คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ความจริงหมายเลข1 : สิ่งที่ต้องการ
ความจริงหมายเลข 1 : สิ่งที่ต้องการ
ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆผม ผมรู้สึกว่ารูปร่างของเขาดูคุ้นๆอยู่นะ เหมือนเคยเห็นที่ไหน … และทันทีที่เขาเอ่ยปากถามผม ทำให้ผมทราบทันทีเลย ว่าชายผู้นี้คือใคร
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ” …อิเรอัลในรูปแบบที่มีเขี้ยวยาวแบบที่ทำให้ผมทึ่งไปได้สักพัก … เฮ้ย! นี่ผมเก็บแวมไพร์มาเลี้ยงไว้ที่บ้านอย่างงั้นเหรอเนี่ย เพียงแค่ผมนึก ก็ทำให้ผมขนลุกได้ขึ้นมาทันที
“เรย์ นายไม่เป็นไรใช่ไหม” เสียงผู้หญิงเล็กแหลมที่นั่งอยู่บนแทงค์น้ำใกล้ๆตัวผม ถามผมด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นห่วงผมอยู่นิดหน่อย ซึ่งผมจำได้ว่าเสียงนั้นคือซีฟาร์
“เอลลอส แวมไพร์ผู้ปลิดชีวิตมนุษย์มาแล้วสี่รายภายในเดือนนี้” ซีฟาร์พูดออกมา ในมือถือกระดาษแผ่นหนึ่ง … เธอไม่ได้พูดเองนี่นา นั่นมันมีสคริปต์ “ตามกฎของเหล่าแวมไพร์…ฉันขอลงโทษนายข้อหาทำร้ายมนุษย์โลก” เมื่อซีฟาร์พูดจบ อิเรอัลก็ไม่รอช้า เขาชักดาบเล่มสีดำออกจากฝัก ดาบเล่มนั้นเรียวและยาวราวๆหนึ่งร้อยห้าสิบเซ็นติเมตร ตัวโลหะของดาบเป็นสีดำเงา เมื่อมองดูดีๆแล้วจะเห็นว่าเป็นผลึกใสสีดำเสียมากกว่า มีไอสีน้ำเงินเข้มล่องลอยออกมาจากดาบเล่มนั้นอยู่ตลอดเวลา ผมไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้เลย ดาบเลเซอร์ของสตาร์วอล์ยังเท่ห์สู้ดาบเล่มนี้ยังไม่ได้เลยล่ะ ผมเห็นแล้วชอบจังอยากได้บ้างแฮะ
‘ฟึ่บ’ เสียงผ้าคลุมของอิเรอัลสะบัด ภายในพริบตา อิเรอัลก็ไปโผล่ต่อหน้าแวมไพร์ที่ชื่อว่า เอลลอส ที่ถูกเขาเหวี่ยงไปกระแทกโต๊ะเต็มแรง ทำให้เขารู้สึกจุก
“น่าเสียดายที่แวมไพร์รุ่นใหม่อย่างเจ้าต้องโดนลงโทษ” อิเรอัลพูดขึ้นก่อนที่จะจ้วงดาบแทงลงไปที่หัวใจของแวมไพร์กระหายเลือดตนนั้น เมื่อคมดาบแทงลงไปแล้ว แวมไพร์ตนนั้นก็ร้องโหยหวน ด้วยความทรมานอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก่อนที่จะสลายกลายเป็นควันสีดำไปในพริบตา
…สิ่งที่ผมเห็น ทำให้ผมไม่เชื่อตัวเองขึ้นมาทันที ‘นี่เรากำลังฝันอยู่งั้นหรือเปล่า ตื่นสักทีสิเรย์ ตื่นๆๆๆๆ’ ขณะที่ผมกำลังคิดฟุ้งซ่านโดยไม่ทันตั้งตัว อิเรอัล ก็โผล่หน้าเข้ามาในสายตาผม … แบบใกล้ชิดซะด้วย ทำให้ผมตกใจล้มลงไปนอนกับพื้น … หัวที่กระทบพื้นปูนทำให้ผมรู้สึกเวียนหัวอย่างมาก ก่อนที่ผมจะสลบไป
“เรย์… เรย์… เรย์” เสียงที่ผมได้ยินเข้ามาในโสตประสาทส่วนลึก มันช่างกึกก้องไปทั่วทั้งหัวเลยจริงๆ ผมค่อยๆรู้สึกตัวไล่ตั้งแต่ขาแขนที่เริ่มกระดิกได้ หลังจากที่รู้สึกชาไปทั้งตัว เปลือกตาที่หนักอึ้งยังไม่สามารถเปิดออกได้ตอนนี้ …
“โอย…~ ผมปวดหัวจังเลย” ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูงัวเงียคล้ายง่วงนอนอย่างที่สุด ก็เพิ่งตื่นนี่ครับ … หึหึ!
“เป็นเพราะนายน่ะอิเรอัล… นายนี่แย่จริงๆเลยนะ ทำเรย์ตกใจแบบนั้นได้ไงถ้าเกิดเรย์ตายไป แล้วใครจะมาล่อแวมไพร์ให้เราฮะ” … ที่ผมได้ยินซีฟาร์พูดนั่น ผมได้ยินผิดหรือเปล่า เฮ้ยนี่มันจะเกินไปแล้วนะ เมื่อเกิดอารมณ์โมโหขึ้นทำให้ระบบเลือดไหลเวียนดีขึ้น เลือดที่ไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้นทำให้ผมฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว … จนถึงขนาดเด้งขึ้นมานั่ง
“นี่เธอให้ฉันเป็นเหยื่อล่อแวมไพร์นั่นอย่างนั้นเหรอ…” ผมชี้ตัวผมเองด้วยนิ้วมือที่สั่นริกๆ แล้วถามเธอด้วยอารมณ์โมโหล้วนๆ ซึ่งเธอพยักหน้าให้ผมเป็นคำตอบ ดวงตาของเธอดูไร้เดียงสาจริงๆแต่ … เธอไม่ได้เกรงใจผมเลยใช่ไหมเนี่ย อิเรอัลที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ ทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ขึ้นได้อีกเท่าตัว!
“หัวเราะเยาะฉันอีกอย่างงั้นเหรอ ออกไปจากบ้านฉันเลยนะ” การที่ทำให้ผมเกือบโดนแวมไพร์ฆ่าเอา เพราะเอาผมไปล่อมันออกมาก็เกินพอแล้วนะ นี่ยังยืนหัวเราะเยาะผมอีก ต่อให้เป็นนักบุญที่ไหน ผมก็คิดว่ามันต้องโมโหกันบ้างล่ะน่า
“ไม่ ฉันไม่ไป” ซีฟาร์หันหน้ากลับมา ยิ้มให้ผมนิดๆ “สิ่งที่ฉันทำ ฉันทำเพื่อนาย” แล้วเธอก็เดินออกจากห้องไป … ทำเพื่อผม คำนี้คืออะไร นี่ทำเพื่อผม ทำให้ผมเกือบตาย นี่คือทำเพื่อผมใช่ไหม หนอย! มันชักจะเกินไปแล้วนะ
“ใจเย็นขอรับท่านเรย์” อิเรอัล ตบไหล่ผม ทำท่าทางตีสนิทกับผม “ท่านซีฟาร์ต้องการท่านเรย์ และท่านเรย์ก็ต้องการท่านซีฟาร์มากๆด้วย” … คำที่ทำให้ผมคิดอีกครั้ง เธอต้องการผมอย่างนั้นเหรอ … ผมคิดว่าต้องการผมไปล่อแวมไพร์ซะมากกว่าน่ะสิ หึ! ยังไงผมก็ยังโกรธเรื่องที่เธอทำอยู่ดี
โครม!! เสียงดังขึ้นที่ชั้นล่างของบ้านผม ทันใดนั้นอิเรอัล ก็ใช้ความเร็วระดับที่ว่า ตาผมมองไม่ทัน พุ่งลงไปข้างล่างก่อน ขณะที่ผมกำลังวิ่งตามลงไป
ผมเห็นร่างของซีฟาร์นอนอยู่กลางสวนหลังบ้านของผม โดยมีผนังบ้านของผมที่แตกละเอียดอยู่รอบๆตัวเธอ … เกิดอะไรขึ้นกันนะ แล้วอิเรอัลล่ะ… ผมหันกลับเข้าไปมองในบ้านเพื่อจะมองหาอิเรอัล แต่เมื่อผมหันกลับมา ผมก็พบกับผู้ชายคนหนึ่งรูปร่างสูง แต่หุ่นดูเพรียวบาง อยู่ในชุดสีดำ เส้นผมและดวงตาสีม่วง ผิวที่ขาวซีดดุจหิมะ สวมแหวนคริสตัลคล้ายกับซีฟาร์และอิเรอัล แต่สีของคริสตันเป็นสีแดง
เขายืนอยู่ข้างหลังผมตั้งแต่เมื่อไร ผมก็ยังไม่รู้ตัว … เมื่อผมสังเกตเขาดีๆแล้ว โอ้ในปากของเขามีเขี้ยวที่ยาวมากๆเสียด้วย ดูเหมือนที่ผมเห็นในตลาดเลยแฮะ ผมคิดไม่ทันไรเขาก็คว้าคอเสื้อผม ยกผมขึ้นแบบง่ายๆเหมือนผมเป็นหมอนข้างเลย เขาจับผมเหวี่ยงลงไปนอนกับพื้น
โอ๊ย! จุกเลย บ้าอะไรกันเนี่ย มันบ้าหรือเปล่าอยู่ๆก็จับเราเหวี่ยงเฉย … คิดไม่ทันจบ ร่างชายผู้นั้นก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าอย่างรวดเร็ว เขาใช้เท้าเขี่ยผมกลิ้งไปกับพื้นเหมือนเขี่ยลูกบอล … ทันทีที่ผมคิดได้ ผมรีบหลบเท้าของเขาที่เขี่ยมาอีกครั้งแล้วจับแจกันดอกกุหลาบที่อยู่ใกล้ๆผม ฟาดไปที่หัวของมันด้วยความแรง … แจกันของผมแตกละเอียด แต่หัวของมันก็แตกเหมือนกัน เลือดที่ไหลมาตามเส้นผมของมันทำให้เส้นผมของมันดูเป็นสีแดงเลือดขึ้นมา มันยืนยิ้มให้ผมทั้งๆที่เลือดมันออกขนาดนั้นเนี่ยนะ …
ทันใดนั้นสิ่งที่ผมเห็น ทำให้ผมเข่าอ่อนเตรียมยอมแพ้ได้เลย เมื่อแผลที่หัวของมันสมานตัวกันอย่างรวดเร็ว แถมยังเก็บเลือดที่ไหลออกมาเข้าไปใหม่ทั้งหมด … ทำแบบนี้ได้ก็ขี้โกงน่ะสิแล้วผมจะสู้กับมันยังไงล่ะ
ฟึ่บ! ร่างของอิเรอัลมาปรากฎอยู่ต่อหน้าผม พร้อมกับดาบสีดำเล่มนั้นอีกครั้ง “เจ้าไปดูซีฟาร์ก่อนเลย ทางนี้ข้ารับมือเอง” อิเรอัลพูดจบก็พุ่งเข้าไปด้วยดาบ และฟันออกอย่างรวดเร็ว ดาบเล่มนั้นกรีดโดนแขนของแวมไพร์ตาม่วง เรียกเลือดให้มันได้นิดหน่อย ผมคิดว่า แผลของมันก็จะหายไป แต่ไม่ใช่อย่างที่คิด มันยืนกุมแขนของมันแล้วกัดฟันกรอด แสดงถึงความเจ็บปวดที่มันได้รับ คราวนี้ผมก็ไว้ใจให้อิเรอัลจัดการกับเจ้านั้นไป ผมรีบวิ่งออกไปดูซีฟาร์ที่นอนไม่ได้สติอยู่ข้างนอก … ดูท่าทางจะเจ็บหนักกว่าผมอีกนะเนี่ย
“ซีฟาร์ … ซีฟาร์” ผมเรียกเธอหวังให้เธอตื่นขึ้นมา แต่เธอยังไร้สติอยู่ … แม้ว่าเธอจะเอาผมไปเป็นเหยื่อล่อ แต่เธอก็ยังมาช่วยผมนะ ผมไม่ได้โกรธเธอจริงๆหรอก ผมนั่งเฝ้าเธอและมองซ้ายมองขวาอยู่ตลอดเวลา ผมเหลือบไปมองที่สายคาดเอวของเธอ โอ้ดูสิผมเจออะไร ผมเจอปืนกระบอกเล็กๆกระบอกหนึ่ง รูปร่างหน้าตามันดูแปลกๆยังไงๆอยู่นะ แต่ผมก็หยิบออกมาเพื่อใช้ในยามนี้ กระสุนที่บรรจุอยู่เต็มแม็กกาซีน เป็นกระสุนสีทองเหลือง หัวกระสุนออกใสๆ ข้างในมีน้ำที่เรืองแสงสีฟ้าๆบรรจุอยู่ ผมไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ผมต้องใช้มันป้องกันเธอไว้ ตอนนี้… ทำยังไงได้ เธอยังไม่เคลียร์กับผมให้รู้เรื่อง ผมก็ยังไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรหรอกน่ะ
ทันทีที่ผมคิด ก็มีแวมไพร์สองตัว แอบย่องเข้ามาหาผมอย่างเงียบๆ มันคงคิดว่าผมไม่รู้ตัว แต่อย่าลืมนะนี่สวนบ้านผม! ผมจับสัมผัสจากพื้นดินได้อย่างรวดเร็ว ผมหันกระบอกปืนไปหามันสองตัว แล้วลั่นไก
‘ปัง … ปัง!’ กระสุนที่ยิงออกไปเห็นเส้นสีฟ้าคล้ายเลเซอร์อย่างชัดเจน แล้วมันก็จางหายไป ร่างของแวมไพร์ที่โดนยิงทรุดลงทันทีที่ถูกกระสุนนั้น แวมไพร์ทั้งสองตนที่ย่องเข้ามาหาผม ถูกผมเก็บไปเรียบร้อย ‘หึ! กระจอกนี่หว่า’ ผมคิด
ผมหันกระบอกปืนเข้าไปในบ้าน พร้อมจะลั่นไกใส่เจ้าแวมไพร์ผมม่วงที่สู้กับ อิเรอัลอยู่ ‘ปัง!’ ผมลั่นไกออกไป เส้นสีฟ้าๆพุ่งเข้าไปหาเจ้าแวมไพร์ผมสีม่วงทันที แต่ทว่า … มันปัดกระสุนที่ผมยิงไปทิ้งได้อย่างไม่น่าเชื่อ! … แสดงว่าไอนี่มันไม่กระจอกสินะ … ผมเห็นว่ามันใช้มือเปล่า สู้กับดาบของอิเรอัล… มันจะเก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ
แต่แล้วในที่สุดผู้มีอาวุท ก็เป็นฝ่ายที่ชนะ เมื่อแวมไพร์ผมม่วงนั้น ถูกรุกจนเสียท่า แถมยังเสียลูกน้องไปสองตัว โดยผู้ที่เก็บลูกน้องมันคือผมเอง ทำให้มันหายตัวหนีอย่างรวดเร็ว ทำให้อิเรอัลสบถ ‘ชิ’ ออกมา
“มันหนีไปได้ซะแล้วสิ” อิเรอัลเดินออกมาบอกผม แล้วจับซีฟาร์อุ้มขึ้นไปบนห้อง … เขาให้ผมรออยู่ข้างล่าง เดี๋ยวเขาลงมาช่วยซ่อมกำแพงให้ เมื่ออิเรอัลพาซีฟาร์ไปนอนได้แล้ว อิเรอัลก็เดินไปที่กำแพงที่แตกเป็นรูเบ้อเริ่ม ผมได้ยินเขาท่องภาษาแปลกๆซึ่งผมไม่เข้าใจ ทันใดนั้นก้อนอิฐ เศษฝุ่นผงที่เกิดจากการแตกของกำแพง ก็ค่อยๆลอยขึ้นมาประสานตัวกันเป็นกำแพงเช่นเคย … เหลือเชื่ออีกอย่างหนึ่งแล้วสินะ เพราะสิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตาค้างไปเกือบห้าวินาที …!
“นายใช้เวทย์มนตร์อย่างงั้นเหรอ” ผมถามออกไปหลังจากช๊อกตาค้างเสร็จแล้ว เขาพยักหน้าให้ผม
“ขอรับ พ่อมดสอนข้ามา แต่ข้าทำเป็นแค่ไม่กี่อย่างเองขอรับ เพราะมันยากยังไงก็ไม่รู้” … ผมรู้สึกด้อยกว่ายังไงก็ไม่รู้ กับคนที่หารไม่เป็น… แต่ใช้เวทย์มนตร์เป็น มันทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกขั้น ตกลงไอเจ้านี่… มันโง่ หรือฉลาดจนลืมเรื่องง่ายๆไปกันแน่นะ
“เดี๋ยวนะ! นายเป็นแวมไพร์ใช่ไหม” ผมถามเขา เขาเดินเข้าใกล้ผมมาเรื่อยๆ แล้วเขาแยกเขี้ยวให้ผมดู “ใช่แล้วครับตามภาษาโลกมนุษย์เรียกผมว่าแวมไพร์”
“จริงๆแล้วพวกข้ามีกฎต้องห้ามอยู่หลายข้อด้วยกัน เป็นข้อตกลงระหว่างเทพ และปีศาจ ว่าห้ามข้องเกี่ยวกับมนุษย์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่…” เขาทำหน้านิ่งคิดอยู่สักพัก แล้วพูดกับผมตรงๆ “พวกมันถูกส่งมาเพื่อกำจัดท่าน… ซึ่งข้ากับซีฟาร์ได้ยินข่าวว่ามีแวมไพร์ที่ต้องการกำจัดเจ้าทิ้งเสีย … ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่พวกข้าก็ต้องการท่านเช่นกัน เหตุผลที่ข้าไม่เข้าใจคือ ทำไมต้องเป็นท่าน” เขาทำหน้าบึ้งใส่ผมนิดหน่อย
สิ่งที่เขาพูดมาก็ทำให้ผมคิด … ทำไมพวกเขาต้องการผม แล้วทำไมมีบางพวกที่ต้องการกำจัดผม … ความงงงวยก็เริ่มบังเกิดขึ้นกับตัวผม สิ่งแรกที่ผมต้องการรู้คือ ผมมีอะไรเกี่ยวพันกับพวกนี้ อย่างนั้นหรือไรกัน
‘ครึ่กๆ แอ๊ดดด~’ เสียงเปิดประตูดังขึ้นขัดจังหวะความคิดของผม สาวน้อยผมสีฟ้า ดวงตาสีโลหิตที่ดูไร้เดียงสาตลอดเวลา… มันช่างดูหลอกคนได้ดีเหลือเกินเลยจริงๆ กับตัวตนจริงๆของเธอ ซึ่งผมเดาไว้แล้วว่า เธอต้องไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอย่างแน่นอน! แต่เธอยังไม่เผยตัวตนของเธอออกมาให้ผมดูเท่านั้น เธอก้าวเดินลงบันไดมา แล้วนั่งซุกอยู่ข้างๆผม … เฮ้ย! มาซุกผมทำไมเนี่ย!
“ข้าคิดว่าซีฟาร์ละเมอมากกว่าขอรับ” อิเรอัลพูด … ยัยนี่ละเมอขั้นเทพเลยสินะ หึหึเดินลงบันไดโดยไม่พลาดเลยแม้แต่ขั้นเดียว จะว่าไปแล้ว เธอก็ดูน่ารักดี แต่ดูท่าทางเธอคงพูดไม่ค่อยเก่งเท่าไรแฮะ
เวลาผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็ตื่นขึ้นจากที่เธอนั่งหลับซุกแขนผมอยู่ ผมเห็นดวงตาของเธอเปลี่ยนสีเพียงแวบหนึ่งก่อนจะกลับมาเป็นสีเลือดดังเดิม … ‘เมื่อกี้ดวงตาของเธอ มีสีม่วง’ ผมเห็นอย่างชัดเจนเลยจริงๆ
“ตาของเธอ…” ผมทักเธอ ทำให้เธอสงสัย … ว่าแล้วเธอก็ทำหน้าไร้เดียงสาใส่ผมอีกแล้วพูดด้วยเสียงที่หวานจับใจกับผมว่า…
“ตาฉันทำไมเหรอ” เธอยิ้มให้ผม … รอยยิ้มของเธอช่างดูสดใสพาผมเคลิ้มได้เหลือเกิน … และเมื่อผมคิดขึ้นได้ว่าเธอโดนทำร้าย ผมจึงพยายามสำรวจเธอว่า เป็นอะไรหรือเปล่า
“ปะ…ปะ…เปล่า นี่ ว่าแต่เป็นยังไงบ้าง ไม่เจ็บตรงไหนเลยเหรอ” ผมถามเธอด้วยความเป็นห่วง
“ไม่นี่ ฉันไม่เจ็บ ไม่ปวดตรงไหนเลย เท่าที่ฉันจำได้คือฉันโดนเจ้า เฟย์รอม เหวี่ยงกระแทกกำแพงบ้านนาย” เธอพูดพลางทำหน้าโกรธเคืองแวมไพร์ผมสีม่วงขึ้นมาทันที
“เฟย์รอม … เจ้าแวมไพร์ผมสีม่วงนั่นน่ะเหรอ” ผมถามกลับ
“ใช่แล้ว มันเป็นแวมไพร์ที่มีสายเลือดพ่อมดมนต์ดำอยู่ด้วย … ฉันคงต้องเล่าเรื่องของฉันให้นายฟังบ้างแล้วล่ะ ในเมื่อนายก็รู้แล้วว่าพวกเราเป็นใคร ก็คงไม่มีอะไรปิดบังกันอีก” เธอยิ้มให้ผมก่อนที่เธอจะเริ่มเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเธอ ให้ผมง่วงนอน …
เมื่อสองร้อยปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ลอบสังหารผู้นำแวมไพร์ ท่านเอนเทล เรนฟอซ แวมไพร์ผู้มีอำนาจสูงที่สุดในประวัติศาสตร์แวมไพร์ แต่กลับถูกลอบสังหารโดยใครที่ไหนก็ไม่รู้ … แวมไพร์แต่เดิม ถูกแยกเป็นสองฝ่ายอยู่แล้ว ซึ่ง ถูกแยกเป็นเหล่า แวมแพรนิส กับ แวมไพร์ ซึ่ง เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน เพียงแค่มุมมองของสองกลุ่มนี้ต่างกัน แต่ก่อนมีท่านเอนเทล ดูแลความสงบของเหล่าแวมไพร์ ทำให้ทุกอย่างอยู่ในความสงบ แต่เมื่อทานเอนเทลตาย ก็ยังไม่มีใครขึ้นแทนที่ได้ เพราะกลายเป็นว่าหัวหน้ากลุ่มถูกแบ่งเป็นสองฝ่าย คือหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ กับ หัวหน้ากลุ่มแวมแพรนิส ซึ่งหัวหน้ากลุ่มแวมไพร์ คือ เคย์เลอร์ ส่วนหัวหน้ากลุ่มแวมแพรนิส คือคิลลอซ สองกลุ่มนี้ต่างฝ่ายต่างต้องการขึ้นเป็นผู้นำแวมไพร์ให้ได้ เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแล้ว ก็ต้องตกลงกันด้วยการใช้กำลัง หรือสงครามนั่นเอง สงครามที่ยังไม่มีฝ่ายใดจะชนะเลยแม้แต่น้อย ทางฝ่ายราชาแห่งปีศาจ เรย์ซิฟอล ก็จนปัญญาในการแก้ไขเหล่าแวมไพร์พวกนี้ จึงไม่อาจช่วยเหลืออะไร เพราะแวมไพร์ขอแบ่งแยกการปกครองออกจากเหล่าปีศาจ ทำให้ราชาปีศาจไม่อาจเข้าไปยุ่งได้โดยตรง
สงครามที่ยืดเยื้อมากว่าสองร้อยปี และมีท่าทีที่จะไม่จบสิ้นลง … สิ่งที่ทุกคนต้องการคือ มีใครสักคนมายุติสงครามครั้งนี้ลงเสียที ซึ่งเหล่าปีศาจก็ไม่อยากให้เหล่าเทพลงมือแก้ไขเหตุการณ์นี้ เพราะหากเหล่าเทพลงมือเอง พวกแวมไพร์อาจจะสูญสิ้นไป ซึ่งไม่อาจยอมรับได้ จึงต้องการสงบศึกกันโดยไม่ให้เทพเข้ามายุ่งเกี่ยว
อยู่มาวันหนึ่ง ราชาปีศาจ ขึ้นไปพบเซนทราเรียน์ ที่วิหารเซนเทล แห่งโลกอัลเทเรล หรือโลกแห่งเทพ เพื่อขอคำแนะนำจากเขา เซนทราเรียน์ผู้ก่อตั้งสายพลังทุกสาย และเป็นผู้ควบคุมกงล้อแห่งชะตาของทุกสิ่ง เซนทราเรียน์ไม่ถูกจัดว่าเป็นเทพ และไม่ถูกจัดว่าเป็นปีศาจ เพราะพลังของเขาสูงเกินไปที่จะจัดตำแหน่งให้เขาได้ จึงมีแค่ชื่อของเขา ที่ทำให้ทุกคนต่างเกรงกลัวต่อพลังของเขาอย่างยิ่ง แม้แต่ราชาปีศาจยังคงเกรงกลัวต่ออำนาจของเซนทราเรียน์ แล้วปีศาจตนไหนจะกล้าหือกับเขาล่ะ
เมื่อราชาปีศาจได้พบกับเซนทราเรียน์ ราชาปีศาจไม่ต้องเอ่ยถามอะไรกับเขาเลย เซนทราเรียน์ก็ตอบคำถามในใจของราชาปีศาจได้อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นคำตอบที่ตอนนี้ยังไม่มีใครพบคำตอบที่แท้จริงของมัน
“ราวกับแสงสว่างกลางเมฆฝน แม้มืดมนแค่ไหนก็มองเห็น คนผู้นั้นจะปรากฎอย่างชัดเจน แม้ไม่เป็นดั่งคิดพิจารณา รู้ไว้ว่าเหล่าเทพมิยุ่งเกี่ยว คืออย่างเดียวที่ท่านนั้นใฝ่หา จากฟากฟ้าสู่พื้นพสุธา มิอาจหาผู้ใดใช้ได้จริง” เมื่อเซนทราเรียน์กล่าวจบ ราชาปีศาจก็ถูกส่งกลับมายังโลกปีศาจโดยอัตโนมัติ ราชาปีศาจเรียกที่ปรึกษาทุกคนประชุมเพื่อแกะบทกลอนที่เขาได้มา
ทุกคนต่างจนปัญญาที่จะแกะคำปริศนาเหล่านี้ จนวันหนึ่งมีพ่อมดชั้นสูงผู้หนึ่งเข้าพบราชาปีศาจ เพื่อบอกคำใบ้ปริศนาของเซนทราเรียน์ ให้กับราชาปีศาจฟัง
“ท่านเรย์ซิฟอล ข้าสามารถแกะคำปริศนาของเซนทราเรียน์ได้” พ่อมดผู้นั้นเอ่ยขึ้นท่ามกลาง ที่ปรึกษาทั้งห้า และราชาปีศาจ ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่พ่อมดผู้นั้น เขาก้าวเดินเข้ามาทีละก้าว พร้อมกับท่องบทกลอนนั้น
“’ราวกับแสง สว่าง กลางเมฆฝน’ สิ่งที่สว่างได้กลางเมฆฝนที่มืดครึ้ม ข้าคิดว่ามันต้องเป็นสายฟ้า” พ่อมดพูดแล้วเดินก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง แล้วพูดต่อ “สายฟ้า เป็นสิ่งที่ฉายลงมา ‘จากฟากฟ้าสู่พื้นพสุธา’ คำที่ต่อจากพสุธาคือ ‘มิอาจหาผู้ใดใช้ได้จริง’ คำว่า ‘เมื่อผู้ใด’ เป็นคำที่ใช้กับบุคคล เราจะไปที่วรรคของ ‘คนผู้นั้นจะปรากฎอย่างชัดเจน’ ส่วนคำว่า’เหล่าเทพมิยุ่งเกี่ยว’ แสดงว่า วรรคนี้กล่าวถึงเทพ ซึ่งจะไม่ยุ่งเกี่ยวเราจะข้ามมันไปหา ‘คืออย่างเดียวที่ท่านนั้นใฝ่หา’” พ่อมดหยุดแล้วยืนยิ้มให้กับราชาปีศาจ
“ดังนั้น คำที่ข้าสรุปให้ท่านคือ ‘เมื่อใดที่สายฟ้าผ่าลงมา ผู้นั้นจะปรากฎให้ท่านเห็น และผู้นั้นคือสิ่งที่ท่านตามหา’” พ่อมดยิ้มให้ราชาปีศาจอีกครั้งก่อนหายตัวไปต่อหน้าที่ปรึกษาทั้งห้า และราชาปีศาจ
“คริสตัลแห่งสายฟ้า” ราชาปีศาจเบิกตากว้างเมื่อเอ่ยคำนั้นออกมา ทันใดนั้น สายฟ้าสีทองก็ผ่าลงมาอย่างรุนแรงกระทบกับพื้นดินบนโลกปีศาจ เกิดรูขนาดใหญ่ที่ลึกมากๆ
ทันทีที่ราชาปีศาจได้ทราบข่าวเกี่ยวกับรูนั้น ก็ส่งทหารออกไปตรวจสอบที่นั่นทันที ทหารลงไปในหลุมหลุมนั้น แล้วกลับขึ้นมาพร้อมกับดาบที่มีสนิมเต็มไปหมดทั่วทั้งใบดาบ
ราชาปีศาจเมื่อพบดาบเล่มนั้นแล้ว จึงมาช่วยกันคิดต่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก แต่ไม่มีใครรู้ที่อยู่ๆ ราชาปีศาจก็พูดว่าให้ตามหาเด็กผมสีดำ ดวงตาสีดำ ร่างไม่สูงมาก ณ โลกมนุษย์
“ซึ่งเธอคิดว่าเป็นฉันอย่างนั้นเหรอ?” ผมถามซีฟาร์อย่างสงสัย เธอก็พยักหน้าให้กับผม “ถึงฉันจะมีรูปลักษณ์อย่างที่ราชาปีศาจว่า แต่เธอจะแน่ใจได้เหรอ เพราะคนรูปร่างแบบฉัน มีเป็นล้านๆคนเลยนะ ที่ประเทศไทย ส่วนใหญ่ก็ผมสีดำตาสีดำกันทั้งนั้น” เธอส่ายหน้าแล้วยิ้มให้ผม
“ฉันรู้สึกได้ว่าต้องเป็นนายแน่ๆ” ซีฟาร์มองตาผมด้วยแววตาที่ไร้เดียงสาของเธอ … จะเป็นไปได้ไหมที่ใครบางคนไว้วางใจผมถึงขนาดกล้ามาอยู่กับผมโดยไม่กลัวอะไรเลย แม้เธอจะไม่ใช่มนุษย์ แต่ผมคิดว่าเธอดูอ่อนแอกว่าที่ใครๆคิดไว้ … ถ้าบางทีผมจะชอบเธอก็คงไม่แปลกหรอกสินะ
“ฉันอยากให้นายไปโลกปีศาจ เข้าพบท่านเรย์ซิฟอลสักหน่อย” เธอบอกกับผม ซึ่งการจะไปโลกปีศาจนั้น ประตูมิติจะอยู่ที่หอคอยกลางทะเลทรายซาฮาร่า
“จะให้ฉันไปทะเลทรายซาฮาร่ากับพวกเธอเนี่ยนะ บ้าไปแล้วหรือเปล่า” ผมสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันที ที่ได้ยินว่าผมจะต้องไปโลกแห่งปีศาจและจะต้องผ่านมิติที่ซาฮาร่า และเพื่อนๆของเธอจะมาสมทบในวันพรุ่งนี้เสียด้วย โอย!!จะบ้าตาย แล้วจะทำยังไงดีล่ะ คืนนี้ผมก็ไม่ได้นอนแล้วซะด้วย
“ท่านต้องมีอะไรป้องกันตัวในระหว่างการเดินทาง” อิเรอัลพูดกับผม ว่าแล้วอิเรอัลก็เรียกดาบสีดำแบบเดียวกับที่เขาใช้ปราบแวมไพร์เมื่อตอนนั้นยื่นให้กับผม ซึ่งเรื่องฟันดาบ คาบพละที่โรงเรียนผมมีสอนมา ทำให้ผมใช้ดาบเป็นอยู่นิดหน่อย
“คืนนี้นอนซะให้เต็มที่นะขอรับพรุ่งนี้ต้องออกเดินทาง ราตรีสวัสดิ์ขอรับ” อิเรอัล พูดจบก็เดินขึ้นไปนอนโดยไม่ไถ่ถามผมสักคำเลย ว่าผมจะไปด้วยหรือไม่
“อะไรกันนะพวกนี้ ดูเหมือนบังคับเราให้ไปด้วยเฉยๆแบบนั้นแหล่ะ” ผมพูดกับตัวเองพลางถอนหายใจ
ทำไมชีวิตผมต้องเจออะไรแบบนี้ด้วยนะไม่เข้าใจเลย หรือว่าเป็นการลิขิตของเซนทราเรียน์ … คิดแล้วก็กลุ้มจริงๆเลยแฮะ เฮ้อ…! แต่สิ่งที่ผมควรทำคงจะไม่พ้นการไปโลกปีศาจอย่างแน่นอนอยู่แล้วสินะ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าผมคือใครกันแน่
เมื่อผมคิดเรื่อยเปื่อยจนเสร็จแล้ว ผมก็เข้านอนในตามแบบฉบับของผม … แล้วผมต้องทิ้งโรงเรียนไปก่อนอย่างงั้นหรือเนี่ย … ช่างเถอะเรื่องนี้อาจจะสำคัญกว่าเรื่องที่เราเรียนก็ได้ ในที่สุดผมคิดจนผมเผลอหลับไป
ตอนเช้ามืดผมตื่นขึ้นมาเพราะอิเรอัลมาปลุกผมให้เตรียมตัวพร้อม … เมื่อผมเดินลงมาจากห้อง ผมพบว่ามีสมาชิกเพิ่มมาสองคน คนหนึ่งเป็นผู้ชายที่มีเส้นผมสีแดงมีดวงตาสีเขียวมรกตสดใส อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่มีเส้นผมยาวสลวยถึงเอวสีเทา กับดวงตาสีเทา ผมเชื่อตัวเองได้เลยว่าสองคนนี้ไม่ใช่คนอีกแน่นอน เมื่อผู้ชายที่มีเส้นผมสีแดงนั้น มีหางอยู่ข้างหลัง ส่วนผู้หญิงผมเทาคนนั้น มีฟันเขี้ยวที่แหลมกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ไม่ยาวเทาแวมไพร์ ทุกคนช่างดูเป็นมิตรมากๆ ต่างหันมายิ้มให้ผมแล้วทักทายผม
“สวัสดีครับ ผมชื่อฟาร์” ชายผมแดงจับมือผมขึ้นไปเขย่าอย่างแรง แล้วเขาก็ปล่อยมือผม แล้วก็กระโดดโลดเต้นไปรอบห้องของผม พลางพึมพำว่า “ได้สัมผัสมนุษย์แล้ว ตื่นเต้นๆๆๆๆๆๆ” … ทำตาซะเคลิ้มเลยนะนายนั่น
“ขอโทษค่ะที่มาบุกบ้านแต่เช้ามืดแบบนี้ ฉันชื่อไอร่า” … น้ำเสียงที่ฟังดูเย็นชา แต่มีมารยาทสูงของผู้หญิงคนนี้ ทำให้ผมรู้สึกว่า คนนี้มีอะไรซ่อนอยู่ภายในมากกว่าที่เห็นแน่นอน เธอหยิบมือผมไปเขย่า ทำให้ผมสัมผัสไอเย็นจากผิวของเธอ … มันเย็นราวกับน้ำแข็งเลยทีเดียว มือผมชาไปเลย
“ครับยินดีที่ได้รู้จักครับ ผมเรย์ครับ เดี๋ยวผมขอไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” ผมจะเดินไปจัดของสำหรับการเดินทางที่จะต้องไปซาฮาร่า … ทันใดนั้นก็มีมือมือหนึ่งจับคอเสื้อผมจากข้างหลัง
“ฉันจัดให้นายแล้ว ไม่ต้องไปจัดแล้ว” ซีฟาร์ยิ้มยิงฟันให้กับผม “ขืนรอนายจัดตอนเช้าฉันว่าไม่ต้องไปกันพอดี หึหึ”
“จะว่ากันมากเกินไปแล้วนะ” ผมทำตาขวางใส่ซีฟาร์ แต่ซีฟาร์กลับหัวเราะดีใจที่ยั่วโมโหผมสำเร็จ วิ่งไปแตะมือกับเพื่อนๆของเธอ ซึ่งอิเรอัลอธิบายว่า ถ้าซีฟาร์ทำให้ผมโกรธได้ จะได้ขี่หลังไอร่าไปซาฮาร่า
อะไรนะ!! เฮ้ยไปซาฮาร่าอย่าบอกนะว่าจะเดินไปกันน่ะ … ไม่ตลกเลยนะเฮ้ย!
“ไม่เดินไปหรอกค่ะ คุณเรย์ก็ขี่หลัง อิเรอัลไปสิคะ ไม่นานก็ถึง” ไอร่าบอกผม ทำให้ผมต้องมองแวมไพร์ที่ชื่ออิเรอัล ที่ยิ้มให้ผมอยู่ตอนนี้… ผมจะซ้อนท้ายเขาดีไหมเนี่ย นี่คือสิ่งที่ผมคิด!
“เฮ้ยยยยยยย!! เร็วไปไหม! เดี๋ยวชนข้างหน้าหรอก” ผมตะโกนกรอกหูอิเรอัล ซึ่งตอนนี้ผมพุ่งอยู่ที่ความเร็วเหนือเสียง รอบข้างผมไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมที่ตีผมจนหัวตั้ง
“เดี๋ยวข้าตามไอร่ากับฟาร์ไม่ทัน” เจ้าแวมไพร์บอกผม… เฮ้ยแล้วใครใช้ให้แข่งกันฟะเนี่ย! … จากนั้นไม่นาน แวมไพร์ที่พุ่งทะยานด้วยความเร็วเหนือเสียงก็ต้องหยุดพุ่งกระทันหันเมื่อเจอะเจอกับ แวมไพร์ผมสีม่วงข้างหน้า กับแวมไพร์สวมชุดดำมากกว่าสิบคนยืนเรียงรายอยู่ต่อหน้า ไอร่ากับฟาร์ ก็ถูกดักไว้กลางอากาศทำให้ต้องลงมายืนบนพื้นดิน
“ชิเจ้าเฟย์รอมดันมาขวางทางผ่านเราเสียได้จะทำให้เราเสียเวลาอีกไหมเนี่ย” ฟาร์พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“จัดการกับพวกนี้ฉันขอเวลาไม่ถึงห้านาที” ไอร่าแสยะยิ้มให้เหล่าแวมไพร์ที่อยู่ตรงหน้า
เหล่านก และสัตว์บนพื้นโลกเริ่มสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่หนาวเข้าถึงจิตวิญญาณจากไอร่า พวกมันก็พร้อมใจบินออกจากบริเวณที่จะเกิดการปะทะ พวกแวมไพร์บางตนก็เริ่มมีสีหน้าวิตกที่ต้องเผชิญหน้ากับเธอ
“ฉันขอร่วมด้วยสิ” ฟาร์เดินออกมายืนข้างหน้าพร้อมกับปลดปล่อยไอพลังของตนออกมา
“นรกแล้วสิ ดาร์คแองเจิ้ล กับซาตาน” แวมไพร์แต่ละคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน แต่เฟย์รอมไม่ได้กลัวพวกนี้แต่อย่างใด สั่งแวมไพร์ให้ตะลุยกับพวกผมเต็มที่
เพียงแค่ไอร่าวาดมือบนอากาศเบาๆ สายพลังสีน้ำเงินก็ปรากฎขึ้นตามทางมือที่เธอวาดออกมา มันพุ่งเข้าหาแวมไพร์ที่มุ่งเข้ามาหาเธอทุกตน ผลที่ได้คือ แวมไพร์ที่ปะทะกับสายพลังสีน้ำเงินเหล่านั้น ต่างกระเด็นกระดอนไปคนละทิศคนละทางเลยทีเดียว เช่นเดียวกับ ฟาร์ที่ใช้พลังรูปแบบเดียวกันในการโจมตี
สมุนแวมไพร์ทุกตัวถูกเก็บอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ เฟย์รอมยืนตะลึงกับการตะลุยของสองคนนั้นซึ่ง คราวนี้เป็นตาของเขาบ้างแล้ว
ไอร่า กับ ฟาร์ ยื่นมือทั้งสองข้างออกจากลำตัว ทันใดนั้นไอพลังสีดำค่อยๆก่อตัวขึ้นในมือของทั้งสองคนก่อนจะนำพลังมาประสานกัน แล้วซัดออกไปหาแวมไพร์ผมสีม่วงที่ยืนจังก้าอยู่ต่อหน้า
สายพลังสีดำพุ่งเข้าหาแวมไพร์ผมสีม่วงแบบไม่ปราณี ทำให้แวมไพร์ผมสีม่วงสลายกลายเป็นควันสีดำไปในพริบตา
“คิดว่าจะเก่งอะไรนักหนา แต่ที่แท้ก็กระจอกแบบนี้นี่เอง” ฟาร์พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ใช้ดูถูกได้อย่างดี
ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ล่องลอยกลับมารวมตัวกันกลายเป็นร่างของเฟย์รอมอีกครั้ง ท่ามกลางความตกตะลึงของพวกผม มันแสยะยิ้มแล้วพูดกับไอร่า และฟาร์ว่า “พลังของเจ้าทำได้แค่นี้อย่างนั้นหรือ แบบนี้ข้าไม่เรียกว่าพลังหรอก” เฟย์รอมยิ้มแยกเขี้ยวให้พวกผมดู แล้วมันก็พึมพำภาษาอะไรก็ไม่รู้ที่ผมฟังไม่ออก
ทันทีที่มันท่องภาษาแปลกๆนั้นจนจบ ผมรู้สึกถึงไอที่ปกคลุมพวกผม มันช่างรู้สึกอ้างว้างอย่างบอกไม่ถูกเลยจริงๆ ซึ่งอิเรอัลบอกกับผมในภายหลังว่ามันคือไอพลังแห่งความมืด
“ท่าทางเราจะเจอกับตัวไม่ธรรมดาซะแล้วแฮะ” ฟาร์พูดขึ้นก่อนที่จะเรียกดาบคริสตัลสีแดงออกมา เตรียมสู้กับแวมไพร์ผมสีม่วงที่ยืนอยู่ต่อหน้า แต่เมื่อฟาร์พุ่งเข้าไปหมายจะโจมตีมัน ฟาร์กลับกระเด็นออกมาโดยที่มันยังไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย … ท่าทางไอนี่จะน่ากลัวจริงๆแฮะ อิเรอัล ให้ผมอยู่ข้างๆซีฟาร์เพื่อที่จะออกไปรับมือกับเฟย์รอมเอง
ดาบคริสตัลสีดำปรากฎขึ้นบนมือของอิเรอัล เขาใช้ความเร็วระดับสูงเข้าประชิดเฟย์รอมทันที เขาวาดดาบใส่เฟย์รอมแต่กลายเป็นว่า เขาฟันลมแทนเสียอย่างงั้น เพราะในพริบตาร่างของเฟย์รอมก็ปรากฎอยู่ข้างหลังอิเรอัล พร้อมเงื้อกรงเล็บจะแทงใส่เขาอย่างรวดเร็ว
ซีฟาร์เห็นดังนั้นจึงชักปืนที่เหน็บอยู่กับเธอขึ้นมายิงใส่เล็บของเฟย์รอม กระสุนที่เฉี่ยวมือของเฟย์รอมทำให้มันกรีดร้องเสียงดัง ในขณะที่อิเรอัลหันกลับมา ใช้ดาบแทงที่ท้องของเฟย์รอมอย่างรวดเร็ว
เฟย์รอมกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย ก่อนที่จะซัดอิเรอัลกระเด็นมาหาผมด้วยมือซ้ายเพียงข้างเดียว มันยืนถอนดาบออก พร้อมกับโอดครวญ อยู่ตรงนั้น ทันใดนั้นมันก็ชูมือทั้งสองข้างขึ้น ทำให้สภาพรอบข้างมืดลงจนไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย แล้วสติผมก็ค่อยๆหลุดลอยออกไป
“เรย์! อย่าเอาเรย์ไป ไม่!!!!!!!!” เสียงซีฟาร์คือเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยิน เธอกรีดร้องเสียงดังเข้ามาในโสตประสาทของผม ก่อนที่ผมจะหมดสติไป
ความคิดเห็น