ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Mission 07 : บทพิสูจน์ความดี
MISSION 07
บทพิสูจน์ความดี
"อะไรนะ!? พูดใหม่อีกทีซิ!" สติทช์กับเจ้า 625 ตะลึงงันกับคำขอของเจ้าฟลุท ซึ่งเป็นคำขอที่สติทช์ได้แต่ภาวนาในใจว่าแค่หูฝาดไป
"พี่ฟังไม่ผิดหรอก ผมอยากให้พี่กับลีโล่... ช่วยหาบ้านใหม่ให้ผม บ้านหลังที่ผมกับคาลี่จะไปมาหาสู่กันได้โดยไม่ต้องมีใครต้องเดือดร้อนเพราะผมอีก" เจ้าฟลุทย้ำเสียงเศร้า รู้สึกด้อยค่าขึ้นมาที่ต้องบากหน้าขอให้สติทช์ทำในสิ่งที่คิดว่าไม่มีทางทำให้ได้เป็นอันแน่แท้
"อะไรทำให้นายคิดอย่างนั้น เห็นตั้งแต่เมื่อวาน... นายกับคาลี่ก็มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ" เจ้า 625 ถามหาเหตุผลจากเพื่อนใหม่ที่เขาให้ความเอ็นดูเหมือนน้องชายในไส้ เพราะเขาไม่เคยได้ยิน... ว่าจะมีสัตว์ทดลองตัวไหนต้องการย้ายบ้านจากบ้านที่ลีโล่กับสติทช์จัดหาให้สักตัว
"ผมกับคาลี่แฮ็ปปี้นะพี่ แต่โอฮาน่าใหม่ของคาลี่ไม่แฮ็ปปี้อย่างแรงอ่ะ จะให้ทำไงครับ" ฟลุทตอบรับด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
"ไม่แฮ็ปปี้ยังไง... เล่าให้พี่ฟังได้มั้ย" สติทช์วางมือลงบนบ่าขวาของเจ้าฟลุทด้วยความอ่อนโยน หวังว่าเจ้าฟลุทจะเปิดใจเล่าถึงสาเหตุที่เขาขอให้สติทช์หาบ้านใหม่
เจ้าฟลุทถอนหายใจออกมาเบา ๆ หนึ่งเฮือก เมื่อเห็นว่าสติทช์กับเจ้า 625 พร้อมรับฟังปัญหาของเขาด้วยความเต็มใจ แม้รู้จักกันเพียงแค่วันสองวันก็ตาม
สัตว์ทดลองหมายเลข 145 จึงเปิดเผยแฟ้มชีวิตให้เพื่อนใหม่ทั้งสองได้รับทราบอย่างทั่วถึงกัน
วันที่หมายเลข 145 ได้รับการปลุกชีพ ตรงกับวันเกิดของคาลี่ที่มีพ่อแม่เป็นครอบครัว จำได้ว่าคาลี่ได้สร้อยข้อมือจากคุณแม่ และสร้อยเส้นนั้นมีลูกหินสีเขียวสลักหมายเลข 145 เป็นจี้ห้อย ซึ่งไม่รู้ว่าลูกหินลูกนั้นคือชีวิตทดลอง จนกระทั่ง... ลูกหินสัมผัสถูกน้ำอุ่น ๆ ตอนอาบน้ำ ลูกหินหมายเลข 145 ถึงได้กลายเป็นเจ้าฟลุทของคาลี่
ความแปลกที่ทำให้ครอบครัวคาลี่ถึงกับทึ่งจนแทบไม่อยากเชื่อ คือ... เจ้าฟลุทถูกเข้าใจว่าเป็นแมวพันธุ์ใหม่ สามารถเป่าฟลุทได้ และคาลี่ก็รักการเป่าฟลุทเช่นกัน สองสหายคอดนตรีจึงเป็นคู่หูต่างสายพันธุ์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ฟลุทรู้ว่าคุณพ่อเป็นตำรวจ และคุณแม่เป็นครูสอนดนตรี เขากับคาลี่มีความสุขที่มีพ่อแม่ จนกระทั่ง... คุณพ่อเสียชีวิตจากภารกิจบุกจับคนร้าย คุณแม่เสียชีวิตเพราะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางไปดูศพคุณพ่อ คาลี่กับฟลุทจึงถูกส่งไปอยู่กับครอบครัวคุณลุงแอนตั้น ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณแม่ที่มีกิจการร้านขายผลิตภัณฑ์สินค้าก่อสร้าง ชีวิตของคาลี่ก็น่าจะแฮ็ปปี้เอ็นดิ้ง... มีความสุขที่ได้อยู่กับครอบครัวใหม่
แต่หาได้รู้ไม่... ว่าการที่คาลี่กับฟลุทเป็นสมาชิกใหม่ของครอบครัวคุณแอนตั้น จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นความทุกข์ที่ถาโถมเข้ามาไม่ขาดสาย
ในสายตาของคุณลุงแอนตั้นกับคุณป้าบริทต้า... คาลี่เป็นแค่หลานที่ถูกนำมาเลี้ยงหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่จากโลกนี้ไป ด้วยความที่ใบหูของฟลุทมีประสาทสัมผัสด้านการได้ยินที่เหนือมนุษย์ ฟลุทได้ยินคุณป้าบ่นกับคุณลุงเรื่องค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นและธุรกิจที่ดูท่าจะมีแต่ขาดทุน จากบ่นธรรมดาเป็นทะเลาะทุ่มเถียงกัน เพราะคุณป้าเห็นคาลี่กับฟลุทเป็น ภาระ ที่พึงควรตัดทิ้ง ผิดกับคุณลุงที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตของคาลี่ดีขึ้น ส่งผลให้คาร์ล่า... ลูกสาวคนรองของคุณลุงคุณป้าพลอยเกลียดชังคาลี่ไปด้วย
ถ้าจะถามหาคนที่จะเป็นที่พึ่งทางใจให้คาลี่กับฟลุทได้ ก็มีแค่โคดี้... ลูกชายคนเล็ก และป้าดาร์ลีน... แม่บ้านที่เป็นมิตรกับคาลี่ แต่พวกเขาคงช่วยไม่ได้มาก เพราะถึงคุณลุงแอนตั้นเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่กับเรื่องในบ้าน... คุณป้าบริทต้าใหญ่สุด ใหญ่ชนิดไม่มีใครกล้าหือสักคน ใครหือ... ต้องลงเอยด้วยการทะเลาะกันเรื่อยไป โดยเฉพาะโคดี้กับคาร์ล่าที่เป็นพี่น้องไม่กินเส้นกันมาแต่ไหนแต่ไร มักทะเลาะกันทุกครั้ง และคาลี่กับฟลุทมักตกเป็นประเด็นให้เป็นสาเหตุให้ครอบครัวแตกแยกเรื่อยไป
ด้วยเหตุนี้... คาลี่ถึงได้รู้สึกอึดอัดที่ต้องเป็นหลานส่วนเกินในสายตาคุณป้าบริทต้า ฟลุทอึดอัดยิ่งกว่า... ที่เป็นเพื่อนคาลี่ แต่พลอยตกเป็นสาเหตุให้ครอบครัวใหม่ของคาลี่ทะเลาะกัน
ฟลุทถึงได้คิดในใจ... ว่าการหาบ้านใหม่สำหรับเขานั้นคือทางออกที่ดีที่สุด เพื่อเป็นผลดีต่อเขากับคาลี่ในอนาคตข้างหน้า
สติทช์กับเจ้า 625 ฟังแล้วรู้สึกได้... ว่าการที่ฟลุทกับคาลี่ต้องทนอยู่กับครอบครัวที่มีเรื่องระหองระแหงกัน และไม่ค่อยถนอมน้ำใจกัน มันเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดยิ่งนัก ยิ่งมีผู้ใหญ่ที่มองว่าหลานกับสัตว์เลี้ยงเป็นหนึ่งในโอฮาน่าเป็นภาระด้วยสายตาอคติและเกลียดชัง... บ้านจึงไม่ใช่ที่ปลอดภัยสำหรับคาลี่อีกต่อไป
แต่ถึงอย่างไรเสีย... การที่สติทช์จะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องในครอบครัวของคาลี่ เพียงเพราะฟลุทมีปัญหากับคุณลุงคุณป้าของเพื่อนรัก มันไม่ใช่เรื่องที่ดีแม้แต่น้อย
ดีไม่ดี... ลีโล่จะพลอยถูกพี่นานี่ดุไปด้วยที่ไม่ควบคุมสติทช์ให้ดี หากคุณป้าบริทต้าเอาเรื่องสติทช์ขึ้นมา
"พี่ไม่ถามก็รู้แต่แรก... ว่าคาลี่ไม่ยอมให้นายแยกบ้านไปไหนแน่ ๆ ไม่อย่างนั้น... ดราม่าบ้านบึ้มแหง ๆ อย่าว่าแต่คาลี่จะยอมเลย ลีโล่ไม่ยอมแน่ ๆ ที่นายตัดสินใจแบบนี้" เจ้า 625 ประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า บ่งบอกให้เจ้าฟลุทรับรู้โดยเร็ว... ว่าการขอแยกตัวจากคาลี่ไปอาศัยบ้านใหม่ เป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
"ผมถึงได้มาบอกพี่ไง เผื่อว่าพี่จะช่วยจัดการเรื่องนี้อย่างลับ ๆ" ฟลุทยืนยันเจตนารมณ์เดิม... ว่าเขาจะไม่อยู่สร้างความเดือดร้อนให้คาลี่อีก ทำเอาสติทช์คิดหนัก
แต่สมองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ของเขาก็มีคำแนะนำดี ๆ มานำเสนอ
"นายบอกว่าโอฮาน่าใหม่ของคาลี่มีลูกชายคนเล็กที่คอยช่วยเหลือนายใช่มั้ย!?" สติทช์เอ่ยปากถามเกริ่นนำ
"ใช่" ฟลุทพยักหน้าผงก ๆ ด้วยความงุนงง "ทำไมเหรอ"
"ในเมื่อนายบอกว่าลูกชายคนเล็กเป็นลูกรักคุณป้า นายก็... พิสูจน์ตัวเองสิ" สติทช์แนะนำ
"พิสูจน์ตัวเอง!? ยังไงอ่ะ!?" ฟลุทยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด... งุนงงกับคำแนะนำของเพื่อนใหม่ตัวสีฟ้า
"พี่จะบอกใบ้ให้" สติทช์กระซิบข้างหูฟลุท ซึ่งเป็นคำแนะนำที่ทำให้ฟลุทยิ้มแย้ม... สัมผัสได้ถึงกำลังใจดี ๆ จากเพื่อนใหม่ที่พบกันแค่วันสองวัน เจ้าฟลุทเห็นว่าสติทช์ต้องมีเรื่องราวดี ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นอันแน่แท้
แม้สติทช์เป็นสัตว์ทดลองเหมือนเขาก็ตาม
หวังว่าคำแนะนำสั้น ๆ ที่สติทช์ได้กระซิบข้างหูเมื่อสักครู่ จะทำให้ชีวิตของฟลุทกับคาลี่ดีขึ้นมาบ้างล่ะหนา
------------------------------------------------------------------------
ยามบ่าย ณ บ้านเพเลไค
พรีคลีย์ทำความสะอาดบ้านและดูทีวีตามปกติ แต่ไม่ปกติตรงที่ยานของจัมบ้ายังไม่ลงจอดตั้งแต่เมื่อวาน เจ้าถั่วงอกตาเดียวถึงได้ดูเหงา ๆ พิกล
แต่แล้ว... จัมบ้าก็เปิดประตูเข้ามาในบ้าน สีหน้าดูตึงเครียดจนพรีคลีย์สงสัยมากกว่าดีใจที่เพื่อนซี้สี่ตากลับมา เมื่อพบว่าจัมบ้าก้าวเท้ากลับเข้าไปในห้องนอนเตียงสองชั้นแล้วปิดประตูดังปังในทันที โดยไม่หยุดฟังคำทักทายจากเขาแม้แต่น้อย
"นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไปทำอะไรมา... ถึงได้เคร่งเครียดแบบนี้" พรีคลีย์พึมพำออกมาด้วยความสงสัย ต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมจัมบ้าถึงออกเดินทางไปนอกโลกตามลำพัง
จัมบ้าปีนขึ้นไปนอนนิ่ง ๆ บนเตียงชั้นสอง เพื่อควบคุมอารมณ์ตึงเครียดของตนอย่างเต็มที่ ซึ่งนานเท่าใดแล้ว... ที่เขาไม่ได้รู้สึกเคร่งเครียดแบบนี้มาก่อน นับตั้งแต่วันที่เขาแตกหักกับแฮมสเตอร์วิลล์เพราะรู้ความจริงเรื่องแผนฮุบผลงานไปเป็นของตนเพื่อหารายได้เข้ากระเป๋าตนเอง... จนถึงวันนี้ สิ่งที่กลัวจะกลายเป็นจริงในอีกมิช้า
การที่ตัวอย่างเลือดหมายเลข 626 ถูกขโมยไปจากห้องปฏิบัติการที่ถูกสั่งปิดนั้น... มีเบื้องลึกเบื้องหลังมิชอบมาพากลเป็นอันแน่แท้
ทำให้เขานึกถึงการพบกับแฮมสเตอร์วิลล์ตัวต่อตัวครั้งล่าสุด
แฮมสเตอร์วิลล์ไม่คาดคิดมาก่อน... ว่าตลอดช่วงเวลาที่เขากลายเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์แห่งกาแล็คซี่ จะมีคนมาเยี่ยมแบบตัวต่อตัว ทำให้เขาแอบหลงดีใจ... คิดว่าคนที่มาเยี่ยมจะมีวิธีพาหนีออกจากเรือนจำได้
แต่พอเห็นหน้าคนมาเยี่ยมด้วยตาตัวเอง ถึงกับผิดหวังและสงสัยอย่างแรง
เจ้าอ้วนสี่ตาผู้เป็นอดีตหุ้นส่วนจะมาเยี่ยมตนถึงห้องขังด้วยเรื่องอะไรกัน!?
"พายุอวกาศที่ไหนหอบมาล่ะห๊ะ... ถึงได้นึกครึ้มมาเยี่ยมฉันได้" แฮมสเตอร์วิลล์ทำใจดีสู้เสือใส่จัมบ้า ทั้งที่ร่างของเขาถูกพันธนาการอยู่ในเครื่องจองจำที่ติดบนเพดาน เจ้าหนูเจอร์บิลโรคจิตจึงเป็นนักโทษห้อยหัวอย่างเห็นได้ชัด "หรือว่า... รู้สึกผิดที่ทิ้งฉันไว้ในคุกเน่า ๆ ที่นี่"
"ฉันไม่ได้มีโทษร้ายแรงแบบแกแล้วกัน ฉันกำลังคิดอยู่" จัมบ้าตอบรับด้วยน้ำเสียงเฉยชา กำปั้นข้างซ้ายทุบแผงควบคุมเครื่องจองจำจนร่างเจ้าหนูร่วงลงสู่พื้น ยังดีที่ล้มลงแค่ก้นจ้ำเบ้า แต่เจ็บตัวไม่ใช่น้อย
"ดี พวกมันจะย้ายฉันไปฝากขังที่ไหนอีกรึเปล่า!? นี่เหรอ... วิธีการทักทายหุ้นส่วนเก่า!?" แฮมสเตอร์วิลล์โวยใส่ที่จู่ ๆ จัมบ้าทำตนเจ็บตัวทั้งที่เป็นนักโทษแท้ ๆ
"มันคงไม่ใช่วิธีการทักทายที่ดีสักเท่าไหร่นัก แต่ในฐานะจอมหักหลังแห่งกาแล็คซี่... ไม่แน่" จัมบ้าตอบ น้ำเสียงของเขาทุ้มเข้มขึ้น
"ครั้งเดียว! ฉันส่งแกให้สหพันธ์แค่... ครั้งเดียว แกไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรทั้งนั้น" เจ้าหนูเจอร์บิลยังปากดีใส่ในขณะที่เจ้าตัวลุกขึ้นยืน
"บอกมา นอกจากแกนตู ยังมีใครที่แกแอบติดต่อรึเปล่า" จัมบ้ายิงคำถามใส่ เขาเชื่อ... ว่าอดีตหุ้นส่วนต้องมีคอนเน็คชั่นอีกมากที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการผลิตสัตว์ทดลองที่ชั่วร้ายยิ่งกว่าสติทช์และผองเพื่อน
"ไม่ได้ติดต่อใคร นอกจากไอ้หน้าปลาดุกสมองทึบก็ไม่ได้ติดต่อใครอีกเลย มีแต่แก... ที่เป็นเกียรติมาเยี่ยมฉัน" แฮมสเตอร์วิลล์โกหก แต่เป็นการโกหกที่ไม่เนียนเอาเสียเลย ซึ่งมีแต่จะทำให้เจ้าหนูเจอร์บิลเจ็บตัวหนักขึ้น
มือยักษ์ใหญ่ข้างขวาของเอเลี่ยนชาวเควลติควอนคว้าตัวจอมวายร้ายร่างเล็กแล้วอัดกับกำแพงอย่างแรงจนอีกฝ่ายมิอาจหายใจได้คล่องคอ เจ้าหนูเจอร์บิลรู้สึกหวาดกลัวดวงตาดุดันของอดีตหุ้นส่วนขึ้นมาในบัดดล นึกไม่ถึงว่าจัมบ้าจะแผ่รังสีอำมหิตออกมามากมายถึงเพียงนี้
"มีไอ้อีหน้าไหนไม่รู้... บังอาจเหยียบจมูกกู ขโมยตัวอย่างเลือด 626 ไปจากห้องแล็บของกู ไม่มีใครหน้าไหนรู้ที่ตั้งของแล็บ... นอกจากกู มึง และฝ่ายสหพันธ์ที่บุกจับกูตอนชาร์จไฟให้ 626 ไม่สำเร็จจนเกือบตายมาแล้วครั้งนึง สันดานมึงมันหน้าเงิน ทำทุกวิถีทางเพื่อความร่ำรวยที่ได้รับมาจากการแทงข้างหลังพรรคพวกตัวเองอย่างเลือดเย็น! มันทำให้กูสังหรณ์ใจจนแทบจะแน่ชัดแล้ว... ว่านอกจากแกนตูที่ได้รับคำสั่งให้จับสัตว์ทดลองแข่งกับยัยหนู กู... จะถามมึงอีกที มึง... แอบติดต่อกับใคร และให้ข้อมูลอะไรไป!?" จัมบ้าคาดคั้นแฮมสเตอร์วิลล์อย่างแรง "มึงคงไม่ลืม... ว่าทุกครั้งที่กูสร้างสัตว์ทดลองแต่ละตัว กูจะศึกษาพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตแต่ละเผ่าพันธุ์และสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ต่าง ๆ นานา ซึ่งรวมถึงชาวเจอร์บิลิไนท์อย่างมึง! กูอยากจะรู้... ว่าถ้ามึงแถอีกแม้แต่คำเดียว การที่กูจะดัดแปลงหรือย่อยสลายดีเอ็นเอ เนื้อเยื่อ หรือเส้นเลือดของมึง มันง่ายมาก แต่คนที่ถูกดัดแปลงอาจจะต้อง... ทนทรมานไปอีกนาน หวังว่าวันนั้นคงไม่มาถึงนะ ดร.แจ็ค วอน แฮมสเตอร์วิลล์!"
แฮมสเตอร์วิลล์ไม่นึกไม่ฝัน... ว่าเขาจะได้เห็นอดีตหุ้นส่วนมาสายโหดเช่นนี้ ในฐานะที่เขากับจัมบ้าเคยเป็นหุ้นส่วนร่วมผลิตสัตว์ทดลอง... เจ้าหนูเจอร์บิลโรคจิตรู้จักจัมบ้าแค่ว่าเขาเป็นคนฉลาด ตลก และยกยอตนเองเป็นอัจฉริยะชั่วร้ายทุกครั้งที่ผลิตสัตว์ทดลองสำเร็จ
ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงเจ้า 626 ที่ถูกลีโล่ตั้งชื่อว่าสติทช์ก็เช่นกัน
แต่พอเห็นสีหน้าของจัมบ้าในขณะนี้ นึกรู้ในทันที... ว่าการที่ตัวอย่างเลือดของสติทช์ถูกฉกชิงไป ทำให้จัมบ้าเป็นเดือดเป็นแค้น เป็นเพราะจัมบ้ารักสติทช์เหมือนลูกในไส้ รักลีโล่ประหนึ่งลูกหลานในไส้ และจัมบ้ารู้ว่าสติทช์กับลีโล่เป็นหัวใจของกันและกัน
เท่ากับว่า... โปรเจ็คท์ลับที่แฮมสเตอร์วิลล์กับดร.พลาเจียสคิดค้นขึ้น ทำให้จัมบ้าตื่นตระหนกจนบุกมาคาดคั้นเยี่ยงอสูรร้ายหมายเลข 626 เช่นนี้
"ด็อกเตอร์... พลาเจียส" แฮมสเตอร์วิลล์กัดฟันพูดชื่อหุ้นส่วนลับออกมา
ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่จัมบ้าฟังชื่อแล้ว... ของขึ้นหนักกว่าเดิม
"อย่าวอนหาเรื่องตายสิ ถึงได้เอ่ยชื่อคนที่อยู่ในสุสานอวกาศออกมาหวังเอาตัวรอด" จัมบ้าคาดคั้นหนักกว่าเดิม จำได้ว่าคนที่แฮมสเตอร์วิลล์พูดถึงนั้น... ได้ตายไปจากกาแล็คซี่นานแล้ว
"มึงนี่... ฉลาดแต่ไม่เฉลียวจริง ๆ เลยนะ ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ คนที่ตายไปแล้ว... ใช่ว่าตายจริงเสมอไปหรอก" แฮมสเตอร์วิลล์ฉีกยิ้มอย่างสาแก่ใจที่เห็นอัจฉริยะชั่วร้ายผู้เป็นอดีตหุ้นส่วนเดือดเนื้อร้อนใจแทนผลงานที่รักเท่าชีวิต
"หมายความว่าไง!?" จัมบ้าคาดคั้นต่อ
"อัจฉริยะชั่วร้ายอย่างมึง... ต้องค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง กู... เป็นแค่อดีตหุ้นส่วน คงมิสามารถตอบคำถามได้หมดเปลือกหรอก เพราะกูกับมึง... ต่างก็อยากรู้เช่นกัน ว่าด็อกเตอร์พลาเจียสที่กำลังพูดถึงอยู่นี้... อยู่ในสุสานทั้งกายและวิญญาณ หรือไม่ก็... อยู่ในสุสานแค่กาย แต่จิตวิญญาณอาจอยู่ที่ใดสักแห่งในดาวเคราะห์ดวงที่มึงปักหลักเป็นบ้านหลังใหม่ กูตอบได้แค่นี้ หวังว่ามึงคงพอใจและพร้อมรับมือกับความน่ากลัวที่กำลังจะเกิดขึ้นได้" เจ้าหนูเจอร์-บิลโรคจิตหัวเราะร่วนได้คล่องคอ หลังจากที่มือของจัมบ้าปล่อยร่างแฮมสเตอร์วิลล์ร่วงลงสู่พื้นอีกครั้ง
คำตอบที่ได้รับ... สร้างความเจ็บใจให้จัมบ้าเป็นอย่างมาก รู้สึกได้ว่าแฮมสเตอร์วิลล์เป็นคนแยบยลจนน่ากลัวยิ่งกว่าที่คิด
น่ากลัวจนจัมบ้ามั่นใจได้... ว่าแฮมสเตอร์วิลล์ต้องมีแผนร้ายซุกซ่อนอยู่
จัมบ้าจึงทิ้งทุ่นระเบิดส่งท้ายให้อดีตหุ้นส่วนต้องรับโทษเพิ่มเติม
ข้อหาดัดแปลงห้องขังเป็นห้องปฏิบัติการกักเก็บสัตว์ทดลองเป็นการส่วนตัวเพื่อก่อวินาศกรรม เจ้าหนูเจอร์บิลได้รับโทษประหารชีวิตเป็นอันแน่แท้!
การพบกันตัวต่อตัวเมื่อวานนี้ ข้อสันนิษฐานผุดเข้ามาในสมอง จัมบ้ารู้จักแฮมสเตอร์วิลล์ดีว่าเขาร่ำรวยจนถึงขั้นมีคอนเน็คชั่นกับคนในแวดวงผลิตสัตว์ทดลอง
ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึง... ดร.พลาเจียส
ในกาแล็คซี่นี้... ไม่ได้มีแค่จัมบ้าเป็นนักผลิตสัตว์ทดลองเพียงคนเดียว ยังมีคนอื่นอีกมากมายที่บัดนี้กำลังซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เพราะหลบหนีจากการจับกุมของฝ่ายสหพันธ์กาแลคติกอยู่
ถ้าให้นึกถึงดร.พลาเจียส จำได้ว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อีกคนที่ผลิตสัตว์ทดลองเหมือนจัมบ้า
แต่ต่างกันตรงที่ดร.พลาเจียสมีความโหดเหี้ยมและวิปริตที่เหนือกว่า เพราะดร.พลาเจียสผลิตยาอันตรายที่ทำให้เหล่าสัตว์ทดลองมีสภาพไม่ต่างไปจาก "ผีดิบ" ที่อยู่ได้ด้วยเลือดสิ่งมีชีวิตจากดาวเคราะห์ดวงอื่น นอกจากจะใช้เป็นอาวุธก่อสงคราม... ยังใช้เป็นเหยื่อบททดสอบการต่อสู้บนสนามมวยเถื่อนในกาแล็คซี่ โดยใช้ยาสูตรต่าง ๆ ที่คิดค้นขึ้นเพื่อให้เหล่าสัตว์ทดลองมีความไร้เทียมทานเพื่อประกาศศักดาให้ทุกคนได้รับรู้กันอย่างทั่วถึง สัตว์ตัวใดที่คิดว่าไม่มีประสิทธิภาพต่อการงาน... สัตว์ตัวนั้นก็จะถูกกำจัดทิ้งด้วยเซรุ่มที่ย่อยสลายร่างสัตว์ทดลองได้ในพริบตา
วีรกรรมที่ร้ายยิ่งกว่า คือ... ดร.พลาเจียสมีคอนเน็คชั่นกับวายร้ายตัวเอ้ในกาแล็คซี่ สามารถจ้างวานให้ฉกชิงสัตว์ทดลองมาเพื่อเป็นหนูทดลองยาที่เปลี่ยนสภาพสัตว์ชีวกลที่รับคำสั่งจากเจ้าของเดิม... มาเป็นสัตว์ชีวกลผีดิบที่เป็นทาสรับใช้เพื่อแลกกับเลือดที่กักตุนไว้ เพราะคิดว่าบรรดาผู้ผลิตสัตว์ทดลองที่ถูกมองว่าเป็นผู้ก่อการร้ายผลิตอาวุธมีชีวิต ไม่สามารถเอาผิดดร.พลาเจียสได้
จัมบ้าจำได้... ว่าดร.พลาเจียสจบชีวิตตนเองอย่างไร
จากข่าวคราวที่จัมบ้าเคยติดตาม... จำได้ว่าดร.พลาเจียสถูกเจ้าหน้าที่สหพันธ์ออกหมายจับ เนื่องในข้อหาร้ายแรงที่ยาวเป็นหางว่าว ดร.พลาเจียสถูกต้อนจนมุม จึงตัดสินใจจบชีวิตด้วยการสั่งการให้สัตว์ชีวกลผีดิบกัดกินร่างตัวเอง ทางสหพันธ์จึงเผาทำลายพวกสัตว์ชีวกลผีดิบจนสิ้นซาก เป็นคดีสะเทือนขวัญที่สหพันธ์กาแลคติกต้องจดจำมิรู้ลืม
อัจฉริยะชั่วร้ายนึกถึงเรื่องดร.พลาเจียสทีไร สมองยิ่งตอกย้ำตัวเองเสมอ... ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ที่ดร.พลาเจียสจะกลับมามีเนื้อหนังมังสาเสนอหน้าเป็นหุ้นส่วนลับของแฮมสเตอร์วิลล์ได้
ขึ้นชื่อว่าหุ้นส่วนลับ ทุกอย่างต้องเป็นความลับหมดล่ะน่า
แม้แต่ชื่อผู้ติดต่อปลายสาย... ยังใช้ชื่อคนตายปิดบังตัวตนเลย!
ทำให้จัมบ้าครุ่นคิดอย่างหนัก... ว่าแฮมสเตอร์วิลล์ต้องมีลับลมคมในที่พร้อมสร้างความสะพรึงให้กาแล็คซี่เป็นอันแน่แท้
ในเมื่อฝ่ายหุ้นส่วนลับของเจ้าหนูเจอร์บิลก็มีตัวอย่างเลือดหมายเลข 626 อยู่ในมือ จัมบ้าก็มีไฟล์สติทช์อยู่ในคอมพิวเตอร์
ผู้สร้าง 626 จึงลุกจากเตียงไปที่คอมพิวเตอร์ จัดการเปิดไฟล์เพื่อดูข้อมูลรายละเอียดโครงสร้างร่างกาย เลือด พลังงาน และความสามารถของเจ้าสติทช์ ด้วยความคิดที่ว่า... เขาเคยสร้าง สัตว์ทดลองหมายเลข 627 มาแล้ว ซึ่งมีรากฐานมาจากสติทช์ และยังเก็บลูกหินสีฟ้าหมายเลข 628 อยู่ในยานของเขา ทำให้เกิดไอเดียที่จะส่งผลให้ชีวิตของคน ๆ หนึ่งต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นโดยมิรู้ตัว
เปลี่ยนแปลง... เพื่อป้องกันการสูญเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า!
------------------------------------------------------------------------
ช่วงบ่ายแก่ ณ โรงแรมวิหคสวรรค์
เป็นอีกหนึ่งวันยุ่ง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของหญิงแกร่งผู้เป็นทั้งเสาหลักและพ่อแม่ของเด็กหญิงตัวน้อยผู้เป็นน้องสาวคนเดียวของเธออีกเช่นเคย
ใช่... กำลังพูดถึง "นานี่ เพเลไค" พี่สาวคนเดียวของลีโล่
เธอเป็นพนักงานฝ่ายประสานงานกับลูกค้าจำพวกแขกที่เป็นกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งเธอทำได้ดีจนคนเป็นเจ้านายแสนดีอย่าง คุณเจมส์สัน พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง สมแล้วที่นานี่เป็นหญิงแกร่งที่เรียนรู้งานไวและทุ่มเทสุดตัว เป็นคุณสมบัติที่คุณเจมส์สันเห็นตั้งแต่เธอเป็นพนักงานบริการให้เช่าเซิร์ฟบอร์ดที่ชายหาด จึงรับเธอเข้าทำงานโดยมิต้องสงสัย และคุณเจมส์สันกับคีโอนี่... เป็นอีกหนึ่งครอบครัวที่รู้ความจริงเรื่องสติทช์ ทำให้คีโอนี่มีค้างคาวหางยาวสี่แขนที่ชื่อว่า แจม หรือ สัตว์ทดลองหมายเลข 202 เป็นบัดดี้จนถึงทุกวันนี้
วันนี้... เธอทำงานบริการแขกเหรื่อที่มาพักโรงแรม รับประทานอาหารที่ห้องอาหาร ใช้สระว่ายน้ำ และห้องอบซาวน่าด้วยความคล่องแคล่วเหมือนทุกวันที่ผ่านมา เป็นที่รักของเพื่อนร่วมงานทุกคนในโรงแรมโดยมิต้องสงสัย เพราะถึงนานี่กับคุณเจมส์สันรู้จักกัน แต่เธอเป็นคนตรงไปตรงมา มีน้ำใจ และรู้จักหน้าที่ดี คุณเจมส์สันถึงได้ชื่นชมเธอทุกครั้งที่ทำผลงานได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย
เป็นความโชคดีที่เธอไม่มีเวรกะค่ำ จึงเก็บยูนิฟอร์มของโรงแรมเข้าล็อกเกอร์ห้องแต่งตัวพนักงานหญิงแล้วสวมเสื้อกล้ามสีฟ้า คืนสภาพเป็นสาวแกร่งจอมถึกในทันที เตรียมตัวกลับบ้านรอต้อนรับน้องสาวที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนในอีกมิช้า
แต่พอเธอทักทายเพื่อนเสร็จในขณะที่เท้าของเธอพร้อมจะก้าวออกจากโรงแรมอยู่... มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น
เธอเผลอเดินชนผู้ชายคนหนึ่งโดยไม่ทันระวังตัว เล่นเอาร่างผู้ชายในชุดสูทนักบินสีขาวเซถลาเล็กน้อย
"ขอโทษค่ะ ฉันไม่ทันระวังตัว" นานี่รีบกล่าวขอโทษชายหนุ่มที่รีบร้อนจนไม่ทันระวังตัว
"ไม่เป็นไรครับ ท่าทางคุณจะรีบมาก ผมไม่ถือสาหรอกครับ" ชายหนุ่มตอบรับก่อนที่จะสบตากับนานี่ เขาอุทานขึ้นในทันทีที่เห็นหน้า "นานี่!?"
"เบอร์ตั้น!?" นานี่ขานชื่อชายหนุ่มด้วยความอึ้งตะลึง นึกไม่ถึงว่าเธอจะได้พบเขาอีกครั้ง
เพื่อนรุ่นพี่-รุ่นน้องเมื่อครั้งเรียนอยู่ชั้นมัธยม... อยู่ชมรมว่ายน้ำด้วยกัน!
นานี่กับเบอร์ตั้นดีใจที่ได้พบ... จึงสวมกอดกันจนหายคิดถึง สองหนุ่มสาวจึงพากันเข้าไปในห้องอาหารของโรงแรมเพื่อพูดคุยอัพเดทชีวิตของกันและกันในขณะที่ชายหนุ่มนักบินเตรียมแผนเซอร์ไพรส์คุณแม่ที่รอต้อนรับเขากลับบ้าน
"พี่ไม่นึกไม่ฝันเลย... ว่าจะได้เจอน้องทำงานที่นี่" เบอร์ตั้นพูด คิดว่านานี่เป็นนักกีฬาว่ายน้ำมืออาชีพตามความฝัน
"อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปค่ะพี่ มีแต่พี่... ที่ได้เป็นนักบินสมใจ มีสง่าราศีมากเลยนะคะ" นานี่เอ่ยปากชื่นชมรุ่นพี่ที่อยู่ในยูนิฟอร์มนักบินประจำสายการบินชื่อดังระดับประเทศ
"ไม่ขนาดนั้นหรอก คนเป็นนักบินที่มีสง่าราศีมากกว่าพี่มีตั้งเยอะ นี่พูดในฐานะผู้ช่วยกัปตันและสจ๊วตนะ ถ้าเป็นกัปตันจริง... คงมีสง่ามากสุดแค่ในสายการบินที่พี่ทำงานอยู่ล่ะนะ" เบอร์ตั้นพูดถ่อมตน แต่ยังมิวายติดตลกจนเรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากนานี่
"แหม... ทุกคนต้องมีความสง่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว มันเทียบกันไม่ได้หรอกค่ะ พี่เป็นยังไงก็เป็นอย่างนั้นเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ว่าแต่... พี่จะกลับมาอยู่สักกี่วันคะ" นานี่ถาม
"คงไม่มีกำหนด จนกว่าทางแอร์จะแจ้งไฟลต์ต่อไป จะว่าไป... ไม่ค่อยได้เข้าเมืองซะนาน ดูคึกคักยิ่งกว่าแต่ก่อนเยอะเลยเนอะ" เบอร์ตั้นเปรยถึงเมืองโคคาอัวทาวน์ เมืองเล็ก ๆ ที่แต่ก่อนดูเงียบเหงาเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ถึงช่วงซัมเมอร์
"ก็คึกคักอย่างนี้ทุกปีนี่คะ" นานี่พูด
"พี่ไม่ได้หมายถึงตัวเมือง พี่หมายถึงบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อนต่างหาก... ที่ทำให้เมืองนี้ดูคึกคัก และน้องสาวคนเล็กของพี่ก็มีแมวหูกระต่ายผู้รักการเป่าฟลุทเป็นเพื่อนด้วย" เบอร์ตั้นเปรยไปถึงสิ่งที่เขาพบในเมือง ทำเอานานี่อึ้งไม่ทันตั้งตัว
"แมวหูกระต่ายเป่าฟลุท... เหรอคะ" นานี่หมายถึงสัตว์ทดลองตัวใหม่ที่น้องสาวกับสติทช์เพิ่งค้นพบเมื่อไม่นานมานี้
"ใช่ครับ เขาชื่อว่าฟลุท พี่สงสัยว่าเจ้าแมวฟลุทจะเป็นแมวสายพันธุ์ใหม่เหมือนสัตว์ทั้งหลายที่เห็นในเมือง ทีแรก... พี่คิดว่าตาฝาดไปที่เห็นสัตว์แปลกเดินเล่นไปทั่ว แต่พอเวลาผ่านไปสักปีสองปี... สัตว์พวกนี้ก็มีมากขึ้นและไม่ซ้ำหน้า แถมบางตัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่ทำงานเก่งและเป็นเพื่อนเล่นอีก พี่ว่าเธอคงมีคำตอบสำหรับเรื่องนี้นะ" เบอร์ตั้นพูดพลางปรายตามองเพื่อนรุ่นน้องที่ยังอ้ำอึ้งอยู่ ก่อนที่เขาจะเรียกบ๋อยมาสั่งอาหารเพื่อเซอร์ไพรส์คุณแม่
จริง ๆ นานี่รู้อยู่แก่ใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง... หลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอจากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับมา แต่พูดไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
แหงล่ะ มีแค่ครอบครัวของเธอและเพื่อนสนิทที่ไว้วางใจจนเก็บความลับได้... ที่รู้ว่าสัตว์ที่เบอร์ตั้นพูดถึงคือชีวิตทดลองของจัมบ้า ชาวเกาะทุกคนถึงได้เข้าใจว่าบรรดาสัตว์ทดลองเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ที่มีพลังวิเศษต่าง ๆ นานา ถ้ารู้ว่าเอเลี่ยนมีจริงเมื่อใด... หายนะครั้งใหญ่มาเยือนเกาะเป็นอันแน่แท้
"โอ้ว์... ป่านนี้น้องสาวฉันคงกลับถึงบ้านแล้ว ฉันคงต้องรีบไปก่อนแล้วค่ะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ" นานี่รีบตัดบทขอตัวกลับบ้านแล้วเร่งฝีเท้าออกจากห้องอาหารในทันที เบอร์ตั้นพยักหน้าตอบรับพลางแอบมอง... นึกขำในใจกับท่าทีของเพื่อนรุ่นน้อง
ยังกระฉับกระเฉงไม่เปลี่ยนจริง ๆ
------------------------------------------------------------------------
ลานสเก็ตบอร์ด ณ สวนสาธารณะชื่อดังแห่งหนึ่งในโคคาอัวทาวน์
ช่วงหลังเลิกเรียน คีโอนี่กับโคดี้เป็นเพื่อนกัน... เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของพวกลีโล่ และเป็นนักกีฬาสเก็ตบอร์ด สองหนุ่มกับเพื่อนผู้ชายอีก 2-3 คนพากันมาเล่นสเก็ตทุกวันอังคารและพฤหัสบดี ซึ่งวันนี้เป็นวันอังคาร
แน่นอนว่าวันนี้เป็นวันเปิดเรียนวันที่ 2
คาลี่กับฟลุทตัดสินใจผูกมิตรกับโคดี้ ด้วยความคิดที่ว่า... ถ้าฟลุทติดตามดูแลโคดี้ทุกวันตามที่สติทช์แนะนำเมื่อเช้านี้ คุณลุงกับคุณป้าของคาลี่ก็จะมองเห็นความดีในตัวฟลุท
เพราะคนเรา... จะเป็นคนดีได้นั้นไม่ได้เป็นเพราะคำพูด การกระทำต่างหากที่สำคัญที่สุด
เหมือนที่... สติทช์ได้รับความไว้วางใจจากพี่นานี่ให้เป็นบอดี้การ์ดข้างกายลีโล่จนถึงทุกวันนี้
ฟลุทได้ทำความรู้จักกับเจ้าแจมอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นค้างคาวเหมือนสนูทตี้ จึงไม่แปลก... ที่ค้างคาวสีม่วงจะสนิทกันประหนึ่งพี่น้องคลานตามกันมา และนำพาคีโอนี่กับวิคตอเรียทำความรู้จักกัน ซึ่งลีโล่รู้สึกดีมานานเท่าใดแล้ว... ที่ไม่ได้หลงใหลคีโอนี่เหมือนแต่ก่อน
ท่าทางวิคตอเรียก็มีสกิลและมีพรสวรรค์ในเรื่องสเก็ตบอร์ดดี เธอจึงกลายเป็นศิษย์น้องของคีโอนี่โดยปริยาย เพียงแต่... เธอยังมือใหม่หัดสเก็ต เธอจึงฝึกการไถสเก็ตบอร์ดและการทิคแท็ค (Tick-Tack) หลายต่อหลายครั้งเพื่อความคล่องแคล่วในการเล่น เป็นภาพประทับใจที่ลีโล่ สติทช์ และผองเพื่อนต้องจดจำมิรู้ลืม
"ที่คนพูดกันว่าเคมีตรงกัน คือสิ่งนี้สินะ" แองเจิ้ลพูดเมื่อเห็นความเข้ากันดีของสองนักสเก็ตตัวน้อย ทั้งนักสเก็ตฝึกหัดและนักกีฬาระดับเยาวชน
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ไม่ใช่แค่พี่เท่านั้นที่ดูออก สนูทตี้กับแจมก็เช่นกัน" สติทช์เห็นด้วย... ก่อนที่จะเงยหน้าถามสองพี่น้องค้างคาวต่างดาว "จริงมั้ยพี่น้อง!?"
"Ih." สนูทตี้กับแจมตอบรับอย่างพร้อมเพรียงกัน
"ว้าว! ไม่ยักรู้นะว่าสเก็ตเป็นสื่อกลางให้เขาและเธอมาพบกันได้ด้วย" มาวินพูดติดตลก
"เคมีตรงกัน ไม่ได้มีแค่ผู้ชายกับผู้หญิงเท่านั้นนี่พี่ เคมีตรงกันก็ถูกใช้ในนิยามความเป็นเพื่อนกันด้วย" มาเรียเอาศอกกระทุ้งสีข้างพี่ชายฝาแฝดเบา ๆ ก่อนจะหันไปถามแองเจิ้ล "จริงมั้ยนางฟ้าตัวน้อย"
"Ih." แองเจิ้ลพยักหน้าเห็นด้วย
"มองไปทางไหน ก็มีแต่เคมีตรงกันนี่เนอะ ไม่ว่าจะเป็นมาเรียกับแองเจิ้ล พี่คีโอนี่กับวิคตอเรีย คาลี่กับฟลุท และสุดท้าย..." มาวินชำเลืองมองลีโล่ด้วยแววตาสนอกสนใจ "ลีโล่กับสติทช์"
สองคู่หูสายลับค้นหาสัตว์ทดลองถึงกับสบตา... หน้าแดงขึ้นมาในทันตาที่ถูกมาวินแซวซึ่ง ๆ หน้า
"แหมพี่วิน... เคมีตรงกันยังไงห๊ะ บางครั้งพี่สติทช์ก็ดื้อจนฉันหมั่นไส้ก็มี" ลีโล่พูดกลบเกลื่อนอาการเขินที่ปรากฎบนใบหน้า
"ว่าแต่พี่ เธอเองก็มีมุมแสบ ๆ ให้พี่ปวดหัวบ้างเหมือนกันล่ะน่า" สติทช์เถียงกลบเกลื่อนอาการเขินเช่นกัน กลายเป็นสองคู่หูถูกเพื่อน ๆ หัวเราะล้อเลียนกันอย่างซึ่ง ๆ หน้า ราวกับว่าทั้งคู่กำลังปฏิเสธหัวใจตัวเองอยู่
ปฏิเสธที่จะยอมรับ... ว่าเขาและเธอกำลังตกหลุมรักกันเสียแล้ว
ไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกมาอีก ฟลุทจับตาดูโคดี้เล่นสเก็ตบอร์ดชนิดตาไม่กะพริบ ถึงมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง... แต่เขาก็เรียนรู้ไวว่ามีลองผิดลองถูกเพื่อฝึกฝนตนเอง เหมือนที่ฟลุทก็มีลองถูกลองผิดกับบทเพลงของมนุษย์บนดาวโลก ยิ่งเห็นโคดี้สวมหมวกกันน็อก สนับป้องกันทั้งข้อมือ ศอก และเข่าแล้ว โคดี้ฉายแววนักกีฬาอย่างเห็นได้ชัด... หากฟลุทสังเกตจากรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกพี่ลูกน้องเพื่อนรัก
รอยยิ้ม... ที่บ่งบอกถึงความสุขที่ได้อยู่นอกบ้าน
รอยยิ้ม... ที่บ่งบอกถึงความสุขที่ได้อยู่กับเพื่อน
รอยยิ้ม... ที่บ่งบอกถึงความสุขที่ได้เป็นตัวของตัวเองและปกป้องคนในครอบครัวอย่างที่พึงควรกระทำ
โคดี้ดีกับฟลุทและคาลี่ถึงขั้นยอมเดินเข้าโรงเรียนเป็นเพื่อน นับว่าเป็นเรื่องดีที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคาลี่ก็ว่าได้
เริ่มต้นจากสิ่งเล็ก ๆ ในครอบครัว มันดีอย่างนี้นี่เอง
นี่สินะ... "บทพิสูจน์ความดี" ที่สติทช์พูดถึง
รักษารอยยิ้มและความสงบสุขของโอฮาน่า และปกป้องโอฮาน่าให้พ้นจากภยันตรายที่ถาโถมเข้ามา
ซึ่งภยันตรายจะมาในรูปแบบใดนั้น... ต้องคอยดูกันต่อไป
ซวบ! ซาบ!
ใบหูของสัตว์ทดลองทั้งห้าสหาย... ตั้งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงพุ่มไม้ที่อยู่ข้างหลังพวกลีโล่ สติทช์หันไปดูที่พุ่มไม้ล้อมรอบลานสเก็ตบอร์ด ลุกจากสแตนด์เชียร์ข้างลานไปดูบริเวณพุ่มไม้ รวมทั้งได้กลิ่นไม่พึงประสงค์จากใครบางคนที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากตน
ใครบางคนที่คาดว่าน่าจะเป็น... ผู้บุกรุก
เป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด
ผู้บุกรุก... ที่มาในรูปแบบ มนุษย์ กับ สัตว์ธรรมดา ผู้ชั่วร้าย!
อยู่ดีไม่ว่าดี... สุนัขพันธุ์ร็อตไวเลอร์กับพันธุ์อเมริกันบูลด็อกก็พุ่งปรี่มาประจันหน้ากับสติทช์ ด้วยเซ้นส์ยอดนักสู้... สติทช์เห็นเจ้าร็อตไวเลอร์แยกเขี้ยวคำรามพุ่งทะยานเตรียมงับเป้าหมาย จึงก้มตัวหลบแล้วซัดคางด้วยอัปเปอร์คัทอย่างจัง
ผัวะ!
ร่างเจ้าหมาร็อตไวเลอร์กระเด็นตามแรงหมัดของสติทช์ เล่นเอาเจ้าอเมริกันบูลด็อกถึงกับอ้าปากค้าง... วิ่งหนีหางจุกตูดไปหลบหลังเจ้านายที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้บุกรุกมาขัดความสุขของใครบางคนในหมู่ผองเพื่อนของลีโล่
"สติทช์! เกิดอะไรขึ้น!?" ลีโล่กับเพื่อน ๆ ออกมาดูเหตุการณ์นอกพุ่มไม้รอบลานสเก็ต จะพบว่าสติทช์กำลังเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้า 3-4 คน ล้วนเป็นวัยรุ่นที่พร้อมจะหาเรื่องคนรอบข้างได้ทุกเมื่อ
ทันทีที่คาลี่ ฟลุท และโคดี้เห็นหน้าเจ้าของหมาที่มาหาเรื่องพวกลีโล่ ถึงกับอึ้งตะลึงโดยไม่คาดคิด... ว่าจะได้พบกันอีกครั้ง
"เหลือบไรพวกนี้มาอีกแล้วสินะ พี่แมทธิว พี่โมนิก้า มาทำอะไรที่นี่!?" โคดี้สบถออกมา นึกไม่ถึงว่าเพื่อนเลว ๆ ของพี่สาวในไส้จะมาราวีเจ้าฟลุทเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่สองพี่น้องคู่นี้ได้สร้างฝันร้ายให้ฟลุทครั้งใหญ่หลวงมาแล้วครั้งหนึ่ง
"แกรู้จักพวกเขาด้วยเหรอ" คีโอนี่ถาม โคดี้พยักหน้ายืนยัน
ดูเหมือนว่า... ฝันร้ายกำลังจะมาเยือนคาลี่กับฟลุทอีกครั้ง!
ç=================è
ความคิดเห็น