ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ไบรท์ พาราเวล

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 17 มี.ค. 49



    ตอนที่ 1

    บทนำ

             จากข้างในสู่ภายนอกเด็กสาวแลเห็นฝนตกพรำ ๆ เหมือนเสียงกระซิบ ตัวร่างอันบอบบางแนบชิดติดริมขอบหน้าต่าง แต่ทว่านัยน์ตาสีฟ้าเขียวกลับจ้องมองลึกลงไปในรูปถ่ายที่เธอประคับประคองไว้บนตัก ไหล่ที่รองรับเส้นผมหยิกหนาฟูสีน้ำตาลเข้มสั่นทะเทือนเล็กน้อย  ถึงเด็กสาวจะมีรอยแผลเป็น จากรอยมีดมาดทิ้งไว้ตรงโคนแก้มข้างซ้ายแต่ก็ไมอาจลดความสวยงามบนใบหนาอันอ่อนเยาว์ขณะต้องแสงจันทร์ได้ เสียงฝนยังคงดังต่อไปไม่หยุด เมฆสีดำทะมึนกำลังเคลื่อนตัวเข้าบดบังจันทราบนท้องฟ้า

             ณ ที่เดิม เมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตัวเธอเองนั่งอยู่ตรงนี้ด้วยสีหน้าที่ ยิ้มแย้ม และ ราเริง สมกับเป็นเด็กวัย 7-8 ขวบและเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปก็จะเห็นท้องฟ้าเป็นเหมือนธงผืนใหญ่ที่ห่อหุ้มโลกเอาไว้ได้ทั้งใบ ส่วนนั้นเป็นสีฟ้าอ่อนจาง ๆ ที่เหลือเว้นไว้ให้กับสีขาวของก้อนเมฆ และดวงอาทิตย์สีแดงเพลิง ในวันนั้นอากาศสดชื่นดีทีเดียวหรืออย่างน้อยก็เหมือนกับที่เธอพอจะระลึกได้ พ่อ แม่ และเธอยังอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข บ้านของเด็กสาวไม่ค่อยจะร่ำรวยมากนัก แต่เพราะวันแห่งความเลวร้ายมาถึง พ่อกลับมาพร้อมเงินสดก้อนโตจนเธอไม่อาจตั้งใจนับได้ เขารีบเข้าไปคุยกับแม่ทันทีที่มาถึงบ้านโดยไม่คิดจะทักเธอก่อนเลย เด็กสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะตั้งแต่เธอถูกมีดบาดจนทำให้เกิดแผลเป็นตอนอายุ 3 ขอบโดยที่ไม่มีใครรู้สาเหตุนั้นเขาก็ไม่เคยอยู่ติดบ้านอีกเลย แต่เพราะวันนี้พ่อกลับบ้านก่อนเวลาปกติที่เขาจะกลับมา ( เที่ยงคืน รุ่งเช้า หรือหายไปเป็นอาทิตย์ ๆ  ) แต่เพราะวันนี้พ่อกลับบ้านก่อนเวลาเธอจึงต้องทำ เด็กสาวถือวิสาสะแอบแนบหูชิดประตูไม้สักของห้องที่พ่อกับแม่เข้าไปด้วยกัน ฟังได้ใจความว่า

                "ครับ ๆ ผมจะรับไป ขอสะสางเรื่องสักครู่" แน่นอนนั่นต้องเป็นเสียงของเขาถึงตอนนี้ชายผู้เป็นพ่อหยุดพูดเล็กน้อยแล้วตอบว่า "ผมเข้าใจแล้ว ครับ ๆ"เขาพูดเสียงดังมาดจนเธอต้องสะดุ้งแล้วเผลอเอาหูออกจากประตู แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้พูดอยู่กับคนที่ควรจะคุยด้วย เพราะมีเสียงพูดขึ้น ในสมัยนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือเคลื่อนที่เหมือนที่เราใช้ในปัจจุบัน เขาจึงใช้โทรศัพท์บ้านรุ่นเทอะทะคุยคนที่อยู่ปลายสาย ซึ่งเป็นรุ่นที่ทันสมัยที่สุดในยุคนั้นแล้ว จนเด็กสาวยังแปลกใจเมื่อเห็นพ่อยกเจ้าเครื่องนี้เข้ามาที่บ้านวันแรก

             "จะต้องไปจริง ๆ หรอคะ ทำไม ทำไมถึงต้องเป็นคุณด้วย ถึงเขาจะให้เงินสดมากมาย พร้อมโทรศัพท์ แต่ฉันกับไวโอเล็ตก็คงอยู่กันไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ" ยังไม่ทันหายสงสัยว่า "เขา" คือใคร ขณะที่ฟังอยู่เด็กสาวหรือที่ต้องเรียกต่อไปนี้ว่า "ไวโอเล็ต" ได้ยินเสียงพูดปนเสียงสะอื้น เธอรู้สึกสงสารแม่จับใจ และอยากเข้าไปข้างใน ไปกอดแม่ บอกแม่ว่าไม่เป็นไร แต่เธอก็ไม่กล้า ถึงแม้ว่าตอนเด็ก ๆ เธอจะทำแบบนี้บ่อย ๆ เพื่อให้แม่รู้สึกดีขึ้นก็ตาม

           "เฮ้อ วิโอล่า" ถึงตอนี้ไวโอเล็ตไม่รู้พอ ๆ กับไม่แน่ใจว่าเขาเอามือมาจับแขนทั้งสองข้างของแม่แล้วเขย่าเบา ๆ แต่เธอก็ดีใจที่ได้คิดอย่างนั้น

             "ที่ผมไปเนี่ย ไม่ได้ไปถาวรสักหน่อย เดี๋ยวเดียวก็กลับ แล้ว"

              "สัญญานะคะ" เสียงใสของวิล่าถามขึ้นมาอย่างกังวลขณะที่เธอเมือปาดน้ำตาที่ไหลลงมายังข้างแก้ม

                  ในตอนแรกไวโอเล็ตได้ยินแต่เสียง แต่ตอนนี้เธอหาที่เหมาะ ๆ ที่จะ แอบดูได้แล้ว ก็ข้าง ๆ ประตูไงล่ะมันมีช่องว่างที่จะทำให้นัยน์ตาสีสวยนี้มองเห็นได้

            "เอาน่ายังไงผมก็ต้องกลับมาแน่ คุณอยู่ที่นี่ ก็ดูแลลูกให้ดี ๆ นะ .." ยังไม่ทันที่พ่อหรือใครคนใดคนหนึ่งจะพูดจบพลันเสียงโทรศัพท์ซึ่งไวโอเล็ตคิดว่ามันแสบแก้วหูก็ดังขึ้น พ่อหยุดฟังแล้วพูดต่อส่า "ครับ ๆ แน่นอน จะไปเดี๋ยวนี้ คนทั้งสองมองหน้ากันและกล่าวถ้อยคำอำลาเล็กน้อย

     "แม็กคาร็อบคะ" วิล่าพูดท้วงขึ้นแต่หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินไม่ได้เห็นอะไรที่เกิดขึ้นในห้องนั้นอีกนอกจากการที่พ่อเอามือมาจับมือทั้งสองข้างของแม่เพราะเขาก้าวมาถึงหน้าประตูห้องอีกด้านแล้ว เธอรีบชักมือกลับจากข้างประตูเพราะกลัวจะถูกมันหนีบแล้วรีบลุกกลับมานั่งยังชานบันไดเช่นเดิม พอเขาออกมานอกห้องก็รีบเข้ามาหาเธอเหมือนพึ่งสังเกตเห็น

             "ไวเล็ตตามพ่อมาซิลูก" เสียงนุ่ม ๆ ของแม็กคาร็อบดังขึ้น

                เขาเป็นคนหนุ่มที่มีผมสีเงินแกมเล็กน้อยจึงทำให้ดูแกกว่าอายที่แท้จริง เภสัชบอกว่าเกิดจากความเครียดแต่ใบหน้ากลับไม่เหี่ยวย่นตามไปด้วย

               แวบแรกเธอไม่อยากตามพ่อไปเลย แต่เมื่อนึกคำพูดและภาพแม่ร้องไห้ที่เธอไปแอบดูมาก็ต้องเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน

          "ค่ะ งั้นหนูขอไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ" เธอพึ่งอาบน้ำเสร็จเหม็บ ๆ จึงยังคงสวมชุดนอนอยู่

             ไวเล็ตตัดสินใจที่จะยืดเวลาให้พ่ออยู่บ้านนี้ให้นานที่สุด ถึงเธอจะไม่เข้าใจเสียเกือบครึ่ง แต่ก็พอเดาออกว่า เขาจะไปที่ไหนซักแห่ง ที่ซึ่งไกลแสนไกล ไกลจนเธอกับแม่ไม่อาจไปเยี่ยมได้ในวันสุสัปดาห์

            แต่ก่อนที่เธอจะไปถึงประตูห้องแล้วหมุนลูกบิดเพื่อไปเปลี่ยนชุด แม็กคาร็อบก็พูดขึ้นว่า "ไม่ต้องหรอกลูก" เมมื่อรู้สึกตัวว่าเสียงดัง เขาก็ลดสียงลงและพูดต่ออย่างชัดเจนว่า "แค่ไปข้างหลังบ้านนี่เอง ลูกสวยอยู่แล้ว มาเถอะ แต่หยิบเสื้อโค้ดมาด้วยนะ"

             เด็กสาวไม่ตอบอะไรได้แต่เดินตามไปอย่างเงียบ ๆ  ก่อนที่จะถึงวันนี้ แม็กกี้กับเธอสนิทกันมาก ไวโอเล็ตจึงเรียกเขาว่า แม็กกี้อยู่เสมอ และเขาก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร

               ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แม้แต่ตัวไวเล็ตเองก็คงอยากย้อนเวลากลับไปสู้อดีตอันหอมหวานกันทั้งนั้น เพื่อที่เธอและพ่อจะได้เดินจูงมือกัไปพูดคุยกันไปพลาง ๆ

               วันนี้แม็กกี้ชวนเธอไปหลังบ้านด้วยเหตุผลบางกระการที่ไวโอเล็ตไม่อาจล่วงรู้ได้ ที่นั่นเธอกับแม่ไม่ได้เข้าไปที่นั่นนานแล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเป็นที่รกร้างไม่มีเจ้าของเพียงเท่านั้นแต่ยังป็นที่ชุกชุมของแมลงและ งู สัตว์เลื้อยตลานต่าง ๆ เธอไม่ใช่คนที่กลัวผี แต่เพราะวิโอล่าห้ามให้เธอเยื้องกราบเข้าไปด้วยเหตุผลที่ว่าด้วยความปลอดภัย

                 พอพวกเขาทั้ง 2 เดินมาถึงไวโอเล็ตก็ต้องแปลกใจเล็กน้อย หรืออาจเป็นคำที่เรียกเวลาที่คนเกือบจะอ้าปากค้างเช่นเธอ

                  ณ ขณะนี้ ต้นไม่สูงๆ รก ๆ ถูกถอนรากถอนโคนและตัดออกไปหมด หญ้าสีน้ำตาลที่ดูแห้งแล้งเมื่อครั้งล่าสุดที่เธอเข้าไปบัดนี้ถูกปลูกขึ้นมาใหม่เป็นสีเขียวสดใสเหมือนลูกกวาดที่เธอไม่ค่อยชอบกินยังไงอย่างนั้น มีคอกของสัตว์ชนิดหนึ่งตั้งอยู่ พร้อมด้วยต้นไม้นานพันธ์มีทั้งที่เธอรู้จัก ไม่รู้จัก และไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นที่ ๆ สวยงามยิ่งกว่าที่ไหน ๆ ที่ไวโอเล็ตเคยเจอ แต่ก่อนที่จะชื่นชมสิ่งสวยงามเหล่านี้ได้นานเท่าทีหวัง ไวเล็ตก็ถูกมือสีน้ำตาลอ่อนลากไปด้วยแรงอันแผ่วเบาแต่ก็สามารถดึงตัวเธอไปทั้งตัวได้

             เมือ่มาหยุดอยู่ตรงหน้าคอกสัตว์เธอก็สังเกตสัตว์ตัวหนึ่งที่สูงใหญ่ดังที่คาด ทั้งสง่า  งดงาม แต่งแต้มไปด้วยขนสีขาวราวกับยูนิคอร์นในหนังสือเทพนิยาย ม้าตัวนี้ไม่ได้ใส่บังเหียน ซึ่งในภายหลังเธอจะใส่ให้มันก็เฉพาะในยามจำเป็นเท่านั้น

                   ด้วยความที่เธอยังเล็ต แถมยังไม่ค่อยได้ออกนอกบ้านเท่าไร ทั้งม้าที่เธอเคยเจอก็เป็นสีน้ำตาลทั้งนั้นเธอจึงถามพ่อด้วยแววตาลุกวาวว่า "นั่นคือตัวอะไรคะ มันสวยจัง คล้าย ๆ ม้านะเนี่ย"

               เขาสะดุ้งเหมือนไม่คิดว่าเธอจะถาม และหัวเราะให้กับความไร้เดียงสาของลูกสาว แต่ถึงกระนั้นเขาก็พูดขึ้นในที่สุด

     "ก็ใช่หนะสิลูก ตัวนี้เป็นม้า ม้าขาวด้วย พ่อซื้อให้ลูกเอง ลูกจะตั้งชื่อให้มันเลยก็ได้นะ แต่ก็ควรจะรักมันเหมือน ..." เขาไม่ตอบได้แต่เบือนหน้าไปอีกทาง

    "เหมือนอะไรหรือคะ พ่อ" เธอถามขึ้น นัยน์ตายังจับจ้องไปยังสิ่งที่อยู่ในคอกม้า

     หลังจากที่เงียบมานานจนไวเล็ตไม่คิดว่าเขาจะตอบกลับ แม็กกี้ก็พูดขึ้นว่า " เหมือนที่ลูกรักพ่อไง มันจะเป็นตัวแทนของพ่อนะ"

            หลังจากนั้น เธอจึงกล่าวขอบคุณและคุยกับเขาอยู่ได้ซักพัก ไม่นานเธอก็ปลีกตัวไปหัดขี่ม้ากับครูฝึกที่พ่อจ้างมาเป็นพิเศษ เขามีชื่อน่ารัก ๆ ว่า "สนัฟเฟิล" หลังจากหัดขี่ม้าอยู่ได้เกือบ ๆ ชั่วโมงไวเล็ตก็สามารถขี่ได้คล่อง เลี้ยงก็เก่ง สั่งให้ไปทางไหนม้าก็เชื่อฟัง เธอเป็นคนที่หัวไวจนครูฝึกยังชมความสามารถในการขี่ม้าของเธอ

            หลังจากพยายามช่วย (ยุ่ง)  สนัฟเฟิล  เอาม้าเขาคอกแล้วเธอก็รีบวิ่งเข้าไปในบ้าน หวังจะไปบอกพ่อว่าตนขี่ม้าได้แล้ว แต่ทว่าหาที่ไหนก็ไม่เจอ ครั้นคิดว่าอยู่ในห้องนอน แต่พอเปิดเข้าไปก็เจอแต่เตียงนอนที่เย็นชืด หมายแสดงว่าเขาลุกจากที่ ๆ ไปนานแล้ว

       ไวโอลเตใจหายมาก เธอรีบเข้าไปถามแม่ที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่มีเบาะสีแดงว่างกั้นอยู่ เธอถามว่าพ่อไปแล้วใช่หรือเปล่า และหวังว่าคำตอบจะคือ "ไม่ใช่" อย่างแน่นอน พ่ออาจจะอยู่ที่ไหนซักแห่งในบ้านหลังนี้คอยออกมาจ๊ะเอ๋เธอกับแม่เหมือนที่เคยทำบ่อย ๆ

         ด้วยความที่น้ำเสียงของเธอฟังดูเหมือนว่าความสนุกจากการขี่ม้าเมื่อซักครู่ยังไม่จางหายไปไหน และน้ำตาซักหยอดก็ไม่มี แต่ในใจเธอเหนื่อยและหวั่นเกรงไม่น้อย

             ดังนั้น วิโอล่าจึงละสายตาจากหนังสือ ที่เธอคาดว่าเป็นหนังสือสอนทำอาหาร ที่แม่เคยพัฒนาฝีมือให้เธอกินบ่อย ๆ

      " พ่อไปได้นานแล้วละลูก จริง ๆ เขาก็อยากบอกลาลูกนะ แต่เขากล .."

           หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ยินเสียงวิโอล่าผู้เป็นแม่พูดต่อ พร้อม ๆ กับที่ประตูห้องนอนถูกปิดลงด้วยแรงขนาดที่เด็กวัยขนาดเธอจะทำได้ ดังนั้นผลที่ออกมาก็คือ เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นดัง ปัง ! ไวโอเล็ตคิดอยู่ในใจว่าจะไม่ออกมากินข้าวเย็นแม้ว่าแม่จะมาเคอะประตูถึงห้องก็ตาม

                ค่ำ คืน นี้พระจันทร์เต็มดวง สีขาวสุกสะกายแวววาวไม่รู้ว่าเพราะสายตาของเธอพร่ามัวจากการร้องไห้หรือว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ แม้จะไม่มีแสงสว่างในตัวเอง

       ชั่วขณะหนึ่ง เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเขียวนี้นึกอยากไปอยู่บนดวงจันทร์ขึ้นมาทันใด จะได้ไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้คิดมากมาย ไม่ต้องเสียใจ วัน ๆ เอาแต่ออกมาพร้อมพระจันทร์ในค่ำคืนที่มืดหมองเช่นนี้  อย่างน้อยก็คงมีกระต่ายเป็นเพื่อนเล่น มี ตา กับ ยาย ทำอาหารให้กิน

        แต่ไม่ว่าจะเป็นใครก็ต้องล้มเลิกความนี้ ไวโอเล็คเองก็เช่นเดียวกัน เธอสั่นหัวและลืมเรื่องอยากเป็นดวงจันทร์ขึ้นมาภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที

         เวลาเดียวกันนั้น ด้วยความโกรธาที่อยู่ลึกลงไปในใจที่เธอมีต่อแม็กกี้ เธอคิดว่าจะไม่มีวันไหนที่เธอจะขี่ม้าอีกเลย และคงจะเอามันไปขายที่ไหนสักแห่ง ม้าสวย ๆ แบบนี้คงต้องมีใครอยากได้บ้างละน่า

        ครั้นนึกถึงสิ่งที่พ่อคุยกับเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะจากไป ไวโอเล็ตก็กลับไปหามันอีกครั้ง และเรียกมันอย่างอ่อนโยนว่า "สโนฟลัฟ" ด้วยเพราะขนของมัยขาวราวกับหิมะที่พึ่งตกใหม่ ๆ นั่นเอง รวมทั้งเธออยากจะตั้งชื่อให้มันคล้าย ๆ กับครูฝึกของเธอด้วยเพื่อเป็นการนับถือคนที่สอนให้เธอขี่ม้า

      หลังจาดนั้นอีก 6 ปี เธออายุได้ 14 ปีพ่อก็ไม่กลับมาหาเธอกับแม่อีกเลยจนกระทั่งวันนี้วันที่เธอหยิบรูปของเขาขึ้นมาดูอีกครั้งเพราะมันไม่เป็นรูปสีจึงทำให้เธอแทบจะจำไม่ได้ว่าเขามีผมสีอะไร

      ไวเล็ตกับแม่ และสโนฟลัฟ ยังอยู่ด้วยกันในบ้านหลัวเก่า แม้วิโอล่าจะเคยบอกให้ย้ายกี่ครั้งแล้วก็ตาม แต่เธออยากจะอยู่ที่บ้านหลังเล็กนี้ เพราะมันเป็นบ้านที่พ่อของเธอซื้อขึ้นมาด้วยแรงกาย ไม่ใช่เพราะเงินสดก้อนโตนั่น

    แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในบ้านหลัวนี้เลยนอกจากที่แม่ขอร้องให้เธอยอมให้เปลี่ยนรั้วรอบบ้านทั้งหมดรวมทั้งของตกแต่งบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ และสิ่งต่าง ๆ ในห้องของแม่ด้วย

         สโนฟลัฟพึ่งจะโตเป็นหนุ่มใหญ่ เขาอายุได้ 15 ปี ซึ่งตามปกติแล้วม้าจะมีอายุไขได้แค่ 30 ปีเท่านั้น แต่เธอพยายามลืมเรื่องนี้และเลิกคิดถึงวันนั้น เพราะเธอคงทำใจไม่ได้แน่

       เธอซึ่งอยู่กับสัตว์ที่สวยงามเช่นนี้มานานจนรู้ว่าถ้าเขาหูลู่ไปขางหลังคือแสดงความโมโห ส่วนถ้ากูกระดิกไปมาแสดงว่ากำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ และถ้าหูลู่ไปข้างหน้าก็คงหมายถึงการไม่เข้าใจในบางเรื่อง

        แต่สำหรับตัวสโนฟลัฟ ไม่ได้มีเพียงแค่นั้นมีบางวันที่เธอลืมให้อาหาร มันก็ไม่ยอมหันหน้ามาหาเธออย่าว่าแต่เล่นด้วยเลย และถ้าไวเล็ตบังคับให้มันใส่บังเหียน ที่ไม่จำเป็น สโนฟลัฟก็จะไปยอมวิ่งตามที่สั่งเอาแต่เดินช้า ๆ จนเธอต้องยอมถอดออกให้  นับว่าเป็นม้าที่ฉลาดมากถ้าเทียบกับม้าตัวอื่น ๆ

       ขณะนี้ไวเล็ตกลับเข้าไปอยู่ในห้องนอนของเธอแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลยถ้าไม่นับการเปลี่ยนที่นอนทุกสัปดาห์และของขวัญวันเกิดที่ได้ทุกปีนะ

         นาฬิกาเรือนที่อยู่บนหัวเตียงซึ่งเธอได้รับเป็นของขวัญเมื่อปีกลายตีบอกเวลาเที่ยงคืน ท้องฟ้ามืดมิดจนแทบไม่มีดาวซักดวงให้เห็น แต่ยังคงมีแสงของดวงจันทร์ที่ทอดตัวลงมาอย่างริบหรี่ แต่เปลือกตาของเธอยังคงสว่างและยังไม่ปิดลง

         ไวเล็ตครุ่นคิดตัดสินใจอยู่ชั่วครู่ ด้วยนัยน์ตาเหม่อลอย เธอรวมผมสีน้ำตาลเข้มที่ยาวลงมาจนถึงปลายหลังอย่างรีบเร่ง แล้วจึงเดินไปหยิบเสื้อโค้ด ปากากระดาษและตะเกียง พร้อมกระเป๋าของใช้ที่จำเป็นออกจากบ้านไป ตลอดกาล !!


       ช่วยคอมเม้นด้วยนะคะ จะรีบมาอัพเร็ว ๆ ค่ะ และถ้าสนุกและช่วยโหวดจะขอบคุณมาก ๆ นะคะ  เราเด็กอยู่น้า อาจจะยังแต่งไม่ดี ยังไงก็ติชมด้วยนะคะ ..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×