ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Part 8 เฝ้าไข้
Part 8 เฝ้าไข้
คยูฮยอนเกือบจะออกมาจากห้องพักแพทย์แล้วหลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากพยาบาลประจำห้องพักแผนกผู้ป่วยจิตเวชว่าคนไข้หนุ่มนามอีซองมินที่เขาเพิ่งฉีดยาไปเมื่อราวๆ 2 ชั่วโมงก่อนฟื้นแล้ว แต่คุณหมอหนุ่มก็ต้องเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานก่อนจะทันได้จับบานเลื่อนประตูกระจกของห้องเสียอีกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองลืมของสำคัญบางอย่างเอาไว้
มือขาวเนียนของคนที่ไม่เคยผ่านการทำงานหนักเปิดลิ้นชักโต๊ะก่อนจะหยิบสร้อยห้อยจี้ไม้กางเขนเงินที่ได้จากชายชราขอทานเมื่อไม่นานมานี้ สร้อยที่ซองมินย้ำนักย้ำหนาว่าให้เขาใส่ตลอดเวลาด้วยเหตุผลแสนจะไร้สาระสิ้นดีว่าเขามีวิญญาณร้ายตามอยู่ คิดหรือว่าคนที่คลุกคลีอยู่กับวิทยาศาสตร์มาเกือบทั้งชีวิตอย่างคยูฮยอนจะเชื่อคำเตือนของผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตแบบนั้น แต่ไหนๆ ก็จะไปรักษาเขาแล้ว แถมยังทำให้เขาโกรธอีก คยูฮยอนจึงจำต้องหยิบสร้อยเส้นที่ว่าขึ้นสวมลวกๆ หวังเอาใจคนไข้หนุ่มหน้าหวาน จงใจไม่เก็บสร้อยนั้นไว้ในเสื้อ ปล่อยให้โผล่พ้นเสื้อกาวน์ออกมาให้ซองมินเห็นกันจะๆ ไปเลย เผื่อเจ้าตัวจะยอมคุยกับเขาดีๆ เสียที
ยังไม่ทันจะถึงหน้าห้องของซองมินดีเสียด้วยซ้ำ คยูฮยอนก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังมาจากในห้อง ฟังจากเนื้อเสียงก็รู้ว่าไม่ใช่เสียงของซองมิน แล้วจะเป็นเสียงของใครกัน ไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัยนาน คยูฮยอนก็เคาะประตูห้องสองทีเพื่อบอกให้คนในห้องทราบ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในห้อง
“ผมก็บอกแล้วไงว่าให้ปล่อยตัวพี่ชายผม พี่ชายผมไม่ได้บ้าเสียหน่อย!!”
“ไม่ได้จริงๆ ค่ะ คุณอีเพิ่งจะอาการกำเริบมานะคะ ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ ต้องรอคุณหมออนุญาตก่อน ช่วยเข้าใจด้วยนะคะ” พยาบาลสาสาวพูดเสียงอ่อย หน้าตาลำบากใจ
“ไหน ใครห๊ะ คุณหมอคนที่ว่า ขอผมเจอหน้าหน่อยซิ พ่อจะฟ้องศาลให้ยึดใบประกอบโรคศิลป์เลยนี่ ทำกับคนปกติที่ไม่ได้ป่วยแบบนี้ได้ยังไง!!” รยออุคฮึดฮัด ท่าทางเอาเรื่อง ยิ่งทำให้พยาบาลผู้น่าสงสารซีดแล้วซีดอีก
“พอเถอะน่ารยออุค ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง พี่ทนได้” ซองมินพูดเสียงแผ่ว ถ้ามือเขาไม่ได้ถูกพันธนาการเอาไว้ คงจะยกขึ้นลูบแขนรยออุคให้ใจเย็นๆ เพราะเกรงใจและสงสารคุณพยาบาลที่ตอนนี้ตีหน้าไม่ถูกแล้ว
“จะให้เย็นอยู่ได้ยังไงล่ะพี่ซองมิน คอยดูเถอะผมจะฟ้องทั้งหมอทั้งโรงพยาบาล เอาให้มันถูกปิดไปเลย”
“ขอโทษครับ” คยูฮยอนพูดขัดขึ้นมาก่อนจะกระแอมอีกทีเพื่อบอกให้ทุกคนในที่นี้รู้ว่าเขามีตัวตนอยู่ในห้องด้วย หลังจากที่เคาะประตูและเข้ามาในห้องแล้วไม่มีใครสนใจ
“คุณหมอโจว” พยาบาลยิ่งตัวหดลีบเล็กเมื่อเห็นใบหน้าจริงจังของว่าที่เจ้านายใหญ่ของตนเองในอนาคต หลีกทางให้คยูฮยอนเดินเข้าใกล้เตียงของซองมินได้สะดวก
“ไหนๆ หมอคนไหนที่มันทำกับพี่แบบนี้” รยออุคพูดด้วยความไม่พอใจ หันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับคุณหมอหนุ่มมาดขรึมที่ยืนทำหน้าเคร่งมองอยู่
แม่เจ้าโว้ย!! คนอะไรหล่อเป็นบ้าเลย…..
รยออุคส่ายหน้าเร็วๆ รีบลบความคิดไร้สาระเมื่อครู่ทิ้งก่อนจะกลับมาตีหน้าเครียดอีกครั้ง อย่าลืมสิคิมรยออุคว่าผู้ชายคนนี้ทำให้ซองมินตกอยู่ในสภาพแบบนี้
“คุณเองเหรอ หมอประจำตัวพี่ซองมิน” รยออุคถามเสียงเข้ม
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“อ้าว!! ถ้าไม่ใช่แล้วคุณมีสิทธิอะไรมาทำกับพี่ชายผมแบบนี้” รยออุคยัวะจัด ยิ่งเห็นหมอหนุ่มตีหน้าตายตอบแบบนี้ยิ่งอารมณ์ขึ้น
“สิทธิในการเป็นแพทย์ที่ต้องรักษาคนไข้ไงครับ คุณอีซองมินอาละวาด มีอาการทางจิต เป็นภัยต่อคนรอบข้างและตนเอง จะให้ผมนิ่งดูดายอยู่ได้ยังไง” คยูฮยอนตอบด้วยสีหน้าจริงจัง แต่คำพูดนั้นกลับทำให้ซองมินที่นิ่งสงบมาตลอดเลือดขึ้นหน้าขึ้นมาบ้าง
“น้อยๆ หน่อยคุณ คุณว่าใครเป็นภัยต่อคนรอบข้างและตัวเอง ที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะคุณนั่นแหละ” ซองมินร้องประท้วงขึ้นมา
“คงกลับมาเป็นปกติแล้วสินะครับคุณอีซองมิน” คยูฮยอนทำเป็นไม่ได้ยินคำพูดต่อต้านของคนไข้ชั่วคราวของตนเอง ส่งยิ้มแบบที่ไว้ใช้ปลอบคนไข้ที่มีอาการทางจิต แต่มันกลับไม่ได้ทำให้ซองมินเย็นลงเลย
“ผมก็ปกติอยู่ตลอดนั่นแหละ ถ้าไม่เห็นหน้าคุณน่ะ” ซองมินตอบห้วนๆ เบือนหน้าหนีไปอีกทางราวกับจะรังเกียจเขานักหนา คยูฮยอนจึงหุบยิ้มฉับ ท่องเอาไว้ในใจว่าให้เย็นเข้าไว้
“จะยังไงก็ช่างเถอะ คุณรีบปล่อยตัวพี่ซองมินเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าผมไม่เตือน” รยออุคพูดขึ้นมาบ้าง ทำท่าทางขึงขัง แต่กลับทำให้คยูฮยอนต้องกลั้นขำเอาไว้
พี่น้องคู่นี้เหมือนกันไม่มีผิด เวลาโกรธเหมือนเด็กขี้โวยวายยังไงยังงั้น
“คงไม่ได้หรอกครับ จนกว่าผมจะแน่ใจว่าพี่ชายคุณจะไม่อาการกำเริบขึ้นมาอีก แล้วถ้าคุณอยากจะฟ้องศาลเอาเรื่องผมก็ตามใจ ผมมีภาพจากกล้องวงจรปิดตอนที่คุณอีแสดงอาการทางจิตที่จะใช้ยื่นต่อศาลได้ว่าเขาป่วยจริง และถึงผมจะไม่ได้เป็นแพทย์ประจำตัวเขาแต่ผมก็มีใบรับรองจากนายแพทย์ชินบยองชอลแล้วว่าในระหว่างที่เขาไม่อยู่ ผมมีสิทธิดูแลรักษาเขาได้เต็มที่ คุณเองก็ดูจะมีความรู้ด้านกฎหมายน่าจะทราบดีนะครับว่าใครจะได้เปรียบ” คยูฮยอนกล่าวด้วยใบหน้านิ่งขึง เรื่องภาพจากกล้องวงจรปิดนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่ว่ามีใบรับรองจากแพทย์ประจำตัวที่แท้จริงของซองมินนั้น เขาเพียงแต่ยกขึ้นมาขู่เท่านั้น แต่คุณหมอชินบยองชอลก็ทราบเรื่องแล้วเพราะหลังจากที่รักษาซองมินโดยพลการ เขาก็โทรไปแจ้งเรื่องให้บยองชอลที่ตอนนั้นกำลังศึกษาดูงานที่อเมริกาทราบ ซึ่งทางฝ่ายนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ซ้ำยังให้เขาดูแลซองมินได้เต็มที่ แต่เห็นทีเขาคงต้องขอให้บยองชอลส่งแฟ็กซ์ยินยอมมอบอำนาจให้เขาเป็นลายลักษณ์อักษรกันไว้ก่อนแล้วกระมัง
รยออุคได้แต่ขบริมฝีปากก่อนจะส่งเสียงในลำคออย่างขัดใจเพราะจนต่อคำพูด รู้ว่าตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบคุณหมอที่หัวหมอสมอาชีพตนจริงๆ ชายหนุ่มร่างเล็กจึงได้แต่ส่งสายตาขอโทษไปให้พี่ชายที่นอนติดกับเตียง
“ไม่เป็นไรหรอกรยออุค พี่ทนได้” ซองมินพูด ตราบใดที่คยูฮยอนยังสวมสร้อยเส้นนั้นอยู่ เขาก็ไม่เป็นไร
“ก็ดีครับ เอาเป็นว่าผมจะเฝ้าดูอาการคุณอย่างใกล้ชิดก็แล้วกัน เผื่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก” จบคำคยูฮยอนก็โบกมือไล่ให้พยาบาลออกไปก่อน ก่อนที่ตัวเองจะนั่งบนโซฟาในห้อง
“นี่คุณจะทำอะไรน่ะ” ซองมินร้องถามเมื่อเห็นว่าคยูฮยอนยังอยู่ในห้อง ไม่ยอมออกไป
“ก็เฝ้าไข้ดูอาการคุณไงครับคุณอี”
“ผมไม่ต้องการคนเฝ้าไข้แล้วอีกอย่างผมก็มีรยออุคอยู่ด้วยแล้ว คุณมีงานมีการก็ไปทำซะสิ” ซองมินออกปากไล่
“ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจจะทำ แล้วอีกอย่างตอนนี้ผมก็ว่างด้วย” คยูฮยอนตอบพลางยกคิ้วยียวน เขาต้องเป็นโรคจิตแน่ๆ ที่พอได้ยั่วให้ซองมินโมโหแล้วรู้สึกดี อย่างตอนนี้ที่เห็นซองมินส่งเสียงฟึดฟัดด้วยความไม่พอใจ แถมยังทำแก้มป่องอมลมแบบนั้น มันก็ดูน่ารักไปอีกแบบ
“ไม่เป็นไรนะพี่ซองมิน ผมจะอยู่เป็นเพื่อนพี่เอง” รยออุคพูด จับไหล่ที่อยู่ภายใต้เสื้อรัดแบบพิเศษเป็นเชิงปลอบโยนแล้วจึงเดินไปลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงซองมิน
“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย พี่ตกใจมากเลยนะที่เจอนายที่นี่” ซองมินเปิดฉากถามไถ่ก่อนหลังจากที่รยออุคเพิ่งจะหย่อนก้นลงนั่งบนเก้าอี้
“ผมต่างหากที่ควรจะเป็นฝ่ายถาม ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” รยออุคถามกลับด้วยน้ำเสียงร้อนใจ
“เรื่องมันยาวน่ะ เดี๋ยวพี่จะเล่าให้ฟังวันหลัง” ซองมินตอบพลางเหลือบมองคยูฮยอนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ที่โซฟามุมห้อง เรื่องภายในเขาไม่ค่อยอยากให้คนนอกอย่างคยูฮยอนรู้เท่าไหร่นัก ถึงแม้คยูฮยอนจะทำเป็นเหมือนไม่สนใจก็เถอะ แต่เขาก็รู้ว่าชายหนุ่มคงกำลังเงี่ยหูฟังบทสนทนาระหว่างเขากับรยออุคอยู่แน่นอน “ว่าแต่นายเถอะ มาถึงที่นี่ได้ยังไง” ซองมินเปลี่ยนเรื่อง
“ก็ตั้งแต่ปีที่แล้วพอกลับไปที่อเมริกาผมก็ไม่ได้ข่าวพี่อีกเลย ผมเป็นห่วง อยากกลับมาที่เกาหลี กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ติดงาน พอเรียนจบก็เลยกลับไปที่บ้าน เห็นมีคนมาเช่าบ้านต่อ เขาบอกว่าพี่ย้ายมาอยู่ในโซลแล้ว ผมเลยขอที่อยู่พี่จากเขามา พอไปถึงก็เจอผู้หญิงคนนั้น… ไม่ชอบหน้าเลยจริงๆ ให้ตายสิ” รยออุคบ่นออกมาเบาๆ เมื่อพูดถึงแม่เลี้ยงของซองมินที่ตั้งแง่ใส่กันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก อันที่จริงเขาควรจะสงบสติอารมณ์มากกว่านี้แต่เป็นเพราะตอนนั้นเป็นห่วงซองมินมากจนลืมทุกอย่าง
หลังจากกลับไปเรียนต่อด้านกฎหมายที่อเมริกาเพราะได้รับทุนการศึกษา รยออุคก็ขาดการติดต่อกับซองมินเป็นปีทั้งที่ปกติแล้วซองมินจะส่งอีเมล์หาตลอด เขาร้อนใจอยากกลับบ้านแต่เพราะใกล้จะเรียนจบแล้ว จึงมีงานกองเท่าภูเขาและไม่มีเวลามากพอกว่าจะได้กลับมาก็ต้องรอให้เรียนจบก่อน รยออุคจึงแทบคลั่งเมื่อได้ยินว่าซองมินไม่ได้อยู่ที่บ้านหลังนั้นอย่างที่ควรจะเป็น
“แล้วพี่เป็นยังไงบ้าง อยู่ที่นี่คงลำบากมากเลยใช่มั้ย” รยออุคพูดก่อนจะปรายตามองคุณหมอหนุ่มที่แกล้งทำไม่รู้ไม่ชี้อ่านหนังสือพิมพ์
“ก็ไม่หรอก พี่สบายดี ที่จริงอยู่ที่นี่ก็ดีนะ ไม่มีปัญหาอะไรเลย เว้นก็แต่ว่า…” ซองมินพูดเพียงแค่นั้นแล้วหันหน้ามองคยูฮยอน จงใจทำให้เขารู้ตัวว่าตัวเองนั่นแหละเป็นสาเหตุของปัญหาในชีวิตเขา
“พี่ไม่ต้องห่วงนะพี่ซองมิน ถึงยังไงผมก็จะหาทางช่วยพี่ให้ได้เลย” รยออุคพูด สีหน้าจริงจัง
“อื้อ ขอบใจมากนะ” ซองมินตอบรับก่อนจะส่งยิ้มจางๆ ให้ “ว่าแต่นายเถอะ เรียนจบแล้วสินะ ต้องกลับมาทำงานใช้ทุนที่เกาหลีใช่มั้ย ช่วงที่พี่ขาดการติดต่อไป เป็นยังไงบ้าง เล่าให้พี่ฟังหน่อยสิ พี่อยากรู้เรื่องของนาย” ซองมินถามเสียงใส เปลี่ยนจากเรื่องเครียดๆ มาคุยสบายๆ กับผู้เป็นน้องชายบ้าง
รยออุคเล่าให้ซองมินฟังถึงการเรียนและชีวิตในช่วงชั้นปีสุดท้ายของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านกฎหมายของอเมริการวมไปถึงพูดคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วๆ ไป จนคยูฮยอนที่แอบฟังอยู่จริงตามที่ซองมินคิดพอจะทราบถึงความสนิทสนมของพี่น้องคู่นี้ แต่ก็ยังแปลกใจที่ซองมินมีน้องชายที่หน้าตาแตกต่างกันอย่างรยออุค จริงอยู่ที่ทั้งคู่ต่างก็มีความสวยและละม้ายคล้ายผู้หญิงทั้งคู่จนอาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ แต่ซองมินนั้นผิวขาวราวกับน้ำนมและมีดวงตากลมโตเป็นเอกลักษณ์ แตกต่างจากรยออุคที่คล้ำกว่าเล็กน้อยและตาเรียวเล็ก ไม่เหมือนกับซองมินโดยสิ้นเชิงจนไม่คิดว่าน่าจะเป็นพี่น้องกันจริง
“ผมยังไม่ได้ทำงานจริงๆ จังๆ เลย แต่บ่ายวันนี้เขาให้ไปเรียนรู้งานก่อนแล้วเริ่มทำงานจริงๆ เช้าวันพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องที่อยู่ พี่ซองมินไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เขามีที่พักจัดไว้ให้อย่างดีเลย เป็นนักเรียนทุนก็ดีอย่างนี้แหละ”รยออุคพูดพลางยืดอกยิ้มอย่างภาคภูมิใจ นี่ถ้าซองมินไม่อยู่ในสภาพแบบนี้คงจะลูบหัวรยออุคด้วยความเอ็นดูในท่าทางน่ารักของผู้เป็นน้องชาย “พูดถึงงาน ผมคงต้องรีบไปแล้วล่ะครับพี่ซองมิน นี่ก็เที่ยงแล้ว ไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรก นี่ถ้าเจ้าเต่าไม่เสียไปซะก่อนก็คงจะออกช้ากว่านี้ได้หน่อย” รยออุคบ่นเบาๆ ด้วยความเสียดาย
“เจ้าเต่าเสียเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะ รู้อย่างนี้พี่น่าจะซื้อรถดีๆ ให้นาย….” ซองมินพูดเสียงอ่อยด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วใครว่าเจ้าเต่าไม่ดีล่ะครับ เพราะผมใช้มันไม่ระวังเองต่างหาก แค่พี่ซองมินอุตส่าห์ซื้อรถให้ผมก็ดีใจแค่ไหนแล้ว” รยออุคพูดก่อนจะยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูอีกครั้ง “ผมต้องไปจริงๆ แล้วล่ะครับ แล้วผมจะมาหาพี่บ่อยๆ แล้วก็จะหาทางเอาตัวพี่ออกจากที่นี่ให้ได้เลย” รยออุคพูดด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
หลังจากล่ำลากันเสร็จ รยออุคก็ออกไป ทั้งห้องจึงเหลือเพียงแค่คยูฮยอนกับซองมินเพียงสองคนเท่านั้น
ซองมินหันไปมองที่โซฟาที่คุณหมอหนุ่มยังคงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งที่เวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว ดูท่าว่าคยูฮยอนคงกะจะอ่านหนังสือพิมพ์จนจบเล่ม อ่านจนหมดทุกตัวอักษร
“นี่คุณหมอ” ซองมินส่งเสียงร้องออกมา แต่คยูฮยอนก็ยังคงก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือพิมพ์เขม็งราวกับมีอะไรน่าสนใจในหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นนักหนา “คุณหมอโจว” ซองมินเร่งเสียงให้ดังขึ้น
“ครับ” เจ้าของชื่อขานรับ เงยหน้าขึ้นสบผลึกตากลมที่เต็มไปด้วยความขุ่นมัว ทำทีท่าว่าเพิ่งจะได้ยินทั้งที่เสียงเกือบจะตะโกนของซองมินที่เรียกตนนั้นดังเข้าโสตประสาทตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
“คุณก็กลับไปได้แล้ว” ซองมินไล่
“ผมยังไปไหนไม่ได้หรอกครับ ก็ยังมีคนไข้ให้ดูแลนี่นา”
“ตลกน่าคุณ! ผมไม่ใช่คนไข้ของคุณซะหน่อย ถึงใช่ก็ไม่มีหมอที่ไหนมานั่งเฝ้า นอนเฝ้าคนไข้แบบนี้หรอก” ซองมินพูดพลางเบะปาก ทำหน้าไม่พอใจ
“ก็หมอที่นี่ไง ผมจะดูแลคุณอย่างใกล้ชิดเลย” ไม่พูดเปล่าคยูฮยอนยังลุกขึ้น เดินมาหยุดข้างเตียงแล้วโน้มใบหน้าเข้าใกล้ซองมินที่ขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้ ทำได้เพียงเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“อ๊ะ!” ซองมินร้องออกมาเบาๆ เมื่อเห็นสร้อยที่คุณหมอผู้กำลังขยับใบหน้าเข้ามาใกล้เรื่อยๆ สวมอยู่ จี้ไม้กางเขนแกว่งไปมาเบาๆ เคลียอยู่แถวๆ คอของซองมิน
ท่าทางตกใจนั้นทำให้คยูฮยอนหยุดแกล้งแล้วถอนใบหน้าออกมาอยู่ในระดับปกติ
“เห็นมั้ยคุณ ผมสวมสร้อยแล้วนะ” คยูฮยอนพูด ยกสร้อยที่ยังสวมอยู่ที่คอขึ้นมาอวดให้ซองมินเห็นชัดๆ
“ขอให้ใส่ให้ได้ตลอดเถอะ คุณจะเชื่อคำพูดของผมหรือไม่ก็ช่าง แต่ขอแค่สวมสร้อยนี้ไว้ มันจะดีกับตัวคุณเอง” ซองมินพูดแล้วใช้โอกาสนั้นเมินหน้าหนีไปอีกทางก่อนที่คยูฮยอนจะคิดทำอะไรแผลงๆ อีก
“เอาเถอะๆ ก็ยังดีที่คุณยังเป็นห่วงผม” คยูฮยอนคิดเองเออเองแล้วเลื่อนเก้าอี้มานั่งข้างเตียงซองมินหน้าตาเฉยจึงได้ค้อนวงใหญ่จากคนไข้หนุ่มหน้าหวานเป็นรางวัล
“เมื่อไหร่คุณจะปล่อยผมซักทีเนี่ย แล้วคุณไม่มีการมีงานทำรึไงถึงได้มาคอยนั่งจับผิดกันอยู่ได้” ซองมินบ่นอุบหลังจากต้องทนเมื่อยเพราะถูกรัดร่างเอาไว้ทั้งตัวซ้ำยังอึดอัดที่ต้องอยู่ร่วมห้องสองต่อสองกับชายหนุ่มที่ไม่คุ้นเคย
“ข้อแรก ผมจะปล่อยคุณก็ต่อเมื่อผมเห็นว่าคุณหายดีแล้ว ส่วนข้อที่สอง งานการผมน่ะมีทำ แต่ขอแลกเวรให้คนอื่นทำแทน คุณไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ผมจะอยู่ดูแลคุณทั้งวันเลย”
ให้ตายสิ! มีใครเคยบอกไหมว่าอีตาหมอโจวคยูฮยอนนี่หน้าด้านหน้าทนที่สุดเลย
ซองมินยื่นปากแสดงความขัดเคืองใจแล้วหันหน้ามองไปทางระเบียงห้องเพราะไม่อยากจะเห็นคยูฮยอนที่ยังคงนั่งทำหน้าตายทั้งที่เจ้าของห้องอย่างเขาแสดงท่าทีขับไล่ไสส่งขนาดนี้
คนไข้หนุ่มค่อยๆ บิดหน้าหันมามองเพดานสีขาวของห้องพักเมื่อเริ่มรู้สึกถึงความปวดเมื่อยคอจากการบิดศีรษะไปทางด้านข้างเป็นเวลานาน นึกอยากจะออกปากไล่คยูฮยอนที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือแต่ก็กลัวว่าถ้าทำให้พ่อคุณแกอารมณ์เสีย มีหวังเขาคงได้ติดแหงกอยู่ในสภาพนี้อีกนาน
แล้วอีกอย่าง…ถ้าทำแบบนั้นก็เสียฟอร์มแย่น่ะสิ
“เมื่อยเหรอครับ” คยูฮยอนเอ่ยถามเมื่อเห็นซองมินพยายามขยับตัวเปลี่ยนท่า แต่ก็ติดที่สายล็อคจากเตียงรัดตัวอยู่
“ไม่อึดอัดเท่าอยู่กับคุณสองต่อสองหรอก” ซองมินเผลอตัวสวนกลับทันควันตามนิสัย กว่าจะรู้ตัวว่าพลาดไปแล้วก็ตอนที่คยูฮยอนตอบกลับมาเสียงเรียบสนิท
“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่อย่างนี้ไปอีกซักชั่วโมงสองชั่วโมงละกันนะครับ”
ซองมินรู้ตัวว่าไม่มีทางจะโต้กลับคยูฮยอนได้อีกแล้วเพราะอีกฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า ชะตาชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคยูฮยอน เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันข่มอารมณ์แล้วเมินหน้าหนีไปทางเดิม
หลังจากทนอยู่ในความเงียบงันที่แสนจะอึดอัดได้ไม่นาน เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่ประตูจะเปิดออก พนักงานของโรงพยาบาลเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดใส่อาหาร ฝ่ายนั้นดูจะตกใจไม่น้อยที่เห็นคุณหมอหนุ่มนั่งเฝ้าไข้อยู่ในห้องด้วย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร วางถาดอาหารไว้บนโต๊ะ ก้มหัวทำความเคารพคยูฮยอนก่อนจะออกไปเงียบๆ
“อาหารมาแล้วนะครับคุณซองมิน” คยูฮยอนพูด พออยู่ด้วยกันสองต่อสองสรรพนามที่ใช้แทนตัวก็สนิทสนมจากเรียกแค่นามสกุล เปลี่ยนมาเป็นเรียกชื่อทันที และก็ใช่ว่าซองมินจะไม่สังเกตเห็น แต่ก็แกล้งทำเป็นหูทวนลมไม่ได้ยินทั้งคำเรียกที่สนิทขึ้นมาอีกขั้นของคยูฮยอนและประโยคบอกกล่าวที่เขาเพิ่งเอ่ยออกมา “ท่าทางจะยังไม่หายดีจริงๆ เรียกแล้วไม่ได้ยิน สงสัยสติยังไม่มา” คยูฮยอนแกล้งพูดเปรยๆ กับดินฟ้าอากาศ แล้วก็ได้ผลเมื่อซองมินหันขวับมาทันที
“รู้แล้วล่ะน่า แล้วผมจะกินยังไงล่ะ คุณก็ปล่อยผมออกไปก่อนสิ” ซองมินใช้โอกาสนั้นเรียกร้องหาอิสรภาพให้ตัวเองทันที
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ คุณมีผมอยู่ทั้งคน เดี๋ยวผมจัดการให้”
คยูฮยอนเลื่อนมือไปหมุนปรับเตียงให้ขยับตั้งขึ้นเพื่อให้ซองมินเปลี่ยนมาอยู่ท่านั่งแล้วยกชามข้าวขึ้นมาตักข้าวก่อนจะยื่นช้อนไปตรงปากซองมิน
“อ้ามมม” คุณหมอหนุ่มลากเสียงยาว ทำทีเหมือนกำลังป้อนข้าวให้เด็กตัวเล็กๆ
“ถ้าคุณป้อน ผมก็ไม่กินหรอก” ซองมินหันหน้าหนีช้อน พูดเสียงห้วน
“ถ้าคุณไม่กิน ผมก็ไม่ปล่อยคุณเหมือนกัน” คยูฮยอนตอบกลับ ยื่นช้อนเข้าไปใกล้อีก ยักคิ้วทำหน้าถามว่าตกลงซองมินจะยอมทานดีๆ หรือไม่
เมื่อไม่มีทางเลือก คนไข้ผู้จนมุมจึงอ้าปากงับช้อนที่อยู่ตรงหน้าอย่างเสียไม่ได้ แล้วหันหน้าหนี ในมุมของคยูฮยอนจึงเห็นแต่เพียงแก้มพองๆ ของซองมินที่ขยับตามจังหวะการเคี้ยวข้าวจนชายหนุ่มอดใจไม่ไหวเผลอหยิกแก้มนุ่มนั้นไปทีหนึ่ง
“เอ๊ะ! คุณนี่” ซองมินส่งเสียงร้องประท้วง มองตาเขียวปั๊ด แต่คยูฮยอนก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจ ตักอาหารจ่อปากซองมินต่อ
ถึงแม้จะไม่เต็มใจแต่เพราะจำเป็นต้องยอมและเพราะความหิวทำให้ซองมินจำต้องปล่อยให้คยูฮยอนป้อนข้าว ป้อนน้ำให้อย่างนั้นจนอาหารในถ้วยหมด
“ผมอิ่มแล้ว”
“ดีครับ เจริญอาหารดี มิน่าล่ะ” คยูฮยอนพูดพลางเลื่อนสายตามองซองมินตั้งแต่หัวจรดเท้า
“มิน่าอะไร” ซองมินรีบถาม รู้สึกไม่ชอบใจกับสายตาประเมินค่าของคยูฮยอน
“ก็มิน่าคุณถึง…เอ่อ…ดูสมบูรณ์ดี”
“นี่คุณหาว่าผมอ้วนเหรอ!” ซองมินพูดด้วยความไม่พอใจ
“ผมยังไม่ได้ว่าเลยสักคำนะ คุณคิดเองเออเองทั้งนั้น” คยูฮยอนลอยหน้าลอยตาตอบก่อนจะเดินเลี่ยงไปวางถาดอาหารหน้าห้องเพื่อให้เจ้าหน้าที่มาเก็บ
ซองมินได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันมองตามแผ่นหลังกว้างในชุดเสื้อกาวน์ ทำไมอีตาคุณหมอคนนี้ถึงได้ชอบกวนโมโหเขานักนะ รู้อย่างนี้น่าจะปล่อยให้ผีเกาะติดตัวเสียก็ดี
พอวางถาดอาหารไว้หน้าห้องเสร็จ คยูฮยอนก็กลับมานั่งประจำที่ข้างเตียงคนไข้เหมือนเดิม ยังคงแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นสายตาขุ่นเคืองของซองมิน
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง คยูฮยอนไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะมีโทรศัพท์คู่ใจไว้กดเล่นเกมฆ่าเวลา แต่ซองมินนั้นถึงจะทั้งเบื่อทั้งปวดเนื้อเมื่อยตัว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมทนจนกว่าคยูฮยอนจะแกล้งเขาจนพอใจ
เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน เสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ตาคู่สวยปิดสนิทบอกให้คยูฮยอนที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือเครื่องหรูรู้ว่าซองมินได้เข้าสู่นิทรารมณ์แล้ว
คยูฮยอนมองใบหน้าหวานยามหลับใหลของซองมินแล้วก็ผุดรอยยิ้มบางเบาออกมา ดึงผ้าห่มจากปลายเตียงขึ้นมาห่มให้ซองมินถึงคอ
ถึงแม้จะรู้ว่าการแกล้งคนไข้เล่นแบบนี้เป็นสิ่งที่ไม่สมควร แต่คยูฮยอนเพียงแค่ต้องการเวลาได้ชิดใกล้กับคนไข้หน้าหวานที่แสนจะรั้นคนนี้บ้างก็เท่านั้น เขาคงจะโรคจิตไปแล้วจริงๆ ที่รู้สึกสนุกยามเห็นใบหน้าหวานยู่อย่างขัดใจหรือทำท่าทางอยากจะเหวี่ยงโวยวายแต่ทำไม่ได้เหมือนที่ซองมินเป็นเมื่อครู่นี้
สีหน้าของซองมินในเวลานี้ดูสงบนิ่ง คล้ายกับกำลังหลับสนิทหรือไม่ก็คงจะนอนฝันดี ไม่รู้ว่าเขาจ้องมองดวงหน้าสวยราวกับหญิงสาวของคนไข้คนนี้มานานแค่ไหนแล้วแต่ที่รู้คือเขากลับไม่รู้สึกเบื่อเลย ยิ่งจ้อง กลับยิ่งรู้สึกดี ยิ่งอยากอยู่อย่างนี้ไปอีกนานๆ
“คุณซองมิน ตอนนี้คุณกำลังฝันเรื่องอะไรอยู่กันนะ…”
53ความคิดเห็น