ลำดับตอนที่ #7
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : สายเลือดมังกร
ตอนที่ 7
สายเลือดมังกร
โดย
จิ้งจอกหางขาว
เมื่อประตูห้องถูกปิด เงาดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
หมิงซื่อเอื้อมมือจับดาบที่แนบอยู่ข้างเอวก่อนจะวิ่งเข้าไปปกป้องคนรักโดยสัญชาตญาณ
แต่เงาดำที่ดูมืดมิดและน่าสะพรึงกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของชายชรา
พ่อมดวารากุน—ผมขาวเป็นประกาย หนวดเครายาวเป็นระเบียบ ดวงตาสีเหล็กเปี่ยมไปด้วยพลังและปัญญา เขาสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท มือข้างหนึ่งถือไม้เท้าสีขาว ซึ่งมีลูกแก้วเรืองแสงฝังอยู่ที่ส่วนปลาย เสียงของวารากุนก้องกังวานราวกับสะท้อนจากหุบเขา
"องค์หญิง ข้าได้นำของสิ่งนี้มาให้"
เขาแบมือออก เผยให้เห็นมีดเขี้ยวหมาป่าขนาดใหญ่ สลักลวดลายโซยอมโบเป็นเมฆมงคล งดงามด้วยอัญมณีล้ำค่า
"ของสิ่งนี้เป็นพรจากเทพหมาป่า มันจะปกป้องท่านในยามคับขัน"
องค์หญิงโซกิเบกิรับมีดเล่มนั้นไว้ในมือแน่น รู้สึกถึงพลังอันเร้นลับที่แผ่ออกมาจากมัน หมิงซื่อแม้จะเห็นว่าผู้เฒ่ามาดี แต่เขาก็ยังไม่อาจลดความระมัดระวังลง ดาบในมือยังคงเตรียมพร้อม
เขาแบมือออก เผยให้เห็นมีดเขี้ยวหมาป่าขนาดใหญ่ สลักลวดลายโซยอมโบเป็นเมฆมงคล งดงามด้วยอัญมณีล้ำค่า
"ของสิ่งนี้เป็นพรจากเทพหมาป่า มันจะปกป้องท่านในยามคับขัน"
"องค์หญิง จงเชื่อมั่นในเทพหมาป่า ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่าได้มอบมีดเล่มนี้ให้แก่ผู้ใด"
เสียงของวารากุนเปี่ยมด้วยอำนาจ ราวกับทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทันใดนั้น ร่างสูงใหญ่ของพ่อมดวารากุนพลันกลายเป็นควันสีดำและจางหายไปในพริบตา องค์หญิงก้มลงมองมีดในมือ แต่แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง—มีดเล่มนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับ เป็นเขี้ยวหมาป่าสีเงินวาวที่ดูงดงามเหนือคำบรรยาย เธอยกมือขึ้นแนบอก
"ขอบคุณท่านเทพหมาป่า และขอบคุณท่านพ่อมดวารากุน"
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หมิงซื่อค่อยๆ เก็บดาบลง สายตาเขาจับจ้ององค์หญิงผู้เป็นที่รัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
"ข้าไม่ควรพาเจ้ามาพบกับความลำบากเช่นนี้เลย... ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้"
องค์หญิงน้ำตาคลอ มองหน้าผู้เป็นที่รัก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน
"ในเมื่อข้าตัดสินใจแต่งงานกับท่านพี่แล้ว ข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่านไปชั่วชีวิต"
เธอเอ่ยด้วยความกล้าหาญและแน่วแน่ พร้อมเผชิญทุกอุปสรรคไปด้วยกัน
"เช่นนี้แล้ว ท่านพี่คิดจะทำอย่างไรต่อไป?"
หมิงซื่อเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... ข้าจะต้องพาเจ้ากลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด"
ทันใดนั้น—เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ท่านอ๋อง!... ข้า หานเฟิง เอง!"
เสียงที่ดังมาจากหลังประตูทำให้ทั้งคู่หันขวับไปมอง เมื่อประตูเปิดออก หานเฟิง หนึ่งในองครักษ์มือขวาของฮ่องเต้หมิงซื่อ ได้วิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน
"กราบทูลฝ่าบาท ทหารที่โจมตีเราเป็นคนของไท่ฮองเฮ้า และตอนนี้ในวังกำลังปั่นป่วน แบ่งเป็นสองฝ่าย เพราะไท่ฮองเฮ้าอยากให้อ๋องหจินซื่อขึ้นครองบัลลังก์แทนฝ่าบาท"
"กระหม่อมคิดว่า พระองค์และพระชายาควรกลับวังให้เร็วที่สุด"
หานเฟิงผู้เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้หมิงซื่อพูดจบก็นั่งรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหน้า
"เจ้าไปส่งข่าวว่า... เราล้มป่วยระหว่างทางกลับหนานจิง แล้วส่งข่าวให้แม่ทัพฉางอวี้ชุน รวมรวมกำลังและซุ่มรอเราอยู่ด้านนอกกำแพง รอจนกว่าเราจะไปถึง ห้ามลงมือก่อนเด็ดขาด"
ฮ่องเต้หมิงซื่อสั่งการได้เฉียบไว
"น้อมรับพระบัญชา"
หานเฟิงรับบัญชาแล้วรีบไปในฉับพลัน
ณ.เมืองหนานจิง ในช่วงที่ราชวงศ์หมิงกำลังเผชิญกับความยุ่งเหยิงของการปกครอง เมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยความยากจนและความทุกข์ทรมานของประชาชน ผู้คนอดอยาก หิวโหย และตกอยู่ในสภาพแร้นแค้น ขณะที่ ไท่ฮองเฮา ผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดกลับเลือกที่จะมุ่งเน้นแต่เพียงความสุขส่วนตัวของตนเอง เธอสั่งการให้สร้าง พระราชวังที่หรูหรา อย่างยิ่งภายในเมือง โดยประดับด้วยทองคำ และใช้กระเบื้องนำเข้าจากยุโรปที่หายากและมีค่า เป็นการสะท้อนถึงความฟุ่มเฟือยของราชสำนัก แต่ในขณะเดียวกัน ภาษีที่เก็บจากราษฎรก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนี้ ขุนนางผู้มีอำนาจก็ใช้อำนาจกดขี่และเอารัดเอาเปรียบประชาชน จนผู้คนเริ่มหมดความอดทนและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความรุนแรงเริ่มแพร่ขยายไปทั่วเมือง หนานจิงกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และ โจรผู้ร้าย ชุกชุมในท้องถนน พวกเขาใช้ความยากจนและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นข้ออ้างในการกระทำการผิดกฎหมาย ทำให้เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับกลายเป็นที่พักพิงของความหวาดกลัวและความโกรธแค้นจากผู้คนที่ถูกทอดทิ้ง ในขณะที่ราชสำนักยังคงดำเนินการตามแผนการสร้างความหรูหราและฟุ่มเฟือยของตนเอง เมืองหนานจิงก็เริ่มตกต่ำไปเรื่อยๆ และความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงการปกครองของผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น.
เสียงฝีเท้าด้วยความรีบเร่งมาแต่ไกล
"กราบทูลไท่ฮองเฮาพะยะค่ะ "
เสียงของขันทีจางหย่งผู้มีความจงรักภักดีกับไท่ฮองเฮาอย่างมาก
"กระหม่อมให้คนสืบข่าวว่า หมิงซื่อจมน้ำ แล้วรอดชีวิตมาได้ ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมือง เจิ้นเจียงสักระยะหนึ่ง"
"เจ้าเป็นแมวเก้าชีวิตหรือไงหมิงซื่อ!..ถ้าข้าอยากให้ตายก็ต้องตายสิ"
นางพูดด้วยอารมณ์ที่เกรี่ยวกราด
"สั่งกาลลงไป..ให้อ๋องหมิงจื้อเตรียมตัวขึ้นนั้งบัลลังได้เลย"
"พะยะค่ะ..."
"กระหม่อบจะสั่งการเดียวนี้"
ขันทีจอมประจบรีบรุดหน้าไปทันที
ณ ตำหนักฝูเถียน อันสงบเงียบและเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งสมถะ ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสีสันที่ผลิบานรอบตำหนัก เติมเต็มบรรยากาศด้วยความอ่อนช้อยของธรรมชาติ
ตัวตำหนักสร้างขึ้นจากไม้ฉลุ ลวดลายอันประณีตบรรจงเผยให้เห็นเส้นสายของ เมฆมงคล ที่ลอยละล่องดุจม่านหมอกแห่งสรวงสวรรค์ ประดับประดาด้วยภาพจำหลักของ เทพทั้งแปด ซึ่งแต่งแต้มสีสันอย่างวิจิตรตระการตา ทุกมุมของตำหนักสะท้อนถึงศิลปะอันงามสง่าและมนต์เสน่ห์แห่งกาลเวลา ประดุจบทกวีที่ถูกจารึกไว้ในม่านไม้และแสงเงา
ด้านซ้ายมือของตำหนักมีตำหนักเล็กๆอยู่อีกหลังชื่อ"หมิงหลง" กลิ่นธูปหอมอบอวนไปทั้วพระตำหนัก เสียงสวดมนต์ พรึมพรำ
"ท่านแม่..ข้าได้ข่าวท่านพี่มา"
"ท่านพี่จมน้ำ อาการไม่สู่ดี จึงต้องพักอยูที่เมืองเจิ้นเจียงสักระยะ"
เสียงน้องรักของฮ๋องหมิงซื่อ ผู้ที่มีชรรษาเพียงสิบสามชรรษา เป็นผู้ที่จงรักภักดีกับพี่ชายเสมอ เป็นคนที่มีร่างกายอ่อนแอ แต่หมิงซื่อก็รักและดูแลน้องชายคนนี้เป็นอย่างดี
"เจ้าได้ข่าวมาจากไหน?"
"จากข้าหลวงที่เป็นสายให้ท่านพี่ในวัง..แต่ข้าว่ามันก็แปลกๆอยู่น่ะท่านแม่"
หมิงจื่อกล่าวด้วยแววตาที่มีข้อสงสัย ถึงแว่าจะอายุเพียงสิบสามแต่ก็เป็นเด็ก เฉลียวฉลาด มีความคิดอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ ถึงแม่ร่างกายจะไม่แข็งแรงนัก
"ข้าว่า... เจ้าระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า พักนี้เจ้าก็แกล้งล้มป่วยไปก่อนจนกว่าพี่ของเจ้าจะกลับมา เรื่องอื่นๆข้าจะรับหน้าแทนเจ้า"
"ลูกรับคำสั่ง เสด็จแม่"
พระชายาหงส์อ๋อ ทรงเป็นพระชายาของท่านแม่ทัพหมิงหลง หลังจากที่ท่านแม่ทัพตายในสนามรบเพราะถูกรอบฆ่าโดยการวางยาด้วยคนของไท่ฮ่องเฮ้า แต่ก็ไม่พบร่างของท่านอ๋องเลย
ฮ่องเต้หมิงเยว่ก็ล้มป่วยลง แต่หมิงเยว่ไม่มีทายาท อ๋องหมิงหลงเป็นน้องชายสายเลือดเดียวกัน และหายสาบศุนย์ในสนามรบ มีราชโองการให้อ๋องหมิงซื่อเป็นราชทายาท
ในคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง เสียงคนเปิดประตู้ห้องของพระนาง
"ท่านแม่!... นี้ข้าเอง"
"หมิงซื่อ"
เสียงกระซิบเด็กหนุ่มที่คุ้นเคย
"เจ้าเอง!....ทำไมต้องหลบซ้อนเช่นนี้ด้วย"
"ข้าก็พยายามมาแบบเงียบๆ"
"พรุ่งนี้ข้าจะกลับวังหลวง ข้าขอฝากองค์หญิงไว้กลับท่านก่อน...ข้าจะไปดูว่าในตำหนักมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่"
เมื่อหมิงซื่อพูดจบมืออันอ่อนนุ่มก็มาจับและกุ่มมือลูกชายแสนรักไว้
"เจ้าไปพักก่อนเถอะ เดียวข้าต้มน้ำแกงให้เจ้า ร่างกายจะได้อุ่นๆ"
"ขอบพระทัยท่านแม่"
ในอีกสามเดือนต่อมา ในเมืองตกแต่งเต็มไปดูโครมไฟสีแดง ประดับไปด้วยดอกไม้นาๆพันธุ์
"ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ข้าดีใจที่ได้ท่านเป็นภรรยาองข้า"
เสียงบุรุษอันเป็นที่รักช่างนุ่มละมุนหูเสียงยิ่งนัก
"ข้าจะขอดูแลท่านไปตลอดชีวิตของข้า"
อ๋องหมิงซื่อมองหน้าภรรยาที่รักด้วยดวงตาอันอ่อนโยน ไม่นานนักหมิงซื่อก็ได้แต่งตั้งเป็นราชทายาท
คืนหนึ่ง ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยแสงทองสุกสว่างเจิดจ้า ราวกับสรวงสวรรค์บันดาลให้แผ่นดินต้องตกอยู่ใต้มนตร์แห่งปาฏิหาริย์ ทว่าท่ามกลางรัศมีอันงดงามนั้น
ในพระตำหนักชั้นใน ฮ่องเต้หมิงเยว่ยังคงทรงพระดำริหนักแน่น พระวรกายประทับบนพระแท่นบรรทม แต่ดวงเนตรยังทอดมองไปยังเพดานสูง ราวกับกำลังเฝ้ารอคำตอบจากโชคชะตา
เมื่อดวงเนตรเริ่มหลับลง พระองค์ก็ทรงนิมิตถึงสิ่งที่น่าตื่นตระหนก— มังกรทองผู้ยิ่งใหญ่ ปรากฏกายกลางห้วงรัตติกาล เกล็ดทองคำเปล่งประกายราวต้องแสงสุริยัน ร่างของมันมหึมาและทรงอำนาจเกินกว่าผู้ใดจะหยั่งถึง มันขยับกายไปมาเหนือเวหากว้าง ดวงตาอันคมกริบดั่งพายุสายฟ้าจับจ้องมายังพระองค์
ทันใดนั้น มังกรพลันขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะอ้าปากกว้างพอจะกลืนสวรรค์ทั้งเจ็ดชั้น ดวงจันทร์นวลที่เคยส่องแสงกระจ่างทั่วพื้นพสุธา ถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอของมันโดยไม่เหลือแม้แต่เศษแสง ความมืดมิดเข้าปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน
สิ้นสิริแห่งราตรี ไร้ประกายแห่งจันทรา หลงเหลือเพียงความเงียบงันและลางสังหรณ์อันเยือกเย็น เสียงฟ้าคำรามสะท้อนกึกก้อง ท้องฟ้าแตกร้าวราวกับถูกฉีกออกจากกัน สายฟ้าแล่นผ่านม่านรัตติกาล แต่แทนที่จะแยกเมฆหมอก กลับยิ่งเติมเต็มพายุให้โหมกระหน่ำ
ฮ่องเต้สะดุ้งพระวรกาย ลมหายพระทัยหอบกระชั้น พระอุระเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ราวกับพญามังกรในนิมิตได้ทิ้งบางสิ่งไว้ในจิตพระองค์
"มังกรกลืนจันทร์... นี่คือสัญญาณจากสวรรค์ หรือเป็นเงื้อมมือของเคราะห์กรรมกันแน่?"
พระสุรเสียงแผ่วเบาทว่าแฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียด พระองค์กุมพระเศียร ดวงเนตรยังสั่นไหว ภายในพระหทัยเต็มไปด้วยคำถาม
"สวรรค์กำลังแจ้งเตือนสิ่งใดแก่เรา?"
ในขณะเดียวกัน ณ พระตำหนักไท่ฮองเฮา หญิงผู้สูงศักดิ์นั่งนิ่งกลางห้องโถง เสียงของขันทีรายงานข่าวเรื่องพระอาการของฮ่องเต้หมิงซื่อที่ทรงล้มป่วยกะทันหัน รอยยิ้มบางเบาแฝงไปด้วยนัยยะปรากฏขึ้นบนพระพักตร์ของนาง
"ในที่สุด... กลางคืนที่ไร้จันทร์ก็มาถึงแล้ว"
เสียงกระซิบของนางดั่งสายลมต้องม่านแพร ทว่าสั่นสะเทือนดุจสายฟ้าฟาดลงกลางวังหลวง
เมื่อราชทายาทหมิงซื่อได้รับข่าว พระองค์รีบเสด็จไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงเยว่ทันที แต่กลับถูกขัดขวางโดยไท่ฮองเฮา
"ฝ่าบาททรงพระอ่อนเพลียและไม่สามารถรับใครเข้าเฝ้าได้ในเวลานี้"
ไท่ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยอำนาจ หมิงซื่อกำหมัดแน่น พระเนตรฉายแววไม่พอใจ
"เสด็จย่า โปรดให้ข้าเข้าเฝ้าด้วยเถิด!"
"เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะตัดสินใจได้!"
น้ำเสียงของไท่ฮองเฮาเฉียบขาด นางยืนขวางประตูตำหนักไว้อย่างแน่วแน่ หมิงซื่อกัดฟันแน่น แม้อยากจะผลักประตูเข้าไป แต่เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น จะเกิดความขัดแย้งร้ายแรงในราชสำนัก
"หม่อมฉันเข้าใจแล้ว"
พระองค์กล่าวเสียงเย็นชา ก่อนจะหันหลังจากไป
ในคืนนั้นหมิงซื่อนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง ดวงจันทร์สาดแสงอ่อนลงมายังห้องบรรทม ราตรีนี้ช่างเงียบสงัด ทว่าภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยพายุแห่งความคิด
ทันใดนั้น สร้อยเหรียญมังกรที่อยู่บนคอของเขาเปล่งแสงขึ้น! หมิงซื่อรู้สึกถึงแรงดึงมหาศาล ร่างของเขาถูกพาเข้าสู่ห้วงลึกของสายน้ำ ร่างกายจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงก้นบึ้งอันมืดมิด ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏร่างของมังกรทองอันยิ่งใหญ่!
"หมิงซื่อ เจ้าอย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับเรา"
เสียงของมังกรทองดังกึกก้อง ราวกับสั่นสะเทือนไปทั่วห้วงน้ำ มันทรงพลังและเต็มไปด้วยอำนาจเร้นลับ
"เจ้าคือสายเลือดของเรา ครั้งหนึ่งเจ้าหวิดสิ้นชีพ เราได้ช่วยเจ้าไว้ จำได้หรือไม่?"
หมิงซื่อมองขึ้นไปยังดวงตาอันคมกริบของมังกรทอง พลันความทรงจำบางอย่างวาบขึ้นมาในใจ
"ข้า..."
เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
"ข้าไม่เคยลืม แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก่อน!"
ไม่ทันที่หมิงซื่อจะพูดจบ ประจู่ๆ กระแสน้ำรอบตัวก็ปั่นป่วนขึ้น!
พายุหมุนใต้น้ำก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง แรงดึงดูดมหาศาลทำให้ร่างของเขาถูกดูดเข้าไปอย่างไม่อาจต้านทานได้ ดวงตาของมังกรทองเปล่งประกาย ก่อนที่ทุกสิ่งจะดับวูบลง...
สายเลือดมังกร
โดย
จิ้งจอกหางขาว
เมื่อประตูห้องถูกปิด เงาดำสายหนึ่งพุ่งเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว
หมิงซื่อเอื้อมมือจับดาบที่แนบอยู่ข้างเอวก่อนจะวิ่งเข้าไปปกป้องคนรักโดยสัญชาตญาณ
แต่เงาดำที่ดูมืดมิดและน่าสะพรึงกลัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของชายชรา
พ่อมดวารากุน—ผมขาวเป็นประกาย หนวดเครายาวเป็นระเบียบ ดวงตาสีเหล็กเปี่ยมไปด้วยพลังและปัญญา เขาสวมเสื้อคลุมสีดำสนิท มือข้างหนึ่งถือไม้เท้าสีขาว ซึ่งมีลูกแก้วเรืองแสงฝังอยู่ที่ส่วนปลาย เสียงของวารากุนก้องกังวานราวกับสะท้อนจากหุบเขา
"องค์หญิง ข้าได้นำของสิ่งนี้มาให้"
เขาแบมือออก เผยให้เห็นมีดเขี้ยวหมาป่าขนาดใหญ่ สลักลวดลายโซยอมโบเป็นเมฆมงคล งดงามด้วยอัญมณีล้ำค่า
"ของสิ่งนี้เป็นพรจากเทพหมาป่า มันจะปกป้องท่านในยามคับขัน"
องค์หญิงโซกิเบกิรับมีดเล่มนั้นไว้ในมือแน่น รู้สึกถึงพลังอันเร้นลับที่แผ่ออกมาจากมัน หมิงซื่อแม้จะเห็นว่าผู้เฒ่ามาดี แต่เขาก็ยังไม่อาจลดความระมัดระวังลง ดาบในมือยังคงเตรียมพร้อม
เขาแบมือออก เผยให้เห็นมีดเขี้ยวหมาป่าขนาดใหญ่ สลักลวดลายโซยอมโบเป็นเมฆมงคล งดงามด้วยอัญมณีล้ำค่า
"ของสิ่งนี้เป็นพรจากเทพหมาป่า มันจะปกป้องท่านในยามคับขัน"
"องค์หญิง จงเชื่อมั่นในเทพหมาป่า ไม่ว่าอะไรก็ตาม อย่าได้มอบมีดเล่มนี้ให้แก่ผู้ใด"
เสียงของวารากุนเปี่ยมด้วยอำนาจ ราวกับทำให้ทุกสิ่งหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ทันใดนั้น ร่างสูงใหญ่ของพ่อมดวารากุนพลันกลายเป็นควันสีดำและจางหายไปในพริบตา องค์หญิงก้มลงมองมีดในมือ แต่แล้วเธอก็ต้องตกตะลึง—มีดเล่มนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องประดับ เป็นเขี้ยวหมาป่าสีเงินวาวที่ดูงดงามเหนือคำบรรยาย เธอยกมือขึ้นแนบอก
"ขอบคุณท่านเทพหมาป่า และขอบคุณท่านพ่อมดวารากุน"
เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น หมิงซื่อค่อยๆ เก็บดาบลง สายตาเขาจับจ้ององค์หญิงผู้เป็นที่รัก ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงแผ่ว
"ข้าไม่ควรพาเจ้ามาพบกับความลำบากเช่นนี้เลย... ข้าเองก็คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนี้"
องค์หญิงน้ำตาคลอ มองหน้าผู้เป็นที่รัก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นไม่แพ้กัน
"ในเมื่อข้าตัดสินใจแต่งงานกับท่านพี่แล้ว ข้าก็จะอยู่เคียงข้างท่านไปชั่วชีวิต"
เธอเอ่ยด้วยความกล้าหาญและแน่วแน่ พร้อมเผชิญทุกอุปสรรคไปด้วยกัน
"เช่นนี้แล้ว ท่านพี่คิดจะทำอย่างไรต่อไป?"
หมิงซื่อเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
"ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น... ข้าจะต้องพาเจ้ากลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด"
ทันใดนั้น—เสียงเคาะประตูดังขึ้น
"ท่านอ๋อง!... ข้า หานเฟิง เอง!"
เสียงที่ดังมาจากหลังประตูทำให้ทั้งคู่หันขวับไปมอง เมื่อประตูเปิดออก หานเฟิง หนึ่งในองครักษ์มือขวาของฮ่องเต้หมิงซื่อ ได้วิ่งเข้ามารายงานอย่างรีบร้อน
"กราบทูลฝ่าบาท ทหารที่โจมตีเราเป็นคนของไท่ฮองเฮ้า และตอนนี้ในวังกำลังปั่นป่วน แบ่งเป็นสองฝ่าย เพราะไท่ฮองเฮ้าอยากให้อ๋องหจินซื่อขึ้นครองบัลลังก์แทนฝ่าบาท"
"กระหม่อมคิดว่า พระองค์และพระชายาควรกลับวังให้เร็วที่สุด"
หานเฟิงผู้เป็นองครักษ์ของฮ่องเต้หมิงซื่อพูดจบก็นั่งรอรับคำสั่งอยู่เบื้องหน้า
"เจ้าไปส่งข่าวว่า... เราล้มป่วยระหว่างทางกลับหนานจิง แล้วส่งข่าวให้แม่ทัพฉางอวี้ชุน รวมรวมกำลังและซุ่มรอเราอยู่ด้านนอกกำแพง รอจนกว่าเราจะไปถึง ห้ามลงมือก่อนเด็ดขาด"
ฮ่องเต้หมิงซื่อสั่งการได้เฉียบไว
"น้อมรับพระบัญชา"
หานเฟิงรับบัญชาแล้วรีบไปในฉับพลัน
ณ.เมืองหนานจิง ในช่วงที่ราชวงศ์หมิงกำลังเผชิญกับความยุ่งเหยิงของการปกครอง เมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยความยากจนและความทุกข์ทรมานของประชาชน ผู้คนอดอยาก หิวโหย และตกอยู่ในสภาพแร้นแค้น ขณะที่ ไท่ฮองเฮา ผู้ซึ่งมีอำนาจสูงสุดกลับเลือกที่จะมุ่งเน้นแต่เพียงความสุขส่วนตัวของตนเอง เธอสั่งการให้สร้าง พระราชวังที่หรูหรา อย่างยิ่งภายในเมือง โดยประดับด้วยทองคำ และใช้กระเบื้องนำเข้าจากยุโรปที่หายากและมีค่า เป็นการสะท้อนถึงความฟุ่มเฟือยของราชสำนัก แต่ในขณะเดียวกัน ภาษีที่เก็บจากราษฎรก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรองรับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยนี้ ขุนนางผู้มีอำนาจก็ใช้อำนาจกดขี่และเอารัดเอาเปรียบประชาชน จนผู้คนเริ่มหมดความอดทนและเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ความรุนแรงเริ่มแพร่ขยายไปทั่วเมือง หนานจิงกลายเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย และ โจรผู้ร้าย ชุกชุมในท้องถนน พวกเขาใช้ความยากจนและความเดือดร้อนของประชาชนเป็นข้ออ้างในการกระทำการผิดกฎหมาย ทำให้เมืองที่เคยรุ่งเรืองกลับกลายเป็นที่พักพิงของความหวาดกลัวและความโกรธแค้นจากผู้คนที่ถูกทอดทิ้ง ในขณะที่ราชสำนักยังคงดำเนินการตามแผนการสร้างความหรูหราและฟุ่มเฟือยของตนเอง เมืองหนานจิงก็เริ่มตกต่ำไปเรื่อยๆ และความโกลาหลที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงการปกครองของผู้ที่มีอำนาจในขณะนั้น.
เสียงฝีเท้าด้วยความรีบเร่งมาแต่ไกล
"กราบทูลไท่ฮองเฮาพะยะค่ะ "
เสียงของขันทีจางหย่งผู้มีความจงรักภักดีกับไท่ฮองเฮาอย่างมาก
"กระหม่อมให้คนสืบข่าวว่า หมิงซื่อจมน้ำ แล้วรอดชีวิตมาได้ ต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมือง เจิ้นเจียงสักระยะหนึ่ง"
"เจ้าเป็นแมวเก้าชีวิตหรือไงหมิงซื่อ!..ถ้าข้าอยากให้ตายก็ต้องตายสิ"
นางพูดด้วยอารมณ์ที่เกรี่ยวกราด
"สั่งกาลลงไป..ให้อ๋องหมิงจื้อเตรียมตัวขึ้นนั้งบัลลังได้เลย"
"พะยะค่ะ..."
"กระหม่อบจะสั่งการเดียวนี้"
ขันทีจอมประจบรีบรุดหน้าไปทันที
ณ ตำหนักฝูเถียน อันสงบเงียบและเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งสมถะ ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้หลากสีสันที่ผลิบานรอบตำหนัก เติมเต็มบรรยากาศด้วยความอ่อนช้อยของธรรมชาติ
ตัวตำหนักสร้างขึ้นจากไม้ฉลุ ลวดลายอันประณีตบรรจงเผยให้เห็นเส้นสายของ เมฆมงคล ที่ลอยละล่องดุจม่านหมอกแห่งสรวงสวรรค์ ประดับประดาด้วยภาพจำหลักของ เทพทั้งแปด ซึ่งแต่งแต้มสีสันอย่างวิจิตรตระการตา ทุกมุมของตำหนักสะท้อนถึงศิลปะอันงามสง่าและมนต์เสน่ห์แห่งกาลเวลา ประดุจบทกวีที่ถูกจารึกไว้ในม่านไม้และแสงเงา
ด้านซ้ายมือของตำหนักมีตำหนักเล็กๆอยู่อีกหลังชื่อ"หมิงหลง" กลิ่นธูปหอมอบอวนไปทั้วพระตำหนัก เสียงสวดมนต์ พรึมพรำ
"ท่านแม่..ข้าได้ข่าวท่านพี่มา"
"ท่านพี่จมน้ำ อาการไม่สู่ดี จึงต้องพักอยูที่เมืองเจิ้นเจียงสักระยะ"
เสียงน้องรักของฮ๋องหมิงซื่อ ผู้ที่มีชรรษาเพียงสิบสามชรรษา เป็นผู้ที่จงรักภักดีกับพี่ชายเสมอ เป็นคนที่มีร่างกายอ่อนแอ แต่หมิงซื่อก็รักและดูแลน้องชายคนนี้เป็นอย่างดี
"เจ้าได้ข่าวมาจากไหน?"
"จากข้าหลวงที่เป็นสายให้ท่านพี่ในวัง..แต่ข้าว่ามันก็แปลกๆอยู่น่ะท่านแม่"
หมิงจื่อกล่าวด้วยแววตาที่มีข้อสงสัย ถึงแว่าจะอายุเพียงสิบสามแต่ก็เป็นเด็ก เฉลียวฉลาด มีความคิดอ่านที่เป็นผู้ใหญ่ ถึงแม่ร่างกายจะไม่แข็งแรงนัก
"ข้าว่า... เจ้าระวังตัวไว้หน่อยดีกว่า พักนี้เจ้าก็แกล้งล้มป่วยไปก่อนจนกว่าพี่ของเจ้าจะกลับมา เรื่องอื่นๆข้าจะรับหน้าแทนเจ้า"
"ลูกรับคำสั่ง เสด็จแม่"
พระชายาหงส์อ๋อ ทรงเป็นพระชายาของท่านแม่ทัพหมิงหลง หลังจากที่ท่านแม่ทัพตายในสนามรบเพราะถูกรอบฆ่าโดยการวางยาด้วยคนของไท่ฮ่องเฮ้า แต่ก็ไม่พบร่างของท่านอ๋องเลย
ฮ่องเต้หมิงเยว่ก็ล้มป่วยลง แต่หมิงเยว่ไม่มีทายาท อ๋องหมิงหลงเป็นน้องชายสายเลือดเดียวกัน และหายสาบศุนย์ในสนามรบ มีราชโองการให้อ๋องหมิงซื่อเป็นราชทายาท
ในคืนเดือนมืดคืนหนึ่ง เสียงคนเปิดประตู้ห้องของพระนาง
"ท่านแม่!... นี้ข้าเอง"
"หมิงซื่อ"
เสียงกระซิบเด็กหนุ่มที่คุ้นเคย
"เจ้าเอง!....ทำไมต้องหลบซ้อนเช่นนี้ด้วย"
"ข้าก็พยายามมาแบบเงียบๆ"
"พรุ่งนี้ข้าจะกลับวังหลวง ข้าขอฝากองค์หญิงไว้กลับท่านก่อน...ข้าจะไปดูว่าในตำหนักมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่"
เมื่อหมิงซื่อพูดจบมืออันอ่อนนุ่มก็มาจับและกุ่มมือลูกชายแสนรักไว้
"เจ้าไปพักก่อนเถอะ เดียวข้าต้มน้ำแกงให้เจ้า ร่างกายจะได้อุ่นๆ"
"ขอบพระทัยท่านแม่"
ในอีกสามเดือนต่อมา ในเมืองตกแต่งเต็มไปดูโครมไฟสีแดง ประดับไปด้วยดอกไม้นาๆพันธุ์
"ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ข้าดีใจที่ได้ท่านเป็นภรรยาองข้า"
เสียงบุรุษอันเป็นที่รักช่างนุ่มละมุนหูเสียงยิ่งนัก
"ข้าจะขอดูแลท่านไปตลอดชีวิตของข้า"
อ๋องหมิงซื่อมองหน้าภรรยาที่รักด้วยดวงตาอันอ่อนโยน ไม่นานนักหมิงซื่อก็ได้แต่งตั้งเป็นราชทายาท
คืนหนึ่ง ท้องฟ้าถูกแต่งแต้มด้วยแสงทองสุกสว่างเจิดจ้า ราวกับสรวงสวรรค์บันดาลให้แผ่นดินต้องตกอยู่ใต้มนตร์แห่งปาฏิหาริย์ ทว่าท่ามกลางรัศมีอันงดงามนั้น
ในพระตำหนักชั้นใน ฮ่องเต้หมิงเยว่ยังคงทรงพระดำริหนักแน่น พระวรกายประทับบนพระแท่นบรรทม แต่ดวงเนตรยังทอดมองไปยังเพดานสูง ราวกับกำลังเฝ้ารอคำตอบจากโชคชะตา
เมื่อดวงเนตรเริ่มหลับลง พระองค์ก็ทรงนิมิตถึงสิ่งที่น่าตื่นตระหนก— มังกรทองผู้ยิ่งใหญ่ ปรากฏกายกลางห้วงรัตติกาล เกล็ดทองคำเปล่งประกายราวต้องแสงสุริยัน ร่างของมันมหึมาและทรงอำนาจเกินกว่าผู้ใดจะหยั่งถึง มันขยับกายไปมาเหนือเวหากว้าง ดวงตาอันคมกริบดั่งพายุสายฟ้าจับจ้องมายังพระองค์
ทันใดนั้น มังกรพลันขยายร่างให้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะอ้าปากกว้างพอจะกลืนสวรรค์ทั้งเจ็ดชั้น ดวงจันทร์นวลที่เคยส่องแสงกระจ่างทั่วพื้นพสุธา ถูกดูดกลืนเข้าไปในลำคอของมันโดยไม่เหลือแม้แต่เศษแสง ความมืดมิดเข้าปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน
สิ้นสิริแห่งราตรี ไร้ประกายแห่งจันทรา หลงเหลือเพียงความเงียบงันและลางสังหรณ์อันเยือกเย็น เสียงฟ้าคำรามสะท้อนกึกก้อง ท้องฟ้าแตกร้าวราวกับถูกฉีกออกจากกัน สายฟ้าแล่นผ่านม่านรัตติกาล แต่แทนที่จะแยกเมฆหมอก กลับยิ่งเติมเต็มพายุให้โหมกระหน่ำ
ฮ่องเต้สะดุ้งพระวรกาย ลมหายพระทัยหอบกระชั้น พระอุระเต็มไปด้วยความหนักอึ้ง ราวกับพญามังกรในนิมิตได้ทิ้งบางสิ่งไว้ในจิตพระองค์
"มังกรกลืนจันทร์... นี่คือสัญญาณจากสวรรค์ หรือเป็นเงื้อมมือของเคราะห์กรรมกันแน่?"
พระสุรเสียงแผ่วเบาทว่าแฝงไว้ด้วยความเคร่งเครียด พระองค์กุมพระเศียร ดวงเนตรยังสั่นไหว ภายในพระหทัยเต็มไปด้วยคำถาม
"สวรรค์กำลังแจ้งเตือนสิ่งใดแก่เรา?"
ในขณะเดียวกัน ณ พระตำหนักไท่ฮองเฮา หญิงผู้สูงศักดิ์นั่งนิ่งกลางห้องโถง เสียงของขันทีรายงานข่าวเรื่องพระอาการของฮ่องเต้หมิงซื่อที่ทรงล้มป่วยกะทันหัน รอยยิ้มบางเบาแฝงไปด้วยนัยยะปรากฏขึ้นบนพระพักตร์ของนาง
"ในที่สุด... กลางคืนที่ไร้จันทร์ก็มาถึงแล้ว"
เสียงกระซิบของนางดั่งสายลมต้องม่านแพร ทว่าสั่นสะเทือนดุจสายฟ้าฟาดลงกลางวังหลวง
เมื่อราชทายาทหมิงซื่อได้รับข่าว พระองค์รีบเสด็จไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้หมิงเยว่ทันที แต่กลับถูกขัดขวางโดยไท่ฮองเฮา
"ฝ่าบาททรงพระอ่อนเพลียและไม่สามารถรับใครเข้าเฝ้าได้ในเวลานี้"
ไท่ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่แฝงไปด้วยอำนาจ หมิงซื่อกำหมัดแน่น พระเนตรฉายแววไม่พอใจ
"เสด็จย่า โปรดให้ข้าเข้าเฝ้าด้วยเถิด!"
"เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะตัดสินใจได้!"
น้ำเสียงของไท่ฮองเฮาเฉียบขาด นางยืนขวางประตูตำหนักไว้อย่างแน่วแน่ หมิงซื่อกัดฟันแน่น แม้อยากจะผลักประตูเข้าไป แต่เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้น จะเกิดความขัดแย้งร้ายแรงในราชสำนัก
"หม่อมฉันเข้าใจแล้ว"
พระองค์กล่าวเสียงเย็นชา ก่อนจะหันหลังจากไป
ในคืนนั้นหมิงซื่อนั่งนิ่งอยู่ริมหน้าต่าง ดวงจันทร์สาดแสงอ่อนลงมายังห้องบรรทม ราตรีนี้ช่างเงียบสงัด ทว่าภายในใจของเขากลับเต็มไปด้วยพายุแห่งความคิด
ทันใดนั้น สร้อยเหรียญมังกรที่อยู่บนคอของเขาเปล่งแสงขึ้น! หมิงซื่อรู้สึกถึงแรงดึงมหาศาล ร่างของเขาถูกพาเข้าสู่ห้วงลึกของสายน้ำ ร่างกายจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปถึงก้นบึ้งอันมืดมิด ท่ามกลางความเงียบสงัดนั้น จู่ๆ ก็ปรากฏร่างของมังกรทองอันยิ่งใหญ่!
"หมิงซื่อ เจ้าอย่าลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับเรา"
เสียงของมังกรทองดังกึกก้อง ราวกับสั่นสะเทือนไปทั่วห้วงน้ำ มันทรงพลังและเต็มไปด้วยอำนาจเร้นลับ
"เจ้าคือสายเลือดของเรา ครั้งหนึ่งเจ้าหวิดสิ้นชีพ เราได้ช่วยเจ้าไว้ จำได้หรือไม่?"
หมิงซื่อมองขึ้นไปยังดวงตาอันคมกริบของมังกรทอง พลันความทรงจำบางอย่างวาบขึ้นมาในใจ
"ข้า..."
เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
"ข้าไม่เคยลืม แต่ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จก่อน!"
ไม่ทันที่หมิงซื่อจะพูดจบ ประจู่ๆ กระแสน้ำรอบตัวก็ปั่นป่วนขึ้น!
พายุหมุนใต้น้ำก่อตัวขึ้นอย่างรุนแรง แรงดึงดูดมหาศาลทำให้ร่างของเขาถูกดูดเข้าไปอย่างไม่อาจต้านทานได้ ดวงตาของมังกรทองเปล่งประกาย ก่อนที่ทุกสิ่งจะดับวูบลง...
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
ความคิดเห็น