ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เม็ดทราย สายธาร กาลเวลา

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ ๑/๖ - ปราสาททราย

    • อัปเดตล่าสุด 31 ก.ค. 52


    ๖. ปราสาททราย


    ตะวันลับฟ้าไปแล้ว จันทราและดาราขึ้นแทนที่

    ยังไม่มีเงาร่างของนางผู้นั้น

    ข้าทรุดกายลงนั่งบนก้อนหินใหญ่ เงยหน้ามองผา ด้วยหวังจะเห็นผ้าสีขาวที่ปลิวสะบัดอยู่ด้านบน แต่ก็ไม่เป็นเช่นหวัง

    หรือนางจะไม่มาอีกแล้ว

    หากนางตัดสินใจเช่นนั้น ข้าคงไม่อาจทำสิ่งอื่นใดนอกจากยอมรับ และแยกจากไปตามทางของข้า

    เหมือนตอนนั้นน่ะหรือ...

    ความคิดพลันวาบขึ้นมาโดยไม่ทันห้าม...ตามด้วยความทรงจำที่ไม่อยากระลึกถึง

    ...

    “ท่านแม่ ข้าก่อปราสาททรายไว้ที่ชายหาด...ให้ท่านแม่คนเดียว ไปดูด้วยกันเถอะ”

    ...รอยยิ้มแสนเศร้าของหญิงที่นั่งหน้าหูกทอผ้า...

    “ขอบใจจ้ะอามอน แต่แม่...”

    ...เสียงไอโขลกเขลก...

    “ท่านแม่ อาการกำเริบอีกแล้วเหรอ ข้าจะไปตามหมอ...”

    ...เลือดกระเซ็นบนผืนผ้า...

    “ท่านแม่!”

    ...

    “แม่...ไม่เป็นไร พักสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น แต่ปราสาททราย...คงต้องไว้วันพรุ่งนี้ แม่...ขอโทษนะ”

    “ไม่เป็นไรขอรับ ข้าอยากให้ท่านแม่หายดีไวๆ มากกว่า”

    ...‘วันพรุ่งนี้’ ไม่เคยมาถึง...

    ...จะก่อสักกี่หลัง...จะสร้างสักกี่ครั้ง...ปราสาททรายก็พังทลายหลังถูกคลื่นซัด..ไม่เคยคงอยู่ได้นานจนนางมาเห็น....

    ...

    ...มือก่อกองทราย...

    “อามอน เจ้าเด็กดื้อ หนีเรียนมานั่งเล่นอะไรอยู่ตรงนี้”

    ...เท้าคู่ใหญ่เหยียบหน้าปราสาททรายที่ยังไม่ปรากฏเค้าร่าง...

    “วันนี้ข้าต้องเรียนด้วยหรือ” ...คำถามของเด็ก...

    “ทำไมถึงคิดว่าเจ้าไม่ต้องเรียน” ...คำย้อนของผู้ใหญ่...

    “ข้าไม่อยากเรียน ข้าจะรอท่านแม่”

    “.........”

    “หรือท่านพ่อลืมท่านแม่ไปแล้ว! ท่านแม่...ไปได้ไม่ถึงสามเดือน...ท่านพ่อก็จะแต่งงานใหม่อย่างนี้ ทำไม...ทำไมถึงไม่รอท่านแม่ ท่านพ่อไม่คิดถึงท่านแม่บ้างเลยหรือ!”

    “แม่เจ้าไม่กลับมาอีกแล้ว”

    “โกหก! ก็ท่านแม่สัญญาไว้ว่าจะมาดูปราสาททรายของข้า! ถ้าข้าทำปราสาททรายสวยๆ ท่านแม่จะกลับมาแน่นอน!!”

    “เลิกฝันได้แล้ว อามอน!!”

    ...คำตวาด...

    ...เท้ายักษ์กวาดเตะปราสาทเปราะบางจนทลายราบ...

    “ถึงเจ้าจะก่อปราสาททรายสักกี่หลัง นางก็ไม่มีวันกลับมา นางทิ้งเจ้าไปแล้ว!...ทิ้งข้าไปด้วย!!”

    ...มือที่คว้าคอเสื้อ...ดึงร่างเล็กๆ จากท่ามกลางกองทราย...

    ...ดวงตาของผู้ใหญ่ที่กร้าวถมึงทึง ทว่าหวั่นไหวในขณะเดียวกัน...

    ...เสียงที่สั่นพร่าด้วยหลากอารมณ์ผสมปนเป...

    “รอไปจนตาย...นางก็ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว!!”


    ...

    ข้าตวัดเท้าเตะทรายคลุ้ง ทว่ารอบด้านยังคงนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปร ไม่มีแม้แต่เสียงลำนำของสายลม

    นับจากวันนั้นก็เกือบสิบสี่ปีมาแล้ว ข้าเพิ่งระลึกได้ว่าตนไม่เคยรอใครเช่นนี้อีก...จนกระทั่งวันนี้ ข้าอยู่ส่วนของข้า พ่อกับแม่เลี้ยงและลูกๆ ของพวกเขาก็อยู่ส่วนของพวกเขา ข้าอาจร่วมทางกับนักเดินทางหรือขบวนพ่อค้าอื่นๆ บ้าง แต่มักออกเดินทางตามลำพังมากกว่า หากต้องการไปเมื่อไร...ข้าก็ไป ไม่เคยต้องรอคอยใครอย่างแท้จริง

    แล้วเหตุใด...ข้าจึงต้องรอคอยหญิงลึกลับที่ตนแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับนางเลย

    แต่แค่คืนเดียวเอง...จะเป็นไรไป เสียงอีกด้านหนึ่งในใจบอก ข้ามีเวลามากมายทั้งชีวิต แค่ใช้คืนนี้คืนเดียวไปกับการนอนดูดาวและทำสิ่งที่ไม่เคยทำมานานคงไม่เสียเวลาเท่าใดนัก

    ข้าไถลตัวลงนั่งบนผืนทราย พบว่ามันเป็นเบาะนั่งที่เย็นกว่าหาดทรายของเดโลสที่ข้าจากมานัก แต่ก็ใช่จะไม่สบายเลย ข้าค่อยๆ กอบทรายไว้ในมือ พยายามก่อขึ้นเป็นบางสิ่ง ทว่าทรายของทะเลทรายนั้นแห้งร่วน ไม่เหมือนทรายเปียกน้ำทะเลที่ขึ้นรูปได้ง่ายเลยสักนิด

    กระนั้น ข้ายังพยายามอัดทรายเหล่านี้ให้เป็นรูปทรงบางอย่าง ต่อให้เป็นปราสาทหรือวิหารแบบเอลลิเนสไม่ได้ ก็คงพอเป็นพีระมิดอย่างหยาบๆ ได้กระมัง

    “ทำอะไรอยู่”

    ข้าสะดุ้ง หันกลับไปอย่างตกใจ แต่ครั้นสบกับนัยน์ตาสีทองที่จ้องตรงลงมาอย่างใคร่รู้ก็ยิ้มออกมา

    “นึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว”

    “ข้าถามว่าทำอะไรอยู่” แม้ถ้อยคำเหมือนคาดคั้น น้ำเสียงของนางกลับบอกความสงสัย “ไยลงไปนั่งบนพื้นทราย แล้วเอามือคลุกทรายทำไม”

    “ข้าจะก่อปราสาททราย แต่ชาวทะเลทรายเขาคงไม่ทำกันใช่ไหม”

    หญิงสาวสั่นศีรษะ

    “ทรายอย่างเดียวทำเป็นปราสาทได้เสียที่ไหน อย่าว่าแต่ปราสาทเลย บ้านก็ยังทำไม่ได้”

    ข้าหัวเราะเบาๆ รู้สึกเหมือนตนถูกสอนอย่างเด็กโง่เขลาคนหนึ่ง

    “ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำบ้านอยู่เลย ก็แค่เล่นฆ่าเวลาเหมือนตอนเด็ก” ข้าอธิบาย แล้วก็ถามกลับ “ว่าแต่ตอนเด็กๆ ท่านคงไม่เคยก่อทรายเล่นสินะ”

    นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะสั่นศีรษะ ไม่ขยายความว่าไม่เคย หรือจำไม่ได้ หรือว่า...ที่จริงนางไม่มีวัยเด็กมาแต่แรกแล้ว ทว่าข้าไม่ติดใจจะคาดคั้นเอาความหมาย

    “ข้าก็ว่าอย่างนั้น ทรายแห้งแบบทะเลทรายคงไม่มีวันก่อขึ้น” ข้าใช้มือเกลี่ยยอดกองทรายซึ่งพอพูนขึ้นให้เป็นพื้นเรียบ “ว่าแต่...ข้านึกว่าท่านจะไม่มาเสียแล้ว”

    “ข้าไม่ได้ตั้งใจมาหาเจ้า” หญิงสาวทรุดกายลงนั่งบนหินที่ข้าเคยนั่ง เอ่ยโดยเสมองไปอีกทาง “แค่บังเอิญเห็นเจ้าทำอะไรแปลกๆ อยู่”

    “เลยสงสัยน่ะหรือ” ข้าสัพยอก “เช่นนั้น วันหลังข้าจะตีลังกาเอาเท้าชี้ฟ้ารอ ท่านจะได้แปลกใจมากกว่านี้ รีบมาถามเร็วกว่านี้”

    ไม่มีคำตอบจากนาง กลับเป็นคำย้อนถาม

    “ถ้าข้าไม่มาจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไร”

    “...ทำอย่างไร ก็ถ้าข้ารอไม่ไหว...คงกลับไปก่อน”

    “แล้วจะกลับมาอีกหรือ”

    “ก็ไม่แน่”

    “ถ้าไม่แน่ ก็ไม่เห็นจะต้องมาครั้งนี้เลย”

    ข้าหันกลับไปมองนางอย่างสงสัย

    “ท่านบอกให้ข้ามา ซ้ำยังมาสายเสียเอง ไม่น่าพูดอย่างนี้”

    “เจ้าต่างหากที่เอาตำนานอะไรนั่นมาล่อ ข้าไม่ได้อยากพบเจ้าสักหน่อย”

    ข้าถอนใจ

    “จนตอนนี้ก็ไม่อยากพบหรือ”

    “...ข้าไม่รู้จักเจ้า”

    “ถ้าไม่เริ่มทำความรู้จัก...แล้วจะรู้จักกันได้อย่างไร”

    “แล้วถ้าข้ารู้จักเจ้า...จะมีอะไรดีเล่า เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดไปนี่นา”

    “ถ้าเช่นนั้น...ข้าก็คงไม่ต้องทำความรู้จักใครๆ ไปชั่วชีวิตกระมัง เพราะพวกเขาไม่ได้อยู่กับข้าตลอดไปเหมือนกัน”

    ไม่มีคำตอบจากนาง ข้าจึงพูดต่อ

    “ถ้าท่านคิดว่าข้าประสงค์ร้าย หรือต้องการแค่เกี้ยวพาท่านเล่นๆ ก็โปรดวางใจเถิด ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้นเลย”

    “แค่ลมปากจะเชื่ออะไรได้”

    “ข้าสาบานต่อลมทะเลทรายก็ได้ โดยเฉพาะต่อสายลมที่ชื่อว่า...สิมูน หากข้าคิดทำร้ายท่านด้วยวิธีใดก็ตาม...ขอให้ตายด้วยกระแสลมพิษสิมูน...ดีไหม”

    “เจ้าสาบานเอง ข้าไม่เกี่ยว”

    “ได้ ข้าสาบานของข้าเอง” ข้ายิ้มรับ “คงวางใจได้แล้วสินะ”

    ผ่านไปครู่หนึ่ง นางยังไม่ตอบ ข้าจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น

    “เมื่อวาน ข้าบอกจะเล่าเรื่องของเอราเคลสให้ท่านฟังสินะ เริ่มเลยดีไหม”

    “เดี๋ยวก่อน” นางขัดขึ้น ข้าหันไปมองอย่างประหลาดใจ “ข้าอยากฟังเรื่องอื่น...ถ้าเจ้ารู้”

    “เรื่องอะไรหรือ”

    “เรื่องของ...คนที่ต้องทำบางสิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยไม่รู้ว่าทำไม หรือเพื่ออะไร มีบ้างไหม”

    “เอ...คนที่ต้องทำบางสิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า...” ข้านิ่งนึก “อย่างซิสิโฟสหรือเหล่าธิดาแห่งดานาโอสน่ะหรือ”

    “พวกเขาเป็นใคร”

    “ซิสิโฟสเป็นกษัตริย์แห่งโครินธ์ เขาเป็นคนชั่วช้า ทำได้กระทั่งข่มเหงหลานสาวของตน ยึดบัลลังก์ของพี่ชาย และฆ่าอาคันตุกะต่างๆ ซึ่งมาขอที่พึ่งพิง ทั้งยังทรยศเผยความลับของมหาเทพเซอุส เซอุสจึงพิโรธ บัญชาให้ปรเทพอาเดสจับซิสิโฟสล่ามโซ่ขังไว้ในตรุทาร์ทาโรสอันลึกที่สุดในปรภพ

    “แต่ซิสิโฟสเป็นคนเจ้าเล่ห์ เขาแสร้งถามมรณเทพธานาโทส ทำเป็นอยากรู้ว่าโซ่ตรวนจะรึงรัดเขาในรูปแบบใด ครั้นธานาโทสนำตรวนมาสวมตนเองให้ดู ซิสิโฟสก็รีบหลบหนีไป ทิ้งธานาโทสที่ถูกตรวนพันธนาการไว้จนเทพองค์อื่นมาช่วยเหลือ

    “ถึงวันตายของตัว ซิสิโฟสบอกชายาว่าไม่ต้องเซ่นสังเวยให้วิญญาณเขา เมื่อลงไปอยู่ในปรโลกแล้ว เขาก็ทำเป็นร้องทุกข์ต่อเพอร์เซโฟเน พระชายาของปรเทพอาเดสว่าชายาตนไม่ยอมส่งเครื่องเซ่นไหว้มาให้ และอ้อนวอนขอขึ้นมายังโลกมนุษย์เพื่อขอให้ชายาเซ่นไหว้

    “ทว่า...เมื่อขึ้นมาได้แล้วเขาก็ไม่ยอมกลับลงไป ร้อนถึงมหาเทพเซอุสต้องบัญชาเทพผู้นำสาร เออร์เมส ให้นำตัวซิสิโฟสลงมาจองจำในตรุทาร์ทาโรส จากนั้นก็ลงโทษเขาให้เข็นหินก้อนใหญ่ขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ เมื่อเข็นได้ถึงจุดหนึ่ง...หินนั้นจะร่วงลงมาทับร่างของเขาแหลกเหลว แต่เขาก็จะฟื้นขึ้นมาใหม่เพื่อเข็นหินชั่วกัปกัลป์ เป็นโทษทัณฑ์ชั่วนิรันดร์ของซิสิโฟส”

    “โทษทัณฑ์...อย่างนั้นหรือ” หญิงสาวรำพึง นิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่งจึงถาม “แล้วเรื่องของธิดาแห่งดานาโอสล่ะ”

    “นานมาแล้ว” ข้าเล่าให้นางฟัง “กษัตริย์แห่งอียิปต์มีโอรสฝาแฝดคือดานาโอสกับเอกิปโทส ดานาโอสมีธิดาห้าสิบนาง ส่วนเอกิปโทสมีโอรสห้าสิบคน เอกิปโทสต้องการให้โอรสของตนกับธิดาของดานาโอสสมรสกันทุกคนไป แต่ดานาโอสไม่ยินยอม จึงพาธิดาขึ้นเรือหนีไปพึ่งพิงอาณาจักรอาร์โกส

    “กระนั้น เมื่อเอกิปโทสกับโอรสยกทัพติดตามมา ดานาโอสกับธิดาก็ต้องยอมจำนน เพราะไม่ต้องการให้เมืองที่ช่วยเหลือตนต้องเสียเลือดเนื้อ มีการจัดพิธีสมรสใหญ่โตของบ่าวสาวทั้งห้าสิบคู่ ทว่าก่อนหน้านั้น ดานาโอสได้แจกกริชให้กับธิดาคนละเล่ม และสั่งให้พวกนางสังหารเจ้าบ่าวของตนเสียเมื่อเข้าหอ

    “ธิดาสี่สิบเก้านางทำตาม แต่ยูเพิร์มเนสตรา ธิดาคนสุดท้องไม่สังหารลิวก์เคอุสที่เป็นเจ้าบ่าวของนาง เพราะลิวก์เคอุสนั้นเป็นคนดี ให้เกียรติไม่ได้ล่วงเกินนาง ซ้ำยังบอกว่าหากนางยังต้องการรักษาพรหมจรรย์ เขาจะยินยอม ยูเพิร์มเนสตราจึงสารภาพแผนการของบิดากับเขา และหลบหนีไปด้วยกัน

    “เมื่อถึงเวลาตาย ธิดาทั้งสี่สิบเก้าของดานาโอสผู้สังหารเจ้าบ่าวของตนต้องรับโทษหนักในปรภพ พวกนางแต่ละคนได้รับหม้อน้ำใบหนึ่ง พร้อมกับคำสั่งให้ตักน้ำจากลำน้ำสติวซ์ นทีแห่งคำสัตย์ ไปใส่ในอ่างอาบน้ำใหญ่ใบหนึ่งจนเต็ม เพื่อที่พวกนางจะได้ชำระล้างบาปของตน

    “แต่หม้อน้ำพวกนั้นล้วนมีรูรั่ว ไม่ว่าจะตักน้ำสักกี่ครั้ง น้ำก็รั่วซึมลงดินจนหมดก่อนจะไปถึงอ่าง พวกนางเลยได้แต่สาละวนตักน้ำโดยไม่ได้น้ำอยู่ร่ำไป”

    ข้ามองสิมูน เห็นนางนั่งนิ่ง สายตาเลื่อนลอยทอดไปทางทะเลทราย สุดท้ายจึงตัดสินใจเอ่ยต่อ

    “ข้าสงสัย”

    “สงสัยอันใด”

    “ว่าเหตุใดเหล่าธิดาแห่งดานาโอสจึงไม่อุดรูรั่วของหม้อน้ำน่ะสิ” ข้าพูดพลางขีดเขียนบนทราย “ถ้าตลิ่งของลำนทีสติวซ์คล้ายลำน้ำบนโลกมนุษย์บ้าง ก็น่าจะมีดินเปียกที่จะนำมาอุดรูหม้อน้ำได้ หรืออย่างน้อยพวกนางก็น่าจะใช้มือปิดรอยรั่วขณะถือหม้อน้ำ แล้วเอียงมันให้อยู่ในมุมที่เสียน้ำน้อยที่สุด ถึงจะตักน้ำได้ครั้งละไม่มาก แต่ย่อมมีโอกาสเต็มอ่างมากกว่ามัวแต่ถือหม้อน้ำแบบธรรมดาๆ ให้น้ำรั่วจนหมดทุกครั้งมิใช่หรือ”

    “เจ้าคิดเช่นนั้นได้อย่างไร” ผู้ฟังของข้าถามอย่างสงสัย ข้าเลยหัวเราะน้อยๆ

    “ไม่รู้สิ พอนึกถึงตำนานของธิดาแห่งดานาโอสในตอนนี้ จู่ๆ ก็คิดขึ้นมาได้” พลันอีกความคิดแวบขึ้น ข้าถอนใจโดยไม่ทันห้าม “แต่ก็มีจริงๆ นั่นล่ะ เวลาที่เราเจ็บปวดทรมานแต่กลับคิดอะไรไม่ออก...ทั้งๆ ที่ถ้าคิดออกตั้งแต่ตอนนั้น...ก็คงไม่ต้องทรมานมากอย่างที่เป็นอยู่”

    “แล้วมีคนอื่นอีกไหม” สิมูนตั้งคำถาม “คนที่ต้องทำสิ่งที่ตนไม่ต้องการซ้ำๆ โดยไม่มีวันจบสิ้น...เหมือนกับพวกเขา”

    “ก็...ข้าพอนึกได้อีกสองสามคนที่ต้องโทษทัณฑ์ในตรุทาร์ทาโรส หากท่านอยากฟัง—”

    “มีเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับโทษทัณฑ์ และเกิดในโลกมนุษย์บ้างไหม” นางขัดขึ้นในทันใด

    ข้านึกถึงตำนานทั้งหลายที่ตนเคยฟังเคยอ่าน แต่ก็พบว่าเงื่อนไขที่นางตั้งมานั้นยากเหลือเกิน ก็ใครเล่าจะทำสิ่งที่ตนไม่ต้องการซ้ำๆ หากไม่ใช่โทษทัณฑ์ และใครในโลกมนุษย์จะอยู่ได้ไม่มีวันจบสิ้น เช่นเทพหรือภูตพรายปีศาจอื่นๆ

    “เอ...ข้าไม่คิดว่ามีนะ” ข้ารีบพูดต่อเมื่อเห็นสายตาของนางดูเหมือนผิดหวัง “ข...ขอเวลาคิดอีกสักครู่ได้ไหม”

    “ช่างเถิด” นางตัดบทพร้อมกับก้มหน้าลง “แล้วคนที่จำอะไรเกี่ยวกับตนเองไม่ได้เลย...มีไหม”

    “คนที่จำอะไรเกี่ยวกับตนเองไม่ได้...” ข้าทวนคำ แล้วก็พูดเรื่องแรกที่นึกขึ้นมา “พวกวิญญาณที่ดื่มน้ำในเลเธ...แม่น้ำแห่งการลืมเลือนก่อนกลับไปเกิดใหม่ใช้ได้ไหม”

    “ไม่มีคนที่ลืมเลือนทุกสิ่งเกี่ยวกับตนเองทั้งๆ ที่อยู่ในโลกมนุษย์เลยหรือ”

    “...ข้าคิดว่าไม่มี”

    “แล้วคนที่ถูกกักขัง...ข้าไม่ได้หมายถึงถูกกักขังในตรุหรือในวังที่มีรั้วรอบหรือผนังกั้น แต่ถูกขัง...เหมือนกับไปจากที่ที่ตนอยู่ไม่ได้เพราะมีกำแพงที่มองไม่เห็นอยู่ล้อมรอบ ซ้ำยังสัมผัสแตะต้องคนอื่นๆ ไม่ได้ล่ะ”

    “คนที่ถูกขังด้วยกำแพงล่องหนแบบนั้น...ข้าไม่เคยได้ยิน แต่มีช่วงหนึ่งที่กษัตริย์มิดาสแห่งฟรายเกียไม่สามารถแตะต้องใครได้ เพราะเขาได้รับพรจากดิโอนูโซสเทพแห่งเมรัย ให้ทุกสิ่งที่เขาสัมผัสกลายเป็นทอง รวมทั้งมนุษย์ด้วยกัน”

    “ไม่ใช่อย่างนั้น” หญิงสาวพึมพำแผ่วๆ

    “ไม่ใช่อย่างนั้น...หมายความว่าอย่างไรหรือ” ข้าเริ่มสงสัย นางต้องการรู้สิ่งใด สิ่งที่นางถามเหล่านั้นมีความเกี่ยวข้องอันใดกัน

    นางกลับลุกขึ้นยืนโดยไม่ตอบ แล้วก้มศีรษะลงมองข้าด้วยสายตาเรียบเฉย

    “ข้าคิดว่าคงไม่มีเรื่องอื่นใดที่เจ้าช่วยข้าได้อีกกระมัง” สตรีชุดขาวเอ่ยก่อนกลับหลังหัน “ถึงอย่างไร...ก็ขอบใจที่มาในวันนี้ แต่วันต่อๆ ไป เจ้าไม่ต้องมาอีกแล้ว”

    “เดี๋ยว—”

    นางยังคงก้าวต่อไปไม่หยุด ข้าจึงได้แต่ยืนนิ่งอยู่ สุดท้ายก็ถอนใจ เอาเท้าเขี่ยปราสาททรายที่ยังไม่เป็นรูปร่างทิ้งไปเสีย แล้วเดินกลับเข้าเมืองแห่งสายลมบ้าง

    เกือบถึงที่พัก ข้าจึงนึกขึ้นได้...ว่าน่าจะเล่าเรื่องของเด็กชายโง่เขลาที่ก่อปราสาททรายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ด้วยหวังอย่างไร้เหตุผลว่าหากทำเช่นนั้น เรือที่เคยนำมารดาของเขาไปสู่สถานที่อีกแห่งหนึ่งจะหวนกลับมา ให้นางได้มาดูปราสาททรายของเขาในที่สุด

    เด็กชายคนนั้นกับวังวนของปราสาททราย...ไม่ได้ต่างจากเหล่าธิดาแห่งดานาโอสกับวังวนของการตักน้ำด้วยหม้อน้ำรั่วเลยสักนิด

    แต่ก็เป็นเช่นที่ข้าพูดกระมัง...ข้านึกเพื่อปลอบใจตนเอง ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่คิดไม่ออก และทุกข์ทรมานยิ่งกว่าใครอื่นอาจบรรเทา

    ลางที...นางคงประสบช่วงเวลานั้นอยู่ในตอนนี้นี่เอง

    * * * * *

    กลับมาเป็นมุมมองของพ่อม่อนนักจ้อ งานก็เข้าคนเขียนที่ต้องหาชื่อและข้อมูลอีกครั้ง ^^a (พูดเหมือนบ่นแต่ที่จริงก็สนุกเวลานึกและเขียนครับ)

    เริ่มจากรายชื่อตัวละครกันก่อนดีกว่า

    ซิสิโฟส - Sisyphus
    ดานาโอส - Danaus (ธิดาแห่งดานาโอส อังกฤษเรียกรวมกันว่า Danaides)
    โครินธ์ - Corinth
    อาเดส - Hades
    ทาร์ทาโรส - Tartarus
    ธานาโทส - Thanatos
    เพอร์เซโฟเน - Persephone
    เอกิปโทส - Aegyptus
    ยูเพิร์มเนสตรา - Hypermnestra
    ลิวก์เคอุส - Lynceus
    เลเธ - Lethe
    มิดาส - Midas
    ดิโอนูโซส - Dionysus

    หลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรบอกว่าเริ่มมีการนำทรายมาก่อเป็นรูปร่างในอารยธรรมอียิปต์ตอนทำแบบจำลองพีระมิด ไม่แน่ว่าการก่อทรายเล่นนั้นเริ่มมาจากสมัยไหน แต่อย่ากระไรเลย ขอให้เจ้าม่อนได้ก่อปราสาททรายตามแบบวังกรีก ไม่ใช่ปราสาทหินยุโรปบ้างกับเขาแล้วกัน เพราะปราสาททรายมีนัยยะที่เกี่ยวข้องกับการทำสิ่งที่สูญเปล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเจ้าตัว และเกี่ยวกับความหมายชื่อของเจ้าม่อนที่จะบอกในตอนหน้าด้วย

    ตอนนี้ถือเป็นการเล่าเกร็ดตำนานเล็กๆ น้อยๆ ทั้ง "ศรีธนญชัยตกนรกเข็นครกขึ้นภูเขา" ฉบับกรีก ตำนานสาวโหดทั้ง 49 (ซึ่งผมเห็นใจพวกเธอมากกว่าจะคิดว่าสาสมแฮะ...) และท้าวมิดาสมือทอง (เจ้าของสำนวนอังกฤษ Midas' touch แปลว่าหยิบจับอะไรก็เป็นทอง) สามเรื่องนี้เป็นตำนานย่อยๆ ที่ผมได้อ่านตอนเรียนวิชามิตโตของคณะ (แต่เรื่องของมิดาสเคยอ่านฉบับอื่นมาก่อน ที่มีลูกสาววิ่งเข้ามากอดจนกลายเป็นทอง แกถึงได้สำนึกว่าพรนี่คือคำสาป) เลือกมาเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และมีความคล้ายคลึงกับโจทย์ที่สิมูนถามมาครับ

    ซิสิฟัส (Sisyphus) นั้น บางตำนานเล่าว่าเป็นพ่อของวีรบุรุษโอดิสซีอัส (Odysseus) เจ้าของไอเดียม้าไม้ล่มทรอย นัยว่าได้ความฉลาดของบิดามา ลูกเลยเป็นคนฉลาดแกมโกงระดับพระกาฬไปอีกคน (แต่ถ้าเชื่อตามตำนานนี้ ก็เท่ากับว่าซิสิฟัสไปเป็นชู้กับแม่ของโอดิสซีอัส ซึ่งเป็นชายาของกษัตริย์แห่งอิธาคาอีกหนึ่งกระทง ^^;;; )

    ในบรรดาตำนานเหล่านี้ ตำนานธิดาแห่งดานาโอสจะมีบทบาทต่อไปในเรื่องครับ ว่าแต่หวังว่าบอกตอนนี้คงไม่สปอยล์นะ ^^;;;

    แล้วพบกับตอนใหม่สัปดาห์หน้าครับ :)

    ปล. ปุจฉา ซิสิฟัสขายความลับอะไรของซูส...
    V
    V
    V
    วิสัชชนา ความลับที่ซูสไป "อุ้ม" ลูกสาวชาวบ้านหนีข้ามหัวเฮียแก ซิสิฟัสดันไปเห็นตอนซูสแปลงเป็นนกอินทรีใหญ่ หิ้วนางเอกิน่า (Aegina) ซึ่งบ้างก็ว่าเป็นธิดาของเทพแห่งลม เอโอลัส (Aelus) บ้างก็ว่าเป็นธิดาของเทพแม่น้ำอโซปัส (Asopus) ไปอยู่เกาะแห่งหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกใคร ซิสิฟัสก็ไปแจ้งบิดาของสาวเจ้า ซึ่งพยายามไปตามลูกกลับมา แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝันเพราะโดนลูกเขยตัวดีต้อนรับด้วยอสนีบาตเปรี้ยงใหญ่เสีย ก่อน = =a

    (เป็นเหตุผลที่น่าลงโทษพลเมืองดีช่วยเหลือคนถูกพรากผู้เยาว์จริงๆ ...เนอะ)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×