ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ ๑/๗ - ถ้ำแห่งเงา

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 52


    ๗. ถ้ำแห่งเงา


    ...ปรภพ...

    ...โทษทัณฑ์...

    ในถ้ำที่พำนัก ข้าซุกตัวใต้ผ้าห่มเนื้อนุ่มลื่น มันมอบความอุ่นสบายในทุกราตรี แม้นว่าอากาศเบื้องนอกจะเยียบเย็นเพียงไร กระนั้น คืนนี้ข้ากลับรู้สึกหนาวจับจิต ได้แต่ขยับกระสับกระส่ายไม่อาจข่มตาหลับ

    ...ข้าเป็นใครกันแน่...

    ...ข้าไม่ได้อยู่ในปรภพ ไม่รู้เลยว่าตนทำผิดต้องโทษทัณฑ์ใด ไยจึงมีคำว่า ‘ต้องห้าม’ ประทับบนใบหน้า...

    ...มีผู้ที่ถูกลงโทษโดยไม่รู้กระทั่งว่าตนมีความผิดใดด้วยหรือ..

    ตอนที่ชายชุดดำสวมสร้อยประดับจี้ทองใหญ่นั้นมาช่วย เขาไม่ได้บอกว่าข้าถูกลงทัณฑ์ แต่บอกว่าถูกกักขัง เขาต้องรีบช่วยข้าออกไปก่อนคนผู้นั้นจะทราบ

    แล้วก่อนเราพลัดกัน เขาก็เรียกคนผู้นั้นว่า...พระองค์

    พระองค์เป็นผู้ใด...กษัตริย์...เทพ...หรือมารร้ายอันมีอิทธิฤทธิ์ แต่หากเป็นศัตรูของชายผู้มาช่วยข้า ไยเขาจึงยังเรียกคนผู้นั้นอย่างยำเกรงเช่นนี้

    แล้วตัวข้าเองเล่า...เป็นสิ่งใดกันแน่

    หากเป็นมนุษย์...คงฟื้นจากความตายไม่ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า เหมือนซิสิโฟสที่ฟื้นจากความตายทุกครั้งหลังถูกหินกลิ้งทับมิใช่หรือ

    แต่หากเป็นวิญญาณ ไยจึงตายได้ แล้วไยมนุษย์อย่างเขา...อย่างชายอีกคนนั้น...จึงสัมผัสข้าได้ หรือเป็นเพราะพวกเขามีสัมผัสพิเศษ ขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีจึงได้แลเลยผ่านไป และข้าก็ไม่อาจสัมผัสจับต้องพวกเขา

    ทว่าหากเป็นเทพ...เหตุใดจึงไม่อาจทำสิ่งใดได้เลย เทพควรมีอำนาจเหนือมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นใด ซ้ำ...ควรมีปัญญารู้ถ่องแท้กว่านี้มิใช่หรือ

    ข้าไม่อาจได้ความกระจ่างใดมากขึ้นจากการครุ่นคิด สุดท้ายจึงได้แต่รอเวลาลืมเลือนทุกสิ่งชั่วคราวในห้วงนิทราเท่านั้น

    * * * * *

    “ข้าต้องทำเช่นนี้จริงๆ หรือ”

    “นี่เป็นบัญชาของพระองค์

    “...แต่ถึงอย่างไร...พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้วหรือ”

    “ใช่ว่าข้าไม่อยากให้มี แต่ครั้งนี้ มีแต่เจ้าต้องทำตามบัญชาของพระองค์เท่านั้น”

    “.........”

    “ข้าเข้าใจว่าการทดสอบครั้งนี้ทรมานใจเจ้ามาก แต่ทว่า... เพื่อปกป้องสิ่งสำคัญของเรา บางครั้งเราจำต้องสังหารผู้อื่น...

    “ที่นี่คือดินแดนของเจ้า สิมูน เจ้าต้องพิสูจน์ให้พระองค์เห็นว่าเจ้าสามารถปกป้องสิ่งที่เป็นของเจ้าอย่างแท้จริงได้”

    * * * * *

    ข้าสะดุ้งตื่นเมื่อแสงแดดสว่างจ้าส่องเข้าปากถ้ำ ให้ตระหนักว่าคงนอนหลับนานกว่าที่คิด ทั้งที่รู้สึกเหมือนเผลองีบไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น

    ...ประหลาดแท้...

    นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าฝัน แม้นมีเพียงความมืดและเสียงพูดคุยให้ยิ่งสงสัย

    ผู้ที่ข้าสนทนาด้วยเป็นผู้ใด...

    แล้ว พระองค์ นั้นบัญชาให้ข้าฆ่าผู้ใด...

    ข้าไม่อาจจดจำรายละเอียดเหล่านี้ ทว่านี่คือการทดสอบ เหตุผลคือเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญ

    สิ่งสำคัญนั้นคือดินแดนของข้า...สิ่งอันเป็นของข้าโดยแท้จริง

    ดินแดนนั้น...หมายถึงทะเลทรายนี้หรือ หากนี่เป็นดินแดนของข้า เหตุใดข้าจึงกลายเป็นนักโทษถูกกักขังในดินแดนของตนแทนเล่า

    ข้าเผลอนึกถึงชายประหลาดผู้นั้นขึ้นมา...สงสัยว่าเขาจะให้คำตอบได้หรือไม่ แต่แล้วข้าก็สั่นศีรษะ ข้าไล่เขาไปแล้ว ไยต้องไปตามพบเจอเขาอีก เขาเป็นคนต่างถิ่น เป็นคนแปลกหน้า เรื่องที่เขาเล่าขานก็ไม่อาจทราบได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่

    ...เขาคงไม่อาจช่วยข้าได้ดอก...

    * * * * *

    ทว่าคืนนี้ แผ่นหลังของร่างที่นั่งบนพื้นทราย...มือง่วนทำบางสิ่ง...ส่วนปากร้องเพลงเสียงหลงดังไปไกลทำให้ข้าไม่ทราบว่าจะรู้สึกอย่างไรดี

    “กลับมาทำไมอีก”

    เขาหันหน้ามา ข้าประหลาดใจเมื่อพบว่าวันนี้เขาโกนหนวดเคราเสียเกลี้ยงเกลา ให้เพิ่งสังเกตว่าอ่อนเยาว์กว่าที่คิดมากทีเดียว

    “ก็เมื่อวานท่านบอกว่า ‘ไม่ต้องมาอีก’ แสดงว่าถึงไม่ต้องมาก็มาได้ ไม่ได้บอกว่า ‘ต้องไม่มาอีก’ สักหน่อยไม่ใช่หรือ”

    “ไม่ต้องเล่นลิ้น เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรืออย่างไร” ข้ากระชับด้ามกริชที่ผ้าคาดเอวแน่น

    “คนเราเกิดมาสักวันก็ต้องตาย ข้าเลยคิดว่าไม่ควรกลัว แต่ก็ไม่ควรอยากตายก่อนความตายมาเยือนจริงๆ” เขาตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ แล้วพยักพเยิดไปทางโขดหิน “ว่าแต่ธิดาแห่งวายุจะไม่ทรงประทับนั่งสักหน่อยหรือ”

    ข้าแลตามสายตาของเขาครู่หนึ่งก็ตัดสินใจทำตาม มองเขากวาดกองทรายเป็นเนินรูปร่างพิลึกพิลั่นเช่นเมื่อคืนวาน

    “เจ้ายังไม่ได้ตอบเลยว่ากลับมาที่นี่ทำไม”

    เขาหันมาสบตากับข้า

    “ข้ามีเรื่องจะเล่าให้ท่านฟัง”

    “‘ตำนาน’ พวกนั้นอีกแล้วหรือ”

    “หามิได้”

    “เช่นนั้นเป็นเรื่องอันใด”

    “ท่านอยากรู้เรื่องของคนที่คอยทำสิ่งหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไร้ประโยชน์มิใช่หรือ…คนที่เป็นมนุษย์และมิได้อยู่ในปรภพ”

    “เจ้านึกออกแล้วหรือ!” ข้าเผลอตน รีบซักถามอย่างตื่นเต้น แต่เมื่อระลึกได้ก็พยายามเอ่ยเสียงเรียบตามเดิม “หากจะเล่าก็ว่ามา”

    เขายิ้มอีกครั้งแล้วยักไหล่

    “กลางทะเลไกลโพ้นทางเหนือของแดนทะเลทราย มีเกาะแห่งหนึ่งชื่อเดโลส เดิมมันเป็นเพียงผืนดินไร้หลักล่องลอยบนผิวน้ำ เหมือนใบอินทผลัมแห้งบนผิวโอเอซิส ครั้นเทพกัญญาเลทอ ชายาองค์หนึ่งของเซอุสทรงครรภ์แก่ รับทุกขเวทนาใกล้ประสูติกาล เทพกัญญาเอราผู้เป็นอัครมเหสีของเซอุสขู่เข็ญมิให้ผืนดินใดๆ เป็นที่พึ่งพิงรับประสูติกาลของพระนาง มีเพียงเกาะน้อยเดโลสที่เต็มใจต้อนรับ เทพสมุทรโพเซย์ดอนจึงบันดาลให้มีเสาค้ำสี่ต้นงอกจากพื้นสมุทรมายึดเดโลสไว้กับที่”

    ข้ากำลังจะแย้งว่านั่นเป็นตำนานอีกเรื่องมิใช่หรือ ก็พอดีเขาพูดเสียก่อนเหมือนรู้ทัน

    “เรื่องที่ข้ากำลังจะเล่า เป็นเรื่องของผู้ที่ผูกพันกับเกาะแห่งนี้ ข้าจึงคิดว่าท่านพึงทราบที่มาของถิ่นกำเนิดเขาเสียก่อน

    “หลายปีผ่านไป โอรสธิดาฝาแฝดของเลทอเติบโตขึ้น เกาะเดโลสกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเทพอพอลลอน โอรสของพระนางผู้เป็นเทพแห่งแสงสว่าง สัจจะ และดุริยางค์ดนตรี มีมหาวิหารใหญ่แห่งเทพอพอลลอนอยู่บนเกาะ พร้อมด้วยระเบียงแห่งราชสีห์ หรือทางเดินขนาบข้างด้วยรูปปั้นราชสีห์ซึ่งมีผู้สร้างอุทิศให้พระองค์ ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้าต่างๆ และมีตลาดอันครึกครื้นมากมาย

    “นักบวชผู้หนึ่งที่ดูแลมหาวิหารแห่งเทพอพอลลอนมีบุตรชายชื่ออามอน แปลว่า ‘ผู้ก่อสร้าง’ เขาตั้งชื่อนี้ให้บุตรชาย ด้วยหวังจะให้บุตรเป็นเหมือนผู้ก่อศรัทธาประหนึ่งวิหารแห่งองค์เทพเจ้า ในฐานะนักบวชผู้ดูแลมหาวิหารสืบไป

    “อามอนไม่ได้เกิดบนเกาะเดโลส ด้วยมีธรรมเนียมว่าเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้จะแปดเปื้อนด้วยชาตะหรือมรณะของมนุษย์มิได้เป็นอันขาด ทันทีที่มารดาของอามอนทราบว่าตนตั้งครรภ์ ครอบครัวของสามีก็จัดแจงให้นางขึ้นเรือกลับไปยังบ้านเกิดจนคลอดบุตร รอจนเด็กแข็งแรง ทั้งสองจึงได้กลับมาที่เดโลสอีกครั้ง

    “อามอนได้รับการเลี้ยงดูเช่นนักบวชในอนาคต ได้ร่ำเรียนตำราพิธีกรรม และวรรณคดีโบราณเกี่ยวกับเทพเจ้า ทว่าสิ่งที่เขาชอบกลับเป็นอย่างหลัง แม้นบิดาจะพยายามกันเขาจากตำนานอันเป็นการลบหลู่เกียรติคุณของทวยเทพ อามอนก็ซอกซอนหาฟังหาอ่านเรื่องเหล่านั้นเองจนได้ สำหรับเด็กชาย ตำนานเป็นเรื่องสนุกสนาน ใช่เป็นการหมิ่นผู้ใด ทุกครั้งที่บิดาสืบทราบว่าเขาลักลอบอ่าน ‘เรื่องต้องห้าม’ และจะลงโทษ มารดาก็มักคอยพูดอ้อนวอนผ่อนผันแทนเสมอ

    “...จนวันที่...นางนั่งเรือไปจากเกาะโดยไม่หวนกลับมา”

    “ไปที่ใดหรือ” ข้าถาม พลันนึกถึงเจ้าแพะน้อย...พร้อมคำตอบอันไม่สู้ดีนัก

    “ไปที่เกาะข้างเคียงชื่อเรเนเอีย ณ ที่นั่นนางนั่งเรืออีกลำหนึ่ง...เรือเล็กของคารอนผู้รับจ้างแจวข้ามลำนทีแห่งการโหยไห้อาเครอน ไปสู่ปรภพ

    “ท่านคงจำได้ ข้าเคยบอกว่าเกาะเดโลสเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางจึงต้องไปสิ้นลมที่เกาะอื่นเหมือนตอนคลอดบุตร อามอนได้พบนางที่เดโลสอีกครั้งในรูปของโกศดินเผาบรรจุเถ้ากระดูก ตลอดวัยเด็กเขาไม่เคยยอมรับได้เลยว่านางตายแล้ว

    “ตอนที่อาการของมารดาทรุดหนัก นางเคยสัญญาว่าเมื่อหายดีแล้วจะไปดูปราสาททรายของเขา แต่สัญญานั้นไม่มีวันเป็นจริง แม้อามอนจะหลบบิดาไปก่อปราสาททรายครั้งแล้วครั้งเล่า เวลาผ่านไปจนบิดาสมรสใหม่ ผ่านไปจนเขามีน้องชายและน้องสาวต่างมารดา เขาก็ยังไม่เลิกก่อปราสาททราย”

    “แล้วตอนนี้เขายังก่อปราสาททรายอยู่อีกหรือเปล่า”

    ชายเบื้องหน้าสั่นศีรษะ

    “เลิกไปแล้วเมื่อแปดปีก่อน อามอนทะเลาะกับบิดาอย่างรุนแรงเพราะไม่อยากเป็นนักบวช เลยถูกตัดพ่อลูก ระหกระเหเร่ร่อนตัวคนเดียวจนทุกวันนี้”

    “เจ้าคืออามอนหรือ” ข้าฉุกคิดขึ้นมา

    เขาพยักหน้า

    “นึกว่าท่านจะไม่รู้เสียอีก”

    “แล้วเรื่องทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร” ข้าถามเสียงขุ่น “เจ้าแค่ตั้งใจก่อปราสาททรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบเด็กๆ เพราะยอมรับไม่ได้ว่าแม่ของตัวตายไปแล้ว ไม่ได้ถูกบังคับให้ก่อ ตอนไม่ต้องการอยู่ที่เดโลส เจ้าก็ออกจากที่นั่นได้”

    ไม่เหมือนข้า...ไม่เหมือนคนที่ถูกบังคับให้อยู่ที่นี่ ใช้ชีวิตเหมือนเดิมในแต่ละวันอันไร้ที่สิ้นสุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เหมือนคนที่ออกไปจากที่นี่ไม่ได้...แม้จะอยากหนีไปเพียงไรแท้ๆ

    “ใช่ ข้าเลือกก่อปราสาททรายด้วยความเขลาของตนเอง แต่ท่านไม่ได้เลือกอยู่เพียงลำพังด้วยตนเองเหมือนกันหรือ”

    ข้าชะงัก ครั้นจะปฏิเสธก็ไม่ทันเขาพูดต่อ

    “สิมูน...เด็กน้อยผู้ลืมเลือนทุกสิ่งจนไม่ทราบว่าตนเป็นใคร ได้แต่วนเวียนอยู่ในทะเลทรายใกล้เมืองแห่งสายลม จับต้องมองเห็นหรือสัมผัสใครไม่ได้ ในเมื่อพบคนที่รู้ว่าท่านมีตัวตนอยู่ตรงนี้แล้ว...ท่านก็ยังคิดเมินเฉย เลือกปิดขังตนเองในทะเลทราย รอให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ตามเดิมหรือ”

    ข้าเบิกตากว้าง

    “นี่เจ้า...”

    ชายผู้มีนามว่าอามอนยักไหล่

    “ข้าไม่ทราบเรื่องของท่าน และไม่ทราบว่าท่านอยู่ที่นี่มานานเท่าใด เพียงเดาจากสิ่งที่เอนลิลเคยบอกข้า ปะติดปะต่อกับคำถามของท่านเมื่อคืนเท่านั้น”

    ข้าเบือนหน้าหลบไปอีกทาง

    “แล้วอย่างไร ถึงเจ้าจะรู้ว่าข้ามีตัวตน มาพบปะพูดคุยกับข้าทุกวัน เจ้าก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดกาล สักวันหนึ่งหากไม่ออกเดินทางก็คงตายจากไป แล้วข้าก็เหลืออยู่เพียงลำพังเหมือนที่เป็นมา”

    ...เหมือนตอนที่เสียเจ้าแพะน้อยไป...เหมือนตอนที่ชายสวมจี้ทองผู้นั้นทิ้งข้าไว้...เขาจะอยู่กับข้าอีกสักกี่ปี...ไม่ว่านานเท่าไรก็เท่ากับไม่กี่วินาทีในวงจรอันไร้จุดสิ้นสุด...เพียงเท่านั้นเอง...

    ...ถ้าอย่างนี้ สู้ไม่ต้องรู้จักหรือพบกันอีกดีกว่า...

    “ข้าเองก็ทราบว่าอย่างนั้นไม่ดีแน่” เขารับ “ดังนั้น...ข้าจึงคิดจะช่วยท่าน”

    “ช่วย...อย่างไรกัน” ข้าตั้งคำถาม โคลงศีรษะอย่างอัดอั้น “เจ้าช่วยอะไรข้าไม่ได้ดอก...”

    “ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร” เขายังยืนกราน พยายามสบตากับข้าอย่างแน่วแน่ “ข้าพูดจริง ข้าอยากช่วยท่าน และจะช่วยถึงที่สุด ขึ้นอยู่กับท่านว่าต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ ท่านเคยได้ยินไหม ทรายเม็ดเดียวกระจ้อยร่อยแทบมองไม่เห็น ไร้ประโยชน์หรือความสำคัญ แต่ทรายหลายเม็ดรวมกันกลายเป็นทะเลทรายกว้างใหญ่...ทรงพลังอำนาจกุมชีวิตผู้คน ต่อให้มิใช่ทะเลทรายที่ธรรมชาติสร้างขึ้น ผู้คนยังนำทรายมาก่อสร้างเป็นมหาวิหารหรือประภาคารสูงเสียดฟ้า สิ่งอันยิ่งใหญ่ถือกำเนิดจากเศษธุลีได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหม

    “หากตัวคนเดียวก็ไร้พลัง อาจอยู่ในโลกนี้หรือแก้ปัญหาของตนไม่ได้ จึงต้องช่วยเหลือพึ่งพาซึ่งกัน ตอนนี้เรามีกันสองคน...อาจฟังดูเหมือนไม่มาก แต่ที่จริงแล้วก็มากกว่าตัวคนเดียวสองเท่า...ไม่จริงหรือ”

    “แล้วเจ้าพาข้าไปจากที่นี่ได้หรือ!” ข้าตวาดใส่เขา เคืองยิ่งนักที่เขาไม่เข้าใจ คำพูดของข้าเริ่มหลั่งไหลราวน้ำบ่า...ไม่นานก็นำพาทำนบน้ำตาให้ทลาย

    ข้าเล่าให้เขาฟังจนสิ้น...ทั้งที่ไม่รู้ว่าต้องการให้เขารู้เพื่ออะไร ทุกความทรงจำของตน ความทรงจำแรก...สอง...สาม...ไปจนถึงความทรงจำที่พันที่หมื่น ทั้งเรื่องของเจ้าแพะน้อยที่ตายจากและชายที่ถูกพัดพาโดยพายุทราย บางทีเขาอาจตาย บางทีเขาอาจเพียงแค่กลัวหรือล้มเลิกความคิด แต่ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไร...ข้าก็ยังถูกขังอยู่ที่นี่ต่อไป...มีตนเองเพียงลำพังต่อไป...

    ...ลางที...ข้าคงต้องการให้เขารู้ว่าความทุกข์ของข้าไม่ใช่สิ่งที่เขาอาจประสบหรือนึกฝัน...เข้าใจแล้วจะได้ปล่อยข้าไว้เช่นนี้...เลิกยุ่งเกี่ยวกันเสียที...

    ...ข้าไม่อยากถูกหลอกให้ดีใจ...เพียงเพื่อลิ้มรสขมขื่นเนิ่นนานของการสูญเสียและความอ้างว้างอีก...

    “แต่หากไม่พยายามทำอะไรสักอย่าง ท่านก็ต้องอยู่เช่นนี้ตลอดไป คิดว่าอย่างนั้นมีความสุขหรือ” อามอนกลับถามเรียบๆ เมื่อข้าตัดสินใจไม่พูดต่อ เขาเห็นน้ำตาของข้า แต่ก็ไม่ปลอบโยนหรือแตะต้องตัว

    “...อย่างน้อยก็ดีกว่าต้องพบความทุกข์ยิ่งกว่านี้” ข้าบอก

    ชายหนุ่มถอนใจยาว นั่งขีดเขียนพื้นทรายเป็นรูปบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยขึ้น

    “ข้ามีเรื่องจะเล่า—”

    “ข้าไม่อยากฟัง” ข้าตอบทันที

    “เรื่องนี้ไม่ใช่ตำนาน ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงหนึ่งในเรื่องที่ข้าเคยอ่าน และคงเข้าใจไม่ตรงกับที่ผู้เขียนต้องการสื่อ แต่ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ท่านต้องฟัง...เป็นเรื่องที่มีความจริงแฝงอยู่” อามอนยังพูดต่อ “มันคือเรื่องของถ้ำกับนักโทษ”

    “ถ้ำกับนักโทษ” ข้าทวนคำอย่างสงสัย คำสองคำนั้นราวกับมีอำนาจสะกด...บ่งบอกตัวตนทั้งหมดของข้า “หมายความว่าอย่างไร”

    “สมมติว่า...มีนักโทษกลุ่มหนึ่งถูกล่ามโซ่ขังไว้ในถ้ำตั้งแต่เกิด แขนขาถูกตรึงไว้กับที่ มีเครื่องรัดศีรษะให้มองได้เพียงเบื้องหน้า ส่วนเบื้องหลังพวกเขามีกองไฟส่องแสงสลัว เหนือกองไฟมีทางซึ่งผู้คนเดินไปมา แบกสิ่งของและสัตว์ต่างๆ พวกนักโทษเห็นเพียงเงาของสิ่งเหล่านั้นบนผนังถ้ำ ไม่เคยเห็นสิ่งที่แท้จริง จึงได้เข้าใจว่าเงาที่เห็นคือ ‘ความจริง’”

    ข้าไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับตนอย่างไร จึงบอกไปว่าข้าไม่ได้ถูกล่ามโซ่ขังไว้ในถ้ำตั้งแต่เกิด ทว่าออกไปจากถ้ำได้และไม่เคยเห็นเงาแบบนั้น ข้าไม่เคยเข้าใจผิดว่าเงาคือความจริง ข้าเห็นความจริงอยู่ตรงหน้าชัดแจ้งแท้ๆ ว่าตนถูกกักขังไร้ทางออก...คงเป็นหลายสิบหรือร้อยปีได้แล้ว

    “ทั้งหมดหรือ” เขาเพียงย้อนถามสั้นๆ เมื่อข้าพูดจบ ยังผลให้ข้าชะงัก “เท่าที่ข้าเข้าใจ ผู้เขียนเรื่องถ้ำบอกว่าที่แท้โลกทั้งใบของเราก็คือถ้ำ พวกเราคือนักโทษเหล่านั้น สิ่งที่เราเห็นและสัมผัสทุกวันนี้เป็นมายา...เป็นเพียงเงาของสรรพสิ่งที่แท้จริง แต่พวกเราล้วนนึกไปว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง เพราะไม่เคยเห็นความจริงที่แท้มาก่อน แต่...ข้าก็ไม่ทราบว่าความจริงที่แท้เป็นอย่างไร ช่างเถิด สิ่งที่ข้าต้องการบอกท่านไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องของถ้ำยังมีต่อ

    “หากมีนักโทษคนหนึ่งเป็นอิสระและออกไปนอกถ้ำ เห็นสิ่งที่แตกต่างจากเงาเหมือนเคย...โดยเฉพาะแสงตะวันซึ่งสว่างกว่ากองไฟในถ้ำหลายร้อยเท่า เขาจะเข้าใจว่าสิ่งที่ตนเห็นมาตลอดไม่ใช่ความจริง เขาย่อมอยากให้นักโทษอื่นๆ ได้รู้ จึงกลับลงไปเล่าเรื่องโลกที่แท้จริงให้ฟัง แต่พวกนั้นกลับหาว่าเขาเหลวไหลไร้สาระ ปั้นน้ำเป็นตัว ไม่มีใครเชื่อ กลับอยากขับไล่เขาไป หากหลุดจากโซ่ตรวนก็คงจะตรงเข้าไปสังหารเขาในบัดนั้นเสียด้วยซ้ำ...ไม่ใช่ด้วยความโกรธเคือง แต่ด้วยความกลัวว่า ‘ความจริง’ ที่พวกเขาเห็นมาชั่วชีวิตจะพังทลายลง”

    “เจ้าต้องการบอกอะไรกันแน่” ข้าตั้งคำถาม

    “โลกของท่านเหมือนถ้ำนั้น ยังมีสิ่งที่ท่านไม่เคยรู้เคยเห็นมากมายเหลือเกิน ท่านกลัวการออกไป...ข้าไม่ปฏิเสธความจริงของท่าน ข้าคงไม่อาจสัมผัสโลกในถ้ำของท่านเหมือนที่ท่านสัมผัส แต่ท่านก็ไม่เคยเห็นโลกในถ้ำของข้าเช่นกัน

    “ตอนนี้...ข้าพยายามออกจากถ้ำของข้า ออกเดินทางไปเรื่อยๆ ด้วยหวังจะพบ ‘ความจริง’ ข้าพบว่าเรื่องที่ชนชาติของข้าเล่าถึงชนชาติอื่นๆ ต่างจากที่พวกเขาเล่าเกี่ยวกับตนเอง ข้าไม่ทราบว่าเรื่องของผู้ใดคือความจริง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความจริงมีหรือไม่ แต่หากรวมเรื่องที่เราสองรู้เข้าด้วยกัน พวกเราอาจช่วยกันและกันได้”

    เขาเล่าให้ข้าฟังบ้าง เกี่ยวกับความฝันถึงลูกแพะ...พายุทราย...และหญิงที่มีผมดำขลับยาวสยายกลางพายุ

    ข้ามีผมยาวสีดำจริง...แม้นเขาจะไม่เคยเห็นผมที่ข้าเกล้ามัดไว้ใต้ผ้าคลุมสีขาว ทว่า...หญิงส่วนมากที่นี่ก็มีผมดำเป็นธรรมดา เขาอาจกุเรื่องมาหลอกข้าอยู่ก็ได้มิใช่หรือ ทว่าไม่ทันได้แย้ง เขาก็โน้มน้าวอีกครั้ง

    “ข้าเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา รู้ว่าตนเองไม่มีอำนาจพอจะพาท่านออกไป” อามอนพูด “แต่ยังมีสิ่งอื่นที่ข้าทำได้ ข้าเคยอ่านและจดตำนานต่างๆ ไว้มากมาย อาจมีเรื่องที่ช่วยท่านได้ในนั้น และข้าจะลองสอบถามผู้อื่นดู เผื่อมีใครทราบเรื่องของท่าน จากนั้นเราก็ช่วยกันหาทางแก้ปัญหา ข้าทราบตำนานของเอลลิเนสเป็นหลัก แต่คิดว่าเรื่องของท่านคล้ายกับตำนานที่ข้าเคยได้ยิน เหมือนคำสาปแห่งการลืมเลือน...หรือการลงทัณฑ์กักขัง พระองค์ที่ชายคนนั้นพูดถึงอาจเป็นผู้กระทำ”

    “...พระองค์...” ข้าพึมพำตามความคิดที่แวบขึ้นมา เอ่ยเพียงนั้นยังรู้สึกเย็นเยือกจับจิต กระนั้นก็ตัดสินใจเล่าความฝันเมื่อคืนวาน

    “การทดสอบ...ปกป้องดินแดน...บัญชาจากพระองค์” อามอนทวนคำอย่างครุ่นคิดเมื่อข้าเล่าจบ “น่าจะใช่เหตุการณ์นั้น”

    “เหตุการณ์ใด”

    “ข้าเคยอ่านบันทึก...ว่ากองทัพจากเปอร์เซียถูกพายุทรายพัดหายสาบสูญขณะรุกรานดินแดนในทะเลทราย เอนลิลเองก็เคยพูดเรื่องนี้ หากท่านเป็นเทพกัญญาแห่งสายลมทะเลทรายจริง ท่านน่าจะมีอำนาจทำเช่นนั้น และที่นี่ก็เป็นดินแดนของท่าน”

    “อำนาจหรือ แล้วทำไมข้าในตอนนี้ถึงได้...”

    ถูกกักขังในดินแดนของตน...ดูเหมือนเขาจะเข้าใจโดยที่ข้าไม่ต้องเอ่ย

    “เป็นไปได้ไหมว่าท่านถูกพระองค์ลิดรอนหรือริบอำนาจ ในเมื่อพระองค์ที่ท่านว่าน่าจะเป็นผู้กักขังท่านไว้ที่นี่”

    “...อาจเป็นได้” ข้ารับ “แล้วชายชุดดำผู้นั้นเล่า”

    “ตอนนี้ข้ายังไม่ทราบอะไรมาก แต่เขาน่าจะมีอำนาจหรือฐานะสูงกว่าท่าน และเป็นผู้รับบัญชาจากพระองค์กระมัง” ชายจากเดโลสพูดช้าๆ “เขาพยายามมาช่วยท่านไม่ให้พระองค์รู้ตัว แสดงว่าคงหวังดีต่อท่าน แต่ไม่ทราบว่าหากช่วยไม่สำเร็จแล้ว...พระองค์จะทำเช่นไรกับเขาบ้าง”

    เขาหันไปมองฟ้า นิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันกลับมาทางข้า

    “ตอนนี้ นั่นคงเป็นทั้งหมดที่ข้าช่วยได้ แต่หากท่านต้องการให้ช่วยมากกว่านี้...ก็ได้โปรดกลับมาพบกันอีกเถอะ อย่าปิดตนเองอยู่เพียงลำพังอีกเลย สิมูน”

    ข้าก้มหน้าลงมองผืนทรายใต้เท้า นึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของอามอน...เม็ดทรายเพียงเม็ดเดียวไร้อำนาจ แต่หลายเม็ดรวมกันกลับยิ่งใหญ่ทรงพลัง ข้าอยากหวังอิสระ...แต่ขณะเดียวกันก็กลัวเหลือเกินว่าจะไม่พบ ไม่อยากมีความหวังเพียงเพื่อสิ้นหวังเช่นนั้น ไม่อยากยึดติดกับเม็ดทรายเม็ดเดียว...เพียงเพื่อเห็นมันถูกพัดปลิวพ้นมือต่อหน้าต่อตา

    ทว่า...หากไม่หวังและปล่อยเวลาให้ล่วงผ่านไปเหมือนทุกครั้ง...ก็อาจไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้วใช่ไหม แม้เป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดเดียว...ข้าก็ควรไขว่คว้าไว้ใช่ไหม

    “ตกลง” ข้ากลั้นใจพยักหน้า “ข้าจะลองดู”

    “เช่นนั้นก็พบกันที่นี่ พรุ่งนี้ตอนบ่าย” อามอนบอก “ข้าจะนำบันทึกของข้ามาดู แล้วหารือกัน”

    ข้าพยักหน้ารับ มองแผ่นหลังของเขาเคลื่อนห่างออกไปกับทุกย่างก้าว แต่ไม่อาจห้ามตนเองให้ถามด้วยความสงสัย

    “ไยเจ้าจึงช่วยข้า”

    ชายหนุ่มชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาอย่างสงสัย

    “ข้า...อาจไม่ใช่หญิงในฝันที่เจ้าตามหาก็ได้” ข้าขยายความ “หรือถึงเป็นคนเดียวกัน...ข้าก็จำเจ้าหรือสิ่งที่ข้าเป็นในตอนนั้นไม่ได้ ข้า...อาจให้คำตอบอะไรเจ้าไม่ได้ด้วยซ้ำ”

    “เรื่องที่ข้าอยากทราบเกี่ยวกับท่านหรือฝันนั้น...คือผลพลอยได้ของข้า” อามอนตอบช้าๆ ...ด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “แต่ถึงท่านจะไม่ใช่หญิงคนนั้น...ข้าก็ยังคิดช่วยท่านอยู่ดี ข้าอาจไม่เข้าใจความหนักหนาของความทุกข์ท่าน แต่ข้ารู้ดี...ว่าการได้แต่ทำสิ่งไร้ประโยชน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทรมานเพียงไร”

    ข้าไม่ทราบว่าเขาพูดจริงเพียงไร แต่ครั้นมองเขาเดินจากไปจนลับสายตาก็พบว่าตนเองอยากเชื่อมั่นเช่นนั้น...ว่ามีใครสักคนที่เห็นและเข้าใจความทุกข์ของข้า ใครสักคนที่จะพาข้าออกไปจากถ้ำซึ่งมีเพียงเงาสลัวนี้...

    * * * * *

    รายชื่อ

    เลทอ - Leto
    เอรา - Hera
    อพอลลอน - Apollon
    เรเนเอีย - Rineia/Rhenea
    คารอน - Charon
    อาเครอน - Acheron

    ข้อมูลเพิ่มเติมและภาพของเกาะเดโลส/ดีลอส

    ที่มาของเรื่องถ้ำแห่งเงา

    ธรรมเนียมห้ามเกิดห้ามตายบนดีลอสเป็นธรรมเนียมที่เคยมีจริง ส่วนเกาะเรเนเอียที่ใช้ทำศพ ตอนนี้เป็นเกาะร้างไร้คนอาศัยครับ

    ชื่ออามอน เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษจะได้ความหมายว่า the builder หรือผู้ก่อสร้าง ผมจึงเปลี่ยนจากชื่อเดิมที่ว่าฮามอน ซึ่งเป็นชื่อที่มีที่มาจากชื่อภาษาฮีบรู มีความหมายว่าผู้มีศรัทธาแก่กล้า เพราะเห็นว่าเข้ากว่าครับ

    เรื่องถ้ำแห่งเงา ได้มาจากเรื่องถ้ำของเพลโตใน The Republic ลักษณะของถ้ำคร่าวๆ เหมือนกันที่อามอนเล่า แต่ตอนท้ายอามอนจะ "บิด" ความหมายของเรื่องนี้ให้เข้ากับที่ตนต้องการสื่อ ด้วยความรู้ปรัชญาเท่าหางอึ่ง ผมจับความเข้าใจได้ว่าเพลโตเชื่อว่าโลกของเราก็เหมือนกับถ้ำ เป็นเพียง "เงา" ของความจริงที่ไม่มีใครเคยเห็น เขาเชื่อว่ามีโลกในอุดมคติซึ่งเป็นจริงยิ่งกว่าโลกนี้ และมีสิ่งที่เป็นอุดมคติเป็นจริงยิ่งกว่าของที่เราพบทุกวัน เช่น ในโลกอุดมคติมีเก้าอี้ที่เป็นอุดมคติ เป็นจริงยิ่งกว่าเก้าอี้ที่พวกเรานั่งอยู่ ซึ่งหยิบยืมรูปทรงการใช้งานมาจากเก้าอี้ในอุดมคตินั้นอีกที (สับสนดีแฮะ...)

    ผมก็เหมือนกับม่อน ไม่รู้ว่า "ความจริง" เป็นยังไง บางทีมันอาจไม่มี หรือถึงมีก็แตกต่างกันไปแต่ละคน แต่จะอย่างไรก็ขอความกรุณาติดตามความจริงของเรื่องนี้ กับเจ้าม่อนกับสิมูนด้วยครับ (พยายามแถอย่างไม่เนียนเท่าลูกชาย ^^a )
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×