เชื่อแล้วครับ - เชื่อแล้วครับ นิยาย เชื่อแล้วครับ : Dek-D.com - Writer

    เชื่อแล้วครับ

    T-korn666

    คนเราทุกคนมีความเชื่อแตกต่างกันไป หลายคนเชื่อโดยไม่มีเหตุผล แต่กับเราแล้วการที่เราจะเชื่ออะไรนั้นมันต้องพิสูจน์ได้ว่ามันมันคือข้อเท็จจริง แต่ด้วยเหตุนี้แหล่ะที่ทำให้เราเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เราจดจำได้จน

    ผู้เข้าชมรวม

    73

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    4

    ผู้เข้าชมรวม


    73

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  7 พ.ย. 65 / 12:45 น.
    ดูเพิ่มเติม


    ข้อมูลเบื้องต้น

      ย้อนไปสมัยมหาวิทยาลัยราวๆ ปี พ.ศ. 2538 ตอนนั้นเราได้โควตาพิเศษติดคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยด้านการแพทย์ชื่อดังและเก่าแก่แห่งหนึ่ง เราได้พักที่ศาลายา เป็นหอในของนักศึกษา          วันแรกที่เข้าสู่การรับน้อง รุ่นพี่ก็พาไปไหว้ศาลเจ้าพ่อศาลายาด้วยกันทั้งคณะ แต่เราด้วยความไม่เชื่ออะไรพวกนี้ (เชื่อแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงไม่กราบไหว้อะไรอย่างอื่น) ก็เลยแอบท้าไปในใจตอนไหว้โดยคิดในใจว่า “หากมีจริงขอให้เราได้พี่รหัสสวยๆ”          พอถึงวันเฉลย พี่รหัสของเราคือ ดาวคณะรวมถึงสายรหัสทั้งสาย ล้วนเป็นหรีดคณะทั้งสิ้น แต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อเพราะคิดว่ามันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญที่มันเกิดขึ้นได้ เมื่อเรียนไปจนถึงกลางภาค ซึ่งมีการสอบครั้งแรกในวิชาคณิตที่โคตรยาก          เพื่อนสนิด 2 คน จึงลากเราซึ่งตอนนี้สิ้นหวังกับการสอบวันรุ่งขึ้น เพื่อไปหาที่พึ่งสุดท้ายของเด็กๆ เราและเพื่อนรวมกัน 3 คน จึงแอบปีนออกจากหอ ออกไปบนเจ้าพ่อศาลายาในคืนก่อนวันสอบ โดยขอให้สอบผ่านวิชานี้ให้ได้ ถ้าได้จะเอาว่าวจุฬามาแก้บน          ซึ่งเราก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อแต่ไปแบบเสียไม่ได้ เลยแอบท้าทายไปในใจว่า ถ้าเจ๋งจริงขอให้ผ่านและได้ไม่ต่ำกว่า C ถ้าได้จะเอาผ้าสามสีมาผูกให้ภายใน 3 วัน พอถึงวันสอบเราและเพื่อนก็ได้แต่มองหน้ากันตาปริบๆ เพราะข้อสอบที่พบตรงหน้าเป็นโจทย์คำถามและกระดาษเปล่าๆ ที่ให้เราเขียนวิธีทำพร้อมคำตอบไม่ใช่แค่กาแบบทุกๆ ปี          เราจึงทำได้แค่มั่วๆ ไปตามที่คิดว่าอย่างน้อยขอให้มีคะแนนติดมั่งก็ยังดี เพราะจำสูตรอะไรกันแทบไม่ได้ ทุกคนส่ายหน้าแบบสิ้นหวัง แต่เมื่อผลสอบออกที่หน้าประตูห้องอาจารย์ หลังจากที่รอคนซาเราทั้ง 3 คนก็เดินไปดูปรากฏว่าใต้เส้นมีนไม่มีชื่อเราทั้ง 3 คนเลย โดยที่ผมเองดันได้ B- ด้วย (แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจอะไรแค่ผ่านก็พอแล้ว)          เพื่อน 2 คนเลยลากเรา ซึ่งต้องเตรียมตัวไปแข่งบาสที่ต่างจังหวัด โดยทั้งคู่ลากผมไปตลาดศาลายาแล้วซื้อว่าวจุฬามาคนละตัวเพื่อนำไปแก้บนกับเจ้าพ่อศาลายาตามที่บนเอาไว้ แต่ตอนนั้น เราลืมเรื่องที่ท้าทายไว้สนิด          หลังจากนั้นผมได้ไปแข่งบาสที่จังหวัดประจวบแต่อยู่ดีๆ ก็ตกรอบเฉย จากที่ควรจะอยู่ 1 อาทิตย์เป็นอย่างน้อยเช่นทุกๆ ครั้ง แต่กลับแพ้ 2 แมต เลยได้เดินทางกลับมามหาวิทยาลัยรวมกับเวลาที่เดินทางเมื่อวันศุกร์ก็ตรงกับวันจันทร์พอดี สิริรวมเวลาได้เพียงแค่ 3 วัน          เรามาถึงมหาวิทยาลัยตอนราวๆ ทุ่มกว่าเกือบ 2 ทุ่มได้ โดยเรารีบตรงเข้าไปที่แคนทีนเพราะกลัวว่าจะไม่เหลืออะไรกิน โดยรีบตรงไปที่ร้านประจำแล้วสั่งน้ำโค๊กกับข้าวผัดกิน ซึ่งก็แปลกๆ ที่วันนี้บรรยากาศในแคนทีนมันแปลกๆ เพราะไม่มีนักศึกษาอยู่เลยเหลือแค่ร้านข้าวไม่กี่ร้าน          พอกินจนหมดก็เดินเอาจานไปเก็บและเดินไปทางซ้ายมือของแคนทีนซึ่งเป็นที่วางถังขยะเพื่อจะทิ้งแก้วน้ำโค๊กก่อนจะเดินกลับไปเอากระเป๋าที่วางไว้ที่โต๊ะแล้วกลับขึ้นหอนอน แต่หางตากลับเหลือบมองไปเจอเพื่อนหมอรามาที่ได้เจอในเซคกายวิภาค          เธอชื่อ ซีน ซึ่งภาพที่ผมเห็นคือ ซีนยืนใส่ชุดนักศึกษากระโปรงพรีดแต่ชายเสื้อถูกปลดออกมานอกกระโปรงตามสไตล์นักศึกษาที่เลิกเรียนแล้ว อยู่ตรงปลายสะพานข้ามไปคณะสิ่งแวดล้อม   ซีนยังยิ้มให้เราอยู่แล้วกวักมือเรียกเรา ซึ่งตอนนี้ยืนอยู่ห่างจากเธอราวๆ 200 เมตร ได้          เรารีบทิ้งแก้วน้ำลงถัง แล้วเดินไปหาซีนซึ่งอยู่ห่างจากเราอย่างรวดเร็ว ในขณะที่กำลังเดินไปหาอยู่นั้น เราก็ได้ยินเสียงแว่วๆ จากทางขวาว่า "ทำอะไรลูกลงมา" ฉับพลัน ผมรู้สึกเหมือนมีใครกำข้อมือซ้ายของเราไว้จนแน่นและกระชากอย่างแรง จนเราล้มลงมาด้านหลังตามแรงกระชากนั้นจนก้นจ้ำเบ้าเจ็บจนหลับตาปี๋           เมื่อเราลืมตา อาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งเป็นคนดึงเราและยังคงจับข้อมือเราไว้ไม่ปล่อยเหมือนกับกลัวเราจะหลบหนีไปไหนก็ไม่ปานก็พูดเสียดังใส่เราว่า "ทำอะไรของเธอนักศึกษามันอันตรายนะ" คำพูดของอาจารย์ผสมอากาศมึนงงทำให้เรายังรวบรวมสติไม่ได้เต็มที่ และเมื่อหันไปมองด้านขวาก็เห็นแม่ครัวนั่งคุกเข่าอยู่ แล้วลูบหลังเราพลางบอกว่า "ใจเย็นนะลูกมีอะไรค่อยๆ คุยกัน"           เราสลัดความเจ็บและความมึนงง และเริ่มบอกเล่าให้อาจารย์และป้าแม่ครัวฟังว่า "ผมไม่ได้เป็นอะไรครับ ผมแค่จะเดินไปหาเพื่อนผม" แล้วก็ชี้ไปด้านหน้าตรงที่เราเห็นซีนยืนอยู่ แต่ด้านหน้าของเราตอนนี้คือ "ราวสะพาน" เลยออกไปก็คือบ่อน้ำไม่ใช่ทางเดินอย่างที่เราเห็นตอนที่เราเห็นตอนแรก           ที่สำคัญทุกคนบอกว่า อยู่ดีๆ ก็เห็นเราเดินไปที่สะพาน แล้วปีนราวสะพานกำลังจะก้าวลงน้ำ แต่อาจารย์ซึ่งเดินสวนทางมาจากทางคณะสิ่งแวดล้อมพอดี และสามารถคว้ามือกระชากเราลงมาได้ก่อนที่เราจะตกลงไปในบ่อน้ำ           ซึ่งป้าแม่ครัวท่านเดิมที่ตอนนี้ก็ยังคงลูบหลังเราไม่วางมือ เอ่ยถามเราว่า ซึ่งคำถามนั้นทำเอาเราขนหัวลุกจากหัวจนถึงปลายเท้า แกถามว่า "หนูไปบนอะไรเจ้าพ่อไว้หรือเปล่าลูก" หลังจากได้ยินคำถาม เหมือนเราโดนช๊อตด้วยไฟฟ้า ความจำตอนที่ท้าทายเรื่องสอบและผ้าสามสีตอนนี้ปรากฏชัดในหัว            เราเริ่มบอกเล่าทุกความคิดให้อาจารย์และป้าแม่ครัวฟังทั้งหมด เมื่ออาจารย์ได้ยินเรื่องราวทุกอย่างแกก็เอ่ยปากฝากเราไว้กับป้าแม่ครัวที่ตอนนี้ช่วยประคองตัวผมซึ่งเหมือนคนหมดแรงไปนั่งที่โต๊ะตรงแคนทีน จากนั้นอาจารย์ก็รีบขับรถกระบะหายออกไป            ประมาณ 20 นาที อาจารย์ก็ขับรถกลับมาพร้อมทั้งเรียกให้เราขึ้นรถ เราซึ่งตอนนั้นเริ่มดีขึ้นแล้วจากยาดมที่ป้าแม่ครัวเอามาให้ดมก็ดันร่างตัวเองเข้าไปนั่งด้านหน้ารถกระบะของอาจารย์เมื่อเราขึ้นรถเรียบร้อยอาจารย์แกก็พาเราไปที่ศาลเจ้าพ่อทันที           อาจารย์จัดแจงจุดธูปเทียน และจัดการส่งธูปให้เราถือไว้ แล้วแกก็บอกให้เราพุดตามแก โดยคำที่อาจารย์ให้พูดตามนั้นล้วนเป็นข้อความเพื่อขอขมาทุกอย่างที่เราลบหลู่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่กับเจข้าพ่อ รวมถึงได้ให้เราเอาผ้าสามสีไปผูกที่เสาของศาล ซึ่งเราก็ยอมทำตามทุกอย่างที่ อาจารย์ทบอก ก่อนที่ อาจารย์จะขับรถพาผมไปส่งที่ หอ 9 และไล่ผมให้รีบอาบน้ำและเข้านอนไป           ซึ่งหลังจากที่เราขึ้นมาถึงหอก็ยังรู้สึกหวาดๆ จึงได้ชวนเพื่อเพื่อให้ไปเฝ้าที่หน้าห้องอาบน้ำและพยายามรีบอาบน้ำให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะรีบมาเข้านอนซึ่งที่นอนของหอในนั้นมีเตียงอยู่ 4 เตียงเป็นเตียง 2 ชั้น ซึ่งเรานอนอยู่ชั้นบนด้านขวาตรงกับประตูห้อง          แม้ว่าไฟจะปิดสนิดแต่ก็ยังพอเห็นแสงจากภายนอกเข้ามาในห้องได้อยู่ดี และด้วยมวลของความกลัวทที่ยังคงกลุ่นอยู่ เราจึงเอาผ้ามาคลุมหัวเอาไว้และค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเองลงช้าๆ ซึ่งวินาทีก่อนที่เราจะหลับสนิด เรากลับได้ยินเสียงนึงกระซิบที่ข้างหูว่า "มึงเชื่อหรือยัง"           ทุกคำพูดมีลมแผ่วๆ เย็นๆ มาปะทะที่หูด้านซ้ายเหมือนมีใครกระซิบอยู่ข้างๆ เราทำอะไรไม่ได้นอกจากหลับตาให้แน่นขึ้น ขดตัวและนอนตัวสั่นแบบไร้หนทางสู้ ซึ่งตอนนี้มวลความกลัวนั้นล้นทะลักไปจนครอบครองทุกสติสัมปชัญญะแล้ว ร่างกายเย็นวูปเหมือนคนจมน้ำและกำลังจะขาดใจ          เราตัดสินใจรวบรวมแรงกำลังชีวิตที่เหมือนไส้เทียนที่ริบหรี่ แล้วคิดในใจตอบกลับเสียงปริศนาไปว่า "ครับเชื่อแล้วครับ" สิ้นความคิดภาพก็ตัดมาตอนเช้าทันทีพร้อมกับสะดุ้งตื่นด้วยเสียงนาฬิกาปลุกที่หน้าปัดบอกเวลา 7.00 น.             หลังจากนั้นทุกครั้งที่เราเดินผ่านศาลเจ้าพ่อแม้จะไม่ได้ยกมือไหว้เหมือนใครๆ เขาทำกันเราก็จะนึกในใจและกล่าวคำทักทายว่า “สวัสดีครับ” ทุกครั้ง และทำเช่นนี้กับทุกศาล หรือรูปเคารพต่างๆ ที่คนศรัทธา เพราะแม้เราจะเคารพเพียงพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งอื่นไม่มีอยู่          และสำหรับเราหลังจากผ่านเหตุการร์ครั้งนั้น การกล่าวคำ “สวัสดี” กับผู้ใหญ่ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะอยู่ภพใดๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดไปจากแนวคิด หรือหลักปฏิบัติของพระพุทธศาสนาเลย  

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      • ฟอนต์ THSarabunNew
      • ฟอนต์ Sarabun
      • ฟอนต์ Mali
      • ฟอนต์ Trirong
      • ฟอนต์ Maitree
      • ฟอนต์ Taviraj
      • ฟอนต์ Kodchasan
      • ฟอนต์ ChakraPetch

    รีวิวจากนักอ่าน

    Empty Review

    นิยายเรื่องนี้ยังไม่มีรีวิว

    มาเป็นคนแรกที่เขียนรีวิวนิยายให้กับนิยายเรื่องนี้กัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    กำลังโหลด...
    ×
    แทรกรูปจากแกลเลอรี่ - Dek-D.com
    L o a d i n g . . .
    x
    เรียงตาม:
    ใหม่ล่าสุด
    ใหม่ล่าสุด
    เก่าที่สุด
    ที่กำหนดไว้
    *การลบรูปจาก Gallery จะส่งผลให้ภาพที่เคยถูกนำไปใช้ถูกลบไปด้วย

    < Back
    แทรกรูปโดย URL
    กรุณาใส่ URL ที่ขึ้นต้นด้วย
    http:// หรือ https://
    กำลังโหลด...
    ไม่สามารถโหลดรูปภาพนี้ได้
    *เมื่อแทรกรูปเป็นการยืนยันว่ารูปที่ใช้เป็นของตัวเอง หรือได้รับอนุญาตจากเจ้าของ และลงเครดิตเจ้าของรูปแล้วเท่านั้น
    < Back
    สร้างโฟลเดอร์ใหม่
    < Back
    ครอปรูปภาพ
    Picture
    px
    px
    ครอปรูปภาพ
    Picture