ลำดับตอนที่ #7
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : องค์ชายจ้าวสำราญ
ตอนที่ 7 องค์ชายจ้าวสำราญ
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองโดยสารม้าที่ให้ทางโรงเตี้ยมจัดหามาให้เมื่อเย็นวาน พอใกล้บรรลุถึงเอี๊ยะซินแซก็แยกตัวออกไปปะปนกับผู้คนที่มาชมสวน เทียนอี้ฝากม้าไว้กับเพิงร้านขายสุราอาหารแห่งหนึ่ง ตนเองเดินไปตามทางสวนดอกไม้ตามที่นัดหมาย ในสวนดอกไม้นี้มีร้านขายน้ำชาสุราอาหาร สามสี่ร้าน มีเก๋งพักชื่นชมดอกไม้ ปลูกสร้างห่างออกจากกันเป็นระยะ พอมาถึงเก๋งที่นางนัดหมาย ต้องชะงักเท้าไม่อาจก้าวเดิน เหม่อมองภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม
ภายในเก๋งนั่งไว้ด้วยสตรีงามเฉิดฉาย นั่งจิบสุราด้วยท่าทีผ่อนคลายใบหน้าขาวเนียนมีเลือดฝาดแต้มเติม สองแกล้มเปล่งปลั่งนวลใย ริมฝีปากอิ่มเอิบมีสีชมพู บนศีรษะประดับปิ่นมุกร้อยห้อยระย้า สวมใส่อาภรณ์สีเหลืองอ่อนประดับเกร็ดขาวต้องสะท้อนแสงตะวันระยับตา หากกล่าวว่าธิดาสวรรค์ลงมาชมสวนแห่งนี้ก็กล่าวได้ไม่ผิด เซียวเสียวเจี๊ยะในวันก่อนนับว่างดงามแล้ว แต่เซียวเสียวเจี๊ยะในวันนี้กลับงดงามยิ่งกว่า ถึงกับเหม่อมองจนลืมเลือน พลันได้สติเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของนางพร้อมกับน้ำเสียงที่กล่าวเรียก
“เทียนกงจื้อ ท่านมาแล้ว”
คล้ายกับถูกเสียงของนางสะกดให้เดินเข้าหา ทั้งยังไม่ได้กล่าวทักทาย ก็ทรุดลงนั่งที่ม้านั่ง สายตายังเหม่อมองนางไม่วาง นางต้องใช้มือจับลูบเรือนผม กับใบหน้ากล่าวขึ้นว่า
“เทียนกงจื้อ ใบหน้าข้าพเจ้ามีอันใดผิดแปลกไปหรือ ท่านถึงได้จ่องมองอยู่เช่นนั้น”
“ผิดแปลกจริงๆ เพียงแต่ว่างดงามขึ้น...”
มันกลับกล่าวโดยไม่ทันขบคิด พอรู้ตัวว่าพลั้งปาก เกรงว่านางจะมองเป็นคนเจ้าชู้กรุ่มกริ่ม ต้องตกประหม่าเล็กน้อย จิวอวงยี้ครึ่งยิ้มครึ่งบึ่ง จัดแจงนำกลับแกล้มในตะกร้าออกมาจัดวาง รินสุราส่งให้ พร้อมแย้มยิ้มกล่าวว่า
“เทียนกงจื้อ ในที่นี้ไม่มีน้ำผึ้งผสมสุรา นับว่าข้าพเจ้าไม่รู้ความจัดเตรียมสุราไม่ถูกต้อง ความหวานใจวาจาท่านคงต้องลดน้อยถอยลง แต่ก็ยังคงดื่มเถิด”
พอฟังนางเย้าแหย่ ต้องหัวเราะเบาๆผ่อนคลายลง รับสุราขึ้นดื่ม แต่ก็ยังนึกวาจากล่าวออกไม่ได้ มันความจริงเป็นคนช่างเจรจาผู้หนึ่งแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางสองต่อสองเช่นนี้ ไม่ทราบเพราะเหตุใด จึงกลับกลายคล้ายเป็นคนใบ้
จิวอวงยี้กลับเป็นฝ่ายชวนสนทนาขึ้น ในคำสนทนามักเปิดโอกาสให้เทียนอี้สอดแทรก เทียนอี้เมื่อได้ออกวาจาบ่อยครั้งก็ลื่นไหล กลับกลายเป็นฝ่ายพูดคุยมากขึ้น จิวอวงยี้เรียนรู้การสนทนามาจากคังหมิ่น และสิ่งนี้กับติดตัวจนเป็นนิสัยของนาง หากคิดเป็นคู่สนทนาที่ดีไม่ใช่เฉพาะ แค่กล่าววาจา แต่หากเป็นการรับฟัง คอยสอดแทรกสร้างอรรถรส
เทียนอี้ยิ่งกล่าวยิ่งมาก แม้เป็นเรื่องชวนหัวเล็กน้อย ทั้งคู่ยังต่อประโยคยืดยาวจนหัวร่องอหงาย รู้สึกว่าตนเองไม่เคยสนทนากับสตรีใดได้ออกรสชาติเช่นนี้มาก่อน ต้องลอบครุ่นคิด ‘หากได้นางมาเคียงคู่ ชีวิตนี้ก็ไม่น่าเบื่อแล้ว’
บุรุษผู้หนึ่งหากพูดจาสร้างความสนุกสนานให้สตรีงดงามชมชอบได้นั้น ไม่ทราบว่ามันจะมีความสุขสักเพียงไหน ยิ่งเป็นสตรีที่ตนเองหมายปองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เทียนอี้เองยามนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดยามได้สนทนากับนางแล้วรู้สึกปลอดโปล่ง ผ่อนคลาย ด้วยกิริยาง่ายๆไม่มีพิธีของนาง กลับทำให้มันกล้าพูดคุยทุกเรื่องราว บ้างคราถึงกลับแฝงการเกี่ยวพาราสีโดยไม่รู้ตัว จิวอวงยี้พอฟัง บ้างยิ้มแย้ม บ้างขุ่นเคือง บ้างหัวร่อ ท่าทางของนางเหล่านี้ยิ่งทำให้เทียนอี้หัวใจพองโต หากเป็นผู้อื่นมานั่งฟังทั้งสองสนทนา ต้องครุ่นคิดว่า หนุ่มสาวคู่นี้ออกจะ กล่าววาจาเกินสำรวมไปบ้าง แต่มันทั้งคู่ไหนเลยแยแสสนใจ พอพูดคุยถึงเรื่องราววัยเยาว์ จู่จู่นางก็หม่นหมองลง สีหน้าส่อแววหดหู่คล้ายมีความทุกข์ใจ เทียนอี้อดไม่ได้ต้องกล่าวถาม
“เซียวเสียวเจี๊ยะ ท่านมีเรื่องราวใดไม่สบายใจหรือ บอกต่อสหายผู้นี้ได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจแบ่งเบาความทุกข์ของท่านได้”
คำว่าสหายกลับกล่าวไม่ได้เต็มปากเต็มคำ มันไหนเลยอยากเป็นเพียงแค่สหาย แต่ก็หาคำที่ดีกว่านี้กล่าวออกไปไม่ได้ จิวอวงยี้นิ่งงันครู่หนึ่ง ค่อยสบตามันฝืนยิ้มขึ้น กล่าวว่า
“ท่านเมื่อรับข้าพเจ้าเป็นสหายนับว่าให้เกียรติมากแล้ว หากข้าพเจ้าปิดบังต่อไป คงไม่แสดงถึงความจริงใจ ความจริงข้าพเจ้าไม่ใช่แซ่เซียว แต่แซ่จิว เรียกว่าอวงยี้ ที่ต้องปกปิดชื่อแซ่เพราะมีความคับแค้นใจบางประการ”
เทียนอี้ต้องตระหนกเล็กน้อย แต่ในใจกลับปลาบปลื้มประโลม ที่นางบอกความจริงต่อตน นี่ใยไม่ใช่นางให้ความสำคัญต่อเรา แต่หวนนึกถึงอีกด้าน ตนเองกลับไม่สามารถกล่าวบอกความจริงต่อนางได้ ต้องลอบละอาย จึงกล่าวขึ้น
“ที่แท้ ท่านแซ่จิว จิวเสียวเจี๊ยะ ท่านมีความคับแค้นใจอันใดพอบอกกล่าวได้หรือไม่”
นางผงกศีรษะรับอย่างแช่มช้อยกล่าวว่า
“เทียนกงจื้อเมื่อยึดถือข้าพเจ้าเป็นสหาย ก็ไม่มีอันใดคิดปิดบัง เมื่อครู่เราสนทนาถึงเรื่องวัยเยาว์ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงบิดามารดา เอี่ยเอี้ย และหลายคนในครอบครัว ทั้งหมดล้วนถูกสังหารสิ้นในข้ามคืนเดียว”
เทียนอี้ต้องตื่นตะลึงรีบกล่าวถาม
“ไฉนถึงเป็นเช่นนั้น”
จิวอวงยี้ สั่นศีรษะน้อยๆกล่าวว่า
“ความนัยน์สาเหตุข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ครั้งนั้นข้าพเจ้ายังเยาว์วัย จำได้แต่เพียงว่า มีคนร้ายสองคนบุกเข้ามาในยามค่ำคืนเข่นฆ่าสังหารคนในบ้าน มีเพียงข้าพเจ้าที่โชคดีสามารถรอดชีวิตมาได้” พลันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนให้เทียนอี้รับฟัง ทั้งยังบอกเรื่องที่นายอำเภอเฉินดึงเรื่องยืดเยื้อทั้งที่ได้รับข่าวแจ้งแล้วกลับไม่รีบรุดมาช่วยเหลือ
เทียนอี้ต้องเดือดดาลขึ้น รวบพัดจีบโดยแรงตบเข้าที่ฝ่ามือ กล่าวเสียงกราดเกรี้ยว
“เป็นถึงนายอำเภอปกครองคน กลับสมคบกับคนต่ำช้า เข่นฆ่าสังหารคนดี คนผู้นี้ต่อให้มีสิบหัวก็ไม่พอให้เราประหาร”
พอกล่าวจบพบเห็นสีหน้าแววตาฉงนของจิวอวงยี้ เพ่งมองมา รู้สึกตัวว่าพลั้งปาก ต้องรีบยิ้มแย้มกล่าวกลบเกลื่อนว่า
“ข้าพเจ้าหมายถึง หากข้าพเจ้าฆ่ามันได้ คงต้องฆ่ามันสักสิบหน ในความชั่วช้าของมัน”
จิวอวงยี้พลันกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่อาจปรักปรำคนโดยไร้หลักฐาน ยามนี้เพียงคิดสงสัย หลายวันมานี้คิดปลอมปนเข้าไปยังในจวน เพื่อสืบหาข้อเท็จจริง แต่ก็ไร้หนทาง”
ใบหน้าเทียนอี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นกล่าวว่า
“คิดเข้าไปในจวนนายอำเภอนั้นง่ายดายยิ่ง ท่านไม่ต้องคิดหาวิธีปลอมปนแล้ว ไว้เป็นภาระข้าพเจ้า”
จิวอวงยี้ปิติยินดียิ่งรีบกล่าวว่า
“ท่านมีวิธี”
“วิธีย่อมมี แต่ว่าข้าพเจ้าไม่สามารถบ่งบอกได้ตอนนี้ ไว้พรุ่งนี้เราจะเข้าจวนนายอำเภอด้วยกัน”
มันยิ้มแย้มอย่างมีเลศนัย คล้ายว่าพรุ่งนี้ต้องมีเรื่องราวให้นางประหลาดใจ จิวอวงยี้รู้ทีจึงไม่คาดครั้น ย่อกายคาวะ ขอบคุณอย่างชดช้อย นั่งลงดื่มสนทนาต่อไปอีกครู่ ขณะที่ทั้งคู่สนทนา ในที่ห่างออกไปไม่ไกลกลับมีสายตาจับจ่องมองดูอยู่ตลอด มันย่อมเป็นเอี๊ยะซินแซ เห็นทั้งคู่สนทนาอย่างสนิทชิดเชื้อเป็นกันเองแม้ไม่ได้ยินได้ฟังแต่ดูจากอากัปกิริยาแล้วน่าจะเป็นเช่นนั้น ต้องครุ่นคิดขึ้น’หรือเซียวเสียวเจี๊ยะผู้นี้ สนใจเสียวเอี้ยของเราจริงๆ’
เช้าวันต่อมา จิวอวงยี้ ลงมายังชั้นล่างของโรงเตี้ยม ตามที่นัดหมาย เห็นเทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซ นั่งค่อยอยู่ก่อนแล้ว พอนางลงมาเทียนอี้รีบเชื้อเชิญให้รับประทานอาหารร่วมกันก่อนค่อยไปที่จวนนายอำเภอ ขณะรับประทานอาหารยังไม่ทันเสร็จสิ้น ลู่ซุนพลันควบขี่ม้านำหน้าบรรดามือปราบเมืองกันจือ ร้อยกว่านายเกือบเรียกได้ว่าเป็นมือปราบที่อยู่ในเมืองกันจือนี้แทบทั้งหมด ตามหลังด้วยขบวนเกี้ยวอีกสี่หลัง ตรงมายังหน้าโรงเตี้ยม จิวอวงยี้พอเห็นบรรดามือปราบแห่กันมามากมายมุ่งตรงมา ต้องตระหนกครุ่นคิด ‘หรือว่ามือปราบจอมวางท่านั่น ทราบว่าเราเป็นผู้ใดนำกำลังมาจับกุมเรา’ ยังทำใจเย็นสู้เสือ ไม่มีท่าทีประหวั่นลนลาน นั่งรับประทานอาหารต่อย่างนิ่งเฉย แต่สายตาคอยส่ายส่องหาช่องทางหนีที่ไล่
ขบวนมือปราบพอมาถึงก็ตั้งแถวเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย เกี้ยวหลังหนึ่งถูกห้ามมาเบื้องหน้ายังไม่ทันวางลง คนในเกี้ยวก็รีบเลิกม่านก้าวออกมา อย่างรีบร้อนรุกรน คนผู้นี้มีรูปร่างอ้วนฉุ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ตาเล็กหยี อายุสี่สิบเศษแต่งตัวข้าราชการเต็มยศ มันกลับเป็นนายอำเภอเฉิน พอลงจากเกี้ยวได้รีบไปกระซิบกระซาบกับลู่ซุน ลู่ซุนชี้นิ้วไปยังคนทั้งสามที่นั่งรับประทานอาหาร ไม่รีรอให้ลู่ซุนกล่าวอันใดรีบย้ายร่างกายอวบอ้วนของมันเข้าไปยังโรงเตี้ยม ลู่ซุนรีบติดตามเข้าไป บรรดาแขกภายในร้านเห็นนายอำเภอนำกำลังมือปราบมามากมายไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์ใดต่างจ่องมองด้วยความฉงน คนรับใช้เห็นนายอำเภอเฉินมารีบตรงเข้าไปต้อนรับแต่ก็ถูกมันพลักออกให้พ้นทาง รีบเข้าไปยังโต๊ะของเทียนอี้ พอถึงก็คิดก้มลงคุกเข่า แต่ลู่ซุนฉุดดึงร่างไว้ไม่ให้มันคุกเข่าลง มันต้องรีบหันไปกล่าวคล้ายตวาด
“ท่านคิดทำอันใด ยังไม่ปล่อยมือให้เราทำความเคารพ”
ลู่ซุนแม้เป็นมือปราบ แต่เป็นมือปราบวังหลวงทุกประการไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กรมเมืองตามเมืองต่างๆ นำเสียงแม้ดูออกเป็นตวาดแต่ยังแฝงการย่ำเกรงต่อศักดิ์ศรีของมัน จึงไม่กล้ากล่าวคำรุนแรง เอี๊ยะซินแซพลันกล่าวแทรกขึ้น น้ำเสียงคล้ายตำหนิต่อว่า
“มันทำถูกแล้ว... นายอำเภอเฉินคงไม่อ่านสารที่เราส่งมอบให้โดยละเอียดกระมัง ถึงได้นำผู้คนมาเป็นที่อึกทึกคึกโครม”
มันต้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเผือกขาว เหงื่อหน้าผากไหลซึมรีบกล่าวว่า
“ผู้ต่ำต้อยสมควรตาย เพียงแต่เกรงว่าหากให้การอารักษ์ขา ต้อนรับไม่ดี จะเป็นที่ไม่พอพระ..”
มันกล่าวยังไม่ทันจบประโยคเอี๊ยะซินแซพลันกระแอมไอกลบเกลื่อน ถลึงตาใส่ มันค่อยรู้สึกตัวว่ากล่าวผิดรีบเปลี่ยนคำพูด
“เกรงเป็นที่ไม่พอใจ ของ.. เอ้อ.. ของ”
เอี้ยะซินแซพลันกล่าวขึ้น
“เสียวเอี้ย”
“ใช่แล้วเสียวเอี้ย”
มันพอกล่าวจบต้องลอบระบายลมหายใจออกจากปาก เทียนอี้หันไปยิ้มแย้มให้ มันกลับไม่กล้าจ่องสบตารีบหลุบหน้าลง เทียนอี้กล่าวว่า
“ท่านนายอำเภอ ท่านก็นั่งลงเถอะ ที่โต๊ะเรายังมีที่ว่าง เรายังรับประทานไม่เสร็จสิ้นรออิ่มหนำแล้วค่อยเดินทาง ”
มันไหนเลยกล้านั่งลง กล่าวแต่ว่าคำว่า มิกล้า พอเทียนอี้ส่งประกายตาเชิงบังคับ จำต้องหย่อนกายนั่งลงท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวยิ่ง ไหนเลยเหลือท่าทางนายอำเภอที่ชอบอวดโอ้อำนาจ จิวอวงยี้ลอบสังเกตุอาการของผู้คนที่มีต่อเทียนอี้รู้สึกว่าย่ำเกรงต่อคนผู้นี้อย่างยิ่ง ต้องครุ่นคิดว่าคนผู้นี้คงไม่ใช่บุตรขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว ต่อให้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาเอง คนพวกนี้คงไม่นอบน้อมกลัวเกรงถึงเพียงนี้ ดูลักษณะของพวกมันคล้ายพบเจอฮ้องเต้ ก็มิปาน แต่ฮ้องแต่ในปัจจุบันไหนเลยหนุ่มแน่นวัยเยาว์ พอความคิดหนึ่งประดังวูบเข้าสู่ห้วงสมองตะเกียบแทบหลุดมือ
“หรือมันคือลูกฮ้องเต้ เช่นนั้นมันก็เป็นองค์ชายแล้ว”
ที่นางคาดคิดไม่ผิด เทียนอี้ไม่เพียงเป็นแค่องค์ชาย แต่เป็นถึงองค์รัชทายาท ดำรงตำแหน่งไทจือผู้ที่จะขึ้นเป็นฮ้องเต้องค์ต่อไป ความจริงเทียนอี้เป็นองค์ชายลำดับที่เจ็ด หากนับตามขั้นตอนการสืบทอดราชบัลลังแล้ว ยังห่างอีกหกช่วง จากพี่น้องเจ็ดคน แต่กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทสืบทอด ย่อมบ่งบอกถึง ฮ้องเต้ทรงโปรดปราณเทียนอี้มากเพียงใด คนพวกนี้เมื่อพบเทียนอี้ ก็ไม่ต่างจากพบฮ้องเต้องค์ปัจจุบัน ย่อมต้องนอบน้อมเกรงกลัว
ทั้งสามพอรับประทานเสร็จสิ้น ก็คิดเดินทาง นายอำเภอเฉินรีบกุรีกุจอสั่งความ เกี้ยวทั้งสามหลังถูกห้ามมาไว้ยังเบื้องหน้า เทียนอี้พาจิวอวงยี้ไปยังเกี้ยวหลังหนึ่งเลิกผ้าม่านขึ้น เชื้อเชิญให้นางเข้าไป พลันกระซิบบอกต่อนางว่า
“ที่นี้ท่านคิดอยู่ในจวน นานเท่าใดก็แล้วแต่ความพอใจของท่าน คงไม่ต้องคิดปลอมแปลงปะปนให้ยุ่งยาก”
จิวอวงยี้แม้คาดเดาออกว่ามันเป็นผู้ใดแต่ก็อดไม่ได้ต้องกล่าวถาม
“ที่แท้ท่านเป็นผู้ใด”
เทียนอี้เพียงแย้มยิ้ม กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าก็คือเทียนอี้ ยังเป็นผู้ใด”
นางต้องควักค้อนให้วงหนึ่ง ไม่ได้กล่าวกระไร เทียนอี้พลันหัวร่อชมชอบ แยกย้ายไปยังเกี้ยวของตน
ขณะทั้งหมดกำลังไปยังจวนนายอำเภอ จิวอวงยี้อยู่ภายในเกี้ยว เห็นลู่ซุนควบม้าอยู่ด้านข้าง พอเห็นท่าทางของมันก็อดขัดใจมิได้ ความจริงท่าทางมันก็ไม่มีอันใดผิดแปลก แต่ท่าทางมันบางอย่างกลับไปคับคล้ายคนผู้หนึ่งที่นางไม่ต้องการให้ผู้อื่นคับคล้าย คนผู้นั้นย่อมจารึกอยู่ในจิตใจนางห้ามผู้อื่นเสมอเหมือน ยิ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตแล้วยิ่งไม่อาจยินยอม พอผ่านแผงร้านค้าต่างๆ จิวอวงยี้พลันนึกวิธีการได้ กวักมือเรียกมันเข้ามา ทีแรกลู่ซุนยังเหลียวซ้ายแลขวาไม่ทราบนางเรียกผู้ใด แต่เห็นชี้นิ้วมายังตน จึงลงจากหลังม้าจูงเดินเข้าใกล้กล่าวถาม
“โกวเนี้ย มีเรื่องราวใด”
“เรารู้สึกคอแห้ง กับอยากรับประทานของหวาน เมื่อครู่ผ่านแผงร้านขาย ท่านไปซื้อมาให้กับเรา”
มือปราบผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้บังเอิญได้ยิน มันผู้นี้นับถือเลื่อมใสในตัวลู่ซุน หากให้มือปราบวังหลวงทำงานเล็กน้อยเช่นนี้ออกจะไม่ถูกต้อง จึงขันอาสา จิวอวงยี้พลันแสยะสีหน้าเค้นเสียงกล่าว
“เราใช้เจ้าหรือ ถึงได้เสนอหน้ามา ไม่รู้จักการะเทศะ จริงๆ”
คนผู้นี้พอถูกต่อว่า โดยสตรีที่สนิทชิดเชื้อกับองค์ไทจือไหนเลยกล้าเสนอหน้าอีก จำต้องล่าถอยออกไป ลู่ซุนพลันกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจะไปซื้อหามาให้ โกวเนี้ยโปรดรอสักครู่”
มันฝากม้ากับมือปราบผู้หนึ่งเดินไปยังร้านขาย ซื้อของหวานพุดซาเชื่อม ผลไม้ดองติดมือมา มอบต่อจิวอวงยี้ นางพลันแสยะสีหน้าคล้ายรังเกียจ กล่าวเสียงดังว่า
“ของเหล่านี้ เราไหนเลยรับประทานได้ ท่านนี้ไม่รู้ความจริงๆ”
พลันโยนทิ้ง กล่าวบอกให้ไปซื้อมาใหม่ ลู่ซุนถูกต่อว่าทำสีหน้าไม่ถูกจำต้องไปซื้อมาใหม่ เป็นเช่นนี้อยู่สี่ห้าเที่ยว จนบรรดามือปราบต้องลอบชำเลืองมองดู
ลู่ซุนเป็นมือปราบตงฉิน ย่อมมีผู้ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ ในบรรดามือปราบบ้างเห็นใจ ครุ่นคิดว่าโกวเนี้ยผู้นี้ไม่รู้ความกลับใช้นายกองมือปราบมีฝีมือผู้หนึ่งทำงานไร้สาระให้เป็นที่น้อยเนื้อต่ำใจ บ้างลอบแสยะยิ้มชื่นชมในคราเคราะห์ของผู้อื่น ถึงกับครุ่นคิดสมน้ำหน้า แต่คนพวกนี้ยามอยู่ต่อหน้าลู่ซุนไหนเลยกล้าแสดงออก ภายหลังลู่ซุนหอบหิ้วขนมหวานผลไม้เชื่อม มามากมายเป็นที่ทุลักทุเล ไม่ทราบนางต้องการรับประทานสิ่งใด แต่นางกลับโยนทิ้งทั้งหมดกล่าวแบบไม่สบอารมณ์
“ดูท่านใช้การไม่ได้แล้ว เอาเถอะ เอาเถอะ เราไม่อยากรับประทานแล้วท่านไปเถอะ”
นางหาทางบั่นทอนความโอหังลำพองของมือปราบผู้นี้ได้รู้สึกสาใจอย่างยิ่ง พอเห็นสีหน้ามัน ในใจกลับต้องลอบหัวร่อ ลู่ซุนจำต้องล่าถอยออกมา ประจำที่เดิม พอมาถึงจวน นายอำเภอเฉินนำพาคนทั้งหมดไปยังที่พักที่จัดรับรองไว้เป็นห้องหับใหญ่โต กลับเป็นห้องของมันเอง จิวอวงยี้พอถึงก็แสร้งชมจวนของนายอำเภอไม่ขาดปาก คิดอยากชมดูโดยรอบ เทียนอี้รู้ทีจึงให้นายอำเภอ นำพานางชมสถานที่โดยรอบ กำชับให้ดูแลนางอย่างดี
นายอำเภอเฉินเห็นสตรีนางนี้สวยสดงดงาม อีกทั้งยังมากับองค์ไทจือ ความเป็นมาย่อมไม่ธรรมดา จึงให้ความเกรงอกเกรงใจ นำพานางชมสถานที่โดยรอบ จิวอวงยี้ต้องลอบจดจำทางโดยละเอียด แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาไม่รู้ความ เดินไปห้องโน้นทีห้องนี้ทีคล้ายเด็กทารกซุกซนแตกตื่นสถานที่ นายอำเภอเฉินบังเกิดความหนักใจ คอยตามติดอยู่เบื้องหลัง พอถึงห้องหลังหนึ่งจิวอวงยี้คิดเปิดเข้าไป นายอำเภอเฉินรีบเข้าขวางไว้ ลนลานกล่าวว่า
“เสียวเจี๊ยะ ห้องนี้เข้าไม่ได้ ภายในมีผู้พักอาศัยอยู่”
จิวอวงยี้มีสีหน้าฉงนกล่าวถาม
“เป็นผู้ใดหรือ เรียกมาให้เราทำความรู้จักได้หรือไม่”
นายอำเภอเฉินรีบกล่าวว่า
“มันเป็นสหายของผู้น้อย ป่วยเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มาขออาศัยให้ผู้น้อยช่วยเหลือ ผู้น้อยไม่อาจทอดทิ้งมันจึงให้มันพักอยู่ในที่นี้ หากเสียวเจี๊ยะต้องการพบ ผู้น้อยจะเข้าไปเรียกให้”
จิวอวงยี้แสยะสีหน้ากล่าวว่า
“มันเมื่อเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ท่านจะเรียกมาไยกัน หากมาติดเราไยไม่ใช่ย่ำแย่ยิ่ง”
“ถูกแล้วเสียวเจี๊ยะ โรคนี้กลับรักษาได้ยากยิ่งมันป่วยมานานปีเนื้อตัวผุพอง ร่างกายดูไม่คล้ายคน จนปานนี้ยังไม่อาจรักษาได้”
จิวอวงยี้ถอยกายออกมีท่าทีคล้ายรังเกียจ กล่าวว่า
“เช่นนั้นอย่าให้เราอยู่ที่นี่นาน ท่านพาไปชมสิ่งอื่นเถอะ”
นายอำเภอเฉินต้องลอบระบายลมออกจากปาก กล่าวประจบประแจง นำพานางไปยังทิศทางอื่น จนแทบทั่วทั่งจวน พอกลับถึงห้องพัก ก็ล้มตัวครุ่นคิดถึงคนภายในห้องนั่น ไม่ทราบว่านายอำเภอเฉินซุกซ่อนผู้ใดไว้ คำคืนนี้คิดไปสำรวจตรวจดู พอตกค่ำคืนนายอำเภอเฉินคิดประจบประแจงเอาใจองค์ไทจือ จัดงานเลี้ยงฉลองกันภายใน จิวอวงยี้พลันสบโอกาสกระซิบกล่าวบอกต่อเทียนอี้ให้ดึงงานเลี้ยงออกไปยืดยาวยิ่งผู้คนเมามายมากเท่าไรยิ่งดี เทียนอี้ผงกศีรษะรับอย่างว่าง่ายกล่าวบอกต่อเอี๊ยะซินแซ เอี๊ยะซินแซความจริงไม่ค่อยอยากสุงสิงกับนาง แต่ไม่อาจขัดใจเทียนอี้ อีกทั้งเรื่องราวนี้เกี่ยวกับขุนนางกระทำการมิชอบ คิดสืบหาความจริง จึงรวมมือกับนางแต่โดยดี แสร้งทำเป็นสรวนเสเฮฮาชอบพองานเลี้ยงที่นายอำเภอจัดให้ ชวนมันดื่มกินกันยกใหญ่ ไม่ว่าบ่าวไพล่ภายในบ้านล้วนถูกเอี๊ยะซินแซ รินเหล้ากรอกสุรา ให้ดื่มกิน คนพวกนี้ไหนเลยกล้าปฏิเสธ พอตกค่ำคืนทุกคนก็เมามายกันเจ็ดแปดส่วนแล้ว เทียนอี้เห็นว่าผู้คนเมามายกันมากแล้วจึงสั่งยุติงานเลี้ยงแยกย้ายไปพักผ่อน
หลังจากงานเลี้ยงเลิกลาจิวอวงยี้กะดูเวลาคาดคิดว่าคงหลับไหลกันหมดสิ้น รีบลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดดำลอบออกมา ยามนี้คนภายในบ้านล้วนเหน็ดเหนื่อยจากงานเลี้ยง อีกทั้งบางคนยังเมามายพอศีรษะถึงหมอนก็หลับไหลเป็นตาย เวรยามที่เหลือก็ร่อยหล่อน้อยนิด นางสามารรถกระทำการได้ปลอดโปร่งยิ่ง แอบเล็ดรอดเวรยามไปตามระเบียงมุ่งตรงไปยังห้องที่บังเกิดความสงสัย พอถึงพบว่าประตูกลับไม่ได้ลงกลอน พอแง้มประตูออกสอดส่องดูภายในกลับไร้วี่แววผู้คน แต่กลับมีร่องรอยของการอยู่อาศัย ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘หรือมันออกไปด้านนอก เช่นนี้ก็ไม่ใช่คนป่วยไข้แล้ว’
พลันสายตาเหลือบแลเห็นประตูศิลาอยู่ติดชิดกำแพง ประตูนี้กลับไม่ปกปิด เห็นได้โดยง่าย แต่กลับเปิดออกยากยิ่ง ควานหาวิธีเปิดอยู่เนิ่นนานยังไม่สามารถเปิดออกได้ ต้องครุ่นคิดว่าหลังประตูนี้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ขณะขบคิดวุ่นวาย กลับได้ยินเสียงฝีเท้า ผู้คนหลายคนมุ่งตรงมา ต้องรีบหาที่หลบซ่อน แต่ในห้องคับแคบไหนเลยมีที่ให้ซ่อนตัวมากมาย เห็นใต้เตียงเป็นที่เหมาะสมไม่ขบคิดมากความมุดปราดเข้าไปโดยเร็ว พอสอดขาเข้าไปต้องใจหายวาบ ร่างกายพลันถูกฉุดดึงหงายร่างเข้าไปภายใต้เตียง นางไหนเลยคาดคิดว่าภายใต้เตียงยามนี้มีผู้คนซุ่มซ่อนอยู่ คนผู้นั้นพอฉุดดึงนางเข้าไปกริ่งเกรงนางส่งเสียง ใช้มือกดปิดปากไว้ อีกมือหนึ่งคว้าเข้าที่ลำคอ บังคับไม่ให้ดิ้นรนขัดขืน
เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งสองโดยสารม้าที่ให้ทางโรงเตี้ยมจัดหามาให้เมื่อเย็นวาน พอใกล้บรรลุถึงเอี๊ยะซินแซก็แยกตัวออกไปปะปนกับผู้คนที่มาชมสวน เทียนอี้ฝากม้าไว้กับเพิงร้านขายสุราอาหารแห่งหนึ่ง ตนเองเดินไปตามทางสวนดอกไม้ตามที่นัดหมาย ในสวนดอกไม้นี้มีร้านขายน้ำชาสุราอาหาร สามสี่ร้าน มีเก๋งพักชื่นชมดอกไม้ ปลูกสร้างห่างออกจากกันเป็นระยะ พอมาถึงเก๋งที่นางนัดหมาย ต้องชะงักเท้าไม่อาจก้าวเดิน เหม่อมองภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าอย่างเคลิบเคลิ้ม
ภายในเก๋งนั่งไว้ด้วยสตรีงามเฉิดฉาย นั่งจิบสุราด้วยท่าทีผ่อนคลายใบหน้าขาวเนียนมีเลือดฝาดแต้มเติม สองแกล้มเปล่งปลั่งนวลใย ริมฝีปากอิ่มเอิบมีสีชมพู บนศีรษะประดับปิ่นมุกร้อยห้อยระย้า สวมใส่อาภรณ์สีเหลืองอ่อนประดับเกร็ดขาวต้องสะท้อนแสงตะวันระยับตา หากกล่าวว่าธิดาสวรรค์ลงมาชมสวนแห่งนี้ก็กล่าวได้ไม่ผิด เซียวเสียวเจี๊ยะในวันก่อนนับว่างดงามแล้ว แต่เซียวเสียวเจี๊ยะในวันนี้กลับงดงามยิ่งกว่า ถึงกับเหม่อมองจนลืมเลือน พลันได้สติเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ของนางพร้อมกับน้ำเสียงที่กล่าวเรียก
“เทียนกงจื้อ ท่านมาแล้ว”
คล้ายกับถูกเสียงของนางสะกดให้เดินเข้าหา ทั้งยังไม่ได้กล่าวทักทาย ก็ทรุดลงนั่งที่ม้านั่ง สายตายังเหม่อมองนางไม่วาง นางต้องใช้มือจับลูบเรือนผม กับใบหน้ากล่าวขึ้นว่า
“เทียนกงจื้อ ใบหน้าข้าพเจ้ามีอันใดผิดแปลกไปหรือ ท่านถึงได้จ่องมองอยู่เช่นนั้น”
“ผิดแปลกจริงๆ เพียงแต่ว่างดงามขึ้น...”
มันกลับกล่าวโดยไม่ทันขบคิด พอรู้ตัวว่าพลั้งปาก เกรงว่านางจะมองเป็นคนเจ้าชู้กรุ่มกริ่ม ต้องตกประหม่าเล็กน้อย จิวอวงยี้ครึ่งยิ้มครึ่งบึ่ง จัดแจงนำกลับแกล้มในตะกร้าออกมาจัดวาง รินสุราส่งให้ พร้อมแย้มยิ้มกล่าวว่า
“เทียนกงจื้อ ในที่นี้ไม่มีน้ำผึ้งผสมสุรา นับว่าข้าพเจ้าไม่รู้ความจัดเตรียมสุราไม่ถูกต้อง ความหวานใจวาจาท่านคงต้องลดน้อยถอยลง แต่ก็ยังคงดื่มเถิด”
พอฟังนางเย้าแหย่ ต้องหัวเราะเบาๆผ่อนคลายลง รับสุราขึ้นดื่ม แต่ก็ยังนึกวาจากล่าวออกไม่ได้ มันความจริงเป็นคนช่างเจรจาผู้หนึ่งแต่เมื่ออยู่ต่อหน้านางสองต่อสองเช่นนี้ ไม่ทราบเพราะเหตุใด จึงกลับกลายคล้ายเป็นคนใบ้
จิวอวงยี้กลับเป็นฝ่ายชวนสนทนาขึ้น ในคำสนทนามักเปิดโอกาสให้เทียนอี้สอดแทรก เทียนอี้เมื่อได้ออกวาจาบ่อยครั้งก็ลื่นไหล กลับกลายเป็นฝ่ายพูดคุยมากขึ้น จิวอวงยี้เรียนรู้การสนทนามาจากคังหมิ่น และสิ่งนี้กับติดตัวจนเป็นนิสัยของนาง หากคิดเป็นคู่สนทนาที่ดีไม่ใช่เฉพาะ แค่กล่าววาจา แต่หากเป็นการรับฟัง คอยสอดแทรกสร้างอรรถรส
เทียนอี้ยิ่งกล่าวยิ่งมาก แม้เป็นเรื่องชวนหัวเล็กน้อย ทั้งคู่ยังต่อประโยคยืดยาวจนหัวร่องอหงาย รู้สึกว่าตนเองไม่เคยสนทนากับสตรีใดได้ออกรสชาติเช่นนี้มาก่อน ต้องลอบครุ่นคิด ‘หากได้นางมาเคียงคู่ ชีวิตนี้ก็ไม่น่าเบื่อแล้ว’
บุรุษผู้หนึ่งหากพูดจาสร้างความสนุกสนานให้สตรีงดงามชมชอบได้นั้น ไม่ทราบว่ามันจะมีความสุขสักเพียงไหน ยิ่งเป็นสตรีที่ตนเองหมายปองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เทียนอี้เองยามนี้ก็รู้สึกเช่นนั้น ไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใดยามได้สนทนากับนางแล้วรู้สึกปลอดโปล่ง ผ่อนคลาย ด้วยกิริยาง่ายๆไม่มีพิธีของนาง กลับทำให้มันกล้าพูดคุยทุกเรื่องราว บ้างคราถึงกลับแฝงการเกี่ยวพาราสีโดยไม่รู้ตัว จิวอวงยี้พอฟัง บ้างยิ้มแย้ม บ้างขุ่นเคือง บ้างหัวร่อ ท่าทางของนางเหล่านี้ยิ่งทำให้เทียนอี้หัวใจพองโต หากเป็นผู้อื่นมานั่งฟังทั้งสองสนทนา ต้องครุ่นคิดว่า หนุ่มสาวคู่นี้ออกจะ กล่าววาจาเกินสำรวมไปบ้าง แต่มันทั้งคู่ไหนเลยแยแสสนใจ พอพูดคุยถึงเรื่องราววัยเยาว์ จู่จู่นางก็หม่นหมองลง สีหน้าส่อแววหดหู่คล้ายมีความทุกข์ใจ เทียนอี้อดไม่ได้ต้องกล่าวถาม
“เซียวเสียวเจี๊ยะ ท่านมีเรื่องราวใดไม่สบายใจหรือ บอกต่อสหายผู้นี้ได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจแบ่งเบาความทุกข์ของท่านได้”
คำว่าสหายกลับกล่าวไม่ได้เต็มปากเต็มคำ มันไหนเลยอยากเป็นเพียงแค่สหาย แต่ก็หาคำที่ดีกว่านี้กล่าวออกไปไม่ได้ จิวอวงยี้นิ่งงันครู่หนึ่ง ค่อยสบตามันฝืนยิ้มขึ้น กล่าวว่า
“ท่านเมื่อรับข้าพเจ้าเป็นสหายนับว่าให้เกียรติมากแล้ว หากข้าพเจ้าปิดบังต่อไป คงไม่แสดงถึงความจริงใจ ความจริงข้าพเจ้าไม่ใช่แซ่เซียว แต่แซ่จิว เรียกว่าอวงยี้ ที่ต้องปกปิดชื่อแซ่เพราะมีความคับแค้นใจบางประการ”
เทียนอี้ต้องตระหนกเล็กน้อย แต่ในใจกลับปลาบปลื้มประโลม ที่นางบอกความจริงต่อตน นี่ใยไม่ใช่นางให้ความสำคัญต่อเรา แต่หวนนึกถึงอีกด้าน ตนเองกลับไม่สามารถกล่าวบอกความจริงต่อนางได้ ต้องลอบละอาย จึงกล่าวขึ้น
“ที่แท้ ท่านแซ่จิว จิวเสียวเจี๊ยะ ท่านมีความคับแค้นใจอันใดพอบอกกล่าวได้หรือไม่”
นางผงกศีรษะรับอย่างแช่มช้อยกล่าวว่า
“เทียนกงจื้อเมื่อยึดถือข้าพเจ้าเป็นสหาย ก็ไม่มีอันใดคิดปิดบัง เมื่อครู่เราสนทนาถึงเรื่องวัยเยาว์ ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงบิดามารดา เอี่ยเอี้ย และหลายคนในครอบครัว ทั้งหมดล้วนถูกสังหารสิ้นในข้ามคืนเดียว”
เทียนอี้ต้องตื่นตะลึงรีบกล่าวถาม
“ไฉนถึงเป็นเช่นนั้น”
จิวอวงยี้ สั่นศีรษะน้อยๆกล่าวว่า
“ความนัยน์สาเหตุข้าพเจ้าก็ไม่ทราบ ครั้งนั้นข้าพเจ้ายังเยาว์วัย จำได้แต่เพียงว่า มีคนร้ายสองคนบุกเข้ามาในยามค่ำคืนเข่นฆ่าสังหารคนในบ้าน มีเพียงข้าพเจ้าที่โชคดีสามารถรอดชีวิตมาได้” พลันเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนให้เทียนอี้รับฟัง ทั้งยังบอกเรื่องที่นายอำเภอเฉินดึงเรื่องยืดเยื้อทั้งที่ได้รับข่าวแจ้งแล้วกลับไม่รีบรุดมาช่วยเหลือ
เทียนอี้ต้องเดือดดาลขึ้น รวบพัดจีบโดยแรงตบเข้าที่ฝ่ามือ กล่าวเสียงกราดเกรี้ยว
“เป็นถึงนายอำเภอปกครองคน กลับสมคบกับคนต่ำช้า เข่นฆ่าสังหารคนดี คนผู้นี้ต่อให้มีสิบหัวก็ไม่พอให้เราประหาร”
พอกล่าวจบพบเห็นสีหน้าแววตาฉงนของจิวอวงยี้ เพ่งมองมา รู้สึกตัวว่าพลั้งปาก ต้องรีบยิ้มแย้มกล่าวกลบเกลื่อนว่า
“ข้าพเจ้าหมายถึง หากข้าพเจ้าฆ่ามันได้ คงต้องฆ่ามันสักสิบหน ในความชั่วช้าของมัน”
จิวอวงยี้พลันกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าไม่อาจปรักปรำคนโดยไร้หลักฐาน ยามนี้เพียงคิดสงสัย หลายวันมานี้คิดปลอมปนเข้าไปยังในจวน เพื่อสืบหาข้อเท็จจริง แต่ก็ไร้หนทาง”
ใบหน้าเทียนอี้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นกล่าวว่า
“คิดเข้าไปในจวนนายอำเภอนั้นง่ายดายยิ่ง ท่านไม่ต้องคิดหาวิธีปลอมปนแล้ว ไว้เป็นภาระข้าพเจ้า”
จิวอวงยี้ปิติยินดียิ่งรีบกล่าวว่า
“ท่านมีวิธี”
“วิธีย่อมมี แต่ว่าข้าพเจ้าไม่สามารถบ่งบอกได้ตอนนี้ ไว้พรุ่งนี้เราจะเข้าจวนนายอำเภอด้วยกัน”
มันยิ้มแย้มอย่างมีเลศนัย คล้ายว่าพรุ่งนี้ต้องมีเรื่องราวให้นางประหลาดใจ จิวอวงยี้รู้ทีจึงไม่คาดครั้น ย่อกายคาวะ ขอบคุณอย่างชดช้อย นั่งลงดื่มสนทนาต่อไปอีกครู่ ขณะที่ทั้งคู่สนทนา ในที่ห่างออกไปไม่ไกลกลับมีสายตาจับจ่องมองดูอยู่ตลอด มันย่อมเป็นเอี๊ยะซินแซ เห็นทั้งคู่สนทนาอย่างสนิทชิดเชื้อเป็นกันเองแม้ไม่ได้ยินได้ฟังแต่ดูจากอากัปกิริยาแล้วน่าจะเป็นเช่นนั้น ต้องครุ่นคิดขึ้น’หรือเซียวเสียวเจี๊ยะผู้นี้ สนใจเสียวเอี้ยของเราจริงๆ’
เช้าวันต่อมา จิวอวงยี้ ลงมายังชั้นล่างของโรงเตี้ยม ตามที่นัดหมาย เห็นเทียนอี้กับเอี๊ยะซินแซ นั่งค่อยอยู่ก่อนแล้ว พอนางลงมาเทียนอี้รีบเชื้อเชิญให้รับประทานอาหารร่วมกันก่อนค่อยไปที่จวนนายอำเภอ ขณะรับประทานอาหารยังไม่ทันเสร็จสิ้น ลู่ซุนพลันควบขี่ม้านำหน้าบรรดามือปราบเมืองกันจือ ร้อยกว่านายเกือบเรียกได้ว่าเป็นมือปราบที่อยู่ในเมืองกันจือนี้แทบทั้งหมด ตามหลังด้วยขบวนเกี้ยวอีกสี่หลัง ตรงมายังหน้าโรงเตี้ยม จิวอวงยี้พอเห็นบรรดามือปราบแห่กันมามากมายมุ่งตรงมา ต้องตระหนกครุ่นคิด ‘หรือว่ามือปราบจอมวางท่านั่น ทราบว่าเราเป็นผู้ใดนำกำลังมาจับกุมเรา’ ยังทำใจเย็นสู้เสือ ไม่มีท่าทีประหวั่นลนลาน นั่งรับประทานอาหารต่อย่างนิ่งเฉย แต่สายตาคอยส่ายส่องหาช่องทางหนีที่ไล่
ขบวนมือปราบพอมาถึงก็ตั้งแถวเรียงรายเป็นระเบียบเรียบร้อย เกี้ยวหลังหนึ่งถูกห้ามมาเบื้องหน้ายังไม่ทันวางลง คนในเกี้ยวก็รีบเลิกม่านก้าวออกมา อย่างรีบร้อนรุกรน คนผู้นี้มีรูปร่างอ้วนฉุ ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ตาเล็กหยี อายุสี่สิบเศษแต่งตัวข้าราชการเต็มยศ มันกลับเป็นนายอำเภอเฉิน พอลงจากเกี้ยวได้รีบไปกระซิบกระซาบกับลู่ซุน ลู่ซุนชี้นิ้วไปยังคนทั้งสามที่นั่งรับประทานอาหาร ไม่รีรอให้ลู่ซุนกล่าวอันใดรีบย้ายร่างกายอวบอ้วนของมันเข้าไปยังโรงเตี้ยม ลู่ซุนรีบติดตามเข้าไป บรรดาแขกภายในร้านเห็นนายอำเภอนำกำลังมือปราบมามากมายไม่ทราบว่ามีเหตุการณ์ใดต่างจ่องมองด้วยความฉงน คนรับใช้เห็นนายอำเภอเฉินมารีบตรงเข้าไปต้อนรับแต่ก็ถูกมันพลักออกให้พ้นทาง รีบเข้าไปยังโต๊ะของเทียนอี้ พอถึงก็คิดก้มลงคุกเข่า แต่ลู่ซุนฉุดดึงร่างไว้ไม่ให้มันคุกเข่าลง มันต้องรีบหันไปกล่าวคล้ายตวาด
“ท่านคิดทำอันใด ยังไม่ปล่อยมือให้เราทำความเคารพ”
ลู่ซุนแม้เป็นมือปราบ แต่เป็นมือปราบวังหลวงทุกประการไม่ได้ขึ้นอยู่กับ กรมเมืองตามเมืองต่างๆ นำเสียงแม้ดูออกเป็นตวาดแต่ยังแฝงการย่ำเกรงต่อศักดิ์ศรีของมัน จึงไม่กล้ากล่าวคำรุนแรง เอี๊ยะซินแซพลันกล่าวแทรกขึ้น น้ำเสียงคล้ายตำหนิต่อว่า
“มันทำถูกแล้ว... นายอำเภอเฉินคงไม่อ่านสารที่เราส่งมอบให้โดยละเอียดกระมัง ถึงได้นำผู้คนมาเป็นที่อึกทึกคึกโครม”
มันต้องหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเผือกขาว เหงื่อหน้าผากไหลซึมรีบกล่าวว่า
“ผู้ต่ำต้อยสมควรตาย เพียงแต่เกรงว่าหากให้การอารักษ์ขา ต้อนรับไม่ดี จะเป็นที่ไม่พอพระ..”
มันกล่าวยังไม่ทันจบประโยคเอี๊ยะซินแซพลันกระแอมไอกลบเกลื่อน ถลึงตาใส่ มันค่อยรู้สึกตัวว่ากล่าวผิดรีบเปลี่ยนคำพูด
“เกรงเป็นที่ไม่พอใจ ของ.. เอ้อ.. ของ”
เอี้ยะซินแซพลันกล่าวขึ้น
“เสียวเอี้ย”
“ใช่แล้วเสียวเอี้ย”
มันพอกล่าวจบต้องลอบระบายลมหายใจออกจากปาก เทียนอี้หันไปยิ้มแย้มให้ มันกลับไม่กล้าจ่องสบตารีบหลุบหน้าลง เทียนอี้กล่าวว่า
“ท่านนายอำเภอ ท่านก็นั่งลงเถอะ ที่โต๊ะเรายังมีที่ว่าง เรายังรับประทานไม่เสร็จสิ้นรออิ่มหนำแล้วค่อยเดินทาง ”
มันไหนเลยกล้านั่งลง กล่าวแต่ว่าคำว่า มิกล้า พอเทียนอี้ส่งประกายตาเชิงบังคับ จำต้องหย่อนกายนั่งลงท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวยิ่ง ไหนเลยเหลือท่าทางนายอำเภอที่ชอบอวดโอ้อำนาจ จิวอวงยี้ลอบสังเกตุอาการของผู้คนที่มีต่อเทียนอี้รู้สึกว่าย่ำเกรงต่อคนผู้นี้อย่างยิ่ง ต้องครุ่นคิดว่าคนผู้นี้คงไม่ใช่บุตรขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว ต่อให้เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่มาเอง คนพวกนี้คงไม่นอบน้อมกลัวเกรงถึงเพียงนี้ ดูลักษณะของพวกมันคล้ายพบเจอฮ้องเต้ ก็มิปาน แต่ฮ้องแต่ในปัจจุบันไหนเลยหนุ่มแน่นวัยเยาว์ พอความคิดหนึ่งประดังวูบเข้าสู่ห้วงสมองตะเกียบแทบหลุดมือ
“หรือมันคือลูกฮ้องเต้ เช่นนั้นมันก็เป็นองค์ชายแล้ว”
ที่นางคาดคิดไม่ผิด เทียนอี้ไม่เพียงเป็นแค่องค์ชาย แต่เป็นถึงองค์รัชทายาท ดำรงตำแหน่งไทจือผู้ที่จะขึ้นเป็นฮ้องเต้องค์ต่อไป ความจริงเทียนอี้เป็นองค์ชายลำดับที่เจ็ด หากนับตามขั้นตอนการสืบทอดราชบัลลังแล้ว ยังห่างอีกหกช่วง จากพี่น้องเจ็ดคน แต่กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาทสืบทอด ย่อมบ่งบอกถึง ฮ้องเต้ทรงโปรดปราณเทียนอี้มากเพียงใด คนพวกนี้เมื่อพบเทียนอี้ ก็ไม่ต่างจากพบฮ้องเต้องค์ปัจจุบัน ย่อมต้องนอบน้อมเกรงกลัว
ทั้งสามพอรับประทานเสร็จสิ้น ก็คิดเดินทาง นายอำเภอเฉินรีบกุรีกุจอสั่งความ เกี้ยวทั้งสามหลังถูกห้ามมาไว้ยังเบื้องหน้า เทียนอี้พาจิวอวงยี้ไปยังเกี้ยวหลังหนึ่งเลิกผ้าม่านขึ้น เชื้อเชิญให้นางเข้าไป พลันกระซิบบอกต่อนางว่า
“ที่นี้ท่านคิดอยู่ในจวน นานเท่าใดก็แล้วแต่ความพอใจของท่าน คงไม่ต้องคิดปลอมแปลงปะปนให้ยุ่งยาก”
จิวอวงยี้แม้คาดเดาออกว่ามันเป็นผู้ใดแต่ก็อดไม่ได้ต้องกล่าวถาม
“ที่แท้ท่านเป็นผู้ใด”
เทียนอี้เพียงแย้มยิ้ม กล่าวว่า
“ข้าพเจ้าก็คือเทียนอี้ ยังเป็นผู้ใด”
นางต้องควักค้อนให้วงหนึ่ง ไม่ได้กล่าวกระไร เทียนอี้พลันหัวร่อชมชอบ แยกย้ายไปยังเกี้ยวของตน
ขณะทั้งหมดกำลังไปยังจวนนายอำเภอ จิวอวงยี้อยู่ภายในเกี้ยว เห็นลู่ซุนควบม้าอยู่ด้านข้าง พอเห็นท่าทางของมันก็อดขัดใจมิได้ ความจริงท่าทางมันก็ไม่มีอันใดผิดแปลก แต่ท่าทางมันบางอย่างกลับไปคับคล้ายคนผู้หนึ่งที่นางไม่ต้องการให้ผู้อื่นคับคล้าย คนผู้นั้นย่อมจารึกอยู่ในจิตใจนางห้ามผู้อื่นเสมอเหมือน ยิ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตแล้วยิ่งไม่อาจยินยอม พอผ่านแผงร้านค้าต่างๆ จิวอวงยี้พลันนึกวิธีการได้ กวักมือเรียกมันเข้ามา ทีแรกลู่ซุนยังเหลียวซ้ายแลขวาไม่ทราบนางเรียกผู้ใด แต่เห็นชี้นิ้วมายังตน จึงลงจากหลังม้าจูงเดินเข้าใกล้กล่าวถาม
“โกวเนี้ย มีเรื่องราวใด”
“เรารู้สึกคอแห้ง กับอยากรับประทานของหวาน เมื่อครู่ผ่านแผงร้านขาย ท่านไปซื้อมาให้กับเรา”
มือปราบผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้บังเอิญได้ยิน มันผู้นี้นับถือเลื่อมใสในตัวลู่ซุน หากให้มือปราบวังหลวงทำงานเล็กน้อยเช่นนี้ออกจะไม่ถูกต้อง จึงขันอาสา จิวอวงยี้พลันแสยะสีหน้าเค้นเสียงกล่าว
“เราใช้เจ้าหรือ ถึงได้เสนอหน้ามา ไม่รู้จักการะเทศะ จริงๆ”
คนผู้นี้พอถูกต่อว่า โดยสตรีที่สนิทชิดเชื้อกับองค์ไทจือไหนเลยกล้าเสนอหน้าอีก จำต้องล่าถอยออกไป ลู่ซุนพลันกล่าวว่า
“ข้าพเจ้าจะไปซื้อหามาให้ โกวเนี้ยโปรดรอสักครู่”
มันฝากม้ากับมือปราบผู้หนึ่งเดินไปยังร้านขาย ซื้อของหวานพุดซาเชื่อม ผลไม้ดองติดมือมา มอบต่อจิวอวงยี้ นางพลันแสยะสีหน้าคล้ายรังเกียจ กล่าวเสียงดังว่า
“ของเหล่านี้ เราไหนเลยรับประทานได้ ท่านนี้ไม่รู้ความจริงๆ”
พลันโยนทิ้ง กล่าวบอกให้ไปซื้อมาใหม่ ลู่ซุนถูกต่อว่าทำสีหน้าไม่ถูกจำต้องไปซื้อมาใหม่ เป็นเช่นนี้อยู่สี่ห้าเที่ยว จนบรรดามือปราบต้องลอบชำเลืองมองดู
ลู่ซุนเป็นมือปราบตงฉิน ย่อมมีผู้ชื่นชอบและไม่ชื่นชอบ ในบรรดามือปราบบ้างเห็นใจ ครุ่นคิดว่าโกวเนี้ยผู้นี้ไม่รู้ความกลับใช้นายกองมือปราบมีฝีมือผู้หนึ่งทำงานไร้สาระให้เป็นที่น้อยเนื้อต่ำใจ บ้างลอบแสยะยิ้มชื่นชมในคราเคราะห์ของผู้อื่น ถึงกับครุ่นคิดสมน้ำหน้า แต่คนพวกนี้ยามอยู่ต่อหน้าลู่ซุนไหนเลยกล้าแสดงออก ภายหลังลู่ซุนหอบหิ้วขนมหวานผลไม้เชื่อม มามากมายเป็นที่ทุลักทุเล ไม่ทราบนางต้องการรับประทานสิ่งใด แต่นางกลับโยนทิ้งทั้งหมดกล่าวแบบไม่สบอารมณ์
“ดูท่านใช้การไม่ได้แล้ว เอาเถอะ เอาเถอะ เราไม่อยากรับประทานแล้วท่านไปเถอะ”
นางหาทางบั่นทอนความโอหังลำพองของมือปราบผู้นี้ได้รู้สึกสาใจอย่างยิ่ง พอเห็นสีหน้ามัน ในใจกลับต้องลอบหัวร่อ ลู่ซุนจำต้องล่าถอยออกมา ประจำที่เดิม พอมาถึงจวน นายอำเภอเฉินนำพาคนทั้งหมดไปยังที่พักที่จัดรับรองไว้เป็นห้องหับใหญ่โต กลับเป็นห้องของมันเอง จิวอวงยี้พอถึงก็แสร้งชมจวนของนายอำเภอไม่ขาดปาก คิดอยากชมดูโดยรอบ เทียนอี้รู้ทีจึงให้นายอำเภอ นำพานางชมสถานที่โดยรอบ กำชับให้ดูแลนางอย่างดี
นายอำเภอเฉินเห็นสตรีนางนี้สวยสดงดงาม อีกทั้งยังมากับองค์ไทจือ ความเป็นมาย่อมไม่ธรรมดา จึงให้ความเกรงอกเกรงใจ นำพานางชมสถานที่โดยรอบ จิวอวงยี้ต้องลอบจดจำทางโดยละเอียด แสร้งทำเป็นไร้เดียงสาไม่รู้ความ เดินไปห้องโน้นทีห้องนี้ทีคล้ายเด็กทารกซุกซนแตกตื่นสถานที่ นายอำเภอเฉินบังเกิดความหนักใจ คอยตามติดอยู่เบื้องหลัง พอถึงห้องหลังหนึ่งจิวอวงยี้คิดเปิดเข้าไป นายอำเภอเฉินรีบเข้าขวางไว้ ลนลานกล่าวว่า
“เสียวเจี๊ยะ ห้องนี้เข้าไม่ได้ ภายในมีผู้พักอาศัยอยู่”
จิวอวงยี้มีสีหน้าฉงนกล่าวถาม
“เป็นผู้ใดหรือ เรียกมาให้เราทำความรู้จักได้หรือไม่”
นายอำเภอเฉินรีบกล่าวว่า
“มันเป็นสหายของผู้น้อย ป่วยเป็นโรคติดต่อร้ายแรง มาขออาศัยให้ผู้น้อยช่วยเหลือ ผู้น้อยไม่อาจทอดทิ้งมันจึงให้มันพักอยู่ในที่นี้ หากเสียวเจี๊ยะต้องการพบ ผู้น้อยจะเข้าไปเรียกให้”
จิวอวงยี้แสยะสีหน้ากล่าวว่า
“มันเมื่อเป็นโรคติดต่อร้ายแรง ท่านจะเรียกมาไยกัน หากมาติดเราไยไม่ใช่ย่ำแย่ยิ่ง”
“ถูกแล้วเสียวเจี๊ยะ โรคนี้กลับรักษาได้ยากยิ่งมันป่วยมานานปีเนื้อตัวผุพอง ร่างกายดูไม่คล้ายคน จนปานนี้ยังไม่อาจรักษาได้”
จิวอวงยี้ถอยกายออกมีท่าทีคล้ายรังเกียจ กล่าวว่า
“เช่นนั้นอย่าให้เราอยู่ที่นี่นาน ท่านพาไปชมสิ่งอื่นเถอะ”
นายอำเภอเฉินต้องลอบระบายลมออกจากปาก กล่าวประจบประแจง นำพานางไปยังทิศทางอื่น จนแทบทั่วทั่งจวน พอกลับถึงห้องพัก ก็ล้มตัวครุ่นคิดถึงคนภายในห้องนั่น ไม่ทราบว่านายอำเภอเฉินซุกซ่อนผู้ใดไว้ คำคืนนี้คิดไปสำรวจตรวจดู พอตกค่ำคืนนายอำเภอเฉินคิดประจบประแจงเอาใจองค์ไทจือ จัดงานเลี้ยงฉลองกันภายใน จิวอวงยี้พลันสบโอกาสกระซิบกล่าวบอกต่อเทียนอี้ให้ดึงงานเลี้ยงออกไปยืดยาวยิ่งผู้คนเมามายมากเท่าไรยิ่งดี เทียนอี้ผงกศีรษะรับอย่างว่าง่ายกล่าวบอกต่อเอี๊ยะซินแซ เอี๊ยะซินแซความจริงไม่ค่อยอยากสุงสิงกับนาง แต่ไม่อาจขัดใจเทียนอี้ อีกทั้งเรื่องราวนี้เกี่ยวกับขุนนางกระทำการมิชอบ คิดสืบหาความจริง จึงรวมมือกับนางแต่โดยดี แสร้งทำเป็นสรวนเสเฮฮาชอบพองานเลี้ยงที่นายอำเภอจัดให้ ชวนมันดื่มกินกันยกใหญ่ ไม่ว่าบ่าวไพล่ภายในบ้านล้วนถูกเอี๊ยะซินแซ รินเหล้ากรอกสุรา ให้ดื่มกิน คนพวกนี้ไหนเลยกล้าปฏิเสธ พอตกค่ำคืนทุกคนก็เมามายกันเจ็ดแปดส่วนแล้ว เทียนอี้เห็นว่าผู้คนเมามายกันมากแล้วจึงสั่งยุติงานเลี้ยงแยกย้ายไปพักผ่อน
หลังจากงานเลี้ยงเลิกลาจิวอวงยี้กะดูเวลาคาดคิดว่าคงหลับไหลกันหมดสิ้น รีบลุกขึ้นผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นชุดดำลอบออกมา ยามนี้คนภายในบ้านล้วนเหน็ดเหนื่อยจากงานเลี้ยง อีกทั้งบางคนยังเมามายพอศีรษะถึงหมอนก็หลับไหลเป็นตาย เวรยามที่เหลือก็ร่อยหล่อน้อยนิด นางสามารรถกระทำการได้ปลอดโปร่งยิ่ง แอบเล็ดรอดเวรยามไปตามระเบียงมุ่งตรงไปยังห้องที่บังเกิดความสงสัย พอถึงพบว่าประตูกลับไม่ได้ลงกลอน พอแง้มประตูออกสอดส่องดูภายในกลับไร้วี่แววผู้คน แต่กลับมีร่องรอยของการอยู่อาศัย ต้องครุ่นคิดขึ้น ‘หรือมันออกไปด้านนอก เช่นนี้ก็ไม่ใช่คนป่วยไข้แล้ว’
พลันสายตาเหลือบแลเห็นประตูศิลาอยู่ติดชิดกำแพง ประตูนี้กลับไม่ปกปิด เห็นได้โดยง่าย แต่กลับเปิดออกยากยิ่ง ควานหาวิธีเปิดอยู่เนิ่นนานยังไม่สามารถเปิดออกได้ ต้องครุ่นคิดว่าหลังประตูนี้ซุกซ่อนสิ่งใดไว้ ขณะขบคิดวุ่นวาย กลับได้ยินเสียงฝีเท้า ผู้คนหลายคนมุ่งตรงมา ต้องรีบหาที่หลบซ่อน แต่ในห้องคับแคบไหนเลยมีที่ให้ซ่อนตัวมากมาย เห็นใต้เตียงเป็นที่เหมาะสมไม่ขบคิดมากความมุดปราดเข้าไปโดยเร็ว พอสอดขาเข้าไปต้องใจหายวาบ ร่างกายพลันถูกฉุดดึงหงายร่างเข้าไปภายใต้เตียง นางไหนเลยคาดคิดว่าภายใต้เตียงยามนี้มีผู้คนซุ่มซ่อนอยู่ คนผู้นั้นพอฉุดดึงนางเข้าไปกริ่งเกรงนางส่งเสียง ใช้มือกดปิดปากไว้ อีกมือหนึ่งคว้าเข้าที่ลำคอ บังคับไม่ให้ดิ้นรนขัดขืน
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
1ความคิดเห็น