ลำดับตอนที่ #9
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : ตั่วกอที่สาบสูญ
ตอนที่ 9 ตั่วกอที่สาบสูญ
ลู่ซุนแม้ไม่ถูกบีบรัดหักกระดูกสะบั่นแตกออก แต่ก็ไม่สามารถขยับกายได้ รู้สึกหายใจติดขัด ต้องลอบครุ่นคิด ‘วิชานี้พิสดารร้ายกาจหนัก หากไม่ใช่เรามีพลังเทพสาดส่องคุ้มครองชีพจรกล้ามเนื้อ ไยไม่ใช่ถูกนางหักกระดูกป่นปี้จนหมดสิ้น’ ครุ่นคิดแล้วรู้สึกหวาดหวั่นต่อสตรีผู้นี้ไม่น้อย สูดลมหายใจเข้าหนักหนวงก่อนเปล่งวาจาออก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยคล้ายหายใจไม่ค่อยสะดวก
“เซียวโกวเนี้ย ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินท่าน ท่านเชื่อหรือไม่ก็ตาม เรื่องคว้าทรวงอก กับเรื่องใต้เตียงนั่นล้วนเป็นเหตุสุดวิสัย”
จิวอวงยี้หน้าแดงฉาด ร้อง เพ้ย ออกมา มันกลับกล่าวออกมาเสียงดังไม่น้อย ต่อหน้าผู้คนที่ล้มระเนระนาดอยู่ นางทราบดีว่าพวกมันล้วนไม่ได้หมดสติเพียงแต่ถูกปิดสกัดจุดไว้ ย่อมได้ยินวาจาของมัน คนพวกนั้นจะตีความหมายวาจาของมันเช่นไร ล้วนไม่กล้าคาดคิด แค่นเสียงกระแทกกล่าว
“ท่าน.. ยังกล้ากล่าวออกมา”
ท้งเปี๊ยกกับพรรคพวกอีกหกคน ล้วนครุ่นคิดตามที่ลู่ซุนกล่าวจริงๆ พวกมันล้วนแต่บาดเจ็บ ถูกปิดสกัดจุดเคลื่อนไหวไม่ได้แต่พอได้ยินเรื่องใต้เตียงอันใด คว้าทรวงอกอันใด ต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ บางคนที่สามารถขยับคอได้ ถึงกับพลิกหน้ามาดูคนทั้งสอง เห็นบุรุษชุดดำหนึ่ง สตรีชุดดำหนึ่งกอดรัดกันนัวเนีย ล้วนใคร่ทราบว่า ทั้งสองมีเรื่องใต้เตียงอันใด
ลู่ซุนกล่าวต่อว่า
“เซียวโกวเนี้ย ต่อให้ท่านรัดข้าพเจ้าอีกสามวันสามคืน ก็ไม่บังเกิดผลอันใด ทางทีดีท่านปลดปล่อยข้าพเจ้า..”
นางไม่รอให้มันกล่าววาจาจนจบก็กล่าวแทรกขึ้น
“เฮอะ ปลดปล่อยท่าน ไหนเลยง่ายดายปานนั้น ต่อให้รัดท่านสามวันสามคืนก็ไม่ย่อมปล่อย”
ลู่ซุนงงงันวูบในวาจาของนางที่ดื้อรั้นอย่างไร้เหตุผล ก่อนกล่าวอย่างราบเรียบว่า
“ท่านเมื่อรู้ว่าไม่บังเกิดผลอันใด ยังยินยอมกอดรัดข้าพเจ้าสามวันสามคืน เช่นนี้ก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
กล่าวจบก็เงียบลง จิวอวงยี้จึงรู้สึกตัวว่ากล่าววาจาผิดไป แต่ยามนี้ไหนเลยยอมปลดปล่อยให้เสื่อมเสียหน้า เกร็งกำลังทั่วร่างบีบรัดมือปราบจอมวางท่าผู้นี้จนหมดสิ้น ถึงแม้มันไม่กระดูกหักกล้ามเนื้อฉีกขาด ก็ให้มันหายใจติดขัดลมหายใจขาดห้วงสิ้นใจตายไป แต่กลับพบพลังของมันต่อต้าน พลังขุมนี้กลับแปลกพิสดารค่อยปกป้องชีพจรทั่วร่างของมันไว้ กล้ามเนื้อของมันคล้ายหยุ่นเหนียวปกป้องข้อต่อกระดูกอย่างแข็งแรง นางต้องลอบคับแค้นขุ่นเคือง
ความจริงในสามภูติกวนตั๋ง คังหมิ่นมีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด แต่กลับมีท่าไม้ตายอันร้ายกาจที่สุด ท่าพญางูรัดเหยื่อนี้ ขอเพียงรวบรัดคนผู้หนึ่งผู้ใดได้ ต่อให้คนผู้นั้นมีกำลังภายในกล้าแข็งกว่า ก็ยังถูกรัดจนกระดูกหัก กล้ามเนื้อฉีกขาด ลมหายใจติดขัดจนขาดใจตาย จิวอวงยี้ได้รับถ่ายทอดมาอย่างถึงแก่นแท้ เมื่อครู่ต่อสู้กับลู่ซุน เห็นมันใช้ออกด้วยเพลงดาบลึกล้ำยากยิ่งจะเอาชนะ จึงหาทางใช้กระบวนท่านี้ต่อมัน ไม่คาดว่าเมื่อหาทางรวดรัดมันได้แล้ว กลับไม่สามารถทำให้มันตกตายได้ มันเพียงคล้ายหายใจไม่ค่อยสะดวก พอเร่งเร้าพลังบีบรัดจนสุดกำลังมันเพียงหอบหายใจหนักหนวงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้เป็นอันใดมากกว่านี้ ตนเองเมื่อออกแรงจนสุดกำลังก็ต้องหอบหายใจเช่นกัน
ทั้งคู่ไม่ได้กล่าววาจา โอบรัดกันอยู่ครู่ใหญ่ ทั่วบริเวณเงียบงัน ภายในความเงียบเชียบมีเสียงลมหายใจ หนึ่งหญิงหนึ่งชาย หอบหายใจหนักหนวง ผู้คนที่นอนแลดูอยู่บางคนเห็นไม่ถนัดชัดตาในความมืด ไม่ทราบความนัยน์ของวิชาเห็นเงาสองร่างกอดกันสนิทแนบแน่น พอฟังเสียงอดบังเกิดจิตคิดอกุศล ล้วนครุ่นคิดกล่าวในใจ ’ช่างทำไปได้...’
ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านคิดกอดข้าพเจ้าไปถึงเมื่อไรกัน”
นางพอฟังต้องกระชากเสียงห้วน กล่าวว่า
“ผู้ใดคิดกอดท่าน”
ลู่ซุนไม่กล่าวต่อ ส่งสายตาไปตามร่างกายตน ที่มีนางโอบรัดอยู่เป็นความหมาย จิวอวงยี้อดไม่ได้ต้องมองตาม ดูจากสภาพนี้หากไม่เรียกกอดแล้วจะเรียกว่ากระไร หากใช้คำว่ากอดอาจจะยังดูน้อยไปเสียด้วยซ้ำ สายตาพลันแลเห็นผู้คนที่นอนล้มระเนระนาด เพ่งมองมา มีสีหน้าพิกลยิ่ง ท้งเปี๊ยกเองก็จ่องมองนางตาปริบๆ ต้องบังเกิดความคับแค้นกระดากอาย นางลงมือครานี้ไม่เพียงไม่ได้อะไรทั้งยังขาดทุนย่อยยับครุ่นคิดลังเลไม่ทราบควรปลดปล่อยมันดีหรือไม่ พอลังเลวูบหนึ่งสภาวะการบีบรัดผ่อนคลาย ลู่ซุนฉกฉวยโอกาสเร่งเร้าพลังเทพสาดส่องกระจายออกทั่วร่าง ฉุดมือนางข้างหนึ่งออกจากลำคอกับแขนของตน พลิกตัวหลุดรอดออกมา
จิวอวงยี้ต้องแตกตื่น คิดรวบรัดไว้แต่ไม่ทันการณ์ มันกลับพลิกตัวกลิ้งไปสี่ห้าก้าวลุกขึ้น ยกดาบป้องเหนืออกไว้
นางรีบดีดตัวตีลังกายืนขึ้น เห็นมันปกป้องคุ้มครองกายแน่นหนายากยิ่งจะฝ่าเข้าไป แม้ฝ่าเข้าไปได้ก็ไม่แน่ว่าจะต้องโอบกอดมันเช่นเดิม ในชีวิตนางไม่เคยเสียทีเช่นนี้มาก่อน สายตาที่เพ่งมองมันแดงฉาด นัยน์ตาคล้ายมีน้ำใสๆเอ่อออ แค่นเสียงกล่าวอย่างแช่มช้า
“คนแซ่ลู่ เรื่องราวคืนนี้อย่าได้ลืมเลือน คงมีสักวันต้องได้รับการชำระ”
กล่าวจบสะกิดเท้าโจนทยานออก พุ่งร่างออกไปอย่างรวดเร็ว ลู่ซุนรีบตะโกนตามหลัง
“เซียวโกวเนี้ย ท่านยังไม่ได้ถอนพิษให้ผู้คน”
เสียงของมันก้องจางหายไปพร้อมเงาร่างสีดำที่กลืนหายไปในความมืด ไม่มีเสียงตอบจากนางกลับมา ต้องทอดถอนใจครุ่นคิด ‘สตรีผู้นี้ เวลาเดือดดาลกลับไร้เหตุผลจริงๆ เมื่อรับปากผู้คนแล้วไฉนถึงกลับคำ แล้วนี่ผู้แซ่ท้งจะทำอย่างไร’
เข้าไปสำรวจดูท้งเปี๊ยก ในตอนแรกมันได้รับยาบรรเทาพิษชั่วคราว อาการพิษยังไม่กำเริบ แต่คาดว่าอีกไม่นานคงจะกำเริบขึ้น ลู่ซุนกล่าวกับท้งเปี๊ยกว่า
“ผู้แซ่ท้ง ท่านตอนนี้ซ้ำร้ายยิ่งกว่าตกตาย หากท่านรับปากร่วมมือกับเรา เรารับปากว่าจะหาทางนำยาถอนพิษมาให้ อีกทั้งเรื่องที่ท่านเคยก่อคดีไว้ เราประกันว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่อง”
ท้งเปี๊ยกลังเลครุ่นคิด ตอนนี้มันเปิดเผยเรื่องราว ยากยิ่งจะอยู่ร่วมขบวนการต่อไป อีกทั้งพิษร้ายนี้หากไม่ได้รับการถอนทรมานยิ่งกว่าตกตาย แต่ยังครุ่นคิดลังเลไม่ได้ตอบคำ ลู่ซุนพอคาดเดาความในใจของมันออก เปิดผ้าคลุมหน้าลง แสดงถึงความจริงใจ กล่าวขึ้นน้ำเสียงเข้มแข็งห้าวหาญ
“ผู้แซ่ท้ง ยามนี้ท่านนับว่าโดดเดี่ยวลำพัง ลูกผู้ชายกลับตัวกระทำดียังไม่สาย ไถ่ถอนความผิดที่แล้วมา หากท่านร่วมมือกับข้าพเจ้า ต่อให้ผู้อื่นคิดฆ่าท่าน เราก็ไม่ยินยอม”
ท้งเปี๊ยกยามนี้หมดทางเลือก ได้ฟังมันกล่าวจริงจังเข้มแข็ง ครุ่นคิดขึ้น ‘คนผู้นี้ดูห้าวหาญ จริงใจ หากคนในขบวนการสืบเสาะมาทำร้ายเรา มันคงไม่นิ่งดูดาย’ จึงตกปากรับคำ กระซิบบอกต่อลู่ซุนว่า
“ในที่นี้มีศิษย์ข้าพเจ้า สองคนที่ไว้ใจได้ คนที่เหลือล้วนเป็นคนในขบวนการ”
พลางเหลือบแลไปยัง คนสองคนที่ นอนล้มอยู่ ลู่ซุนเข้าใจความหมาย ตรงเข้าไปยังผู้คนที่ไม่ใช่ศิษย์ของท้งเปี๊ยก เอื้อมมือคว้ากระดูกคอ เสียงกรอบ ติดต่อกันสี่ครา คนพวกนั้นล้วนถูกลู่ซุนบิดกระดูกคอสังหารสิ้น จากนั้นจึงไปตบคล้ายจุดให้กับศิษย์ของท้งเปี๊ยก ให้มันทั้งสองอุ้มพยุงท้งเปี๊ยกขึ้นบนเกวียน กล่าวบอกว่า
“ห่างจากนี้ ไปทิศตะวันออกไม่ไกล มีกระท่อมปลูกสร้างอยู่เป็นของหมอชนบท พวกท่านไปขอการรักษาจากท่านชั่วคราว พักรักษาตัวรอข้าพเจ้าอยู่ในที่นั้น บอกว่าข้าพเจ้าลู่ซุนแนะนำมา ส่วนยาถอนพิษข้าพเจ้าจะรีบนำมาให้โดยเร็ว”
คนทั้งสองรับคำ ก่อนลากเกวียนมุ่งตรงไป
ยามนี้ใกล้สว่างแล้ว ลู่ซุนรีบกลับยังที่พัก คิดผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปยังจวนนายอำเภอ ในใจครุ่นคิดสองประการ องค์ไทจือพำนักอยู่ในจวนนายอำเภอผู้ร่วมขบวนการ อาจเป็นอันตรายในภายหลังต้องรีบหาทางโยกย้ายออก กับ หาทางขอยาจากเซียวโกวเนี้ยรักษาท้งเปี๊ยก พอถึงยังที่พักต้องตะลึงพึงเพิด ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านล้วนอันตรธานหายหมดสิ้น แม้ผ้าสักผืน หม้อสักใบ ยังไม่มีเหลือ ประดุดบ้านหลังนี้เป็นบ้านว่างๆ ไร้ผู้คนอยู่อาศัย
ลู่ซุนยืนมึนงงชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่านี้เป็นเหตุการณ์ใด ออกสำรวจโดยรอบ กลับไม่เหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว
พบเห็นรอยสลักกลางเสาบ้าน เป็นรูปอุ้งตีนแมว จึงเข้าใจในบัดดล มีสีหน้าไม่ถูก คล้ายหัวร่อมิออก ร่ำไห้มิออก พลันนึกขึ้นได้ในข้าวของของตนมีของที่หวงแหนยิ่ง รู้สึกร้อนใจขึ้นมา รีบไปยังบ้านสหายมือปราบ หยิบยืมชุดมือปราบสวมใส่ จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังจวนนายอำเภอ แจงต่อนายอำเภอว่าเมื่อเช้ามีนกพิราบสื่อสารจากวังหลวง กระจายส่งต่อมือปราบวังหลวงทั่วแผ่นดิน หากผู้ใดพบเห็นองค์ไทจือ ให้รายงานต่อองค์ไทจือ เสด็จกลับวังหลวง
นายอำเภอไม่เคลือบแคลงสงสัย การติดต่อข่าวสารเช่นนี้เป็นวิธีของมือปราบวังหลวง มันเองก็เคยทราบมาก่อน ในใจกลับรู้สึกยินดีที่องค์ไทจือจะเสด็จกลับวัง จะได้ไม่ต้องพะวงว่าพระองค์จะสงสัยงานที่พวกมันกระทำ จึงพาลู่ซุนไปยังสวนด้านหลัง เข้าเฝ้าองค์ไทจือที่ประทับพักผ่อนรับประทานอาหารว่างยามสายอยู่ภายในสวน
ลู่ซุนพอถึงต้องชะงักเท้าเล็กน้อยในที่นี้หาได้มีเพียงแต่องค์ไทจือกับเอี๊ยะซินแซไม่ จิวอวงยี้ก็นั่งรวมอยู่ในที่นี้ด้วย อดสีหน้าแปรเปลี่ยนด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้ ที่นางแอบย่องยกเค้าบ้านของมันจนราบโล่ง ต้องพยายามข่มสีหน้าให้เป็นปกติ เทียนอี้เห็นนายอำเภอพามือปราบลู่มาแต่ไกล จึงร้องเรียกให้มารับประทานอาหารว่างร่วมกัน พอมันก้าวเข้ามาในเก๋ง จิวอวงยี้ต้องลอบขำขันเมื่อเห็นสีหน้าของมัน คาดว่ามันคงจะเห็นบ้านของมันแล้ว แต่ยังสงสัยว่ามันนำชุดมือปราบจากที่ใดมาเปลี่ยน
ลู่ซุนคารวะต่อองค์ไทจืออย่างนอบน้อม แต่ไม่ได้คุกเข่าลงเนื่องจากเอี๊ยะซินแซกำชับไว้เช่นนี้ จากนั้นก็คารวะต่อเอี๊ยะซินแซ แต่ก็อดไม่ได้ต้องคาราวะต่อจิวอวงยี้ตามมารยาท นางแสร้งมองไม่เห็นไม่ได้คารวะตอบ
ลู่ซุนก็ไม่ได้แยแสสนใจ ขยับตัวถึงข้างกายเอี๊ยะซินแซกระซิบกล่าวบาๆ เอี๊ยะซินแซผงกศีรษะรับ ลุกขึ้นกระซิบบอกต่อเทียนอี้สองสามประโยค จากนั้นฉุดดึงมือนายอำเภอเฉินออกไปที่ไกลตากล่าวว่า
“มีสารจากวังหลวงเชิญองค์ไทจือเสด็จกลับวังเป็นการด่วน เรากับองค์ไทจือมายังที่นี้ได้รับการต้อนรับจากท่านดียิ่ง องค์ไทจือเองก็พึงพอพระทัย กลับไปคงต้องปูนบำเหน็จท่านอย่างงาม”
นายอำเภอเฉินยิ้มแย้มอย่างปิติ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“มิกล้า นี้เป็นหน้าที่ของผู้ต่ำต้อยที่จะแสดงความจงรักษ์ภัคดีต่อองค์ไทจือ ไหนเลยกล้ากล่าวอ้างถึงบำเหน็จรางวัลอันใด”
เอี๊ยะซินแซพอฟังมันกล่าว ในใจกลับรู้สึกชิงชังต่อคนผู้นี้อย่างยิ่ง แต่ยังคงปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวว่า
“เราจะออกเดินทางในบัดดล เรื่องที่องค์ไทจือ เสด็จมาที่นี้อย่าได้แพล่นพลายออกไป”
นายอำเภอรับคำ ขอตัวไปจัดข้าวของอำลาตามประเพณีบ่าวส่งนาย พอนายอำเภอจากไป เอี๊ยะซินแซรีบกล่าวต่อเทียนอี้ว่า
“เสียวเอี๊ยะ เรื่องราวที่นายกองลู่มารายงานสภาพการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ทางที่ดีต้องรีบออกจากที่นี่ ไว้รายละเอียดข้าพเจ้าจะให้นายกองลู่บอกกล่าวในภายหลัง”
เทียนอี้เห็นเอี๊ยะซินแซมีสีหน้าเคร่งเครียด ผิดแปลกจากปกติ ต้องรู้สึกฉงนสงสัย เมื่อครู่ได้รับการกระซิบบอกเพียงคราวๆ ยังจับรายละเอียดไม่ได้ แต่เห็นอากัปกิริยาของเอี๊ยะซินแซยามนี้ต้องคาดเดาว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงผงกศีรษะเห็นพ้อง หันไปกล่าวกับจิวอวงยี้ว่า
“เซียวโกวเนี้ย คาดว่าเราไม่สามารถอยู่ยังที่นี้ได้นาน อาจมีอันตราย พวกเราออกจากที่นี้กันเถอะ”
จิวอวงยี้แม้สงสัยแต่ก็รับคำอย่างว่าง่าย แต่ก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องราวใด
ความจริงเรื่องราวเมื่อคืน จิวอวงยี้บอกต่อเทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซแล้ว เพียงแต่ปกปิดเรื่องที่พบลู่ซุนเอาไว้ ทั้งสองพอฟังจากปากคำของนาง คาดเดาว่าเป็นขุนนางกังฉินสมคบโจรรีดนาทาเร้นชาวบ้าน คิดหาหลักฐานมัดตัว ให้จนด้วยหลักฐาน ค่อยประหารชีวิต จิวอวงยี้เองก็ไม่เห็นคนทั้งสองมีท่าทีร้อนใจอันใด จวบจนลู่ซุนมารายงานคาดเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืน แต่พอเอี๊ยะซินแซ รับฟังไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนท่าทีไปคิดออกจากจวนในอำเภอในบัดดล นี่เป็นสิ่งที่นางครุ่นคิดไม่เข้าใจ
ทั้งหมดพอออกจากจวนนายอำเภอ ลู่ซุนพาคนทั้งหมดไปยังบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ไม่มีข้าวของสิ่งใด คล้ายเป็นบ้านร้าง แม้โต๊ะสักตัวให้เทียนอี้นั่งก็ยังไม่มี แต่เทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซเข้าใจว่า มือปราบลู่คงต้องการหลบลอดสายตานายอำเภอจึงพามายังบ้านร้าง มีแต่จิวอวงยี้ทราบว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของผู้ใด ต้องคอยจับจ่องมองดูมันว่าจะกระทำการสิ่งใดที่พามายังที่แห่งนี้ ใช่จะเอาเรื่องนางที่ยกเค้าบ้านมันหรือไม่ ลู่ซุนพลันปิดประตูหน้าต่างโดยสนิท ก้มลงคุกเข่าคำนับ ตามธรรมเนียมขุนนางพบองค์รัชทายาท
เทียนอี้ใจหายวูบ รีบประคองมันขึ้น พลางบุ้ยปากไปทางจิวอวงยี้ ลู่ซุนแลดูตามจากนั้นจึงเข้าใจกล่าวขึ้นว่า
“นางทราบอยู่ก่อนแล้วว่าพะองค์มีฐานะใด มิเช่นนั้นคงไม่นำพาพระองค์เข้าจวนนายอำเภอเป็นฉากบังหน้า”
เทียนอี้งงงันวูบ หันไปยังจิวอวงยี้ เห็นนางกลอกกลิ้งตาไปมาคล้ายกลบเกลื่อน จึงกล่าวถามขึ้น
“เซียวเสียวเจี๊ยะ เป็นความจริงหรือ”
จิวอวงยี้ลอยหน้าลอยตา กล่าวตอบ
“นี่กลับเป็นความจริง เมื่อท่านไม่ยอมบ่งบอก ข้าพเจ้าก็ไม่อยากกล่าวถาม”
เอี๊ยะซินแซรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย นางเมื่อทราบว่าเทียนอี้เป็นผู้ใด แต่ยังคงกล่าววาจาประดุจเดิมไม่เพิ่มเติมคำราชาศัพท์แม้แต่น้อย เทียนอี้กลับแย้มยิ้มกล่าวว่า
“นั่นจึงเป็นความจริง อภัยที่ข้าพเจ้าไม่ได้บอกกล่าว”
พลางหันมากล่าวกับลู่ซุนว่า
“เอาล่ะ เจ้ามีอะไรว่ากล่าวก็บอกมา”
ลู่ซุนพลันจะขยับปากกล่าวบอก เอี๊ยะซินแซพลันโบกมือ คล้ายว่าอย่าเพิ่งกล่าว สายตาเพ่งมองไปยังจิวอวงยี้ นางก็ทราบได้ในที เชิดหน้ากล่าวว่า
“เรื่องราวของพวกท่าน ผู้ใดอยากฟัง เทียนกงจือขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ โอกาสหน้าพบกันใหม่ ข้าพเจ้าขออำลา”
ประสานมือคารวะต่อเทียนอี้ หมุนกายคิดจะจากไป
“อย่าได้ไป”
น้ำเสียงคนสองคนกล่าวขึ้นมาพร้อมกัน แต่เสียงหนึ่งนุ่มนวล คล้ายไม่อยากให้นางจากไป อีกน้ำเสียงหนึ่งหนักแน่นคล้ายกับเป็นการห้าม ผู้ที่กล่าววาจานี้เป็นเทียนอี้กับลู่ซุน นางต้องชะงักเท้าหันกลับมา ลู่ซุนเห็นว่าตนเองกล่าวเสียงออกไปพร้อมกับองค์ไทจือออกจะเป็นการเสียมารยาทจึงไม่ได้กล่าวต่อ เทียนอี้รีบเข้าไปฉุดข้อมือนางไว้กล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านเองไม่เคยปกปิดข้าพเจ้า มีแต่ข้าพเจ้าปกปิดท่าน ข้าพเจ้าต้องขออภัยแล้ว เราสองเมื่อเป็นสหาย ต่อไปนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ เพื่อแสดงความจริงใจเรื่องราวนี้ท่านอยู่รับฟังเถอะ”
เอี๊ยะซินแซพอฟังต้องลอบร้อนรุมใจขึ้น แต่หากกล่าวกระไรขัดใจตอนนี้ อาจไม่เป็นการดี จึงไม่ได้กล่าววาจา ลู่ซุนเห็นอาการเอี๊ยะซินแซพอเข้าใจ จึงกล่าวว่า
“เรื่องราวนี้ต้องให้เซียวโกวเนี้ยรับฟัง เพราะ ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องขอร้องต่อนาง”
จิวอวงยี้ความจริงใคร่ทราบเรื่องราว พอได้รับการทัดทานก็ไม่คิดจะไปอีก ยื่นอยู่ข้างกายเทียนอี้คอยฟังว่าจะเป็นเรื่องราวใด เทียนอี้กุมข้อมือนางแนบแน่นไม่ยอมปล่อยกริ่งเกรงนางจะจากไป หากเป็นเช่นนั้นยากยิ่งจะพบกันใหม่ ลู่ซุนจึงกล่าวเล่าความตั้งแต่ตน
“ข้าพระองค์ ความจริงมายังที่นี้เพื่อสืบเรื่องราวเกี่ยวกับคดีสังหารเศรษฐีบ้านตระกูลจิวเมื่อสิบปีก่อน แต่เมื่อสืบสาวกับพบเหตุโยงใยไปอีกหลายคดีที่เกิดขึ้นในแดนกังหน่ำ”
จิวอวงยี้พอฟังว่ามันเจตนามาสืบคดีบ้านตระกูลจิวโดยตรง ต้องเคลือบแคลงสงสัย รับฟังอย่างตั้งใจ ได้ยินมันกล่าวต่อไปว่า
“คดีเหล่านี้ล้วนเกิดกับบ้านเศรษฐีมีอิทธิพลทางการค้าในเขตแดน สิบสองปีก่อนตระกูลเปียงมลฑลหยุนหนัน สองปีต่อมาเป็นตระกูลจิวมลฑลเสฉวน และต่อเนื่องมาเรื่อย อีกหลายตระกูลในแทบมลฑลกังหน่ำ คดีเหล่านี้มีเหตุบ่งชี้ว่าผู้ก่อคดีเป็นขบวนการเดียวกัน
พวกมันจะบังคับเศรษฐีให้เข้าร่วมขบวนการโดยการส่งมอบทรัพย์สินเป็นส่วยทุกครึ่งปี หากผู้ใดไม่ยินยอมย่อมถูกฆ่าสังหารทั้งตระกูล ยามนี้หากนับทรัพย์สินที่รวบรวมจากบรรดาเศรษฐีที่เข้ารวมขบวนการ มารวบรวมไว้เป็นเวลาสิบกว่าปี นับว่ามีมากมายมหาศาล อีกทั้งข้าราชการนายอำเภอหลายเมือง และมือดีในยุทธจักรหลายคนก็ร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วย”
เทียนอี้รับฟังอย่างตั้งใจสีหน้ายามนี้ตระหนกไม่น้อย กล่าวแทรกขึ้นว่า
“พวกมันนำทรัพย์สินไปทำอันใด เจ้าสืบทราบหรือไม่”
ลู่ซุนกล่าวตอบว่า
“เรื่องนี้ข้าพระองค์ ไม่แน่ใจ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ประกอบรูปคดีแล้วน่าจะเป็นไปได้”
พลางลุกขึ้นล้วงธงเหลืองผืนหนึ่งออกมาส่งมอบให้ เทียนอี้รับมาเห็นใจกลางธงปักอักษรคำว่า ‘พลิกฟ้า’ ต้องครุ่นคิดสงสัย เอี๊ยะซินแซลูบเคราครุ่นคิด ความคิดหนึ่งพอแล่นเข้าสู่สมอง นัยน์ตาพลันกระจ่างวูบ ต้องร้องโพล่งออกมา
“หรือขบวนการนี้ คิดรวบรวมทรัพย์สินไว้ก่อกบฏ”
เทียนอี้มีสีหน้าแตกตื่นขึ้น ยังไม่สามารถกล่าววาจาได้ จิวอวงยี้เองก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่คาดว่าคดีของครอบครัวตนจะโยงใยถึงคดีใหญ่เช่นนี้ เทียนอี้หายจากการตื่นตระหนกเปลี่ยนเป็นเดือดดาล กล่าวขึ้นว่า
“แล้วหัวหน้าขบวนการเป็นผู้ใด”
“เรื่องนี้ข้าพระองค์ ยังไม่สามารถสืบทราบได้”
ลู่ซุนกล่าวพลางหันไปทางจิวอวงยี้ ยกมือประสานสืบต่อ
“เซียวโกวเนี้ย ผู้แซ่ท้งนั่นยินยอมรวมมือกับเรา ยินยอมนำพาเราไปสืบสาวเรื่องราว เมื่อคืนข้าพเจ้าดูคล้ายว่าท่านก็ต้องการล้างแค้นให้ตระกูลจิว เวลานี้กลับเป็นเวลาที่เหมาะจะสืบสานถึงตัวผู้ลงมือ วิงวอนท่านมอบยาขจัดพิษแก่มัน”
เทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซ มีสีหน้าประหลาดใจ ล้วนครุ่นคิด ที่แท้เมื่อคืนสองคนนี้ได้พบกัน
จิวอวงยี้ เชิดหน้าเลิกคิ้วสูง มีสีหน้าเย็นชา นางยังคับแค้นไม่คลาย กล่าวว่า
“เราแม้ต้องการล้างแค้นให้ตระกูลจิว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามัน ทุกประการเราสามารถสืบสาวเองได้ ท่านเมื่อร่วมมือกับมันก็หาวิธีรักษามันเองก็แล้วกัน เราต้องไปแล้ว ขออำลา”
ยามนี้นางรับฟังเรื่องราวหมดแล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นต้องรั้งอยู่จึงคิดไปตามวิถีของตน ทั้งสามคนรีบกล่าวทัดทานแทบพร้อมกัน เทียนอี้ฉุดยึดมือนางไว้กล่าวขึ้นว่า
“เซียวโกวเนี้ย ฟังจากนายกองลู่บอกกล่าว คนผู้นี้มีความสำคัญยิ่ง ท่านเห็นแก่ข้าพเจ้าช่วยเหลือมันสักครา”
จิวอวงยี้หยุดเท้าครุ่นคิดชั่วครูพลันยิ้มที่มุมปากคล้ายคิดสิ่งใดได้ กล่าวเนิบนาบว่า
“เห็นแก่เทียนกงจือ จะยอมช่วยเหลือสักครา เพียงแต่ว่า... เมื่อคืนท่านล่วงเกินเรามากหลาย หากยินยอมคุกเข่าโขกศีรษะขอขมา เราจึงจะยินยอมมอบยาให้”
ลู่ซุนรับฟังต้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ไม่คาดคิดว่านางจะใช้วิธีนี้เล่นงานตน เทียนอี้อดครุ่นคิดไม่ได้ ที่ว่าล่วงเกินในที่นี้คือล่วงเกินสิ่งใด จึงกระซิบกล่าวถามต่อจิวอวงยี้
“มันล่วงเกินท่านด้วยเหตุใด หากเป็นเหตุเล็กน้อย ก็ให้มันเพียงกล่าวคำขอขมาเถอะ อย่าให้ได้ถึงกับคุกเข่า ให้มันต้องเสื่อมเสีย”
จิวอวงยี้แค่นเสียงกระซิบตอบ น้ำเสียงคับแค้นขุ่นเคือง กล่าวว่า
“มันล้วนลามข้าพเจ้า ทำกางเกงข้าพเจ้าขาดเปิดเผยเนื้อหนังต่อหน้าผู้คน อ้างว่าไม่ได้เจตนา ทำให้ข้าพเจ้าเสื่อมเสียต่อหน้าผู้คน ท่านว่าข้าพเจ้าเรียกให้มันคุกเข่าโขกศีรษะ สมควรหรือไม่”
เทียนอี้พอฟังสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สะบัดพัดจีบโดยแรงคล้ายมีโทสะ กล่าวกังวานว่า
“ลู่ซุน นางเรียกให้เจ้าคุกเข่า เจ้าก็คุกเข่าเถอะ”
คำสั่งนี้คล้ายอสุนีบาตฟาดกลางกระหม่อมของมัน ต้องนิ่งงันลงชั่วครู่ เอี๊ยะซินแซเองก็ตระหนกไม่น้อย ไม่ทราบว่านายกองลู่ผู้นี้ไปล่วงเกินเซียวโกวเนี้ยเข้าที่ใด ถึงทำให้องค์ไทจือมีโทสะถึงขนาดนี้
ลู่ซุนต้องครุ่นคิดสับสน หากตนเองคุกเข่าขอขมา ผู้แซ่ท้งคงได้รับการรักษา อาจนำพาสืบสาวรอยไปถึงมือสังหารตระกูลจิว ล้างแค้นแทนให้จิวเสียวเจี๊ยะจิวม่วยม่วย ต่อครอบครัวของนางและอู๋ตั่วกอของตนตามความปารถนา อาจสามารถทราบถึงตัวบงการก่อกบฏ ภาษากระไรกับการเสื่อมเสียเกียรติ แต่ลูกผู้ชายหาญกล้า หากคุกเข่าโขกศีรษะต่อผู้คนโดยไร้ความผิด ออกจะขมขื่นใจ ยามกระทันหันยังไม่ได้คุกเข่าลง แต่ดำรัสขององค์ไทจือกล่าวออกมาแล้วไม่อาจไม่คุกเข่า จึงสืบเท้าไปเบื้องหน้าจิวอวงยี้ แววตาแฝงความปวดร้าวขมขื่น สีหน้าเคร่งขรึม สะบัดชายเสื้อออกด้านข้างทิ้งร่างลงคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้งโดยแรง
เอี๊ยะซินแซไม่อาจทนดูได้ต้องหลุบหน้าลง พอครบสามครั้งก็ลุกขึ้น ก้มหน้ายกมือประสาน กล่าวว่า
“ข้าพเจ้า ลู่ซุนล่วงเกินเซียวโกวเนี้ยไปมากหลาย จึงขออภัย ณ ที่นี้”
นางความจริงสมควรยินดี แต่ครานี้พอสบตามันในใจอดบังเกิดจิตหวาดหวั่นไม่ได้ คล้ายกับตำหนิตัวเองที่ไม่น่าให้มันกระทำเช่นนี้ แต่ยังคงปั้นสีหน้าราบเรียบกล่าวว่า
“ท่านเมื่อขอขมาแล้ว ก็แล้วกันไป เราล้วนไม่ยึดถือ”
พลางล้วงขวดยาเทยาออกมาเม็ดหนึ่งส่งมอบต่อ เทียนอี้ พลันหันกายคิดจากไป นางเองยามนี้ไม่อยากอยู่รวมกับคนพวกนี้ ยิ่งลู่ซุนด้วยแล้วประกายตาของมันยามนี้ทำให้นางหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เทียนอี้คิดคว้าข้อมือนางฉุดดึงไว้อีกครา แต่ครานี้ไม่สามารถคว้าถูก ทั้งที่ควรจะคว้าได้ ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า
“เซียวโกวเนี้ย โปรดรอสักครู่ ข้าพเจ้ามีเรื่องไหว้วานอีกประการหนึ่ง”
นางต้องหันกลับมา เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย ลู่ซุนกล่าวต่อว่า
“กล่องไม้สีดำที่ท่านหยิบฉวยไปจากบ้านหลังนี้ โปรดคืนแก่ข้าพเจ้า มันมีความสำคัญต่อข้าพเจ้ายิ่ง”
นางกอดอกกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“นี้ต้องโทษว่ากล่าวท่าน ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีโทสะ ของของท่านทั้งหมดถูกข้าพเจ้าเผาไปแล้ว”
ลู่ซุนพลันลนลานกล่าวถามน้ำเสียงแทบเป็นตะคอก
“ท่านเผามัน เผามันยังที่ใด”
นางเดือดดาลขึ้นมาบ้างกล่าวตอบด้วยเสียงอันดัง
“แค่นี้ไยต้องตะคอก ข้าวของของท่านไม่เห็นมีสิ่งใดมีค่า มีแต่ของระเกะระกะ ข้าพเจ้าตัวคนเดียวไหนเลยย้ายข้าวของมากมายได้ในเวลาอันสั้น ข้าพเจ้านำของพวกนั้นไปเผาที่ไม่ไกลจากนี้เท่าไร ท่านหากไม่พอใจข้าพเจ้าชดใช้ให้ก็ได้”
ลู่ซุนไม่รอฟังนางต่อ รีบเปิดประตูมองออกไปโดยรอบ เห็นควันลอยจางๆทางทิศใต้ รีบดีดเท้าทยานร่างไปยังทิศทางนั้น ผู้คนต่างสงสัยว่าเป็นของสำคัญอันใดรีบติดตามไป ในที่นี้มีแต่จิวอวงยี้ที่โลดแล่นติดตามทัน แต่นางไม่คิดก้าวทยานล้ำหน้ามัน เพียงติดตามไปด้านหลังต้องการทราบว่าของสำคัญของมันคือสิ่งใด
พอถึงพบเห็นกองไฟกำลังใกล้มอดดับจากการเผาไหม้เป็นเวลานาน เหลือเพียงควันลอยครุกรุ่นอยู่ บนกองไฟสุมไปด้วยเศษข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของลู่ซุน มีบ้างที่ไหม้จนเป็นขี้เถ้า มีบ้างยังไม่ถูกไฟเผาผลาญ ลู่ซุนรีบใช้ไม้ยาวตีใส่เขี่ยให้กองไฟกระจัดกระจายออกให้มอดดับ รีบตรงเข้าไปรื้อค้นโดยไม่กลัวความร้อนที่ระอุของเถ้าถ่านแม้แต่น้อย พลันเห็นมันหอบหิ้วกล่องไม้สีดำออกมา กล่องไม้นั้นถูกไฟเผาไหม้ไปครึ่งแทบ สีหน้าของมันแสดงออกถึงความผิดหวัง รันทดหดหูไม่น้อย พอเห็นมันเทข้าวของในกล่องไม้ออก เห็นเป็นตำราหลายเล่ม แต่ถูกไฟเผาไหม้จนไม่อาจเรียกว่าเป็นตำราอีก บ้างถูกไหม้จนเป็นขี้เถ้า บ้างถูกไหม้จนกรอบเกรียมพอกระทบถูกก็แตกออก ได้ยินมันกล่าวรำพึงน้ำเสียงหดหูยิ่ง
“อู๋ตั่วกอ ของไว้ดูต่างหน้าท่านกับความรู้ที่ท่านมอบให้ ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว”
ตำราพวกนี้เป็นตำราที่เขียนขึ้นโดยอู๋เส้าเทียน โดยบันทึกการคลี่คลายคดีต่างๆลงในบันทึกยามที่มีชีวิตอยู่ ลู่ซุนอาศัยหลักการเหล่านี้ของอู๋เส้าเทียน สอบเป็นมือปราบวังหลวงจนมีความก้าวหน้า มันย่อมหวงแหนยิ่ง จิวอวงยี้พอฟังคำว่า อู๋ตั่วกอ รู้สึกถอยคำนี้คุ้นหูอย่างยิ่ง ความจำช่วงหนึ่งโลดแล่นสู่ห้วงสมอง ตอนที่นางถูกโอบอุ้มขึ้นม้าหลบหนี ตั่วกอของนางไยไม่ใช่เรียกชื่อนี้ออกมาจนร่ำไห้
พลันเห็นมันคัดเลือกก้อนเศษถ่านเศษไม้ที่ล่วงลงจากในกล่องไม้ขึ้นมา พอเห็นสิ่งที่มันกำลังคัดเลือกอยู่ต้องแปลกประหลาดใจ พลันขยับกายเข้าหาโดยไม่รู้สึกตัวอย่างแช่มช้า เห็นที่มันถืออยู่ในมือเป็นตุ๊กตาไม้ ที่ถูกไฟเผาจนดำ คล้ายก้อนถ่าน แต่ลวดลายยังพอจำแนกออกได้ ที่กองอยู่กับพื้นเองก็เช่นเดียวกัน มีบ้างบางตัวยังไม่ไหม้เห็นได้อย่างชัดเจน ตุ๊กตาไม้เหล่านี้คุ้นตานางอย่างยิ่ง นางย่อมทราบดีว่าผู้ใดเป็นผู้แกะสลัก ห้วงสมองกลับลั่นอึ้งมึนงงสับสน ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นทั้งร่าง
เอื้อมมือหมายหยิบตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่งที่ยังไม่ไหม้ขึ้นมาหมายชมดูให้ชัดเจน แต่พอเอื้อมมือออกกลับพบมือของลู่ซุนขวางไว้ การขวางของมันไม่ได้ใช้แรงมากมายแม้แต่น้อย แต่นางกลับไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปหยิบฉวยได้ ยิ่งประกายตาของมันคล้ายกำแพงเหล็กหนาทึบที่นางไม่อาจฝ่าเข้าไป ในใจสับสนวุ่นวายครุ่นคิด’หรือท่านที่แท้คือตั่วกอของข้าพเจ้า’ พลันครุ่นคิดถึงรอยแผลเป็นที่แก้มซ้ายของมัน
‘หากตัดรอยขวางออก รอยตามยาวนั่นนับว่าใช่แล้ว มันใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คมดาบคมกระบี่ ย่อมบังเกิดรอยแผลเป็นเพิ่ม นี่นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เราไฉนถึงโง่งมไม่ครุ่นคิดถึงข้อนี้ แล้วที่นี้จะทำอย่างไร เรากลับทำร้ายจิตใจมันสาหัสยิ่ง ประกายตามันไม่ใช่จงเกลียดจงชังเรานักหรือ ตั่วกอ...หากข้าพเจ้าบอกท่านว่า ข้าพเจ้าเป็นม่วยม่วยที่ท่านพยายามตามหาจนถูกผู้คนทำร้าย ท่านจะยังถือสาสิ่งที่ข้าพเจ้าทำต่อท่านหรือไม่ ยังคงเกลียดข้าพเจ้าหรือไม่ ท่านจะใช้สายตาเช่นนี้มองข้าพเจ้าหรือไม่’ครุ่นคิดถึงตอนนี้แทบร่ำไห้ออกมา
‘ตั่วกอ... อวงยี้ขออภัยต่อท่านแล้ว’
แต่คำกล่าวนี้ไหนเลยออกจากปากของนาง
ลู่ซุนแม้ไม่ถูกบีบรัดหักกระดูกสะบั่นแตกออก แต่ก็ไม่สามารถขยับกายได้ รู้สึกหายใจติดขัด ต้องลอบครุ่นคิด ‘วิชานี้พิสดารร้ายกาจหนัก หากไม่ใช่เรามีพลังเทพสาดส่องคุ้มครองชีพจรกล้ามเนื้อ ไยไม่ใช่ถูกนางหักกระดูกป่นปี้จนหมดสิ้น’ ครุ่นคิดแล้วรู้สึกหวาดหวั่นต่อสตรีผู้นี้ไม่น้อย สูดลมหายใจเข้าหนักหนวงก่อนเปล่งวาจาออก น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยคล้ายหายใจไม่ค่อยสะดวก
“เซียวโกวเนี้ย ข้าพเจ้าไม่ได้มีเจตนาล่วงเกินท่าน ท่านเชื่อหรือไม่ก็ตาม เรื่องคว้าทรวงอก กับเรื่องใต้เตียงนั่นล้วนเป็นเหตุสุดวิสัย”
จิวอวงยี้หน้าแดงฉาด ร้อง เพ้ย ออกมา มันกลับกล่าวออกมาเสียงดังไม่น้อย ต่อหน้าผู้คนที่ล้มระเนระนาดอยู่ นางทราบดีว่าพวกมันล้วนไม่ได้หมดสติเพียงแต่ถูกปิดสกัดจุดไว้ ย่อมได้ยินวาจาของมัน คนพวกนั้นจะตีความหมายวาจาของมันเช่นไร ล้วนไม่กล้าคาดคิด แค่นเสียงกระแทกกล่าว
“ท่าน.. ยังกล้ากล่าวออกมา”
ท้งเปี๊ยกกับพรรคพวกอีกหกคน ล้วนครุ่นคิดตามที่ลู่ซุนกล่าวจริงๆ พวกมันล้วนแต่บาดเจ็บ ถูกปิดสกัดจุดเคลื่อนไหวไม่ได้แต่พอได้ยินเรื่องใต้เตียงอันใด คว้าทรวงอกอันใด ต่างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ บางคนที่สามารถขยับคอได้ ถึงกับพลิกหน้ามาดูคนทั้งสอง เห็นบุรุษชุดดำหนึ่ง สตรีชุดดำหนึ่งกอดรัดกันนัวเนีย ล้วนใคร่ทราบว่า ทั้งสองมีเรื่องใต้เตียงอันใด
ลู่ซุนกล่าวต่อว่า
“เซียวโกวเนี้ย ต่อให้ท่านรัดข้าพเจ้าอีกสามวันสามคืน ก็ไม่บังเกิดผลอันใด ทางทีดีท่านปลดปล่อยข้าพเจ้า..”
นางไม่รอให้มันกล่าววาจาจนจบก็กล่าวแทรกขึ้น
“เฮอะ ปลดปล่อยท่าน ไหนเลยง่ายดายปานนั้น ต่อให้รัดท่านสามวันสามคืนก็ไม่ย่อมปล่อย”
ลู่ซุนงงงันวูบในวาจาของนางที่ดื้อรั้นอย่างไร้เหตุผล ก่อนกล่าวอย่างราบเรียบว่า
“ท่านเมื่อรู้ว่าไม่บังเกิดผลอันใด ยังยินยอมกอดรัดข้าพเจ้าสามวันสามคืน เช่นนี้ก็แล้วแต่ท่านเถอะ”
กล่าวจบก็เงียบลง จิวอวงยี้จึงรู้สึกตัวว่ากล่าววาจาผิดไป แต่ยามนี้ไหนเลยยอมปลดปล่อยให้เสื่อมเสียหน้า เกร็งกำลังทั่วร่างบีบรัดมือปราบจอมวางท่าผู้นี้จนหมดสิ้น ถึงแม้มันไม่กระดูกหักกล้ามเนื้อฉีกขาด ก็ให้มันหายใจติดขัดลมหายใจขาดห้วงสิ้นใจตายไป แต่กลับพบพลังของมันต่อต้าน พลังขุมนี้กลับแปลกพิสดารค่อยปกป้องชีพจรทั่วร่างของมันไว้ กล้ามเนื้อของมันคล้ายหยุ่นเหนียวปกป้องข้อต่อกระดูกอย่างแข็งแรง นางต้องลอบคับแค้นขุ่นเคือง
ความจริงในสามภูติกวนตั๋ง คังหมิ่นมีพลังฝีมืออ่อนด้อยที่สุด แต่กลับมีท่าไม้ตายอันร้ายกาจที่สุด ท่าพญางูรัดเหยื่อนี้ ขอเพียงรวบรัดคนผู้หนึ่งผู้ใดได้ ต่อให้คนผู้นั้นมีกำลังภายในกล้าแข็งกว่า ก็ยังถูกรัดจนกระดูกหัก กล้ามเนื้อฉีกขาด ลมหายใจติดขัดจนขาดใจตาย จิวอวงยี้ได้รับถ่ายทอดมาอย่างถึงแก่นแท้ เมื่อครู่ต่อสู้กับลู่ซุน เห็นมันใช้ออกด้วยเพลงดาบลึกล้ำยากยิ่งจะเอาชนะ จึงหาทางใช้กระบวนท่านี้ต่อมัน ไม่คาดว่าเมื่อหาทางรวดรัดมันได้แล้ว กลับไม่สามารถทำให้มันตกตายได้ มันเพียงคล้ายหายใจไม่ค่อยสะดวก พอเร่งเร้าพลังบีบรัดจนสุดกำลังมันเพียงหอบหายใจหนักหนวงกว่าเดิม แต่ก็ไม่ได้เป็นอันใดมากกว่านี้ ตนเองเมื่อออกแรงจนสุดกำลังก็ต้องหอบหายใจเช่นกัน
ทั้งคู่ไม่ได้กล่าววาจา โอบรัดกันอยู่ครู่ใหญ่ ทั่วบริเวณเงียบงัน ภายในความเงียบเชียบมีเสียงลมหายใจ หนึ่งหญิงหนึ่งชาย หอบหายใจหนักหนวง ผู้คนที่นอนแลดูอยู่บางคนเห็นไม่ถนัดชัดตาในความมืด ไม่ทราบความนัยน์ของวิชาเห็นเงาสองร่างกอดกันสนิทแนบแน่น พอฟังเสียงอดบังเกิดจิตคิดอกุศล ล้วนครุ่นคิดกล่าวในใจ ’ช่างทำไปได้...’
ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านคิดกอดข้าพเจ้าไปถึงเมื่อไรกัน”
นางพอฟังต้องกระชากเสียงห้วน กล่าวว่า
“ผู้ใดคิดกอดท่าน”
ลู่ซุนไม่กล่าวต่อ ส่งสายตาไปตามร่างกายตน ที่มีนางโอบรัดอยู่เป็นความหมาย จิวอวงยี้อดไม่ได้ต้องมองตาม ดูจากสภาพนี้หากไม่เรียกกอดแล้วจะเรียกว่ากระไร หากใช้คำว่ากอดอาจจะยังดูน้อยไปเสียด้วยซ้ำ สายตาพลันแลเห็นผู้คนที่นอนล้มระเนระนาด เพ่งมองมา มีสีหน้าพิกลยิ่ง ท้งเปี๊ยกเองก็จ่องมองนางตาปริบๆ ต้องบังเกิดความคับแค้นกระดากอาย นางลงมือครานี้ไม่เพียงไม่ได้อะไรทั้งยังขาดทุนย่อยยับครุ่นคิดลังเลไม่ทราบควรปลดปล่อยมันดีหรือไม่ พอลังเลวูบหนึ่งสภาวะการบีบรัดผ่อนคลาย ลู่ซุนฉกฉวยโอกาสเร่งเร้าพลังเทพสาดส่องกระจายออกทั่วร่าง ฉุดมือนางข้างหนึ่งออกจากลำคอกับแขนของตน พลิกตัวหลุดรอดออกมา
จิวอวงยี้ต้องแตกตื่น คิดรวบรัดไว้แต่ไม่ทันการณ์ มันกลับพลิกตัวกลิ้งไปสี่ห้าก้าวลุกขึ้น ยกดาบป้องเหนืออกไว้
นางรีบดีดตัวตีลังกายืนขึ้น เห็นมันปกป้องคุ้มครองกายแน่นหนายากยิ่งจะฝ่าเข้าไป แม้ฝ่าเข้าไปได้ก็ไม่แน่ว่าจะต้องโอบกอดมันเช่นเดิม ในชีวิตนางไม่เคยเสียทีเช่นนี้มาก่อน สายตาที่เพ่งมองมันแดงฉาด นัยน์ตาคล้ายมีน้ำใสๆเอ่อออ แค่นเสียงกล่าวอย่างแช่มช้า
“คนแซ่ลู่ เรื่องราวคืนนี้อย่าได้ลืมเลือน คงมีสักวันต้องได้รับการชำระ”
กล่าวจบสะกิดเท้าโจนทยานออก พุ่งร่างออกไปอย่างรวดเร็ว ลู่ซุนรีบตะโกนตามหลัง
“เซียวโกวเนี้ย ท่านยังไม่ได้ถอนพิษให้ผู้คน”
เสียงของมันก้องจางหายไปพร้อมเงาร่างสีดำที่กลืนหายไปในความมืด ไม่มีเสียงตอบจากนางกลับมา ต้องทอดถอนใจครุ่นคิด ‘สตรีผู้นี้ เวลาเดือดดาลกลับไร้เหตุผลจริงๆ เมื่อรับปากผู้คนแล้วไฉนถึงกลับคำ แล้วนี่ผู้แซ่ท้งจะทำอย่างไร’
เข้าไปสำรวจดูท้งเปี๊ยก ในตอนแรกมันได้รับยาบรรเทาพิษชั่วคราว อาการพิษยังไม่กำเริบ แต่คาดว่าอีกไม่นานคงจะกำเริบขึ้น ลู่ซุนกล่าวกับท้งเปี๊ยกว่า
“ผู้แซ่ท้ง ท่านตอนนี้ซ้ำร้ายยิ่งกว่าตกตาย หากท่านรับปากร่วมมือกับเรา เรารับปากว่าจะหาทางนำยาถอนพิษมาให้ อีกทั้งเรื่องที่ท่านเคยก่อคดีไว้ เราประกันว่าจะไม่สืบสาวราวเรื่อง”
ท้งเปี๊ยกลังเลครุ่นคิด ตอนนี้มันเปิดเผยเรื่องราว ยากยิ่งจะอยู่ร่วมขบวนการต่อไป อีกทั้งพิษร้ายนี้หากไม่ได้รับการถอนทรมานยิ่งกว่าตกตาย แต่ยังครุ่นคิดลังเลไม่ได้ตอบคำ ลู่ซุนพอคาดเดาความในใจของมันออก เปิดผ้าคลุมหน้าลง แสดงถึงความจริงใจ กล่าวขึ้นน้ำเสียงเข้มแข็งห้าวหาญ
“ผู้แซ่ท้ง ยามนี้ท่านนับว่าโดดเดี่ยวลำพัง ลูกผู้ชายกลับตัวกระทำดียังไม่สาย ไถ่ถอนความผิดที่แล้วมา หากท่านร่วมมือกับข้าพเจ้า ต่อให้ผู้อื่นคิดฆ่าท่าน เราก็ไม่ยินยอม”
ท้งเปี๊ยกยามนี้หมดทางเลือก ได้ฟังมันกล่าวจริงจังเข้มแข็ง ครุ่นคิดขึ้น ‘คนผู้นี้ดูห้าวหาญ จริงใจ หากคนในขบวนการสืบเสาะมาทำร้ายเรา มันคงไม่นิ่งดูดาย’ จึงตกปากรับคำ กระซิบบอกต่อลู่ซุนว่า
“ในที่นี้มีศิษย์ข้าพเจ้า สองคนที่ไว้ใจได้ คนที่เหลือล้วนเป็นคนในขบวนการ”
พลางเหลือบแลไปยัง คนสองคนที่ นอนล้มอยู่ ลู่ซุนเข้าใจความหมาย ตรงเข้าไปยังผู้คนที่ไม่ใช่ศิษย์ของท้งเปี๊ยก เอื้อมมือคว้ากระดูกคอ เสียงกรอบ ติดต่อกันสี่ครา คนพวกนั้นล้วนถูกลู่ซุนบิดกระดูกคอสังหารสิ้น จากนั้นจึงไปตบคล้ายจุดให้กับศิษย์ของท้งเปี๊ยก ให้มันทั้งสองอุ้มพยุงท้งเปี๊ยกขึ้นบนเกวียน กล่าวบอกว่า
“ห่างจากนี้ ไปทิศตะวันออกไม่ไกล มีกระท่อมปลูกสร้างอยู่เป็นของหมอชนบท พวกท่านไปขอการรักษาจากท่านชั่วคราว พักรักษาตัวรอข้าพเจ้าอยู่ในที่นั้น บอกว่าข้าพเจ้าลู่ซุนแนะนำมา ส่วนยาถอนพิษข้าพเจ้าจะรีบนำมาให้โดยเร็ว”
คนทั้งสองรับคำ ก่อนลากเกวียนมุ่งตรงไป
ยามนี้ใกล้สว่างแล้ว ลู่ซุนรีบกลับยังที่พัก คิดผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าไปยังจวนนายอำเภอ ในใจครุ่นคิดสองประการ องค์ไทจือพำนักอยู่ในจวนนายอำเภอผู้ร่วมขบวนการ อาจเป็นอันตรายในภายหลังต้องรีบหาทางโยกย้ายออก กับ หาทางขอยาจากเซียวโกวเนี้ยรักษาท้งเปี๊ยก พอถึงยังที่พักต้องตะลึงพึงเพิด ข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านล้วนอันตรธานหายหมดสิ้น แม้ผ้าสักผืน หม้อสักใบ ยังไม่มีเหลือ ประดุดบ้านหลังนี้เป็นบ้านว่างๆ ไร้ผู้คนอยู่อาศัย
ลู่ซุนยืนมึนงงชั่วขณะ ไม่เข้าใจว่านี้เป็นเหตุการณ์ใด ออกสำรวจโดยรอบ กลับไม่เหลือข้าวของแม้แต่ชิ้นเดียว
พบเห็นรอยสลักกลางเสาบ้าน เป็นรูปอุ้งตีนแมว จึงเข้าใจในบัดดล มีสีหน้าไม่ถูก คล้ายหัวร่อมิออก ร่ำไห้มิออก พลันนึกขึ้นได้ในข้าวของของตนมีของที่หวงแหนยิ่ง รู้สึกร้อนใจขึ้นมา รีบไปยังบ้านสหายมือปราบ หยิบยืมชุดมือปราบสวมใส่ จากนั้นจึงมุ่งตรงไปยังจวนนายอำเภอ แจงต่อนายอำเภอว่าเมื่อเช้ามีนกพิราบสื่อสารจากวังหลวง กระจายส่งต่อมือปราบวังหลวงทั่วแผ่นดิน หากผู้ใดพบเห็นองค์ไทจือ ให้รายงานต่อองค์ไทจือ เสด็จกลับวังหลวง
นายอำเภอไม่เคลือบแคลงสงสัย การติดต่อข่าวสารเช่นนี้เป็นวิธีของมือปราบวังหลวง มันเองก็เคยทราบมาก่อน ในใจกลับรู้สึกยินดีที่องค์ไทจือจะเสด็จกลับวัง จะได้ไม่ต้องพะวงว่าพระองค์จะสงสัยงานที่พวกมันกระทำ จึงพาลู่ซุนไปยังสวนด้านหลัง เข้าเฝ้าองค์ไทจือที่ประทับพักผ่อนรับประทานอาหารว่างยามสายอยู่ภายในสวน
ลู่ซุนพอถึงต้องชะงักเท้าเล็กน้อยในที่นี้หาได้มีเพียงแต่องค์ไทจือกับเอี๊ยะซินแซไม่ จิวอวงยี้ก็นั่งรวมอยู่ในที่นี้ด้วย อดสีหน้าแปรเปลี่ยนด้วยความขุ่นเคืองไม่ได้ ที่นางแอบย่องยกเค้าบ้านของมันจนราบโล่ง ต้องพยายามข่มสีหน้าให้เป็นปกติ เทียนอี้เห็นนายอำเภอพามือปราบลู่มาแต่ไกล จึงร้องเรียกให้มารับประทานอาหารว่างร่วมกัน พอมันก้าวเข้ามาในเก๋ง จิวอวงยี้ต้องลอบขำขันเมื่อเห็นสีหน้าของมัน คาดว่ามันคงจะเห็นบ้านของมันแล้ว แต่ยังสงสัยว่ามันนำชุดมือปราบจากที่ใดมาเปลี่ยน
ลู่ซุนคารวะต่อองค์ไทจืออย่างนอบน้อม แต่ไม่ได้คุกเข่าลงเนื่องจากเอี๊ยะซินแซกำชับไว้เช่นนี้ จากนั้นก็คารวะต่อเอี๊ยะซินแซ แต่ก็อดไม่ได้ต้องคาราวะต่อจิวอวงยี้ตามมารยาท นางแสร้งมองไม่เห็นไม่ได้คารวะตอบ
ลู่ซุนก็ไม่ได้แยแสสนใจ ขยับตัวถึงข้างกายเอี๊ยะซินแซกระซิบกล่าวบาๆ เอี๊ยะซินแซผงกศีรษะรับ ลุกขึ้นกระซิบบอกต่อเทียนอี้สองสามประโยค จากนั้นฉุดดึงมือนายอำเภอเฉินออกไปที่ไกลตากล่าวว่า
“มีสารจากวังหลวงเชิญองค์ไทจือเสด็จกลับวังเป็นการด่วน เรากับองค์ไทจือมายังที่นี้ได้รับการต้อนรับจากท่านดียิ่ง องค์ไทจือเองก็พึงพอพระทัย กลับไปคงต้องปูนบำเหน็จท่านอย่างงาม”
นายอำเภอเฉินยิ้มแย้มอย่างปิติ กล่าวอย่างนอบน้อมว่า
“มิกล้า นี้เป็นหน้าที่ของผู้ต่ำต้อยที่จะแสดงความจงรักษ์ภัคดีต่อองค์ไทจือ ไหนเลยกล้ากล่าวอ้างถึงบำเหน็จรางวัลอันใด”
เอี๊ยะซินแซพอฟังมันกล่าว ในใจกลับรู้สึกชิงชังต่อคนผู้นี้อย่างยิ่ง แต่ยังคงปั้นสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวว่า
“เราจะออกเดินทางในบัดดล เรื่องที่องค์ไทจือ เสด็จมาที่นี้อย่าได้แพล่นพลายออกไป”
นายอำเภอรับคำ ขอตัวไปจัดข้าวของอำลาตามประเพณีบ่าวส่งนาย พอนายอำเภอจากไป เอี๊ยะซินแซรีบกล่าวต่อเทียนอี้ว่า
“เสียวเอี๊ยะ เรื่องราวที่นายกองลู่มารายงานสภาพการณ์ไม่น่าไว้วางใจ ทางที่ดีต้องรีบออกจากที่นี่ ไว้รายละเอียดข้าพเจ้าจะให้นายกองลู่บอกกล่าวในภายหลัง”
เทียนอี้เห็นเอี๊ยะซินแซมีสีหน้าเคร่งเครียด ผิดแปลกจากปกติ ต้องรู้สึกฉงนสงสัย เมื่อครู่ได้รับการกระซิบบอกเพียงคราวๆ ยังจับรายละเอียดไม่ได้ แต่เห็นอากัปกิริยาของเอี๊ยะซินแซยามนี้ต้องคาดเดาว่าเป็นเรื่องใหญ่ จึงผงกศีรษะเห็นพ้อง หันไปกล่าวกับจิวอวงยี้ว่า
“เซียวโกวเนี้ย คาดว่าเราไม่สามารถอยู่ยังที่นี้ได้นาน อาจมีอันตราย พวกเราออกจากที่นี้กันเถอะ”
จิวอวงยี้แม้สงสัยแต่ก็รับคำอย่างว่าง่าย แต่ก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องราวใด
ความจริงเรื่องราวเมื่อคืน จิวอวงยี้บอกต่อเทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซแล้ว เพียงแต่ปกปิดเรื่องที่พบลู่ซุนเอาไว้ ทั้งสองพอฟังจากปากคำของนาง คาดเดาว่าเป็นขุนนางกังฉินสมคบโจรรีดนาทาเร้นชาวบ้าน คิดหาหลักฐานมัดตัว ให้จนด้วยหลักฐาน ค่อยประหารชีวิต จิวอวงยี้เองก็ไม่เห็นคนทั้งสองมีท่าทีร้อนใจอันใด จวบจนลู่ซุนมารายงานคาดเดาว่าน่าจะเป็นเรื่องเมื่อคืน แต่พอเอี๊ยะซินแซ รับฟังไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนท่าทีไปคิดออกจากจวนในอำเภอในบัดดล นี่เป็นสิ่งที่นางครุ่นคิดไม่เข้าใจ
ทั้งหมดพอออกจากจวนนายอำเภอ ลู่ซุนพาคนทั้งหมดไปยังบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ไม่มีข้าวของสิ่งใด คล้ายเป็นบ้านร้าง แม้โต๊ะสักตัวให้เทียนอี้นั่งก็ยังไม่มี แต่เทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซเข้าใจว่า มือปราบลู่คงต้องการหลบลอดสายตานายอำเภอจึงพามายังบ้านร้าง มีแต่จิวอวงยี้ทราบว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านของผู้ใด ต้องคอยจับจ่องมองดูมันว่าจะกระทำการสิ่งใดที่พามายังที่แห่งนี้ ใช่จะเอาเรื่องนางที่ยกเค้าบ้านมันหรือไม่ ลู่ซุนพลันปิดประตูหน้าต่างโดยสนิท ก้มลงคุกเข่าคำนับ ตามธรรมเนียมขุนนางพบองค์รัชทายาท
เทียนอี้ใจหายวูบ รีบประคองมันขึ้น พลางบุ้ยปากไปทางจิวอวงยี้ ลู่ซุนแลดูตามจากนั้นจึงเข้าใจกล่าวขึ้นว่า
“นางทราบอยู่ก่อนแล้วว่าพะองค์มีฐานะใด มิเช่นนั้นคงไม่นำพาพระองค์เข้าจวนนายอำเภอเป็นฉากบังหน้า”
เทียนอี้งงงันวูบ หันไปยังจิวอวงยี้ เห็นนางกลอกกลิ้งตาไปมาคล้ายกลบเกลื่อน จึงกล่าวถามขึ้น
“เซียวเสียวเจี๊ยะ เป็นความจริงหรือ”
จิวอวงยี้ลอยหน้าลอยตา กล่าวตอบ
“นี่กลับเป็นความจริง เมื่อท่านไม่ยอมบ่งบอก ข้าพเจ้าก็ไม่อยากกล่าวถาม”
เอี๊ยะซินแซรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย นางเมื่อทราบว่าเทียนอี้เป็นผู้ใด แต่ยังคงกล่าววาจาประดุจเดิมไม่เพิ่มเติมคำราชาศัพท์แม้แต่น้อย เทียนอี้กลับแย้มยิ้มกล่าวว่า
“นั่นจึงเป็นความจริง อภัยที่ข้าพเจ้าไม่ได้บอกกล่าว”
พลางหันมากล่าวกับลู่ซุนว่า
“เอาล่ะ เจ้ามีอะไรว่ากล่าวก็บอกมา”
ลู่ซุนพลันจะขยับปากกล่าวบอก เอี๊ยะซินแซพลันโบกมือ คล้ายว่าอย่าเพิ่งกล่าว สายตาเพ่งมองไปยังจิวอวงยี้ นางก็ทราบได้ในที เชิดหน้ากล่าวว่า
“เรื่องราวของพวกท่าน ผู้ใดอยากฟัง เทียนกงจือขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ โอกาสหน้าพบกันใหม่ ข้าพเจ้าขออำลา”
ประสานมือคารวะต่อเทียนอี้ หมุนกายคิดจะจากไป
“อย่าได้ไป”
น้ำเสียงคนสองคนกล่าวขึ้นมาพร้อมกัน แต่เสียงหนึ่งนุ่มนวล คล้ายไม่อยากให้นางจากไป อีกน้ำเสียงหนึ่งหนักแน่นคล้ายกับเป็นการห้าม ผู้ที่กล่าววาจานี้เป็นเทียนอี้กับลู่ซุน นางต้องชะงักเท้าหันกลับมา ลู่ซุนเห็นว่าตนเองกล่าวเสียงออกไปพร้อมกับองค์ไทจือออกจะเป็นการเสียมารยาทจึงไม่ได้กล่าวต่อ เทียนอี้รีบเข้าไปฉุดข้อมือนางไว้กล่าวว่า
“เซียวโกวเนี้ย ท่านเองไม่เคยปกปิดข้าพเจ้า มีแต่ข้าพเจ้าปกปิดท่าน ข้าพเจ้าต้องขออภัยแล้ว เราสองเมื่อเป็นสหาย ต่อไปนี้ไม่มีสิ่งใดเป็นความลับ เพื่อแสดงความจริงใจเรื่องราวนี้ท่านอยู่รับฟังเถอะ”
เอี๊ยะซินแซพอฟังต้องลอบร้อนรุมใจขึ้น แต่หากกล่าวกระไรขัดใจตอนนี้ อาจไม่เป็นการดี จึงไม่ได้กล่าววาจา ลู่ซุนเห็นอาการเอี๊ยะซินแซพอเข้าใจ จึงกล่าวว่า
“เรื่องราวนี้ต้องให้เซียวโกวเนี้ยรับฟัง เพราะ ข้าพเจ้ามีเรื่องต้องขอร้องต่อนาง”
จิวอวงยี้ความจริงใคร่ทราบเรื่องราว พอได้รับการทัดทานก็ไม่คิดจะไปอีก ยื่นอยู่ข้างกายเทียนอี้คอยฟังว่าจะเป็นเรื่องราวใด เทียนอี้กุมข้อมือนางแนบแน่นไม่ยอมปล่อยกริ่งเกรงนางจะจากไป หากเป็นเช่นนั้นยากยิ่งจะพบกันใหม่ ลู่ซุนจึงกล่าวเล่าความตั้งแต่ตน
“ข้าพระองค์ ความจริงมายังที่นี้เพื่อสืบเรื่องราวเกี่ยวกับคดีสังหารเศรษฐีบ้านตระกูลจิวเมื่อสิบปีก่อน แต่เมื่อสืบสาวกับพบเหตุโยงใยไปอีกหลายคดีที่เกิดขึ้นในแดนกังหน่ำ”
จิวอวงยี้พอฟังว่ามันเจตนามาสืบคดีบ้านตระกูลจิวโดยตรง ต้องเคลือบแคลงสงสัย รับฟังอย่างตั้งใจ ได้ยินมันกล่าวต่อไปว่า
“คดีเหล่านี้ล้วนเกิดกับบ้านเศรษฐีมีอิทธิพลทางการค้าในเขตแดน สิบสองปีก่อนตระกูลเปียงมลฑลหยุนหนัน สองปีต่อมาเป็นตระกูลจิวมลฑลเสฉวน และต่อเนื่องมาเรื่อย อีกหลายตระกูลในแทบมลฑลกังหน่ำ คดีเหล่านี้มีเหตุบ่งชี้ว่าผู้ก่อคดีเป็นขบวนการเดียวกัน
พวกมันจะบังคับเศรษฐีให้เข้าร่วมขบวนการโดยการส่งมอบทรัพย์สินเป็นส่วยทุกครึ่งปี หากผู้ใดไม่ยินยอมย่อมถูกฆ่าสังหารทั้งตระกูล ยามนี้หากนับทรัพย์สินที่รวบรวมจากบรรดาเศรษฐีที่เข้ารวมขบวนการ มารวบรวมไว้เป็นเวลาสิบกว่าปี นับว่ามีมากมายมหาศาล อีกทั้งข้าราชการนายอำเภอหลายเมือง และมือดีในยุทธจักรหลายคนก็ร่วมอยู่ในขบวนการนี้ด้วย”
เทียนอี้รับฟังอย่างตั้งใจสีหน้ายามนี้ตระหนกไม่น้อย กล่าวแทรกขึ้นว่า
“พวกมันนำทรัพย์สินไปทำอันใด เจ้าสืบทราบหรือไม่”
ลู่ซุนกล่าวตอบว่า
“เรื่องนี้ข้าพระองค์ ไม่แน่ใจ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ประกอบรูปคดีแล้วน่าจะเป็นไปได้”
พลางลุกขึ้นล้วงธงเหลืองผืนหนึ่งออกมาส่งมอบให้ เทียนอี้รับมาเห็นใจกลางธงปักอักษรคำว่า ‘พลิกฟ้า’ ต้องครุ่นคิดสงสัย เอี๊ยะซินแซลูบเคราครุ่นคิด ความคิดหนึ่งพอแล่นเข้าสู่สมอง นัยน์ตาพลันกระจ่างวูบ ต้องร้องโพล่งออกมา
“หรือขบวนการนี้ คิดรวบรวมทรัพย์สินไว้ก่อกบฏ”
เทียนอี้มีสีหน้าแตกตื่นขึ้น ยังไม่สามารถกล่าววาจาได้ จิวอวงยี้เองก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยน ไม่คาดว่าคดีของครอบครัวตนจะโยงใยถึงคดีใหญ่เช่นนี้ เทียนอี้หายจากการตื่นตระหนกเปลี่ยนเป็นเดือดดาล กล่าวขึ้นว่า
“แล้วหัวหน้าขบวนการเป็นผู้ใด”
“เรื่องนี้ข้าพระองค์ ยังไม่สามารถสืบทราบได้”
ลู่ซุนกล่าวพลางหันไปทางจิวอวงยี้ ยกมือประสานสืบต่อ
“เซียวโกวเนี้ย ผู้แซ่ท้งนั่นยินยอมรวมมือกับเรา ยินยอมนำพาเราไปสืบสาวเรื่องราว เมื่อคืนข้าพเจ้าดูคล้ายว่าท่านก็ต้องการล้างแค้นให้ตระกูลจิว เวลานี้กลับเป็นเวลาที่เหมาะจะสืบสานถึงตัวผู้ลงมือ วิงวอนท่านมอบยาขจัดพิษแก่มัน”
เทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซ มีสีหน้าประหลาดใจ ล้วนครุ่นคิด ที่แท้เมื่อคืนสองคนนี้ได้พบกัน
จิวอวงยี้ เชิดหน้าเลิกคิ้วสูง มีสีหน้าเย็นชา นางยังคับแค้นไม่คลาย กล่าวว่า
“เราแม้ต้องการล้างแค้นให้ตระกูลจิว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งพามัน ทุกประการเราสามารถสืบสาวเองได้ ท่านเมื่อร่วมมือกับมันก็หาวิธีรักษามันเองก็แล้วกัน เราต้องไปแล้ว ขออำลา”
ยามนี้นางรับฟังเรื่องราวหมดแล้ว ไม่มีเหตุจำเป็นต้องรั้งอยู่จึงคิดไปตามวิถีของตน ทั้งสามคนรีบกล่าวทัดทานแทบพร้อมกัน เทียนอี้ฉุดยึดมือนางไว้กล่าวขึ้นว่า
“เซียวโกวเนี้ย ฟังจากนายกองลู่บอกกล่าว คนผู้นี้มีความสำคัญยิ่ง ท่านเห็นแก่ข้าพเจ้าช่วยเหลือมันสักครา”
จิวอวงยี้หยุดเท้าครุ่นคิดชั่วครูพลันยิ้มที่มุมปากคล้ายคิดสิ่งใดได้ กล่าวเนิบนาบว่า
“เห็นแก่เทียนกงจือ จะยอมช่วยเหลือสักครา เพียงแต่ว่า... เมื่อคืนท่านล่วงเกินเรามากหลาย หากยินยอมคุกเข่าโขกศีรษะขอขมา เราจึงจะยินยอมมอบยาให้”
ลู่ซุนรับฟังต้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ไม่คาดคิดว่านางจะใช้วิธีนี้เล่นงานตน เทียนอี้อดครุ่นคิดไม่ได้ ที่ว่าล่วงเกินในที่นี้คือล่วงเกินสิ่งใด จึงกระซิบกล่าวถามต่อจิวอวงยี้
“มันล่วงเกินท่านด้วยเหตุใด หากเป็นเหตุเล็กน้อย ก็ให้มันเพียงกล่าวคำขอขมาเถอะ อย่าให้ได้ถึงกับคุกเข่า ให้มันต้องเสื่อมเสีย”
จิวอวงยี้แค่นเสียงกระซิบตอบ น้ำเสียงคับแค้นขุ่นเคือง กล่าวว่า
“มันล้วนลามข้าพเจ้า ทำกางเกงข้าพเจ้าขาดเปิดเผยเนื้อหนังต่อหน้าผู้คน อ้างว่าไม่ได้เจตนา ทำให้ข้าพเจ้าเสื่อมเสียต่อหน้าผู้คน ท่านว่าข้าพเจ้าเรียกให้มันคุกเข่าโขกศีรษะ สมควรหรือไม่”
เทียนอี้พอฟังสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม สะบัดพัดจีบโดยแรงคล้ายมีโทสะ กล่าวกังวานว่า
“ลู่ซุน นางเรียกให้เจ้าคุกเข่า เจ้าก็คุกเข่าเถอะ”
คำสั่งนี้คล้ายอสุนีบาตฟาดกลางกระหม่อมของมัน ต้องนิ่งงันลงชั่วครู่ เอี๊ยะซินแซเองก็ตระหนกไม่น้อย ไม่ทราบว่านายกองลู่ผู้นี้ไปล่วงเกินเซียวโกวเนี้ยเข้าที่ใด ถึงทำให้องค์ไทจือมีโทสะถึงขนาดนี้
ลู่ซุนต้องครุ่นคิดสับสน หากตนเองคุกเข่าขอขมา ผู้แซ่ท้งคงได้รับการรักษา อาจนำพาสืบสาวรอยไปถึงมือสังหารตระกูลจิว ล้างแค้นแทนให้จิวเสียวเจี๊ยะจิวม่วยม่วย ต่อครอบครัวของนางและอู๋ตั่วกอของตนตามความปารถนา อาจสามารถทราบถึงตัวบงการก่อกบฏ ภาษากระไรกับการเสื่อมเสียเกียรติ แต่ลูกผู้ชายหาญกล้า หากคุกเข่าโขกศีรษะต่อผู้คนโดยไร้ความผิด ออกจะขมขื่นใจ ยามกระทันหันยังไม่ได้คุกเข่าลง แต่ดำรัสขององค์ไทจือกล่าวออกมาแล้วไม่อาจไม่คุกเข่า จึงสืบเท้าไปเบื้องหน้าจิวอวงยี้ แววตาแฝงความปวดร้าวขมขื่น สีหน้าเคร่งขรึม สะบัดชายเสื้อออกด้านข้างทิ้งร่างลงคุกเข่าโขกศีรษะสามครั้งโดยแรง
เอี๊ยะซินแซไม่อาจทนดูได้ต้องหลุบหน้าลง พอครบสามครั้งก็ลุกขึ้น ก้มหน้ายกมือประสาน กล่าวว่า
“ข้าพเจ้า ลู่ซุนล่วงเกินเซียวโกวเนี้ยไปมากหลาย จึงขออภัย ณ ที่นี้”
นางความจริงสมควรยินดี แต่ครานี้พอสบตามันในใจอดบังเกิดจิตหวาดหวั่นไม่ได้ คล้ายกับตำหนิตัวเองที่ไม่น่าให้มันกระทำเช่นนี้ แต่ยังคงปั้นสีหน้าราบเรียบกล่าวว่า
“ท่านเมื่อขอขมาแล้ว ก็แล้วกันไป เราล้วนไม่ยึดถือ”
พลางล้วงขวดยาเทยาออกมาเม็ดหนึ่งส่งมอบต่อ เทียนอี้ พลันหันกายคิดจากไป นางเองยามนี้ไม่อยากอยู่รวมกับคนพวกนี้ ยิ่งลู่ซุนด้วยแล้วประกายตาของมันยามนี้ทำให้นางหวั่นไหวอย่างบอกไม่ถูก เทียนอี้คิดคว้าข้อมือนางฉุดดึงไว้อีกครา แต่ครานี้ไม่สามารถคว้าถูก ทั้งที่ควรจะคว้าได้ ลู่ซุนพลันกล่าวขึ้นว่า
“เซียวโกวเนี้ย โปรดรอสักครู่ ข้าพเจ้ามีเรื่องไหว้วานอีกประการหนึ่ง”
นางต้องหันกลับมา เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงสงสัย ลู่ซุนกล่าวต่อว่า
“กล่องไม้สีดำที่ท่านหยิบฉวยไปจากบ้านหลังนี้ โปรดคืนแก่ข้าพเจ้า มันมีความสำคัญต่อข้าพเจ้ายิ่ง”
นางกอดอกกล่าวเสียงราบเรียบว่า
“นี้ต้องโทษว่ากล่าวท่าน ที่ทำให้ข้าพเจ้ามีโทสะ ของของท่านทั้งหมดถูกข้าพเจ้าเผาไปแล้ว”
ลู่ซุนพลันลนลานกล่าวถามน้ำเสียงแทบเป็นตะคอก
“ท่านเผามัน เผามันยังที่ใด”
นางเดือดดาลขึ้นมาบ้างกล่าวตอบด้วยเสียงอันดัง
“แค่นี้ไยต้องตะคอก ข้าวของของท่านไม่เห็นมีสิ่งใดมีค่า มีแต่ของระเกะระกะ ข้าพเจ้าตัวคนเดียวไหนเลยย้ายข้าวของมากมายได้ในเวลาอันสั้น ข้าพเจ้านำของพวกนั้นไปเผาที่ไม่ไกลจากนี้เท่าไร ท่านหากไม่พอใจข้าพเจ้าชดใช้ให้ก็ได้”
ลู่ซุนไม่รอฟังนางต่อ รีบเปิดประตูมองออกไปโดยรอบ เห็นควันลอยจางๆทางทิศใต้ รีบดีดเท้าทยานร่างไปยังทิศทางนั้น ผู้คนต่างสงสัยว่าเป็นของสำคัญอันใดรีบติดตามไป ในที่นี้มีแต่จิวอวงยี้ที่โลดแล่นติดตามทัน แต่นางไม่คิดก้าวทยานล้ำหน้ามัน เพียงติดตามไปด้านหลังต้องการทราบว่าของสำคัญของมันคือสิ่งใด
พอถึงพบเห็นกองไฟกำลังใกล้มอดดับจากการเผาไหม้เป็นเวลานาน เหลือเพียงควันลอยครุกรุ่นอยู่ บนกองไฟสุมไปด้วยเศษข้าวของเครื่องใช้ต่างๆของลู่ซุน มีบ้างที่ไหม้จนเป็นขี้เถ้า มีบ้างยังไม่ถูกไฟเผาผลาญ ลู่ซุนรีบใช้ไม้ยาวตีใส่เขี่ยให้กองไฟกระจัดกระจายออกให้มอดดับ รีบตรงเข้าไปรื้อค้นโดยไม่กลัวความร้อนที่ระอุของเถ้าถ่านแม้แต่น้อย พลันเห็นมันหอบหิ้วกล่องไม้สีดำออกมา กล่องไม้นั้นถูกไฟเผาไหม้ไปครึ่งแทบ สีหน้าของมันแสดงออกถึงความผิดหวัง รันทดหดหูไม่น้อย พอเห็นมันเทข้าวของในกล่องไม้ออก เห็นเป็นตำราหลายเล่ม แต่ถูกไฟเผาไหม้จนไม่อาจเรียกว่าเป็นตำราอีก บ้างถูกไหม้จนเป็นขี้เถ้า บ้างถูกไหม้จนกรอบเกรียมพอกระทบถูกก็แตกออก ได้ยินมันกล่าวรำพึงน้ำเสียงหดหูยิ่ง
“อู๋ตั่วกอ ของไว้ดูต่างหน้าท่านกับความรู้ที่ท่านมอบให้ ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว”
ตำราพวกนี้เป็นตำราที่เขียนขึ้นโดยอู๋เส้าเทียน โดยบันทึกการคลี่คลายคดีต่างๆลงในบันทึกยามที่มีชีวิตอยู่ ลู่ซุนอาศัยหลักการเหล่านี้ของอู๋เส้าเทียน สอบเป็นมือปราบวังหลวงจนมีความก้าวหน้า มันย่อมหวงแหนยิ่ง จิวอวงยี้พอฟังคำว่า อู๋ตั่วกอ รู้สึกถอยคำนี้คุ้นหูอย่างยิ่ง ความจำช่วงหนึ่งโลดแล่นสู่ห้วงสมอง ตอนที่นางถูกโอบอุ้มขึ้นม้าหลบหนี ตั่วกอของนางไยไม่ใช่เรียกชื่อนี้ออกมาจนร่ำไห้
พลันเห็นมันคัดเลือกก้อนเศษถ่านเศษไม้ที่ล่วงลงจากในกล่องไม้ขึ้นมา พอเห็นสิ่งที่มันกำลังคัดเลือกอยู่ต้องแปลกประหลาดใจ พลันขยับกายเข้าหาโดยไม่รู้สึกตัวอย่างแช่มช้า เห็นที่มันถืออยู่ในมือเป็นตุ๊กตาไม้ ที่ถูกไฟเผาจนดำ คล้ายก้อนถ่าน แต่ลวดลายยังพอจำแนกออกได้ ที่กองอยู่กับพื้นเองก็เช่นเดียวกัน มีบ้างบางตัวยังไม่ไหม้เห็นได้อย่างชัดเจน ตุ๊กตาไม้เหล่านี้คุ้นตานางอย่างยิ่ง นางย่อมทราบดีว่าผู้ใดเป็นผู้แกะสลัก ห้วงสมองกลับลั่นอึ้งมึนงงสับสน ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นทั้งร่าง
เอื้อมมือหมายหยิบตุ๊กตาไม้ตัวหนึ่งที่ยังไม่ไหม้ขึ้นมาหมายชมดูให้ชัดเจน แต่พอเอื้อมมือออกกลับพบมือของลู่ซุนขวางไว้ การขวางของมันไม่ได้ใช้แรงมากมายแม้แต่น้อย แต่นางกลับไม่สามารถเอื้อมมือเข้าไปหยิบฉวยได้ ยิ่งประกายตาของมันคล้ายกำแพงเหล็กหนาทึบที่นางไม่อาจฝ่าเข้าไป ในใจสับสนวุ่นวายครุ่นคิด’หรือท่านที่แท้คือตั่วกอของข้าพเจ้า’ พลันครุ่นคิดถึงรอยแผลเป็นที่แก้มซ้ายของมัน
‘หากตัดรอยขวางออก รอยตามยาวนั่นนับว่าใช่แล้ว มันใช้ชีวิตอยู่ภายใต้คมดาบคมกระบี่ ย่อมบังเกิดรอยแผลเป็นเพิ่ม นี่นับว่าไม่ใช่เรื่องแปลก เราไฉนถึงโง่งมไม่ครุ่นคิดถึงข้อนี้ แล้วที่นี้จะทำอย่างไร เรากลับทำร้ายจิตใจมันสาหัสยิ่ง ประกายตามันไม่ใช่จงเกลียดจงชังเรานักหรือ ตั่วกอ...หากข้าพเจ้าบอกท่านว่า ข้าพเจ้าเป็นม่วยม่วยที่ท่านพยายามตามหาจนถูกผู้คนทำร้าย ท่านจะยังถือสาสิ่งที่ข้าพเจ้าทำต่อท่านหรือไม่ ยังคงเกลียดข้าพเจ้าหรือไม่ ท่านจะใช้สายตาเช่นนี้มองข้าพเจ้าหรือไม่’ครุ่นคิดถึงตอนนี้แทบร่ำไห้ออกมา
‘ตั่วกอ... อวงยี้ขออภัยต่อท่านแล้ว’
แต่คำกล่าวนี้ไหนเลยออกจากปากของนาง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
3ความคิดเห็น