ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Part 6 ปมปัญหา
Part 6 ปมปัญหา
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อกาวน์สีขาวเดินทอดน่องหันมองข้างทางด้วยความสนใจ บ้างก็หันไปยิ้มพลางก้มหัวรับการทักทายจากพนักงานและพยาบาลที่เดินสวนมา
ด้วยความที่เพิ่งย้ายมาประจำที่โรงพยาบาลแห่งนี้อีกทั้งอยู่แต่ในแผนกของตนเองเมื่อมีโอกาสได้ออกมาเดินเที่ยวที่แผนกอื่นบ้าง คยูฮยอนจึงอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อวันทั้งวันอยู่แต่ในห้องพักแพทย์ มีแต่สีขาวของผนังในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ตีกรอบล้อมจนเริ่มจะเบื่อ งานก็ไม่ค่อยมีให้ทำจนเรียกได้ว่าแทบจะว่างงานเพราะแผนกนี้ไม่ได้มีคนไข้มากมายจนแน่นเอี๊ยดตลอดทั้งวันเหมือนแผนกอื่น
ชายหนุ่มส่งยิ้มบาดใจให้พยาบาลสาวอีกคนที่เดินสวนตรงประตูตัดไปบันไดหนีไฟเพราะอีกฝ่ายก้มหัวแสดงความเคารพ แม้จะไม่ได้อยู่แผนกเดียวกัน แต่ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณหมอโจว บุตรชายคนเดียวของผู้อำนวยการโรงพยาบาล ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยวางท่าใหญ่โต หรือทำตัวให้น่าเกรงขามสมกับเป็นว่าที่ผู้ดูแลโรงพยาบาลแห่งนี้เลย
สายตาคมหันไปมองเมื่อเห็นบางสิ่งวิ่งตัดหน้าผ่านไป เห็นหลังไวๆ ของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบคนไข้สีชมพูอ่อนวิ่งขึ้นบันไดไปแต่ก็จำได้เพราะเจ้าของแผ่นหลังเป็นคนที่กำลังสนใจอยู่ ไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน คยูฮยอนก็รีบแอบตามร่างนั้นไปทันทีพร้อมกับความสงสัยในใจว่าซองมินมาทำอะไรแถวนี้เพราะที่นี่ไม่ใช่ที่ที่คนไข้แผนกจิตเวชจะออกมาเดินเล่นได้
แอบตามห่างๆ อยู่นานจนสุดท้ายคยูฮยอนก็มาหยุดอยู่หน้าห้องน้ำของแผนกผู้ป่วยในชั้น 12 ชายหนุ่มได้แต่แอบยืนดูอยู่หน้าห้องผ่านประตูที่แอบเปิดแง้มเอาไว้ โชคดีที่ในเวลานี้ไม่มีคนมาใช้ห้องน้ำไม่อย่างนั้นเขาคงถูกมองว่าเป็นพวกจิตวิตถารมาทำลับๆ ล่อๆ หน้าห้องน้ำเอาได้
เมื่อเห็นสิ่งที่ซองมินกำลังทำ คยูฮยอนก็ยิ่งแปลกใจ ทำไมต้องไปยืนบนแท่นอ่างล้างมือแถมยังยืดเขย่งอยู่อย่างนั้น ทำเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่าง ใจจริงเขาก็อยากเข้าไปช่วยอยู่หรอกแต่ก็กลัวจะโดนพ่อคุณตวาดแว้ดกลับมาอีก คนอะไรเห็นหน้าหวานๆ ท่าทางเรียบร้อยแบบนั้นแต่ปากจัดชะมัด
คยูฮยอนแอบมองซองมินได้ไม่นานก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงหวีดร้องของคนที่แอบดูอยู่พร้อมๆ กับที่ร่างของเจ้าของเสียงที่กำลังโงนเงนไปมา ทำท่าว่าจะร่วงลงมาจากอ่างล้างมือ ไม่รอช้าชายหนุ่มรีบพุ่งกระโจนเข้าไปในห้องน้ำทันที แล้วก็ทันเวลาเมื่อร่างอวบตกลงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขาพอดิบพอดี
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่ออยู่ๆ ซองมินก็กรีดร้องออกมาอีกรอบด้วยเสียงที่ดังกว่าเมื่อครู่ แถมยังดิ้นหนี พยายามให้หลุดจากแขนของเขาที่ช้อนร่างเอาไว้
“คุณซองมิน!! คุณอีซองมิน!! อย่าดิ้นสิ!!”
นอกจากจะไม่ฟังแล้ว ซองมินยังแหกปากร้องออกมาดังกว่าเดิม ซ้ำยังยกขาขึ้นถีบไหล่เขาอย่างแรงจนในที่สุดคยูฮยอนที่ไม่ได้มีแรงเยอะนักหนาก็เผลอหลุดมือปล่อยร่างลง ผลก็คือซองมินร่วงลงไปก้นกระแทกพื้นเข้าอย่างจัง แต่เจ้าตัวกลับไม่ร้องโอดโอยแสดงความเจ็บปวดเลยซักแอะ ยังคงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวอยู่อย่างนั้น
“อย่า…!! อย่าเข้ามา!!! ผมกลัวแล้ว!” ซองมินร้องออกมา มือก็ปัดสะเปะสะปะไปทั่ว พยายามกระถดกายถอยแม้จะยังเจ็บเพราะแรงกระแทกกับพื้นอยู่
“คุณซองมิน คุณเป็นอะไร ตั้งสติหน่อยสิ!” คยูฮยอนพูดออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นอาการของซองมิน เหมือนกับคนไข้โรคจิตที่อาการกำเริบไม่มีผิด
“อย่าเข้ามานะ ออกไป!!” ซองมินร้องออกมาสุดเสียง ถอยหนีไปจนติดกับผนังห้องน้ำ ในขณะที่คยูฮยอนก็พยายามเดินเข้าไปหาเพื่อให้การช่วยเหลือแต่อีกฝ่ายกลับขยับหนีอยู่อย่างนั้นทั้งที่หลังติดกับผนัง ไม่มีทางไปได้อีกแล้ว
สิ่งที่ซองมินเห็นไม่ใช่ภาพของคุณหมอหนุ่มที่ค่อยๆ เดินเข้ามาหาตน แต่เป็นหญิงสาวผมยาวปรกหน้าในชุดเดรสสีขาวที่แถบด้านข้างข้างหนึ่งอาบไปด้วยสีแดงฉาน ดวงตาปูดโปนเต็มไปด้วยความอาฆาตโผล่พ้นรอยแยกของผมข้างหนึ่ง ร่างนั้นค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหาซ้อนทับภาพของคยูฮยอนไปจนหมดสิ้น
“ไม่ๆ! ได้โปรด อย่าเข้ามา!!” ซองมินร้อง น้ำหูน้ำตาไหลไปหมดด้วยความหวาดกลัว ไม่ใช่เพียงภาพน่ากลัวของวิญญาณสาวตรงหน้า แต่บรรยากาศอึดอัดแปลกๆ ก็ทำให้ซองมินรู้สึกแย่จนอยากจะหายตัวออกไปจากที่ตรงนี้
ใบหน้าน่ากลัวนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว กลิ่นเหม็นเน่าที่เคยได้กลิ่นฉุนแตะจมูกจนซองมินต้องเบือนหน้าหนี แต่ก็ทำไม่ได้เมื่อสัมผัสหยาบกระด้างจากมือแห้งกร้านกำลังบีบแก้มเขาให้หันกลับมามอง ที่ข้อมือของมือข้างนั้นมีเลือดไหลออกมาอาบแขนจนชุ่มโชก นั่นคงเป็นที่มาของรอยเลือดบนชุดที่หญิงสาวสวมใส่อยู่ และคงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอกลายเป็นวิญญาณแบบนี้
“ย….อย่า” ซองมินครางเสียงแผ่ว เขากำลังจะหมดแรงทั้งที่ไม่ได้ออกแรงเลยสักนิด วิญญาณของผู้หญิงคนนี้กำลังดูดวิญญาณเขาอยู่
“ซองมิน…คุณซองมิน คุณเป็นอะไร” คยูฮยอนยังละล่ำละลักถามด้วยความตกใจ ซองมินหยุดอาละวาดไปแล้วก็จริงแต่แววตากลับดูคล้ายกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่างสุดขีด
บุรุษพยาบาลและพยาบาลกรูกันเข้ามาในห้องน้ำเมื่อได้ยินเสียงดังจากในห้อง ไม่ต้องถามให้มากความทุกคนก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
คนไข้แผนกจิตเวชอาละวาดอีกแล้ว
ซองมินเริ่มส่งเสียงร้องอีกครั้งเมื่อโดนบุรุษพยาบาลสามคนมารุมล้อมจับเอาไว้ พยายามขอความช่วยเหลือแต่สิ่งที่ทุกคนเข้าใจมีเพียงคิดว่าคนไข้คนนี้คงจะเห็นภาพหลอน
ผีผู้หญิงตนนั้นยังอยู่และกำลังลอยถอยออกมายืนมองภาพที่เขากำลังถูกพันธนาการไว้ด้วยสายตาสมใจ ภาพนั้นซ้อนทับกับคยูฮยอนที่กำลังมองเขาด้วยสายตาเวทนาอยู่
“ปล่อยผมนะ!! ผมไม่ได้บ้า! ปล่อย!!” ซองมินยังคงร้องอยู่อย่างนั้น พยายามดิ้นไม่ให้พยาบาลสวมเสื้อแบบพิเศษที่จะรัดแขนเขาเอาไว้ แต่แรงของผู้ชายตัวเล็กๆ คนเดียวมีหรือจะสู้ไหวเมื่อชายร่างกำยำสามคนกำลังช่วยกันจับล็อคตัวเขาเอาไว้แบบนี้
“รีบพาเข้าห้องฉุกเฉินเร็วเข้า” คยูฮยอนสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ทิ้งภาพคุณหมอหนุ่มท่าทางเป็นมิตรหมดสิ้น
ทันทีที่เตียงผู้ป่วยแบบพิเศษมาถึง ซองมินก็ถูกจับนอนลงบนเตียงพร้อมกับล็อคตัวและแขนจากตัวล็อคของเตียงจนชายหนุ่มขยับตัวไม่ได้ ทำได้เพียงตะโกนร้องขอให้ปล่อยตนเองอยู่อย่างนั้น ดวงตากลมโตที่คลอขังไปด้วยหยาดน้ำตาก็จับจ้องไปที่วิญญาณหญิงสาวที่ยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ได้แต่จ้องมองใบหน้ากราดเกรี้ยวแฝงแววพอใจของเธอด้วยความกลัว
“อย่า…..!!!” ซองมินร้องออกมาสุดเสียงเมื่ออยู่ๆ วิญญาณสาวตนนั้นก็หายไปและมาปรากฏกายอยู่ตรงหน้าและกำลังนั่งทับอยู่บนร่างของเขาที่ถูกจับมัดนอนอยู่บนเตียงแทน
“บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ายุ่งกับผู้ชายของฉัน…” ผีสาวกระซิบเสียงเย็นข้างใบหูด้วยความเกรี้ยวโกรธ
ซองมินพูดไม่ออก ปฏิเสธไม่ได้ คล้ายสมองกำลังปิดตายเพราะความหวาดกลัวจนถึงขีดสุด ทำได้เพียงส่งเสียงร้องออกมาไม่เป็นคำ
ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นต่างหันมามองกลุ่มพนักงานของโรงพยาบาลที่กำลังรีบเข็นเตียงที่มีผู้ป่วยกำลังส่งเสียงกรีดร้องด้วยสายตาตกใจระคนสงสัย ทุกคนต่างก็เข้าใจว่าคนไข้คนนี้คงอาการกำเริบจนอาละวาด แต่มีเพียงซองมินคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร และอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้
ผีสาวยื่นมือมาจับหน้าของซองมินอีกครั้ง ค่อยๆ ลูบไล้ไปตามแก้มเนียนช้าๆ ซองมินพยายามเบือนหน้าหนี จากเสียงร้องกลายเป็นเสียงสะอื้นไห้ กลัวแต่ก็หนีไปไหนไม่ได้
มือข้างนั้นเปลี่ยนจากสัมผัสธรรมดาเป็นบีบแก้มจนซองมินนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ ความอึดอัดที่มีเพิ่มมากขึ้น รู้สึกได้ว่าน้ำหนักที่กดทับบนอกของตนเองมันมากขึ้นจนหายใจแทบไม่ออก หูได้ยินเสียงหัวเราะเย็นเยียบก้องไปมาราวกับอยู่ในห้องแคบๆ ที่มีเสียงสะท้อน ทำเอาซองมินขนลุกไปหมดทั้งตัว
“พอได้แล้วป้า” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นใกล้ๆ เป็นเสียงที่ทำให้ซองมินรู้สึกอุ่นใจเหลือเกิน
บารอมมาช่วยเขาแล้ว
“แกอีกแล้ว!!”
ซองมินได้ยินเสียงคำรามด้วยความกราดเกรี้ยว ก่อนที่ความรู้สึกโปร่งโล่งสบายจะเข้ามาแทนที่ความอึดอัดและภาพของผีสาวที่หายวับไปพร้อมกับวิญญาณเด็กน้อย เมื่อไม่มีวิญญาณคอยกวน ซองมินจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขาถูกเข็นเข้ามาในห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือทางการแพทย์มาสักพักแล้ว แล้วเขาก็รู้โดยทันทีว่าที่นี่คือห้องฉุกเฉินเพราะเคยเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ตอนนั้นสติสตังจะอยู่ไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังพอหลงเหลือให้จำได้อยู่บ้าง
และเขาก็รู้ดีว่ากำลังจะเจอกับอะไร
ซองมินหันไปมองหน้าคุณหมอหนุ่มที่ตอนนี้สวมหน้ากากปิดจมูกและถุงมือยาง แสดงถึงความเป็นหมออย่างเต็มตัว แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ทำให้ซองมินที่เริ่มอยู่ในภาวะปกติแล้วกลับมาตื่นตระหนกอีกครั้งอยู่ในมือของคุณหมอที่เป็นต้นเหตุให้เขาต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้
“อย่านะคุณหมอโจว!! อย่า!” ซองมินร้องออกมาไม่ต่างจากที่เจอผีเมื่อครู่ แต่คยูฮยอนก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป คุณหมอหนุ่มยกเข็มฉีดยาที่บรรจุยานอนหลับและยาระงับประสาทไว้แล้วฉีดกับอากาศเพื่อไล่ลม
บุรุษพยาบาลที่ยังอยู่แถวนั้นตรงเข้ามาเลิกเสื้อบริเวณต้นแขนเพื่อให้คุณหมอเห็นบริเวณที่ต้องเจาะเข็มลงไป ซองมินใช้แรงเฮือกสุดท้ายที่เริ่มฟื้นตัวคืนเมื่อไม่มีผีตนนั้นคอยดูดพลังขยับหนี แต่ก็ถูกมือที่แข็งแรงกว่าจับกดลงไปกับเตียงเหมือนเดิม
“อย่านะคุณหมอ!! อย่า….!!” ซองมินห้ามเสียงสั่น จ้องมองเข็มในมือด้วยสายตาหวาดกลัวสลับกับจ้องตาคมที่โผล่พ้นหน้ากากอนามัย คยูฮยอนไม่แสดงสีหน้าอะไรออกมา เพียงแต่พูดประโยคปลอบใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจรดปลายเข็มลงบนผิวเนื้อที่โผล่พ้นเสื้อ
“ขอโทษนะแต่ผมจำเป็นต้องทำ เจ็บเท่ามดกัดแค่นั้นแหละคุณซองมิน”
“ไม่……!!!” ซองมินร้องออกมาจนเสียงเขียว แต่เข็มฉีดยานั้นก็ยังจิ้มเข้าที่ต้นแขน ทันทีที่คยูฮยอนถอนเข็มออก ซองมินก็รู้สึกหนักตื้อๆ ในหัวราวกับมีใครเอาท่อนเหล็กมาวางทับไว้
ก่อนที่สติสัมปชัญญะจะดับวูบซองมินทันได้เห็นวิญญาณเด็กน้อยที่มาช่วยตัวเองมายืนอยู่ที่ปลายเตียงพร้อมกับถามเขาด้วยความเป็นห่วง
“เจ๊ เป็นยังไงบ้าง”
ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกเจ๊…
แล้วก็..ผมจะไม่มีวันให้อภัยคุณเลย คุณหมอโจว…
แล้วเปลือกตาหนาก็ล้อมปิดผลึกตากลมพร้อมกับสติของซองมินที่ดับวูบ
-----------------70%----------------
เสียงเครื่องมือสื่อสารภายในห้องดังขึ้นปลุกให้ร่างระหงที่กำลังนอนหลับใหลอยู่บนเตียงตื่น หญิงสาวค่อยๆ งัวเงียลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำที่ตกอยู่ปลายเตียงขึ้นสวมลวกๆ เพื่อปกปิดเรือนกายเปลือยเปล่าแล้วจึงเดินไปรับโทรศัพท์
“ค่ะ จริงเหรอคะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบไปทันทีเลยค่ะ เขาไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ยคะ” น้ำเสียงที่กรอกส่งไปในหูฟังเต็มไปด้วยความร้อนรนและกังวลใจ และเสียงนั้นปลุกให้ชายร่างสูงอีกคนที่นอนอยู่บนเตียงเช่นกันตื่น
ชายหนุ่มมองหน้าหญิงที่นอนเคียงข้างตนทั้งคืนด้วยสายตาเต็มไปด้วยคำถาม
หญิงสาวตีหน้านิ่งขรึมขณะวางหูโทรศัพท์ลงกับแป้นก่อนจะยิ้มออกมาบางๆ ราวกับพอใจในอะไรบางอย่าง แตกต่างจากท่าทีร้อนรนที่แสดงออกมาทางน้ำเสียงเมื่อครู่ลิบลับ
“มีอะไรงั้นเหรอ” แล้วฝ่ายชายก็ออกปากถามเมื่อไม่เห็นว่าอีกคนจะตอบคำถามที่สงสัยเสียที
“เด็กนั่นอาละวาด”
“อีซองมินน่ะเหรอ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจพลางถามซ้ำเพื่อความแน่ใจว่าเขาไม่ได้เข้าใจผิดไปเอง
“จะมีใครซะอีกล่ะ เมื่อกี๊โรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่าซองมินอาการกำเริบ รีบอาบน้ำแต่งตัวเถอะ เห็นทีต้องเล่นบทคุณแม่ผู้แสนดีอีกแล้ว” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าหน่ายๆ แล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
โกยองอุคถอนใจเบาๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนลืมตาโพลง
อีซองมินจะอาละวาดได้อย่างไรในเมื่อทั้งเขาและผู้หญิงคนนั้นก็รู้ดีแก่ใจว่าเด็กคนนั้นไม่ได้บ้าอย่างที่ทุกคนคิด
เมื่อปีที่แล้วตอนที่ซองมินกลับมาที่โซลเพื่อมาร่วมงานศพของอีซองฮวาผู้เป็นบิดา เด็กคนนั้นก็ยังมีท่าทีปกติ เพิ่งจะมาบ้าเอาก็ตอนที่ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ไม่ถึงเดือน
มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ก็ใครใช้ให้ซองฮวายกมรดกให้ลูกชายที่เกิดกับภรรยาคนเก่ามากถึง 80% ของทรัพย์สินทั้งหมด เมื่อถูกขัดขวางผลประโยชน์ เป็นใครก็ไม่พอใจ
อีซองฮวา นักธุรกิจใหญ่เจ้าของกิจการนำเข้าและส่งออกอันดับต้นๆ ของเกาหลี ทรัพย์สมบัติที่มีจะมากมายมหาศาลสักเพียงไหน
อันที่จริงซองมินก็ดูไม่ได้จะอยากได้ทรัพย์สินจำนวนมากที่ผู้เป็นพ่อทิ้งไว้ให้ เด็กหนุ่มทำท่าว่าจะกลับอินชอนบ้านของมารดาทันทีที่เสร็จงานศพเสียด้วยซ้ำ แต่เพราะจำเป็นต้องอยู่ร่วมในการเปิดพินัยกรรมในฐานะทายาทคนเดียว ซองมินจึงต้องอยู่ในคฤหาสถ์หลังใหญ่ในโซลนี้ต่อ
และเมื่อผลออกมาว่าชายหนุ่มได้รับทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดของบิดา ภรรยาคนใหม่อย่างฮาฮีราย่อมไม่พอใจแน่นอน เขายังจำคำพูดของหญิงสาวตอนที่แอบคุยกันสองคนได้ดีจนถึงตอนนี้
“ทำไมคุณซองฮวาถึงทำแบบนี้ ทั้งที่เมียเก่าหอบลูกหนีไปตั้ง 20 ปีแล้ว เด็กนั่นไม่เคยกลับมาดูดำดูดีพ่อเลยซักครั้ง ฉันต่างหากที่อยู่ดูแลเขามาตลอดแต่กลับยกสมบัติให้มันเกือบหมด หรือเราควรจะเก็บไอ้เด็กมารคอหอยนั่นซะ”
คำพูดและน้ำเสียงของเธอช่างโหดร้ายและหยาบกระด้าง แตกต่างจากหน้าตาสะสวยแม้อายุจะอยู่ในวัยเลข 4 แล้ว และนั่นทำให้โกยองอุคอดที่จะแย้งขึ้นมาไม่ได้
“เด็กหนุ่มท่าทางซื่อๆ อย่างอีซองมินไม่น่าจะมีศัตรูที่ไหน คุณคิดว่ามันไม่แปลกเหรอที่อยู่ๆ เขาก็ถูกฆ่าตาย ถ้าตำรวจจะหาตัวฆาตกรคงจะสาวมาหาคุณได้ไม่ยากเพราะมีแรงจูงใจเป็นเรื่องมรดกอยู่แล้ว”
“ก็จัดฉากทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุซะสิ”
“อย่าคิดอะไรตื้นๆ สิคุณฮีรา ตำรวจสมัยนี้เก่งนะ อย่าทำอะไรที่พวกตำรวจจะมายุ่งเกี่ยวเลยดีกว่าน่า” ยองอุคเตือนเสียงเข้ม
“แล้วคุณจะให้ฉันทำยังไง จะปล่อยให้มันเสวยสุขบนกองเงินกองทองของฉันแบบนี้น่ะเหรอ แล้วทุกอย่างที่เราทำมันจะไม่สูญเปล่าหรือยังไง” หญิงสาวขึ้นเสียงด้วยความเดือดดาล
“เอาน่าคุณ อย่าลืมสิว่าผมเป็นใคร รู้เรื่องพวกนี้ดีแค่ไหน ก็แค่ทำให้เด็กคนนั้นมันรับมรดกไม่ได้แล้วคุณก็เป็นผู้จัดการมรดกแทน มันจะไปยากอะไรล่ะ” ชายหนุ่มพูดพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
ใช่! ก็แค่ทำให้อีซองมินอยู่ในสภาพของผู้ไร้ความสามารถและให้ฮีรายื่นเรื่องต่อศาลเป็นผู้อนุบาลและเข้ามาจัดการมรดกในส่วนของเด็กหนุ่มคนนั้นเสียก็สิ้นเรื่อง
“ผู้ไร้ความสามารถ หมายความว่ายังไง” ฮีราถามชายหนุ่มผู้รู้เรื่องกฎหมายดีกว่าใครอย่างยองอุคที่เป็นทนายความประจำตัวของซอนฮวาเมื่อชายหนุ่มอธิบายแผนการของตนเองจบ
ทนายความหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “บุคคลไร้ความสามารถก็คนวิกลจริตหรือคนบ้ายังไงล่ะ ทั้งคุณและผมก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าเด็กคนนั้นน่ะมีประวัติมาก่อน แค่คุ้ยเรื่องนี้มาทำให้เหมือนจริงอีกซักรอบมันจะเป็นไรไป”
จดหมายจากเฮรินหรือภรรยาคนเก่าของซองฮวาที่ส่งมาให้ตอนที่เลิกรากันไปแล้ว เนื้อความระบุว่าซองมินมีอาการผิดปกติจนต้องเข้าปรึกษาจิตแพทย์ตอนอายุได้ 9 ขวบคงจะพอใช้ยื่นต่อศาลเป็นหลักฐานได้ แต่น้ำหนักมันยังไม่พอที่จะให้ศาลตัดสินว่าเป็นบุคคลไร้ความสามารถแน่นอน เพราะต้องใช้ใบรับรองแพทย์ที่ระบุอาการและโรคอย่างชัดเจน
LSD หรือยาเสพติดชนิดหลอนประสาทจึงถูกนำมาใช้
อีซองมินผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยจึงเข้ามาอาศัยในบ้านที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของตามเนื้อความที่ระบุในพินัยกรรม เด็กหนุ่มคนนั้นทั้งใสซื่อและจิตใจดียอมให้ภรรยาคนใหม่ของผู้เป็นพ่ออาศัยอยู่ร่วมชายคาบ้านตัวเองทั้งที่ผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาและผู้เป็นแม่ต้องระเห็จออกไปอยู่ที่อื่นถึง 20 ปีและทำให้ครอบครัวของเขาไม่สมบูรณ์ แต่ถึงอย่างนั้นซองมินก็ให้ความนับถือผู้หญิงคนนี้โดยที่ไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกปองร้าย
ฮาฮีราก็ประพฤติตัวเป็นคุณแม่ที่แสนดี ดูแลลูกเลี้ยงด้วยท่าทีที่เหมือนจะรักใคร่ แต่ใครเลยจะรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจขนาดไหน
สารเสพติดที่ชื่อ LSD นั้นถูกผสมในกาแฟที่ซองมินดื่มทุกเช้า เป็นเวลานับเดือนจนซองมินมีอาการอย่างที่เห็นในวันที่ถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล
เรื่องหลังจากนั้นก็ง่ายดายเหลือเกิน แค่ทำตามแผนการที่เหลือ ฮีราก็ได้เข้ามาครอบครองสมบัติทุกอย่างสมใจ โดยที่ไม่มีใครระแคะระคายสงสัยหรือตามสืบให้วุ่นวายว่าซองมินเป็นบุคคลไร้ความสามารถอย่างที่ยื่นเรื่องต่อศาลไปจริงหรือ ในเมื่อหลักฐานทุกอย่างมันหนักแน่น และไม่ใช่คดีใหญ่โตอะไรจนศาลต้องมาใส่ใจค้นหาความจริง
ด้วยเหตุนี้ทนายความผู้รู้เห็นทุกเรื่องอย่างยองอุคจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมอยู่ๆ ซองมินจึงอาละวาดขึ้นมาอีก แม้จะเป็นผลดีต่อทั้งฮีราและตัวเขาผู้มีความสัมพันธ์ลับๆ กับหญิงสาวก็ตาม เพราะนั่นหมายความว่าซองมินต้องอยู่โรงพยาบาลนี้ไปอีกนานจนไม่มีคนสงสัยว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นบ้าจริงๆ หรือ
หรือเด็กหนุ่มคนนั้นจะผิดปกติทางจิตจริงอย่างที่เขาและฮีราปั้นเรื่องขึ้นมา…
“ซองมินเป็นยังไงบ้างคะ”
“ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะครับ ผมฉีดยานอนหลับกับยาระงับประสาทให้แล้ว คุณคงเป็นคุณแม่ของคุณอีสินะครับ” คยูฮยอนตอบคำถามผู้หญิงหน้าตาสวยจัดที่ถามเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรนก่อนจะถามกลับแล้วหันไปก้มหัวรับชายร่างสูงอีกคนที่ก้มหัวให้
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ว่าแต่คุณหมอ…” ฮีราทำหน้าสงสัยมองคุณหมอคนใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าด้วยสายตาแปลกใจ
“พอดีผมอยู่ในเหตุการณ์น่ะครับ แล้วคุณหมอชินก็ติดไปดูงานที่อเมริกา ต้องขอโทษจริงๆ นะครับที่รักษาลูกชายคุณโดยพลการแบบนี้”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณเป็นหมอก็ต้องทำตามหน้าที่ ฉันเสียอีกที่ต้องขอบคุณคุณมากที่ดูแลซองมิน ไม่อย่างนั้นคงต้องแย่แน่ๆ ถ้าอย่างนั้นฉันขอไปเยี่ยมลูกชายก่อนนะคะ” ฮีราพูดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องพักของซองมินที่คยูฮยอนเพิ่งจะเดินออกมา
ภายในห้อง คนป่วยที่เพิ่งก่อเรื่องไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ยังคงนอนหลับสนิทด้วยฤทธิ์ของยา ฮีราเดินเข้าไปประชิดเตียง มองลูกเลี้ยงด้วยสายตาพึงพอใจไม่เหลือความเป็นห่วงที่แสดงออกอย่างที่ทำนอกห้องเลยสักนิด
“โชคดีที่แกดันบ้าขึ้นมาจริงๆ ฉันกำลังกังวลอยู่เลยว่าถ้าอาการแกดีวันดีคืนจนหลุดจากโรงพยาบาลออกมาได้ฉันจะทำยังไง” ฮีราพูดเสียงเย็น ยิ้มเหยียดมองใบหน้าหวานที่ยังคงสงบนิ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร
เหมือนแม่…ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือน
หน้าเหมือนแม่ไม่มีผิด
แค่เห็นก็เกลียดแล้ว เห็นหน้าเด็กคนนี้ทีไรเป็นต้องนึกถึงผู้หญิงคนนั้นทุกที…
ผู้หญิงคนนั้นมีดีอะไร ทั้งที่หายไปตั้ง 20 ปีแล้ว แต่ซองฮวาก็ยังถวิลหา ไม่ยอมลืมจนนาทีสุดท้ายของชีวิต แม้แต่ทุกอย่างที่สมควรจะเป็นของเธอก็ถูกตัวแทนของผู้หญิงคนนั้นชุบมือเปิบแย่งไปต่อหน้าต่อตา
เธอไม่มีวันยอมหรอก…อย่าหวังเลยว่าจะได้มีโอกาสออกจากโรงพยาบาลนี้ อีซองมินต้องอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตจนกว่าจะตาย
มือของหญิงสาวบีบกำแน่นจนเล็บที่แต่งแต้มสีสวยจิกเข้าไปในเนื้อ สายตาที่มองคนป่วยที่นอนบนเตียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“กลับกันเถอะ” สุดท้ายหญิงสาวก็พูดขึ้นมาก่อนจะสะบัดตัวหันหลังกลับเดินนำหน้าทนายความประจำตัวออกไป เธอไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก ไม่อยากต้องปะหน้ากับซองมินตอนตื่นตรงๆ ไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไร
“ใจร้ายจังเลย” เสียงเล็กๆ ของเด็กน้อยที่นั่งบนโซฟาในห้องตั้งแต่ต้นแต่ไม่มีใครมองเห็นดังขึ้นเมื่อแขกผู้มาเยือนทั้งสองออกจากห้องไปแล้ว
“ผู้หญิงคนนั้นคงไม่น่ากลัวเท่ายัยป้านั่นหรอก” บารอมพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บใจ ถึงแม้จะช่วยซองมินไว้ได้ก็จริง แต่ผีสาวตนนั้นก็ฤทธิ์เยอะใช่เล่น ทั้งที่เขาคิดว่าตัวเองเป็นต่อที่คล่องแคล่วว่องไวกว่า สามารถหลบหลีกแกล้งปั่นหัววิญญาณร้ายตนนั้นได้ แต่สุดท้ายก็พลาดท่าได้แผลมา ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่รอยข่วนตื้นๆ ที่แขน และก็ไม่ได้เป็นอันตรายถึงกับทำให้พลังวิญญาณหาย แต่ก็ทำให้รู้ว่าผีผู้หญิงตนนั้นร้ายกว่าที่คิด และนั่นยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงซองมินมากยิ่งขึ้น
“พี่บารอมไม่ได้เป็นอะไรมากใช่มั้ย” อึนจูถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“แผลแค่นี้ กระจอกน่า!” บารอมพูด ยักคิ้วยกยิ้มทะเล้นก่อนจะชูนิ้วโป้งให้ บ่งบอกว่าสบายมาก แต่ก็ไม่ได้ทำให้อึนจูสบายใจขึ้นเลย
ร่างของบารอมตอนนี้ดูโปร่งใสมากกว่าทุกครั้ง แม้จะไม่มากจนมองออกง่ายๆ แต่ก็ไม่ชัดเจนเหมือนแต่ก่อน
เวลาของเด็กชายเหลือน้อยลงทุกทีแล้ว และเธอรู้ว่าบารอมเองก็รู้ตัว
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ ยิ้มหน่อย ไม่เห็นมีอะไรต้องเป็นห่วงเลย” บารอมยังพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แต่ยิ่งเห็นท่าทางฝืนร่าเริงของคนเป็นพี่ชายอึนจูก็ยิ่งปวดใจ
“พี่บารอม” เด็กหญิงปล่อยโฮก่อนจะโผเข้ากอด ซบอกสะอื้นไห้ กระชับอ้อมกอดแน่นราวกับต้องการจะรั้งตัวเด็กชายเอาไว้ ไม่ยอมให้ไป
แต่ไม่ว่าใครก็ฝืนชะตาฟ้าลิขิตไม่ได้
“ไม่เอาน่า อย่าร้องไห้สิอึนจู อีกไม่นานเดี๋ยวเธอก็ตามพี่ไปแล้ว”
“อึนจูไปไม่ได้ ฮึกๆ” เด็กหญิงพูดเสียงพร่าพลางส่ายหัวไปมา
แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมวิญญาณเด็กน้อยตนนี้พูดแบบนี้แต่บารอมก็ไม่ได้ถามต่อ ทำได้เพียงลูบหลังเล็กๆ นั้นอย่าปลอบโยน ไม่มีคำพูดปลอบประโลมใดออกมาจากปากอีก เพราะตอนนี้น้ำตาลูกผู้ชายของเด็กชายที่ทำตัวร่าเริงสดใสตลอดเวลากำลังไหลอาบหน้าเงียบๆ
ถึงแม้ไม่อยากไป แต่ก็จำเป็นต้องไป แม้จะมีโอกาสได้อยู่ร่วมกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับกลายเป็นความผูกพันจนไม่อยากจากไปไหน ทั้งกับอึนจูและซองมิน
แต่ก่อนจะไป เขาต้องปกป้องซองมินเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
วิธีการแก้ปัญหามีอยู่ทางเดียวคือต้องตัดปัญหาที่ตัวต้นเหตุ
สุดท้ายคงต้องทำแบบนี้จริงๆ สินะ
------------------------------------------
ความคิดเห็น