรียน์ประกาศว่าจะสร้างโลกใบนี้ใหม่ จึงส่งอุกกาบาตขนาดใหญ่พุ่งชนโลก เพื่อล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ เพื่อส่งมนุษย์ลงมาเป็นสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้แทน” ลัลฟาทำน้ำเสียงแบบเย็นชา “แต่ธอลิเฟลไม่ยอมรับ ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไม พลังของธอลิเฟลมหาศาลมาก ถึงกับสามารถเข้าไปเปลี่ยนอนาคตที่ถูกลิขิตไว้ ธอลิเฟลเป็นเทพแห่งความมืดที่เป็นศัตรูของเหล่าเทพ แต่เซนทราเรียน์ก็กำจัดธอลิเฟลไม่ได้ เพราะธอลิเฟลก็เป็นส่วนที่อยู่ในการลิขิตของเขา” ลัลฟากำลังจะเล่าต่อ แต่ทันใดนั้นเอง
‘ก๊อกๆๆ’ เสียงเคาะประตูบ้านดังขึ้น ลัลฟารีบจับเคียวขึ้นมากระชับไว้ ผมก็เตรียมตัวมีเรื่องแล้วล่ะ เพราะว่าดึกดื่น
แบบนี้ใครจะมาเคาะประตูบ้านกัน ผมย่องๆไปเปิดประตู เมื่อผมเปิดประตูแล้ว ผมยืนช๊อกค้างอยู่ต่อหน้า ชายคนหนึ่งร่างสูงกว่าผมอยู่นิดหน่อย มีดวงตาสีน้ำเงินคล้ายมหาสมุทรยามค่ำคืนที่กำลังทะท้อนแสงจันทร์ เส้นผมสีเงินสะท้อนแสงจันทร์เงา
วิ้งวับ ที่ถูกรวบไว้อย่างเรียบร้อย ที่ผมช๊อกเพราะคิดว่านายแบบที่ไหนมาเคาะประตูบ้าน ก็ดูสิดูดีไปทุกมุมแบบนี้ ใครๆก็ช๊อก
“คุณคอลลิซเป็นอะไรมากไหมครับ คุณลัลฟา” ชายคนนั้นมองไปที่สาวผมแดง แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงละมุน แต่ดูร้อนรนพอสมควร
“บาดเจ็บจากการกระแทกนิดหน่อยค่ะ ตอนนี้ยังนอนหลับอยู่ สักพักก็ตื่นค่ะ” ลัลฟาตอบกลับ ด้วยน้ำเสียงเชิงปลอบใจ
“รู้แบบนี้ ไม่น่าแยกตัวไปสำรวจเลยจริงๆ” ชายผมเงินพูดเสียงสั่น
“นี่ฮาลโซฉันขอแนะนำให้รู้จัก นี่วาลอส” ลัลฟาผายมือมาทางผม ชายผมเงินที่ชื่อฮาลโซหันขวับมาหาผม แล้วเดินเข้ามาใกล้ แล้วพูดกับผม
“สวัสดีครับคุณวาลอส ผมฮาลโซ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” พูดจบเขาก็คว้ามือผมไปเขย่าแบบรีบร้อน
“พาผมไปหาคอลลิซหน่อยสิครับ” ฮาลโซรีบเดินนำเราไปก่อน ทั้งๆที่ตัวเองให้ผมนำแท้ๆ เขาเดินขึ้นไปเหมือนกับรู้ว่าเธอนอนอยู่ที่ไหน เมื่อขึ้นไปถึงห้องนอนของผม ผมก็เห็นสาวผมสีบรอนด์นั่งอยู่บนเตียงของผม เธอเงยหน้าขึ้นมามองผม ด้วยดวงตาสีทับทิม ก่อนจะพูดแนะนำตัวเอง
“ฉันชื่อคอลลิซ ส่วน…” เธอพูดไม่ทันจบ ผมก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“ฉันรู้แล้ว ฉันชื่อวาลอส ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วก็ขอบคุณที่เข้ามาช่วยฉันไว้” ผมจ้องเธอพร้อมกับพูดขอบคุณที่เธอเข้ามาช่วยชีวิตผมไว้
“นั่นเป็นหน้าที่ของฉัน แล้วดาบฉันล่ะ?” เธอหันซ้ายหันขวา มองหาดาบของเธอ
“อยู่บนโต๊ะข้างๆเตียงนั่นน่ะ” ผมชี้ไปยังดาบสีเงินเล่มนั้น
“แล้วอเมร่าล่ะ จัดการมันได้ไหม” เธอถามฮาลโซกับลัลฟา ซึ่งได้ความเงียบเป็นคำตอบ “มันรอดไปอีกแล้วสินะ แต่มันโดนดาบฉันไปดาบนึง ดาบเงินบริสุทธิ์ที่มีพลังของเทวิรอร์อยู่ด้วย มันคงเจ็บหนักพอสมควรล่ะนะ” เธอยิ้ม
หลอดไฟในบ้านผมขาดหมดเลย จากที่เจ้าแวมไพร์มันทำไว้ แต่ที่ทำให้ห้องสว่างได้นิดหน่อย เพราะแสงวิญญาณสีฟ้าอ่อนๆ ลอยอยู่รอบตัวยมทูติสาวผมสีแดง
“คืนนี้เธอไม่ทำหน้าที่หรือไง ลัลฟา” สาวผมบรอนด์ถาม สาวผมแดง เธอยิ้มแล้วตอบกลับว่า
“ยังไม่ถึงเวลาค่ะ มีงานตอนเที่ยงคืนสี่สิบสองนาที เหลือเวลาอีกมากมายเลย”
“อืม วาลอส” เธอหันขวับมาทางผม “ฉันมีข่าวร้ายมาบอกเธอ ตอนนี้เหล่าปีศาจของธอลิเฟลออกล่าพวกเราทุกคน ชีวิตเธอไม่ปลอดภัยแล้ว เพราะทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องปีศาจจะถูกเก็บหมด ซึ่งเจ้าอเมร่ามันตามเธอมานานแล้ว เพราะสีตาเธอเหมือนกับท่านเซนทราเรียน์ไม่มีผิด” พอคอลลิซพูดจบ สายตาทุกคนจ้องมาที่ผม ฮาลโซขยับมาใกล้ผมแล้วมองที่ตาผมอย่างพินิจแล้วเขาก็เขยิบห่างออกไป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อืม เป็นอย่างที่คอลลิซคิดจริงๆ คุณวาลอสมีพลังในตัว แต่พลังมันเบาบางมาก ทำให้พวกเราสัมผัสไม่ได้เลยครับ”
“ขนาดยมทูติอย่างฉันยังสัมผัสพลังวิญญาณไม่ได้ แสดงว่าพลังของคุณวาลอสคงแทบไม่มีเหลืออยู่แล้ว” ลัลฟาเสริม
อะไรกันเล่า! ผมตามเรื่องพวกนี้ไม่ทันแล้วนะ อีกอย่างที่พวกนี้พูดกันเนี่ย เหมือนกำลังว่าผมกระจอกอย่างงั้นแหล่ะ
“พลังของวาลอสไม่ได้เบาบางอะไรหรอก แต่เพราะเป็นสายเลือดเซนทราเรียน์ จิตวิญญาณที่มีพลังของเซนทราเรียน์ พวกเราสัมผัสไม่ได้หรอก” คอลลิซพูด ทำให้ผมยิ่งสับสน เซนทราเรียน์ที่พวกเขาพูดถึงเนี่ย ใช่เซนทราเรียน์ที่ลัลฟาเล่าว่า ชนะกองทัพปีศาจด้วยตัวคนเดียวใช่หรือเปล่า ผมมีสายเลือดเขาได้ยังไง พูดไปพูดมาผมชักจะงงแล้วนะ
“อืม..” ฮาลโซทำเสียงงืมงำ “บางทีคุณวาลอสอาจไม่รู้ตัวว่ามีพลังในตัว ทำให้พลังถูกกักเก็บไว้ เพราะที่ผมสัมผัสได้ มีเพียงไอพลังจางมากๆเลยครับ” ฮาลโซพูด
“เรื่องมันเป็นยังไงครับ ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยได้ไหม ผมนั่งฟังจนงงหมดแล้ว” ผมพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“วาลอส” คอลลิซเรียกผม “นายมีพลังแบบพวกเราอยู่ในตัว ไม่แน่พลังของนายอาจจะมากกว่าพวกเราด้วยซ้ำ แต่พลังของนายยังถูกเก็บอยู่ เพราะนายไม่เคยใช้มัน นายต้องฝึกใช้มัน” คอลลิซมองผม ตาสีทับทิมจ้องราวกับออกคำสั่ง
“อะไรกัน ผมเป็นแค่คนธรรมดาแค่นั้นเอง อีกอย่างผมสู้เจ้าแวมไพร์นั่นไม่ได้ด้วยซ้ำไป” ผมค้านเสียงแข็ง
“คุณวาลอสครับ คุณคอลลิซพูดถูกนะครับ เพราะคุณมีพรสวรรค์นั้น แต่คุณกลับไม่ได้ใช้มัน เพราะผมสัมผัสพลังของคุณได้จริงๆนะครับคุณวาลอส” ฮาลโซพูด “พวกเราต้องการคุณวาลอสนะครับ” ฮาลโซทำตาวิ้งๆเป็นประกายใส่ผม ทำให้ผมใจอ่อนซะได้
“ผมจะลองดู เพราะยังไง ชีวิตผมก็อันตรายอยู่แล้วตามที่เธอบอกผมตั้งแต่ต้น” ผมจำยอมจะเข้าร่วมกลุ่มกับคอลลิซ ซึ่งเธอยิ้มแย้มดีใจอย่างเห็นได้ชัด เธอลุกขึ้นยืนพร้อมเดินไปหยิบดาบสีเงินบนโต๊ะ
“ฮาลโซ นายช่วยวาลอสเก็บของ แล้วพาวาลอสมาบ้านฉัน เทวิรอร์รออยู่ที่บ้านของฉันตอนนี้ รีบๆตามมานะ” เธอพูด ไม่ถงไม่ถามสุขภาพผมเลยหรือไงกัน จะให้ผมเก็บของย้ายไปอยู่กับเธอเลยงั้นหรือ สักพักผมก็คิดถึงคำที่เธอพูดก่อนหน้านั้น ที่เธอบอกว่าผมอยู่ในอันตราย ผมจึงไม่เอะอะโวยวายอะไร
“ไม่เป็นไรครับคุณฮาลโซ ผมเก็บเองได้ครับ” ผมพูดบอกฮาลโซที่ยืนอยู่ข้างผม มองคอลลิซกับลัลฟาเดินออกไปจากห้อง เมื่อลัลฟาเดินออกไปจากห้อง ห้องก็มืดไปทันที เพราะไฟบ้านผมดับอยู่เพราะเจ้าแวมไพร์นั้น
“เอมฟลิออกไซท์” ฮาลโซพูดพึมพำภาษาที่ผมไม่เข้าใจ สักพักดวงไฟสีส้มดวงหนึ่งก็ปรากฎอยู่กลางห้อง ทำให้ห้องสว่างราวกับมีแสงเทียนอยู่ในห้อง
“คุณฮาลโซก็มีเวทย์มนตร์หรือครับ” ผมเอ่ยถาม ฮาลโซก็ยิ้มให้ผมก่อนจะพูดว่า
“ไม่นานคุณวาลอสก็จะใช้มันได้แน่นอนครับ” น้ำเสียงที่ดูมั่นใจของเขา ทำให้ผมรู้สึกเชื่อว่าผมต้องทำแบบเขาได้แน่ ผมเดินไปหยิบกระเป๋าเดินทาง เก็บเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น เก็บเข้ากระเป๋า เมื่อเก็บเรียบร้อยแล้ว คุณฮาลโซก็ใช้
เวทย์มนตร์ เก็บกระเป๋าที่มากมายของผมไว้อีกมิติหนึ่ง ผมเดินออกจากบ้านแล้วผมก็ปิดบ้านไว้
“โอเม เอร่า ทีราฟาเอล เคนเรลฟา ดิอาร์เคเมนิส ไตรฟ๊อกซี” สิ้นเสียงร่ายเวทย์ของฮาลโซ ก็มีวงแหวนเวทย์เกิดขึ้น จิ้งจอกขนสีขาวบริสุทธิ์สามตัวก็กระโดดออกมาจากวงแหวนเวทย์นั้น จิ้งจอกที่ผมเห็นมันมีหางสามหาง ออกมาวิ่งเล่นกันรอบตัวฮาลโซ ฮาลโซก้มลงมองจิ้งจอกที่วิ่งเล่นอยู่รอบตัวพลางเอ่ยภาษาแปลกๆขึ้นมาอีก “เทริฟา เอนทราฟ ดีเฟลพรอวิส อินเทรวิส” จิ้งจอกทั้งสามตัวกระโดดไปยืนข้างหน้าฮาลโซ พร้อมนั่งลงเหมือนรอรับคำสั่ง
“เฝ้าบ้านคุณวาลอสให้ทีนะไตรฟ๊อกซี่” จิ้งจอกทั้งสามผงกหัวรับคำสั่ง แล้วกระโดดเข้าบ้านผมไป ผมเห็นมันวิ่งทะลุกำแพงเข้าไปเลย ผมตกใจมาก จนคุณฮาลโซอธิบายว่า จิ้งจอกสามหางสามารถแปลงร่างตนเองให้เป็นวิญญาณ เพื่อทะลุสิ่งกีดขวาง หรือหลบหลีกสิ่งอันตรายได้
ผมกับฮาลโซเดินออกมาเพื่อจะไปยังบ้านของคอลลิซ เมื่อผมเดินผ่านไปยังหน้าโรงเรียนฮาลโซหยุดเดินและมีสีหน้าแปลกๆ เขาบอกกับผมด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“คุณวาลอส เข้าไปหลบหลังพุ่มไม้นั้นก่อน เร็วเข้า” เขารีบผลักผมเข้าไปในพุ่มไม้ ซึ่งเขาเองก็เข้ามาด้วย เขากดหัวผม แล้วพยายามชะเง้อดู ซึ่งผมไม่เห็นว่ามันจะมีอะไร ผมจึงถามคุณฮาลโซเบาๆว่า
“มีอะไรหรือครับ” เขายื่นนิ้วมาแตะปากเชิงให้เงียบ แล้วผมก็ได้ยินเสียงของคุณฮาลโซแทรกเข้ามาในหัวของผมว่า
‘มีกลิ่นไอเวทย์มนตร์อยู่แถวนี้ มีผู้ใช้เวทย์มนตร์อยู่ในรั้วนั้น’ ผมได้ยินแล้วก็มองหน้าคุณฮาลโซ นี่เขากระซิบใส่หัวผมเหรอเนี่ย เหลือเชื่ออีกแล้วสิ
ผมมองไปยังรั้วโรงเรียน เห็นเงาตะคุ่มๆของใครบางคน ซึ่งรูปร่างดูคุ้นๆตายังไงก็ไม่รู้ เขาเดินมาที่รั้วแล้วปีนรั้วออกมาทำให้แสงไฟส่องเห็นร่างของเขาชัด เขาใส่ชุดนักเรียน มีผมสีม่วง มีผ้าเช็ดหน้าสีแดงพันข้อมือข้างขวา ‘เอ๊ะ’ ผมนึกในใจ นั้นอาร์นี่นา ใช่แล้วอาร์จริงๆ เขายืนพิงกำแพงอยู่ ผมจึงกระซิบบอกคุณฮาลโซ
“คุณฮาลโซ นั่นอาร์เพื่อนสนิทผมนะครับ” เมื่อผมพูดดังนั้นคุณฮาลโซจึงค่อยๆลุกขึ้นจากพุ่มไม้ พาผมเดินออกไป แต่ผมเห็นคุณฮาลโซยังระมัดระวังตัวตลอดเวลา
เมื่อผมโผล่ขึ้นจากพุ่มไม้แล้ว อาร์ก็หันขวับมาทำท่าจะเขวี้ยงมีดสีเงินมาก็ต้องชะงักมือไว้ก่อน เพราะที่โผล่ขึ้นมาจากพุ่มไม้คือผม และฮาลโซ
“วาลอส ข้างๆแกใครน่ะ” อาร์ถามผมพร้อมทำตาขวางใส่คนที่อยู่ข้างๆผม
“เขาชื่อคุณฮาลโซเป็น… เอ่อ… เป็นเพื่อนร่วมทีมของผม คุณฮาลโซครับนี่อาร์เพื่อนผม” ผมแนะนำตัว คุณฮาลโซแบบนั้น เพราะไม่รู้ว่าจะแนะนำยังไงดี จะบอกว่าเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่ จะบอกว่าคนรู้จัก ก็กลัวอาร์จะไม่ไว้ใจ
“ทีมเหรอ?” อาร์สงสัย “เล่นฟุตบอลเหรอไงแก?” อาร์ถามต่อแบบกวนประสาทนิดหน่อย
“แล้วเจ้าเป็นก็อดสเลเยอร์หรือ?” ฮาลโซถาม ซึ่งทำให้อาร์ตกใจ เบิกตากว้าง เพราะไม่เคยมีใครรู้จักตัวตนของเขา
“แกรู้ได้ยังไงฮะ เจ้าผมเงิน” อาร์ไม่เกรงใจเพื่อนร่วมทีมผมเลย เขายกมีดสีเงินขึ้นเตรียมที่จะใช้มันจัดการคนข้างๆผม
“พอได้แล้ว ทั้งคู่เลย เราต่างเป็นเพื่อนกัน ทำไมต้องทะเลาะกันด้วยฮะ” ผมฉุนกึก ทำให้คุณฮาลโซทำสีหน้ากลับเป็นปกติ ส่วนอาร์ยังตกใจกับเรื่องที่มีคนรู้ว่าเขาเป็นก็อดสเลเยอร์
“เราก็แค่สัมผัสพลังของเจ้าได้เท่านั้นเอง” ฮาลโซบอก
“งั้นแกก็ไม่ใช่คนธรรมดาเหมือนกันสินะ เจ้าผมเงิน” อาร์พูดพลางแสยะยิ้มให้ฮาลโซ “แสดงว่าวาลอสก็รู้เรื่องพวกนี้แล้วสินะ อะอ้าว” อาร์หันไปมองวาลอสที่ยืนช๊อกค้างอยู่ แล้วที่ตวาดเมื่อกี้คือเก๊กที่สุดแล้วใช่ไหม อาร์คิดในใจ
“นายก็เป็นพวกเดียวกับพวกนี้หรอกเหรอ” ผมนั่งคิด จริงๆแล้วพวกนี้อยู่รอบตัวผมตลอดเลยหรือไงกันนะ ซึ่งอาร์นั่งยิ้มเงียบๆ เป็นคำตอบที่ทำให้ผมรู้ว่า แน่นอนเขาเป็น
“แต่อย่าเอาฉันไปเหมารวมกับพวกที่เป็นพวกของนายนะวาลอส” อาร์พูดพร้อมกับมองตาขวางไปที่ฮาลโซ
“ว่าแต่ผมยังไม่รู้เลยครับ ว่าคุณฮาลโซเป็นอะไร?” ผมพูดพลางหันหน้าไปมองฮาลโซ
“ผมเป็นครึ่งเทพครับ แต่ไม่รู้ว่าสายเลือดใครอยู่ในตัวผม” ฮาลโซพูดพลางเกาหัวแบบเขินๆ
“ฮะ! ว่ายังไงนะครับ/ว่าไงนะ” ผมกับอาร์ยืนช๊อกกับสายเลือดของฮาลโซ ที่บอกว่าเป็นครึ่งเทพ
“จริงเหรอเจ้าผมเงิน ที่เจ้าเป็นครึ่งเทพ” อาร์พูดเหมือนไม่เชื่อคุณฮาลโซ อาร์คงต้องการข้อพิสูจน์ว่าคนผมเงินมีสายเลือดเทพในตัวจริงหรือเปล่า
“จงปรากฏ!” สิ้นเสียงฮาลโซพูด อักขระแปลกๆก็โผล่ขึ้นมารอบข้อมือขวา อยู่ๆอาร์ก็ทรุดลงไปกับพื้น หน้าซีด ราวกับเจอผีหลอกเลย เมื่ออักขระบนข้อมือของฮาลโซหายไป อาการของอาร์ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
“เหลือเชื่อว่าพลังแค่ครึ่งเทพ ก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาล ปีศาจและวิญญาณรอบๆนี้ต่างหลบหายไปหมด นี่ฉันอยู่ต่อหน้าครึ่งเทพจริงๆเหรอเนี่ย แต่วาลอสยืนอยู่ใกล้ๆทำไมแกไม่เป็นอะไรเลย ปกติมนุษย์ทนรับพลังของเทพไม่ไหวหรอกนะ” อาร์หันมาทางผมพร้อมทำหน้ายิ้มกวนประสาทอีกครั้ง ผมก็คิดแบบที่อาร์พูด สงสัยเรื่องที่ผมมีพลังมหาศาลนั้นคงเป็นเรื่องจริง เพราะอาร์มีเวทย์มนตร์ยังทรุดเลย แต่ผมกลับไม่เป็นอะไรและไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ผมบอกอะไรไม่ได้จึงต้องเลี่ยงๆไว้
“ฉันชินแล้วมั้ง เพราะฉันอยู่ใกล้คุณฮาลโซตลอดนี่ ว่าแต่นายออกมาทำอะไรดึกๆแบบนี้ล่ะ”
“ฉันเหรอ ก็ตามกลิ่นเลือดแวมไพร์มาน่ะสิ แต่มันดันสิ้นสุดที่ตรงนี้ซะนี่ รู้สึกว่าจะได้กลิ่นไอของพลังจากเลือดด้วย หรือว่าเป็นฝีมือของเจ้าผมเงินนั่น” อาร์ตอบ และถามอย่างคล่องแคล่ว
“ไม่ใช่ฝีมือของคุณฮาลโซหรอก” แต่เป็นฝีมือของคอลลิซต่างหาก ผมละประโยคท้ายไว้ เนื่องจาก ฮาลโซมองผมด้วยสายตาเชิงขู่
“งั้นเหรอ อืมก็ท่าจะจริง เพราะฉันได้กลิ่นของลาฟเฟลด้วย” ผมกับฮาลโซช๊อกกึก คงเพราะคิดแบบเดียวกันว่า อาร์รู้จักลาฟเฟลด้วยเหรอ
“พ่อฉันเป็นก็อดสเลเยอร์ แต่พ่อทำหน้าที่เป็นลาฟเฟล ฉันจึงรู้ว่ากลิ่นมันเป็นยังไง” อาร์บอก ราวกับรู้ความคิด ก็ไม่แปลก ช๊อกออกหน้าซะแบบนั้น “ฉันอยากเป็นลาฟเฟล แต่พ่อบอกว่ามันอันตรายกับฉันเกิน” อาร์ทำเสียงเศร้าลง “พ่อฉันตายเพราะแวมไพร์ที่ชื่อว่าอเมร่า นี่คือเลือดของเจ้านั่น” อาร์ชูนิ้วให้ผมดูเลือดสีแดงข้นๆซึ่งยังไม่แห้ง
“รีบล้างซะ เลือดของแวมไพร์สามารถแปรสภาพเป็นวัตถุได้ตามที่มันคิด” ฮาลโซเตือนอย่างฉับไว ซึ่งตอนนี้เลือดที่อยู่บนนิ้วของอาร์ เปลี่ยนเป็นดาบเล่มยาวจี้คอของอาร์อยู่
ฮาลโซยกมือขวาขึ้น แล้วผลักออกไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ดาบที่จี้คออาร์อยู่ ปลิวกระเด็นไปไกลลิบ
“ขอบใจมาก เจ้าผมเงิน” อาร์ยิ้มขอบคุณให้ฮาลโซที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
“เจ้าพูดว่า เจ้าอยากเป็นลาฟเฟลอย่างงั้นเหรอ” ฮาลโซมองอาร์แล้วถามให้แน่ใจว่าที่ได้ยิน ถูกต้องใช่ไหม
“ฉันอยากเป็นลาฟเฟลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว” อาร์มองฮาลโซด้วยท่าทีสงสัย “แกช่วยฉันได้เหรอ เจ้าผมเงิน” อาร์
มองฮาลโซด้วยสายตาอ้อนวอน ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็น
ฮาลโซเงียบไปสักพักก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ตามฉันมาก็แล้วกัน” ฮาลโซเปลี่ยนคำพูดที่ใช้กับอาร์
อาร์ยิ้มทำหน้าบานราวกับพบว่าความฝันตัวเองเป็นจริง แล้วออกเดินพร้อมกับผมและฮาลโซ
บนหอนาฬิกาของโรงเรียน อเมร่านั่งอยู่บนหอคอยนั้นโดยที่ฮาลโซกับอาร์ ไม่รู้ตัวเลย มันนั่งหัวเราะหึหึ อยู่ข้างบนนั้น แล้วพึมพำในใจว่า ‘เจ้านั่นเป็นครึ่งเทพจริงๆด้วย ฉันสงสัยมานานแล้ว’ แล้วพูดเบาๆว่า “ท่านไมท์คัส ออกมาหาข้าหน่อย” ทันใดนั้นวงแหวนเวทย์รูปดาวหกแฉกก็ปรากฎขึ้น พร้อมกับร่างสูงร่างหนึ่งก้าวออกมา ซึ่งปกปิดใบหน้าด้วยฮู้ดที่ติดกับเสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ “ท่านไมท์คัส ข้าคิดว่าถึงเวลาของท่านแล้วล่ะ” อเมร่าพูดกับร่างสูงร่างนั้น ก่อนจะบินหายไปในเงามืดของท้องฟ้า
ความคิดเห็น