ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : insight 5.5 – spiritually connected
เธอไม่ได้เย็นชา และนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จำเป็นต้องอธิบายให้คนที่ไม่สำคัญเข้าใจ
“แค่นั้นไม่น่าอิ่มนะ”
“ขืนขุนพวกนั้นมากไปก็กลายเป็นไปขยายกระเพาะให้ใหญ่ขึ้นอีก”
“อ้าว ไดเอตกันอยู่เหรอ?”
“เปล่าหรอก แต่ถ้าน้ำหนักขึ้นก็มีบางคนงอแงอีก”
“ก็ยัยเร็นแหละนะ...”
แค่คนรอบตัว— เพื่อนและครอบครัวที่อย่างน้อยก็ใส่ใจเธอในระดับที่เทียบเท่ากันก็เพียงพอสำหรับอิวันน่า เธอไม่ต้องการให้คนอื่นมาใส่ใจตนเองพร่ำเพรื่อ และก็ไม่ต้องการความสัมพันธ์ซึ่งมีการเอาเปรียบซึ่งกันและกัน
สายตาคู่นั้นพิจารณาจำนวนขนมที่ถูกหยิบใส่จานเป็นครั้งสุดท้าย เหล่มองผู้ปกครองที่ยังคงมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาและทำตามความต้องการของอีกฝ่ายแต่โดยดี
“งั้นขออนุญาตอ้างนะ”
“ตามสบายเลยไอวี่” ฮานน์กลั้วหัวเราะ
เพราะเป็นนอนไบนารี่จึงไม่มีสรรพนามแยกเฉกเช่นหญิงชาย กระนั้นคนคนนี้ก็ยังคงนับเป็นบุพการีผู้ให้กำเนิดและดูแลเธอมาตลอดหลายปี— เขาใจดีและยืดหยุ่น ตรงข้ามกับคุณแม่ผู้ที่ทำแทบทุกอย่างตามแบบแผน รวมถึงเป็นคนที่สั่งสมองค์ประกอบซึ่งอีกคนอาจจะเผลอละเลยให้กับเธอ
ในวินาทีที่เริ่มชั่งใจกับพฤติกรรมของตนเอง ฮานน์นั้นเป็นคนบอกว่าเธอแค่จำเป็นจะต้องใส่ใจคนรอบข้างในระดับหนึ่งเท่านั้น...
หากมองว่าไม่สำคัญก็อย่าไปฝืนให้ลำบากตนเอง— คนเราไม่ได้อะไรนอกเหนือจากความทรมานของการทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
ซึ่งก็จริง...
“พรุ่งนี้ค่อยชวนพวกเขาไปวิ่งกันตอนเช้าก็ได้ โทปาซเองก็ต้องเริ่มเทรนร่างกายด้วยนี่เนอะ”
“อืม รายนั้นคงอยากให้ตนเองเริ่มเตรียมตัวก่อน”
“แต่ว่านะ... ได้เห็นภาพแบบนี้ก็อุ่นใจอยู่เหมือนกัน จากมุมมองของคนที่เห็นเขามาตั้งแต่ยังเด็กน่ะ”
สาวเจ้าคนนั้นคือเพื่อนคนแรก— เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่เดินเข้ามาทักทายเธอพร้อมกับตุ๊กตาปุยนุ่นที่ใหญ่เกินกว่าจะถือเองคนเดียวได้ และไม่รู้เพราะเหตุใดก็กลายเป็นว่าตัวติดกันตั้งแต่ตอนนั้น
‘นี่มิสไฮยาซินธ์แหละ’
มันไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระดับสามารถตายเพื่ออีกคนได้ กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้หล่อนเผชิญอันตรายทั้งหมดคนเดียว
พวกเธอเข้าใจระยะห่างระหว่างกันและกัน— เชื่อมโยงกันโดยจิตวิญญาณล่ะมั้ง หากจะเปรียบเปรยในสำนวนของอีกคนน่ะ
ใช่ว่าจะไม่แยแส... แต่รู้อยู่แก่ใจว่าขืนกระทำบุ่มบ่ามก็คงเหลือเพียงผลลัพธ์บัดซบๆ
อิวันน่า ไอสลีย์ยุ่งยากแค่ไหน เพื่อนแต่ละคนของเธอก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก
“โทปาซเป็นประเภทที่ถ้าไปบังคับให้เลิกแสร้งภาพลักษณ์ก็คงถูกบอกกลับมาว่า ‘ไม่เป็นไร’ ตลอดนั่นแหละ”
“เราก็เลยไม่ได้ทำอะไรมากล่ะสิท่า”
“อืม... ตอนเห็นว่าทางแก้คือทำให้ถูกสาปก็แอบโกรธอยู่เหมือนกัน แม่นั่นมันบ้าดีเดือดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้”
“แต่ก็เคลียร์กันไปแล้วนี่”
เธอพยักหน้าตอบไป แล้วมือนั้นก็หยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งเข้าปาก เคี้ยวมันสองสามคำก่อนกลืน แล้วกล่าวขยายความเพิ่ม
“ถ้าบอกว่าไม่เข้าใจมุมมองปาซก็ดูเหมือนจะโกหกใช่ไหมล่ะ?”
“ก็สมกับที่เป็นอิวันน่าแหละนะ”
“อืมๆ— เฮ้ เดี๋ยวสิ!”
ผมเผ้าที่เริ่มยุ่งเหยิงจากการถูกขยี้กำลังส่งผลต่อสีหน้าซึ่งแปรเปลี่ยนไป ณ ปัจจุบัน— อิวันน่าไม่ได้เกลียดสัมผัสเหล่านั้น แต่เธอก็ไม่เคยเอ่ยปากว่าชอบ ยิ่งเมื่อมือทั้งสองข้างกำลังยุ่งอยู่กับการถือจานขนมและไม่สามารถขยับไปจัดทรงให้ดีเช่นเดิมแล้ว
ในสายตาของฮานน์เธอยังคงเป็นเด็ก
ก็นะ... อายุ 17 ปีนี่ไม่ได้ฟังดูใกล้แก่แต่อย่างใดเลย ถ้า 20 ก็ว่าไปอย่าง
ปล่อยให้ทำตามใจตนเองไปก่อนก็แล้วกัน
“เดี๋ยวช่วยถือน้ำ ใครเอาอะไรบ้างล่ะ?”
“ปาซเอาน้ำเปล่า มาริอยากได้น้ำส้ม ส่วนเร็นต้องดื่มนมอุ่นก่อนนอน”
“โอเค”
จานในมือถูกแทนที่ด้วยถาดไม้ซึ่งผู้ปกครองสับเปลี่ยนให้— เขาวางจานขนมนั่นไว้ข้างบนอีกที แล้วหยิบแก้วสามใบมาจัดเรียงไว้เคียงข้าง ตามมาด้วยขวดน้ำและกล่องน้ำส้มซึ่งหยิบออกมาจากตู้เย็น
อิวันน่าชำเลืองมองกล่องนมที่อีกฝ่ายวางไว้บนเคาน์เตอร์เงียบๆ
“จะอุ่นเองเหรอ?” ฮานน์ที่สังเกตได้ดังนั้นถาม
หญิงสาวไม่ปฏิเสธว่าเธอมักจะไม่ปฏิบัติใดๆเพิ่มเติมหากได้รับความช่วยเหลือจากใครสักคน— ทุกอย่างย่อมมีจังหวะของมันเอง และเมื่อได้รับความช่วยเหลือในหน้าที่หนึ่ง การพยายามทำกิจกรรมเช่นเดียวกันนั้นก็ดูเป็นการแสดงถึงความไม่ไว้วางใจพอประมาณของผู้กระทำ
เธอรู้ดี— เธอเฝ้ามองพฤติกรรมของคนรอบตัวตลอด
ถึงกระนั้นก็เถอะ...
“ได้ไหม?”
“ได้สิ”
คำตอบสั้นๆเพียงพอสำหรับลูกสาวคนเดียวของบ้าน— อิวันน่าพยักหน้าตอบรับไป ดวงตาคู่นั้นเบนไปยังพรรณไม้ซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องในเวลาต่อมา ส่งสัญญาณให้มันรับรู้ถึงการใช้งานด้วยการเพ่งสมาธิไปยังลำต้นซึ่งเริ่มโยกย้ายราวกับอยู่บนฟลอร์เต้นรำ
มือทั้งสองยังคงจับถาดนั่นไว้แน่น ขณะในใจร่ายคาถาเวทมนตร์เพื่อเคลื่อนย้ายไม้เลื้อยต้นดังกล่าวมายังเคาน์เตอร์— มันใช้หนามอันแหลมคมนั่นตัดฝากล่อง แล้วจึงค่อยๆเทเครื่องดื่มลงในหม้อ ก่อนจะเคลื่อนไปเปิดแก๊สให้เรียบร้อย
พลังจิตไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัดนัก หากเทียบกับการควบคุมพืชไม้เลื้อยซึ่งเป็นสิ่งที่ถนัดโดยสายเลือด...
คงเป็นเพราะต้นตระกูล— เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่โทปาซเคยกล่าวนั้นทำให้เธอตระหนักได้
นับจากนี้ไป สิ่งที่เธอควรทำคือการช่วยเพื่อนสนิทของตนเองศึกษาเรื่องคำสาปและต้นตระกูลซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตของหล่อนโดยตรง— ช่วยกันทดลอง คิดข้อสันนิษฐาน รวมไปถึงการระดมสมองค้นหาแนวทางการนำมันไปปรับใช้ในชีวิตให้ยิ่งกว่าเดิม
ที่ทำได้ก็เพราะโทปาซ เชีย แอนเดรียไม่คิดจะกักเก็บทุกอย่างไว้เช่นเดิมแล้ว
ทางออกนั้นจะแตกต่างกันในกรณีของคนอื่น— มาริซอลหรือเร็นจำเป็นจะต้องใช้วิธีการรับมือที่ละเอียดอ่อนกว่าเยอะ
“ฮานน์ พรุ่งนี้ตอนเย็นว่างไหม?”
“หืม? ว่างสิ ทำไมเหรอ?”
“ขอคุยด้วยหน่อย... มีเรื่องอยากปรึกษา”
___
เธอไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับใคร ตราบใดที่คนสำคัญเข้าใจ...
“กลัวแพ้อ่ะ”
“ไม่แพ้ อันนี้สูตรอ่อนโยนต่อผิวที่สุดแล้ว”
“ไม่โกหกนะ”
“ฉันจะโกหกไปทำไมเล่า?” คิ้วนั้นขมวดเข้าหากันพลันได้ยินถ้อยคำของอีกฝ่าย— อิวันน่าไม่ได้โกรธจริง น้ำเสียงงอแงของเร็นแค่ทำให้อารมณ์เธอกระตุกเป็นช่วงๆ
นั่นดูจะเป็นหนึ่งสิ่งซึ่งไม่อาจทำตัวให้ชินชาได้ แม้ว่าระยะเวลาที่รู้จักกันจะเพิ่มพูนขึ้นในแต่ละวันก็ตาม...
“แหะ”
“ทีนี้อยู่นิ่งๆ”
ปลายนิ้วค่อยๆป้ายครีมบำรุงจากในกระปุกสู่ใบหน้าของคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้าตนเองทีละน้อย— ชโลมมันให้ทั่วเพื่อประสิทธิภาพที่สูงที่สุด ระหว่างนั้นก็ใช้มืออีกข้างจับไหล่ไม่ให้คนที่ตกใจกับสัมผัสเย็นเฉียบขยับขยุกขยิกไปมา กดแรงลงมากกว่าเดิมเล็กน้อยในคราแรกๆที่หล่อนยังคงไม่รู้ตัวถึงสัญญาณพิเศษนั่น
“เย็น” เร็นบ่นอุบอิบ
“รู้”
ถ้อยคำห้วนสั้นไม่ใช่สิ่งที่เหมาะสมแก่การพูดในสถานการณ์เช่นนี้ กระนั้นสมองเธอก็ไม่สามารถวินิจฉัยคำตอบเป็นสิ่งอื่นได้— จะให้พูดว่า ‘ทนหน่อย’ ก็ซ้ำซาก หากพยายามเก็บมันไว้นอกตู้เย็นแช่สกินแคร์เฉพาะเพื่อให้หล่อนใช้แค่วันเดียวก็เล่นเอาสภาพผลิตภัณฑ์เสีย มันจึงเหลือเพียงวิธีเดียว
อีกอย่างคือเร็นเป็นมนุษย์ประเภทที่พูดตามสมองคิดมากกว่าประมวลผลก่อน เวลาบ่นในเรื่องที่ช่วยไม่ได้จึงไม่จำเป็นจะต้องไปโอ๋หรือตามใจมากนัก เดี๋ยวหล่อนก็หาย เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นในกรณีที่พูดออกมาด้วยเจตนาจริงจัง
โทปาซน่ะตัวสปอยล์เกินความจำเป็นที่หนึ่ง
ด้วยความคล้ายคลึงทางองค์ประกอบด้านความบ้าดีเดือดและอุปนิสัยกล้าได้กล้าเสียที่ไม่อาจทราบอย่างแน่ชัดได้ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่เมื่อใด สาวเจ้าคนนั้นจึงได้ปล่อยปละละเลยในเรื่องพฤติกรรมที่อาจจะทำให้อีกคนถูกเพ่งเล็งบ่อยครั้ง— เป็นการมอบสิ่งที่ตนเองต้องการให้แก่ตัวแทนด้านความรู้สึก ถ้าให้พูดตามตรงก็เป็นการปรับตนเพื่อบรรเทาสภาพจิตใจระดับหนึ่งด้วย
แต่หากให้เธอพูดตามตรง ความไม่เหมาะสมดังกล่าวนั้นก็เป็นเพียงความคิดปัจเจก
คนบางคนแค่ทำตัวบ้าบอเกินเหตุไปเอง
แอ๊ด...
สายลมซึ่งพัดผ่านจากข้างนอกนั้นไหลเข้าสู่ห้องนอนในวินาทีที่บานประตูถูกเปิดออกอย่างเชื่องช้า— เสียงฝีเท้าซึ่งทิ้งน้ำหนักลงพื้นต่างกันส่งผลดวงตาสีจันทราของตนเองเลื่อนไปมองเจ้าของมัน ริมฝีปากเตรียมพร้อมสำหรับการเอ่ยทักทาย ทว่าก็ต้องเงียบลงเมื่อมีเสียงเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมาก่อน
“ไอฟ์ หลังจากนี้ไปที่เรือนกระจกกัน”
ไอ้รอยยิ้มกรุ้มกริ่มนั่นมันอะไรกันล่ะนั่น?
“ได้”
ทว่ามันก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธ— สองคนนั้นคงพินิจกันมาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในห้องน้ำ อีกทั้งถ้อยคำซึ่งเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นนั่นก็คงไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากการพิจารณาอย่างน้อยหนึ่งนาทีหรอก แม้มันจะดูเหลือเชื่อก็ตาม
คงมีแผนอะไรสักอย่างอยู่ในใจ... ที่ประหลาดคือมาริซอลดูไม่ได้ติดขัดอะไรนัก
“ต้องเตรียมอะไรเผื่อไว้ไหมล่ะ? โทรไปหาฮานน์ก่อนก็ได้นะ คงรดน้ำอยู่”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวค่อยเตรียมตอนไปถึง ฉันว่าจะเดินสำรวจดูนั่นนี่ก่อน”
“ตามสบาย” กล่าวเสร็จบุ้ยหน้าไปทางเตียง— ส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนนั่งรอบนฟูกนุ่มๆนั่นไปก่อน แล้วจึงหันกลับมาที่หนึ่งเดียวของกลุ่มซึ่งยังเตรียมตัวไม่เสร็จ
“ขอจัดการเร็นอีกสักแป๊บ...”
หน้าม้าของเร็นเริ่มที่จะยาวขึ้นจนปรกใบหน้า และเพราะเช่นนั้นเธอจึงใช้ที่คาดผมในการยึดมันให้อยู่เหนือหน้าผาก... จะมีปัญหาก็แค่กับสวนปอยผมซึ่งต้องทัดไว้ที่ข้างหูอย่างสม่ำเสมอ
แกร๊ก!
ใบหน้าจิ้มลิ้มยังอยู่ในสายตาเธอ แม้ว่ามือข้างขวาจะเอื้อมไปเปิดตู้เย็นเล็กๆบนโต๊ะและเก็บครีมสกินแคร์ไว้ในจุดเดิมของมัน— เร็นยิ้มอ่อนๆ สายตาคู่นั้นไม่ละไปมองที่อื่น รอคอยให้เธอจัดการแต่งหน้าให้เสร็จสรรพ
“มันเซ็ตตัวแล้ว”
“เหรอ?”
“โหย เชื่อใจกันบ้างดิ”
อืม
ปลายนิ้วที่เคลื่อนไปเกี่ยวปอยผมนั่นออกแรงดึงเบาๆ— กลั่นแกล้งเล็กน้อยให้คนขี้งอแงส่งเสียงโอดโอยเล่น ด้วยโทษฐานที่อยู่ไม่นิ่งสักเท่าไหร่เมื่อครู่
“เดี๋—”
และก่อนที่เสียงทุ้มนุ่มนั่นจะออกมาจากริมฝีปากเร็นได้เต็มคำ ก็กดพัฟคุชชั่นไปที่แก้มขวาของหล่อนด้วยความรวดเร็ว ไม่รีรอให้บทสนทนากึ่งการปะทะวาจาก่อเกิดขึ้นอีกครั้งในห้อง
“อย่าดิ้น” เธอพูดเสียงเบา
“...ก็ได้”
อิวันน่าพ่นลมหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ไม่รู้ว่าด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมหรือเพียงแค่ทำเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์— ยิ่งอยู่กับโทปาซก็ยิ่งติดเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของความเวอร์วังทางการละครของหล่อนมาด้วย ซึ่งนั่นก็หาใช่เรื่องที่ดีสักเท่าไหร่นักสำหรับคนที่ไม่ต้องการเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งเพิ่มความโดดเด่นให้แก่ตนเอง
แค่อยู่ในกลุ่มนี้ก็ได้รับสปอตไลท์มากพอควรแล้ว...
สายตาเลื่อนไปมองอีกสองคนที่นั่งอยู่เงียบๆ คาดหวังในความเงียบงันเพียงชั่วคราวอันเนื่องด้วยการนั่งนิ่งๆของเร็นจะถูกใครสักคนทำลายด้วยบทสนทนาธรรมดา ทว่าก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามาริซอลนั้นหยิบแท็บเล็ตของตนเองมาอ่านวรรณกรรมออนไลน์ระหว่างรอเสียแล้ว
ส่วนอีกคนก็เพียงแต่มองมายังพวกเธอด้วยมุมปากที่กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆ...
หล่อนผงกหัวเล็กน้อย— แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยสิ่งซึ่งอิวันน่าไม่ได้อยากจะรับรู้ในเร็ววันแต่อย่างใด
...อืม
การพยักหน้าตอบกลับไปคือทางเลือกที่ปลอดภัยที่สุด— ไม่ใช่การโต้ตอบ แสดงท่าทางประหลาด หรือส่งสัญญาณบ่งบอกให้หยุดสีหน้าดังกล่าวเดี๋ยวนี้
เธอต้องเร่งมือจัดแจงแต่งหน้าเร็นให้เสร็จแต่โดยไว และใช้อุปนิสัยอยู่ไม่นิ่งของหล่อนเป็นเครื่องมือในการเบี่ยงเบนความสนใจทั้งหมดออกห่างจากประเด็นไร้สาระ
“ไม่เป็นไรหรอกนะ ฉันไม่รีบ”
“อืม”
คนที่รีบมันทางนี้อยู่แล้ว
เธอกระตุกปอยผมนั่นอีกคราเพื่อความผ่อนคลายของตนเอง
___
พวกเขาเข้าใจและเชื่อใจเธอ— บางครั้งก็มากเกินเสียด้วยซ้ำ
ความบ้าดีเดือดที่เริ่มจะถูกแพร่มายังเธอกลับส่งผลให้ตำแหน่งคนห้ามปรามในกิจกรรมบางกิจกรรมนั้นว่างเปล่า และแน่นอนว่ามันนำมาซึ่งความวุ่นวายในอีกรูปแบบหนึ่ง...
“ไอวี่ ฉันว่าเราควรจะใจเย็นๆแล้วทำอย่างอื่นดีกว่านะ”
“ไม่ต้อง! พร้อมแล้วๆ! ราดมาเลย ไม่ตายหรอก”
“ปาซ หยุดดื้อเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“ทุกอย่างก็เพื่อการศึกษา!”
“ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น— อุ๊ย! ดอกเบญจมาศดอกเล็กๆ”
“มาช่วยกันห้ามปาซก่อนสิเร็น!”
อย่างเช่นตอนนี้...
อิวันน่าส่ายหน้า มือที่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อยนั้นหยิบถุงมืออีกคู่และโยนให้คนที่กำลังถูกเพื่อนสาวขี้กังวลกอดอยู่จากด้านหลัง— ใบหน้าที่เรียบนิ่งนั่นไม่ไหวตึง เพียงแต่ยกมือขึ้นมาทำเป็นเชิงส่งสัญญาณขอโทษให้มาริซอลแทน
นอกจากเธอก็คงไม่มีใครเล่นบ้าบอแบบนี้ตามโทปาซแล้วล่ะมั้ง...
แต่ก็ใช่ว่าจะปิดตา ปิดหู ปล่อยเบลอความอันตรายทั้งหมดนี่เสียหน่อย
ดวงตาสีจันทราคู่นั้นเลื่อนจุดสนใจจากบททะเลาะเบาๆของสองเพื่อนมายังโต๊ะเพียงหนึ่งเดียวในเรือนกระจก— พิจารณาข้าวของที่วางอยู่อย่างรอบคอบ แล้วจึงดึงกล่องใส่หลอดทดลองออกห่างจากอุปกรณ์ทำสวนชิ้นอื่นๆ
โทปาซต้องการทดสอบสภาพร่างกายใหม่ซึ่งคลับคล้ายคลับคลาว่าแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน นอกจากเรื่องพลังกำลังที่เพิ่มพูนซึ่งเป็นตัวระบายอารมณ์เคร่งเครียดได้ดีเยี่ยมแล้วก็ยังมีอีกหลายอย่างที่หล่อนอาจจะยังไม่รู้
หลอดทดลองซึ่งมีกรดของพืชชนิดหนึ่งในเรือนกระจกบรรจุอยู่จึงเป็นสิ่งที่เพื่อนตัวดีของเธอเรียกว่า ‘ตัวเอก’ ของวันนี้
“มันชื่อต้นอะไรนะ?”
“คาโลซัคลีส”
“โอ้”
กรดที่มีอิทธิฤทธิ์รุนแรงนั้นได้ถูกเจือจางลง และเมื่อเทลงบนถุงมือพิเศษที่ผลิตขึ้นจากเส้นใยของพืชที่ทนทานที่สุดในเมือง การกรัดกร่อนผิวหนังภายใต้เนื้อผ้านั้นก็จะกลายเป็นว่าอยู่ในระดับที่ไม่อันตรายถึงขีดสุด— ค่อนข้างปลอดภัยในสายตามืออาชีพที่คลุกคลีของอันตรายเช่นนี้มาตั้งแต่เด็กอย่างเธอเสียด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ยาปรุงซึ่งบรรเทาความเจ็บปวดก็ยังไม่ถูกละเลยไปจากการทดลองต่อไปนี้อยู่ดี หากจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดคิดก็สามารถแก้ไขได้โดยเร็ว
“พร้อมยัง?” อิวันน่าเอ่ยถาม
การพยักหน้าเพียงครั้งเดียวคือคำตอบที่กระจ่างที่สุดสำหรับหญิงสาว
โดยปกติร่างกายของมนุษย์แต่ละตระกูลจะมีลักษณะพิเศษเฉพาะอยู่แล้ว— เร็นมีสภาพร่างกายที่ปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมได้ง่ายกว่าคนอื่น มาริซอลมีประสาทสัมผัสไวต่อเสียงและสามารถระบุสิ่งที่ได้ยินได้อย่างชัดเจน ส่วนร่างกายของเธอก็มีความทนทานต่อพิษตั้งแต่ในระดับอ่อนไปจนถึงระดับที่เสี่ยงต่อชีวิตได้
มันเป็นของขวัญจากผู้กำหนดโชคชะตาที่ได้ริเริ่มการวิวัฒนาการของสายพันธุ์มาจวบจนปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในน้อยสิ่งซึ่งยังคงเชื่อมโยงมนุษย์กับต้นตระกูลของพวกเขาไว้...
โทปาซเองก็กล่าวว่ามีความเป็นไปได้สูงที่การถูกสาปจะดึงลักษณะบางส่วนของต้นตระกูลออกมายิ่งกว่าเดิม— เธออาจไม่ได้มีพลังเวทมนตร์ที่รุนแรงในระดับทำลายล้างเวลาหงุดหงิดเหมือนกับแอนโธนี่ กระนั้นมันก็คงมีความคล้ายคลึงกันในระดับหนึ่ง
‘ความทนทาน’ และ ‘ความแข็งแกร่ง’ คือคีย์เวิร์ดหลัก
“อิวันน่า!”
ในขณะที่ฮานน์ ไอสลีย์คือผู้ปกครองที่กำลังประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
“ทำอะไรกันน่ะ!?” เขาถามด้วยน้ำเสียงร้อนรน— ตามตัวมีเหงื่อชุ่ม คงเพราะสังเกตเห็นจากมุมไกลและวิ่งมาอย่างรวดเร็ว
“ทดสอบนิดๆหน่อยๆน่ะค่ะ แต่ว่ามีน้ำยาพร้อมไว้แล้ว... กรดก็เจือจาง ไหนจะถุงมืออีก” โทปาซเอ่ยตอบเขาไป
“ถึงจะเป็นอย่างนั้นก็เถอะ...”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณฮานน์ เชื่อปาซเถอะ”
“...”
“เดี๋ยวจะรีบทำรีบจบค่ะ ไม่เว้นช่วงนานแน่ๆ” รอยยิ้มน้อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนนั่น ดวงตาสีคล้ายคลึงกับอัญมณีเม็ดงามนั้นพยายามส่งสายตาอ้อนวอนใส่ผู้ใหญ่คนเดียวในสถานที่แห่งนี้อย่างสุดฤทธิ์
“ถ้าอย่างนั้นก็—”
“ขอบคุณค่ะคุณฮานน์! ไอฟ์! เริ่มกันเลย!”
หล่อนก็รีบเสียเหลือเกิน
อิวันน่าพยักหน้าตอบรับไป ก่อนจะเขย่ามือเบาๆเพื่อให้มั่นใจว่าสสารในหลอดนั้นเป็นเนื้อเดียวกัน ดวงตาคู่นั้นไม่ละไปมองสิ่งอื่นใดที่อาจทำให้ตนเองประมาทและก่อให้เกิดข้อผิดพลาดได้
ซ่า...
แล้วกรดเจือจางสีใสก็ถูกเทลงบนฝ่ามือซึ่งมีอุปกรณ์ป้องกันของโทปาซ— มันกัดกร่อนพื้นผิวของถุงมือนั้นจนเป็นรูเหวอะหวะ ทว่ากลับระเหยไปในอากาศเมื่อสัมผัสกับร่างกายของหล่อนโดยตรง
ทุกอย่างเงียบงันไปในชั่วนาทีหนึ่ง...
เธอกัดริมฝีปากล่างของตนเอง
“ปาซ...”
อิวันน่าหันไปทางโทปาซเช่นเดียวกับมาริซอล— รอคอยคำตอบอย่างใจเย็น
“มันจั๊กจี้นิดๆอ่ะ”
“เอ๊ะ?”
และมันก็เรียกได้ว่า ‘สุดยอด’ เป็นอย่างยิ่ง
“คือมันไม่เจ็บนะ— ไม่เจ็บเลยสักนิด ออกแนวจั๊กจี้เหมือนมีอะไรมาเขี่ยๆมือมากกว่า”
“ใช้ยาปรุงเผื่อไว้เลยดีกว่า” ฮานน์เอ่ย
เจ้าของไอเดียทั้งหมดนี้ออกอาการประหม่าเล็กน้อยเป็นการตอบกลับ— ถึงปากจะบอกว่ารีบทำรีบเสร็จ แต่ก็คงอยากเห็นผลระยะยาวของการทดลองอีกสักหน่อยตามประสาเจ้าหล่อนที่ชอบศึกษาเชิงละเอียด
“เรารออีกสักนิดไหมคะ? เผื่อมันแบบ... ออกอาการช้า อะไรทำนองนี้”
“โทปาซ น้าบอกพี่ชายเธอไว้แล้วว่าจะไม่ให้น้องสาวเขาเจ็บตัวเด็ดขาด ต่อให้มันจะมากน้อยแค่ไหนก็ตาม... เท่านี้ก็ถือว่าผิดสัญญาไปเยอะแล้ว ขอร้องล่ะ”
อิวันน่าเอื้อมไปหยิบขวดยาปรุง ดึงจุกไวน์ที่ปิดปากมันออกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะบรรจงราดลงไปบนมือของเพื่อนสาวในเวลาต่อมา— ไม่รีรอให้ผลสรุปของการถกเถียงถูกตัดสินแต่อย่างใด
“ถ้าเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวรับผิดชอบเอง”
“แบบนั้นมันได้กันเสียที่ไหนเล่าไอวี่? จบเรื่องนี้ไปคือลูกต้องไปอธิบายให้เจเนวีฟฟังนะ”
___
อิวันน่าถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา
เธอไม่ได้เหนื่อยล้าขนาดนั้น แค่หนักกว่าปกติที่ใช้เวลาเกินครึ่งวันในห้วงแห่งความฝันอยู่เล็กน้อย— กิจกรรมที่วางแผนไว้สำหรับวันหยุดปลายสัปดาห์ก็ไม่มี จึงกลายเป็นนั่งว่างงานไปเสียอย่างนั้น
สองเท้าที่พาดอยู่ตรงที่วางแบบผิดหลักการสร้างใต้โต๊ะผ่านการเดินเข้าๆออกๆเรือนกระจกและสวนภายในบริเวณบ้านมานับไม่ถ้วน... ฮานน์แซวเธอว่าทำหน้าที่แทนพวกไส้เดือนแล้วเรียบร้อย อีกนิดคงเตรียมเพิ่มเงินค่าขนมให้เป็นการตอบแทนแล้ว
[นอนพักก่อนก็ดีนะ] มาริซอลที่อยู่ปลายสายเอ่ย
“มันไม่ได้ง่วงน่ะสิ ก่อนหน้านี้ก็ถูกแม่นางดราม่าเทไปคุยกับผู้ชาย”
[ก็ไปแซวเขา]
“นิดๆหน่อยๆเอง แต่ถึงเจ้าตัวรู้ก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
ก๊อก! ก๊อก!
เฮือก!
“...เข้ามาได้ค่ะ”
เสียงเคาะประตูห้องซึ่งนานๆครั้งจะดังขึ้นทำให้จังหวะการตอบช้าลงไปจากปกติ— อิวันน่าเอี้ยวตัวไปมองมารดาผู้มาเยือนด้วยความฉงน คิ้วคู่นั้นเลิกขึ้นสูง ริมฝีปากเม้มเล็กน้อย
ข้อเท็จจริงที่รับรู้จากฮานน์คือเรื่องที่เจเนวีฟ ไอสลีย์ติดงานจนถึงเย็น มันจึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจไม่น้อยที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นก่อนคาดหมาย
“อิวันน่า ว่างหรือเปล่า?” หล่อนเอ่ยถาม แต่แล้วก็ส่งเสียงอุทานเบาๆออกมาเมื่อเห็นหน้าจอที่ปรากฏใบหน้าตกตะลึงเล็กน้อยของหญิงสาวอีกคน
“ตอนนี้คุยกับมาริซอลอยู่” เจ้าของห้องกล่าวยืนยันครั้งหนึ่ง
[คุณน้า สวัสดีค่ะ]
“สวัสดีจ้ะที่รัก เมื่อคืนสนุกไหม? น้าขอโทษที่มาทักทายไม่ได้นะ งานดันเยอะช่วงนี้พอดี”
[ไม่เป็นไรค่ะคุณน้า ไว้รอบหน้าก็ได้ค่ะ เราสนุกกันมากจนคิดว่าคงต้องไปค้างกันอีกรอบ]
“พวกหนูนี่ก็น่ารักกันตลอดเสียจริง” เจเนวีฟกลั้วหัวเราะ
“งั้นคุยกันให้สนุกนะ เดี๋ยวน้าไปวานฮานน์ให้ช่วยงานแทน”
ดูเหมือนว่าหล่อนจะต้องการคนช่วยงาน— เป็นจังหวะเวลาที่ย่ำแย่พอสมควร กระนั้นก็ดูจะไม่ใช่เรื่องด่วนเสียขนาดนั้น เธอที่ไม่จำเป็นจะต้องละสายโทรศัพท์ชั่วคราวไปจึงเพียงแต่โบกมือลามารดาที่ปิดประตูห้องลงอย่างแผ่วเบา ก่อนจะดึงสครันชี่ซึ่งรวบผมไว้หลวมๆนั่นออก
“แล้วงานร่วมกับชมรมที่ปรึกษานี่ไงแล้วนะ?” เอ่ยถามออกมาพลางใช้สองมือสางผมอย่างลวกๆ สะบัดมันไปมาเมื่อมีเส้นผมติดพันนิ้ว แล้วจึงรวบมันไว้ด้วยเครื่องประดับชิ้นเดิม
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ละออกจากอีกฝ่าย— ยังคงสบตาระหว่างรอคอยคำตอบเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกว่ากำลังถูกเมินเฉย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม
[เป็นคอลแลปร่วมกัน 3 ชมรมน่ะ แต่ว่าเขายังไม่ได้แจ้งดีเทลเพิ่มเติม]
“อย่าลืมบอกยัยปาซล่ะ”
[ไอวี่ล่ะก็... ของแบบนี้ก็ต้องบอกอยู่แล้วสิ]
การปฏิบัติตัวกับเพื่อนแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ด้วยสภาพแวดล้อมและอุปนิสัยที่มีจุดซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา— อิวันน่ารู้ว่าการหยอกล้อแรงๆกับโทปาซนั้นเป็นเรื่องปกติ เธอรู้ขอบเขตดี และหล่อนก็ใช่ว่าจะประมวลผลทุกคำกล่าวเป็นในเชิงจริงจัง ส่วนกับมาริซอลที่อ่อนไหวกว่าก็เป็นอีกแบบ
ภาษากายซึ่งบ่งบอกถึงความใส่ใจในบทสนทนาเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจละเลยได้แต่อย่างใด หล่อนขี้เกรงใจจนบางครั้งบางคราในอดีตก็หายไปจากการรวมกลุ่มกัน การปฏิบัติอย่างเอาใจใส่จึงเป็นสิ่งที่น้อยที่สุดที่เธอสามารถทำได้เพื่อแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของตนเอง
‘เธอแค่พลาด— พลาดที่แปลว่ารู้น้อยไป สับสน และส่งผลเสียต่อทั้งสองคนในระดับเท่าๆกัน ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีวันเรียนรู้หรือไม่สามารถแก้ไขได้ เข้าใจไหม?’
พวกเขาล้วนสำคัญสำหรับเธอ— เป็นห่วง เอาใจใส่ พยายามทำความเข้าใจเธออย่างเต็มที่ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากจะไม่ได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกันกลับไปก็คงแย่ไม่น้อย
‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ เวลาเธอหันกลับมาก็จะเห็นพวกเรานะ!’
พวกเขาไม่จำเป็นต้องพิสูจน์อะไรกับเธอเลย— ความเชื่อใจนั้นจะคงอยู่ตลอดไป แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นความรู้สึกแต่แรกเริ่ม และอาจไม่ได้รับอะไรตอบแทนกลับมา
‘เพราะฉะนั้นอย่าโทษตนเองไปมากกว่านี้เลยนะไอวี่’
“แต่ว่านะ ปาซก็ดันออกจากชมรมการละครพอดีด้วยนี่” เธอเอ่ย— ตระหนักขึ้นมาได้ในชั่วขณะว่าหนึ่งในชมรมที่ร่วมงานนั้นเคยมีเพื่อนในกลุ่มเป็นสมาชิก
[อืม ปกติเรื่องบทจะเป็นคนช่วยเกลาให้ ไม่จำเป็นต้องวานชมรมฉันเลย]
“แบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้ล่ะมั้ง แม่นั่นถนัดเขียนเชิงวิชาการมากกว่าพวกฟิคชั่นด้วยนี่”
[นั่นน่ะสินะ... ถึงอย่างนั้นก็แอบเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้เขียนด้วยกันเลย]
“โอกาสมันน้อยอยู่แล้วด้วยแหละ แต่ไว้ค่อยแพลนโปรเจคเล็กๆกันก็ได้นี่”
[อือฮึ]
สาวเจ้าพยักหน้าตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
บทสนทนายังคงดำเนินต่อไปด้วยสมาธิซึ่งไม่แปรผันไปให้สิ่งอื่น... และในเวลาต่อมาก็มียัยตัวดีที่เพิ่งจะกลับจากที่เรียนพิเศษมาร่วมด้วย
คุณฮานน์เป็นตัวละครนอนไบนารี่ที่เครสตั้งใจใส่ไว้ในเรื่องมาก (เช่นเดียวกับตลคเอนบี้อื่นๆ)
ส่วนตัวเป็นคนที่จริงจังกับ representation อยู่พอสมควรค่ะ ชอบเวลาดูอะไรแล้วเห็นคนที่คล้ายกับตัวเอง
ไม่ใช่ไทป์ตัวละครที่ไม่สามารถรีเลทด้วยได้ไรงี้ เลยต้องการจะเพิ่มความหลากหลายของตัวละครลงไปเหมือนกับเรื่องเชื้อชาติค่ะ
แต่ถ้าให้พูดตามตรงคือเหนื่อยใจตรงสรรพนามเล็กน้อยเพราะภาษาไทยใช้พ่อกับแม่เป็นหลัก ในขณะที่อิ้งเค้าใช้ parent ได้
เครสก็เลยเลือกใช้คำว่าผู้ปกครองและปรับให้อิวันน่าเรียกฮานน์กับเจเนวีฟด้วยชื่อเป็นหลักมากกว่าค่ะ (ของเจเนวีฟเรียก 'แม่เจน')
ถึงบทจะเป็นผู้ปกครองที่ไม่มีซีนเยอะเท่าคนอื่น แต่สำหรับพัฒนาการของไอวี่แล้ว คุณฮานน์คือตัวละครสำคัญเลยล่ะค่ะ
แต่ถ้าถามว่าในบรรดาตัวละครทั้งหมดเครสชอบใครมากสุด ก็อยากจะตอบว่าน้องยังไม่โผล่มาค่ะ นั่งเหงาๆอยู่ในดราฟท์ไปก่อน
เพราะตอนมาอาจจะแย่งซีนทุกคน (มั้งนะ) ตอนนี้คือพายเรือคู่หลักกันไปก่อนค่ะ หลังจากนี้จะมีอีกประมาณสองสามคู่ในเรื่อง
แล้วก็แฟคเล็กๆน้อยๆคือคาโลซัคลีสไม่ใช่ต้นจริงๆนะคะ ถึงมันจะชัดเจนว่าเป็นชื่อที่ตั้งเองอยู่แล้วก็เถอะ
เป็นการผสมคำระหว่าง kalos ที่เป็น adj. ภาษากรีกของคำว่าสวยงาม และ Achlys ที่เป็นชื่อของเทพธิดากรีกโบราณ
(ชื่อแปลว่า หมอก หรือ ความมืด และเป็นตัวแทนของหมอกแห่งความตาย) ค่ะ
ความคิดเห็น