ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : 05 – clinquant.
ตารางชีวิตเธอหลังจากเริ่มต้นใหม่นี้ค่อนข้างวุ่นวายในช่วงแรก— เป็นความวุ่นวายโดยสมัครใจ
ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เกมเมอร์คนหนึ่งเลือกทำชาลเลนจ์สปีดรันเพื่อความท้าทาย
แม้ว่าตนเองจะสามารถเล่นแบบความเร็วปกติได้
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความสำเร็จนี้จะนำมาซึ่งรางวัลหรือโล่อะไรหรือเปล่า...
[ตอนแรกแม่ว่าจะบอกเราหลังจากที่เขาจัดการปรับปรุงเสร็จน่ะ
กลัวว่าปาซจะเครียด เพราะว่าเพิ่งโดนสาปมา
การปรับตัวในเคสของเรามันค่อนข้างยากเพราะอายุ 17 แล้วด้วย]
“ตอนที่ได้ยินคือปาซตกใจหมดเลย
คิดว่าแม่ลืม”
[แม่จะลืมได้ไงกัน?
นั่นเรื่องสำคัญของลูกเลยนะ... ว่าแต่ไปได้ยินมาจากไหนน่ะ?]
“คุณคาร์ลินกับเพื่อนค่ะ
วันนี้ที่ปาซออกไปนั่นนี่กับเขาน่ะ”
นิ้วใช้ที่กั้นตรงระเบียงเป็นแคนวาสวาดรูป— ลวดลายนั้นถูกรังสรรค์ด้วยสัมผัสที่สามารถรับรู้ได้เพียงแต่ผู้สร้าง
ทว่ามันก็เลือนรางด้วยสมาธิซึ่งไม่ได้จดจ่ออยู่แต่เพียงเรื่องเดียว
ดีไม่ดีก็คงเป็นลายยึกยือที่ดูไม่ออกว่าคืออะไร
ระเบียงไม้ที่ห้องอิวันน่าเป็นหนึ่งในสถานที่ซึ่งเธอต้องมายืนรับลมเล่นเสมอเวลาถูกเชื้อเชิญให้ไปหา— มันเป็นความลงตัวของการสร้างบ้าน ด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับตระกูลซึ่งชื่นชอบการปลูกไม้ต่างๆและสภาพอากาศที่เย็นสบายอยู่เสมอ
[พวกเร็นน่ะเหรอ?]
“เปล่าค่ะ คนนี้เพื่อนใหม่” เธอตอบไปด้วยน้ำเสียงที่คิดว่าดูมีพิรุธน้อยที่สุดของตนเอง
คงเรียกแบบนั้นได้แหละนะ...
สาวเจ้าแยกย้ายกับแอรีสในทันทีที่ท้องฟ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู
และถูกอิวันน่าที่โทรมาถามสารทุกข์สุกดิบพอดีนั้นชวนไปปาร์ตี้ชุดนอนที่ได้จัดสักทีหลังจากวางแผนกันมาตั้งแต่ช่วงประถม
ทุกอย่างมันช่างประจวบเหมาะเสียเหลือเกิน...
ก็เป็นส่วนหนึ่งของโชคชะตานี่เนอะ
[โอ้ ตายจริง! ลูกมีเพื่อนใหม่ด้วยเหรอ? ว่างๆแม่ต้องไปทำความรู้จักแล้วสิ] น้ำเสียงของโอลิวีน
แอนเดรียนั้นฟังดูเริงร่ากว่าเดิม— ข้อเท็จจริงใหม่ที่ได้รู้เกี่ยวกับชีวิตของลูกสาวคนเล็กที่มีแวดวงแสนคับแคบคงทำให้หล่อนดีใจในระดับหนึ่ง
“ไว้จะพาไปแนะนำนะคะ” เธอกลั้วหัวเราะ
ฟันเขี้ยวเริ่มงอกยาวจนแตะกับริมฝีปากล่างเมื่อถึงท้ายประโยค
ขณะที่ใบหูซึ่งมีขนสีเข้มแซมอยู่กระตุกด้วยความประหม่าในองค์ประกอบซึ่งจงใจละไว้ในบทสนทนา
“งั้น... แค่นี้ก่อนนะคะ
ปาซขอไปหาเพื่อนก่อน บายค่ะแม่”
[บายจ้ะ]
ติ๊ด!
ซึ่งทางแก้ที่ดีที่สุดก็ไม่พ้นการตัดบทไปด้วยวาจา
“เสร็จยัง?”
“เสร็จแล้ว” เธอตอบคนที่เอ่ยถามไปพลางเก็บสมาร์ทโฟนเข้ากระเป๋ากระโปรง
ทุกย่างก้าวบนพื้นบ้านเพื่อนสนิทนั้นส่งเสียงเล็กน้อยตามน้ำหนักที่ทิ้งลงไป
เสียงทุกเสียงกระจ่างขึ้นในโสตประสาทตั้งแต่ช่วงที่ใบหูเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง— มันเป็นสัญญาณแรกของความน่ารำคาญที่อาจเป็นประโยชน์ในอนาคต
อาจตะหงิดๆในคราแรก แต่อีกไม่นานก็คงชินชาในท้ายที่สุด
การปรับตัวไม่ใช่ปัญหาอยู่แล้ว
“เป็นไงบ้าง?” มาริซอลที่นั่งอยู่บนเตียงนั้นเอ่ยถาม
“ก็... ทั่วๆไปล่ะมั้ง”
“ถือว่าดีใช่ไหม?”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้แหละ”
คำว่า ‘ครอบครัว’
หาได้มีนิยามชัดเจนในพจนานุกรมของบ้านแอนเดรีย— มันแค่มีตัวตน
และดำรงอยู่เช่นนั้นมาตลอด
ปกติก็คือปกติ... ไม่มีอะไรมาก
ไม่มีอะไรน้อย กระนั้นก็ไม่ได้เป็นเส้นขนานที่จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
โทปาซไหวไหล่ ก่อนจะหยุดทุกเสียงรบกวนด้วยการเคลื่อนย้ายน้ำหนักตัวซึ่งเคยกดทับพื้นห้องนั้นไปยังฟูกนุ่มๆเคียงข้างเพื่อนสาวอีกคน
ความประหม่าที่เพิ่งจะคลายลงนั้นส่งผลให้ร่างกายไม่ต้องการที่จะขยับไปไหนสักพัก—
เธอนอนลง ศีรษะนั้นสัมผัสกับหมอนข้างและปลอกสีเข้มของมันพอดิบพอดี แล้วลมหายใจซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์อันน่าสับสนก็ถูกพ่นระบายออกมาเบาๆ
“แม่บอกว่ากะจะพูดทีหลัง”
“อ๋อ”
ใช่ว่าดอกพิกุลนั้นจะตกลงไปเต็มพื้นเมื่ออ้าปาก
หากแต่ว่าเรื่องบางเรื่องก็ไม่ควรจะขยายความมากมายให้เริ่มพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า...
ยิ่งเป็นในกรณีที่เกี่ยวกับสมาชิกในครอบครัวซึ่งไม่ได้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นด้วยแล้ว
โทปาซรู้— แม่เธอไม่มีเหตุผลอะไรให้ปิดบังเรื่องนี้กับเธอ
เว้นเสียแต่ว่าหล่อนจะเป็นพวกความคิดแคบที่ยึดติดอยู่แต่กับแนวคิดล้าหลังเดิมๆ
มันคงเป็นการหักมุมที่ไม่สมเหตุสมผลที่สุดในโลกเลยล่ะมั้ง...
“แล้วก็มีเรื่องเพื่อนใหม่ที่แม่อยากรู้จัก”
น้ำหนักของอีกคนในห้องนั้นถูกทิ้งลงเตียงในจังหวะสิ้นเสียงคำกล่าว—
อิวันน่านั่งลงบนเตียงตามพวกเขา ไขว้ขาตนเองเพื่อความสะดวกสบายตามประสาเจ้าของห้อง
ขณะที่มือยังคงถือกระถางแคคตัสเล็กๆไว้
“แล้วสรุปคนนั้นคือใคร?” หล่อนเอ่ยถาม น้ำเสียงนั้นมีกลิ่นอายของความขบขันปนอยู่ประปราย— ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเป็นเพราะสิ่งใด
โทปาซชำเลืองมองสีหน้าที่ยังคงเรียบเฉยนั่น
“แอรีส โจนาห์”
“ชมรมที่ปรึกษา?”
“อ่าฮะ”
“เออเนอะ เธอชอบคนมีคาริสม่า”
เร็นไม่รีรอให้เวลาล่วงเลยไปจวบจนถึงวันนี้อยู่แล้ว—
เนื้อความที่น่าสนใจยิ่งกว่าระบบใหม่ของเว็บไซต์ที่ร่วมพัฒนากันกับกลุ่ม ณ
ที่เรียนพิเศษนั้นเป็นชนวนซึ่งปลุกให้จิตวิญญาณนักกอสซิปของหล่อนตื่นอีกครา
และตำแหน่ง ‘คนรู้ต่อ’
ก็ตกเป็นของอิวันน่าเหมือนทุกครั้ง
“แม่คนมาสายแย่งซีนเด่นฉันไปหมดเลยแฮะ”
“บ้าน่า เธอได้ซีนไปเต็มๆเลยเหอะ”
“ถ้าเล่าเองจะอิมแพคกว่า— เป็นแม่สาวปริศนา
เต็มไปด้วยความลับ ทำให้ตระหนักว่า ‘จริงๆแล้วฉันรู้อะไรเกี่ยวกับเพื่อนสนิทตนเองบ้างนะ’
อะไรทำนองนี้”
“แล้วตอนที่เร็นมาถึงจะทำอะไรเป็นลำดับแรก?”
“ปาหมอนใส่”
“น่ารักเป็นบ้า”
น้ำเสียงประชดประชันนั่นทำให้เธอหัวเราะ
___
“อะไรอ่ะ? นี่รดน้ำแคคตัสแบบไม่เชิญฉันเหรอ?”
“ก็มาช้าเอง”
“ว่ากันว่านางเอกมักจะมาคนสุดท้าย”
“เออเนอะ นางเอกที่ unlikable ก็มีเหมือนกัน”
“ไอฟ์อ่ะ!!”
ความวุ่นวายเพิ่มขึ้นได้อย่างง่ายดายเมื่อจำนวนบุคคลแปรเปลี่ยน—
ความเข้ากันได้ของวาจาหยอกล้อแบบรุนแรงของอิวันน่าและอุปนิสัยงอแงง่ายของเร็นส่งผลต่อบรรยากาศห้องอย่างชัดเจน
มันเริงร่าขึ้น
อย่างน้อยก็เป็นเช่นนั้นในมุมมองของคนที่อยู่ในบ้านซึ่งแทบจะไร้เสียงรบกวน
“ฉันบอกแล้วว่าไม่ชอบให้มาสาย”
“เฮ้ย... นี่งอนกันจริงดิ?”
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“ไอวี่อ่า!”
โทปาซรู้ดีว่าอิวันน่าโกรธเร็นได้ไม่นาน—
มากสุดก็คงเมื่อถึงคราวที่เจ้าหล่อนรู้สึกผิดเต็มๆ ตามแบบฉบับความสัมพันธ์ที่ทั้งหยาบกระด้างและละเอียดอ่อนไปในขณะเดียวกัน
คล้ายกับการที่พรรณพืชซึ่งใช้ประโยชน์จากกระแสลมซึ่งเอาแน่เอานอนไม่ได้ในการขยายพันธุ์นั้นผ่านการปรับตัวมามากมายเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้โดยดี
แม้ว่าจริงๆแล้วจะสามารถเปลี่ยนตัวเลือกไปเป็นอย่างอื่นแทนล่ะมั้ง...
ไม่มีใครเคยระบุไว้อย่างแน่ชัดว่ามิตรภาพในช่วงอายุใดของมนุษย์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด—
คนคนหนึ่งซึ่งไม่ได้แยแสสภาพแวดล้อมรอบข้างมากเสียขนาดนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องยึดติดอยู่กับกลุ่มคนเดิมชั่วชีวิต
แต่แล้วทุกอย่างมันก็เป็นเช่นปัจจุบันไปเสียอย่างนั้น
สาวเจ้ายกมือขึ้นป้องปาก— ลอบยิ้มยามตระหนักได้ว่าต่างคนต่างก็มีปัจจัยที่กระตุ้นให้ตนเองเลือกออกมาจากดักแด้และโผบินเข้าสู่อนาคตซึ่งคาดฝันว่าคงดีกว่าเดิมกันทั้งนั้น
อิวันน่าแค่เป็นพวกปากคอเราะร้ายที่พยายามใส่ใจผลกระทบทางความรู้สึกของตนเองและผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน
ในขณะที่เร็นนั้นมักจะปล่อยปะละเลยเรื่องละเอียดอ่อนเสมอ พอมารวมกับเธอและมาริซอลที่เป็นกึ่งกลางระหว่างสองลักษณะก็สามารถผสมผสานกันเป็นเนื้อเนียนที่ละเลงลงพื้นผิวของผ้าแคนวาสได้อย่างสวยงาม
ราวกับว่าได้รังสรรค์ลวดลายบนปีกผีเสื้อขึ้นมาด้วยกันเลย...
“โธ่... ถึงจะโกรธกันก็เถอะ แต่คุยกันดีๆกันก็ได้นี่”
อีกคนที่นั่งทาเล็บอยู่เคียงข้างเธอนั้นบ่นออกมาเบาๆ
สีหวานที่ค่อยบรรจงละเลงลงเป็นลวดลายบ่งบอกถึงความตั้งใจของคนทำ—
โทปาซำเลืองมองผลงานศิลปะขนาดย่อมของมาริซอลเงียบๆ ริมฝีปากไม่กล้าเอื้อนเอ่ยเสียงใดๆที่สามารถรบกวนสมาธิของหล่อน
นอกเหนือเสียจากความชื่นชมที่ดังอยู่โสตประสาทตนเองแต่เพียงผู้เดียว
“ปาซ” แต่แล้วเสียงทุ้มหวานนั้นก็ดังขึ้นอีกครา
“คำสาปปาซนี่นับรวมเล็บเท้าด้วยหรือเปล่าอ่ะ?”
“ไม่นะ— ไม่เห็นมีอะไรเลย”
“งั้นทาเล็บเท้าไหม?”
มันประหลาดดีที่การทาเล็บครั้งแรกในชีวิตของเธอจะเป็นที่นิ้วโป้งเท้า—
อย่างกับฉากฉากหนึ่งที่อาจเป็นซีนตำนานได้ในอีกสิบปีข้างหน้าอย่างไรอย่างนั้น
ถึงจะไม่รู้ว่าในแง่ใดก็ตาม
เธอพยักหน้าตอบรับไป
ความหวังของการกลายเป็นก้อนหินลายหินอ่อนนั้นปรากฏขึ้นในห้วงความคิดเพียงชั่วนาทีหนึ่ง...
ฟังดูพิลึกพิลั่นชอบกล— สุดยอดไปเลย
“แล้ว...
ไปอยู่ชมรมเดียวกับเร็นเป็นไงบ้าง?”
“เจงก้าสนุกดี”
“หืม?”
“โจชัวร์ชวนเล่นน่ะ”
เมื่อระลึกได้ว่ารู้จักกันมานานเท่าไหร่ก็สัมผัสได้ถึงเศษเสี้ยวความเสียดายช่วงเวลาเหล่านั้น—
มากกว่าครึ่งชีวิตของพวกเขาอยู่กับเธอ แต่หากมองในทางกลับกัน สิ่งซึ่งมีพวกเขาประกอบอยู่และผ่านพ้นมานานกว่าครึ่งหนึ่งของมันเองนี่สามารถเรียกว่า
‘ชีวิตของเธอ’ ได้ไหม?
สาวเจ้ารู้ดีว่าตนเองใช้เวลาในดักแด้นั้นนานกว่าคนอื่น
“ตรงที่เป็นลายเอาสีอะไรดี?”
“อืม... ไวโอเล็ต”
แต่ตอนนี้ลมหายใจก็ยังคงสม่ำเสมออยู่นี่...
ทั้งบนพื้นดินและในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นั่นเลย
“จะว่าไปมันก็ตื่นเต้นอยู่นะ จบช่วงออดิชั่นก็ทำผลงานของตนเองต่อได้เลย”
กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆของอิวันน่านั้นแตะจมูกเมื่อสิ้นสุดคำเอ่ย—
สายตานั้นเลื่อนไปยังต้นทางโดยอัตโนมัติ จดจ้องการพรมน้ำหอมตามซอกคอกับซอกแขนของเพื่อนอีกคนด้วยความฉงน
และก้าวเดินต่อไปในห้วงความคิดเสียจนหลงลืมประเด็นปัจจุบันไปชั่วขณะ
“ไม่ใช่ว่าตอนอยู่การละครก็มีผลงานเหรอ?”
“หืม? อ่อ... มันเคลมไม่ได้เต็มร้อย—
จริงๆที่ทำก็ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ เพราะว่าแบคสเตจก็มีหลายคน อีกอย่างคือฉันเลือกทำเพื่อที่จะได้ไม่ถูกดันให้ออดิชั่นเป็นนักแสดงด้วย”
โทปาซหรี่ตาเล็กน้อยพลางเอ่ยตอบอิวันน่า
มันเป็นกลิ่นคล้ายกับกลิ่นเฉพาะของพันธุ์ไม้พันธุ์หนึ่งในบ้านหลังนี้
ทว่านามดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลที่เธอไม่ทราบ— ข้อมูลเกี่ยวกับพฤกษศาสตร์ที่ไม่มากนักของตนเองเป็นข้อเสียเปรียบสำหรับคนที่ได้รับการพัฒนาฆานประสาทโดยคำสาปแบบเธอ
“อ๋อ
รูเบียเคยเป็นนักแสดงนำอยู่สองสามครั้งนี่เนอะ”
“ใช่
เมื่อก่อนน่ะเป็นตัวเต็งทุกการออดิชั่นเลย แต่ว่าเจ้าตัวชอบไปคัดบทรองๆมากกว่า”
กลิ่นอายเดียวที่เธอคุ้นเคยมากกว่าอย่างอื่นคงจะเป็นที่ในห้องโรงละครซึ่งมักจะอัดแน่นไปด้วยผู้คน
อุปกรณ์มากมายที่กระจัดกระจายลงพื้น และเสียงพูดคุยสัพเพเหระของเหล่าสมาชิกชมรมที่กำลังช่วยกันทำเบื้องหลังการแสดง—
องค์ประกอบสำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งมอบความสุขส่วนหนึ่งให้แก่เธอ
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการก้าวเข้าไปสูดดมความอภิรมย์เหล่านั้นไม่ได้ดีเทียบเท่ากับประสบการณ์นัก...
แนวคิดที่ว่า ‘ถ้าตามทางของคนนั้นไม่ได้ก็ผลักไปทางของคนนี้แทน’
มันบัดซบเสียจนทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยของการเริ่มต้นใหม่— หากจะปรับเปลี่ยนทุกอย่างก็ควรเดินออกมาจากเงานั่นก่อนเป็นอย่างแรก
ไม่เช่นนั้นก็คงติดอยู่ที่เควสต์ดังกล่าวและได้รับความสำเร็จซึ่งไม่สามารถสลักชื่อของตนเองได้อย่างภาคภูมิต่อไป
ตุบ!
ประสาทสัมผัสของเธอดีเยี่ยม— อาจจะไม่ได้เทียบเท่าต้นตระกูลซึ่งได้ใช้มันอย่างเต็มประสิทธิภาพในชีวิตประจำวัน
แต่ก็ไม่น้อยน่าไปกว่าสายพันธุ์ก้ำกึ่งที่วิวัฒนาการมาจากมัน
เธอได้ยินเสียงของตกในทันที...
กระนั้นกลับไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะเจอคัทซีนเซอร์ไพรส์ในสปีดรันครั้งนี้
“เดี๋ยวนะ...”
บทพูดที่ถูกเปล่งออกมาด้วยความตกใจดังขึ้นหลังจากซาวน์เอฟเฟคสิ่งของตกได้ไม่นาน—
หน้าจอนั้นเคลื่อนไปโฟกัสที่เร็นซึ่งเพิ่งจะตระหนักบางสิ่งได้
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้เหล่มองกระปุกใส่ช็อกโกแลตที่ตกลงพื้น แต่กลับเลื่อนมาสบก้อนหินเคลือบกากเพชรเสียแทน
โทปาซเลิกคิ้วด้วยความฉงน
และแล้วก็ตระหนักได้ในทันทีที่ถ้อยคำกลุ่มหนึ่งถูกเอ่ยออกมาผ่านริมฝีปากเล็กๆของเพื่อนสนิทคนดังกล่าว...
“อันนั้นไม่ใช่มุกแซะเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างเดียวสินะ”
“อ่า...”
ไอ้ชิบหาย ดันเผลอตัวไปอีกแล้วสิ
___
“ไปเล่นอะไรแบบนี้กับเขาบ้างไหมเนี่ย?”
“คิดว่าเคย”
“โปร่งใสจังเลยนะ”
“อยู่ด้วยแล้วสบายใจมั้ง อีกอย่างคือไม่มีอะไรให้ปิดตั้งแต่แรกด้วย”
เธอกลั้วหัวเราะ สิ้นสุดเสียงก็ทิ้งตัวลงบนฟูกนุ่มๆอีกครั้งหนึ่ง
แหงนมองลวดลายบนเพดานไปครู่หนึ่งระหว่างรอให้บทสนทนาดำเนินไปต่อ
“แล้วสรุปคือต้นตระกูลเขาเป็นอะไรอ่ะ?”
“อสูรประมาณสัตว์เลื้อยคลาน มีเขาแบบแพะภูเขา
เกล็ดแบบงูเกล็ดหนาม ลายบนตัวคล้ายกับลิชเทนเบิร์ก— ไปๆมาๆก็คล้ายกับมังกรอยู่นะ
แต่เป็นแบบเดรคหรืออะไรทำนองนั้น ”
“รู้ลึกแฮะ”
“เขาให้ดูภาพวาดในตำรา”
“อ้อ”
เช่นเดียวกับที่แอนโธนี่มีพลังเวทมนตร์ทำลายล้างสูงและอิวันน่ามีร่างกายที่ทนทานต่อพิษ—
แอรีสเป็นคนที่มีลักษณะคล้ายประเภทที่หากทำให้โกรธก็คงน่ากลัวไม่น้อย
ด้วยภาพลักษณ์ใจเย็นที่เข้าใจแทบทุกอย่างเช่นนั้นและบรรยากาศโดยรวมของภาพวาดซึ่งสื่อสารถึงความรู้สึกยำเกรงของผู้วาดออกมาอย่างถ่องแท้
ทว่านั่นก็แค่ข้อสันนิษฐานตามโทรปตัวละคร...
จะให้ใช้กับคนจริงก็กระไรอยู่
การพินิจบุคคลด้วยบุคลิกของพวกเขานั้นเป็นความบันเทิงภายในกรอบจอของสิ่งแสดงสื่อเท่านั้น—
มันไม่เสียหาย
ตราบใดที่ถูกรังสรรค์ขึ้นด้วยจินตนาการและถูกถ่ายทอดผ่านศิลปะหลากหลายรูปแบบ
ตรงกันข้ามกับคนจริงซึ่งมีเลือดเนื้อเชื้อไขและสามารถสัมผัสได้โดยตรง
หากจะมีประโยชน์ก็คงเป็นกับใครก็ตามที่ไม่ใช่เธอ—
ไม่ใช่เจ้าของสวนดอกพิกุลซึ่งกักเก็บมันเอาไว้เสียจนร่วงโรยออกมาจากริมฝีปากทั้งหมดในคราเดียว
แค่ภาพลักษณ์อัจฉริยะนั่นก็ทำให้รับรู้ถึงผลกระทบที่ย่ำแย่ของมันมามากพอแล้ว
“ว่าแต่...
สรุปแล้วมันเป็นอย่างไรคะคุณเชีย?” อิวันน่าเอ่ยถาม
ในถ้อยคำนั้นมีน้ำเสียงหยอกล้อปะปนอยู่ประปราย
“หืม?”
มันเป็นคำถามที่น่าสนใจ—
พูดตามตรงแล้ว
เนื่องด้วยความสัมพันธ์ที่เปิดเผยเรื่องความรู้สึกกันไปโดยปริยายตั้งแต่แรกเริ่ม
มิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นจึงมีสิ่งที่ลึกซึ้งกว่าปะปนอยู่— ไม่ใช่ในเชิงรักใคร่เสียทีเดียว
แต่หากให้นิยามแล้ว ‘ความสนใจในเชิงชู้สาว’ นั้นก็ดูจะเข้าข่ายมากที่สุด
“ก็ไม่อะไรมาก”
ภาพของผนังและเพดานห้องส่วนตัวอิวันน่านั้นผ่านสายตาไปโดยรวดเร็ว—
เธอหลีกเลี่ยงการสบกับแสงจันทร์ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะทำอะไรสักอย่างให้ระบบไหลเวียนเลือดของตนเองคลุ้มคลั่ง
ยกยิ้มเลศนัย และเพียงแต่ไหวไหล่เล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบกลับไป
“มั้งนะ”
อย่างไรเสียทุกอย่างควรเป็นไปตามธรรมชาติของมัน
ถ้าหากไปขัดมันก็คงดูขวางโลกไม่น้อย... ใช่ไหมล่ะ?
“แหม!”
เร็นกระแทกเสียงในคราที่โต้กลับ
และโทปาซก็หัวเราะ
“หวงเพื่อนได้ไหม?”
“ได้”
“แต่เพื่อนจะทำตามหัวใจต่อ”
“ไอฟ์—”
ถ้อยคำขัดที่อิวันน่าเอ่ยออกมาในจังหวะซึ่งประจวบเหมาะนั้นเรียกได้ว่าร้ายกาจเสียจนอยากจะกดหยุดไปหาประโยคโต้กลับสักพักหนึ่ง—
ไหนๆก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่เป็นจริงได้แล้ว
ขอแค่ให้ตนเองไม่เสียเปรียบในสงครามฝีปากเล็กๆนี่ก็พอ
แต่ปากเจ้ากรรมกลับปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปด้วยเสียงหัวเราะอีกคราหนึ่งเสียนี่...
“ตอนนี้แค่จะปล่อยให้มันเป็นไปตามโชคชะตาไปก่อน...
ไว้จัดการอะไรได้ค่อยเคลียร์ต่อ” เธอกล่าวตอบกลับไป
ในน้ำเสียงนั้นมีความขบขันเจือปนอยู่เล็กน้อย
“ก็เมคเซนส์”
อีกฝ่ายตอบกลับมา
“แหงอยู่แล้ว”
“อย่าฝืนตนเองมากก็พอ”
“อืม”
ความรู้สึกเป็นเรื่องละเอียดอ่อน
ต่อให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาจะไม่ได้พบเจอกับมันบ่อยหรือใกล้ชิดกับคนที่รู้สึกด้วยเท่าในปัจจุบันก็ตาม—
มันเป็นเรื่องที่ต้องค่อยๆจัดการทั้งในส่วนของตนเองและส่วนขององค์ประกอบอื่นๆด้วยความประณีตและระมัดระวัง
พลาดก็คือพลาด
ไม่มีการรีสตาร์ทใหม่กับคนคนเดิมหรอก
หรือต่อให้ทำได้ มันก็ไม่เหมือนเดิมอยู่ดี...
จากประสบการณ์ที่พบเห็นผ่านดวงตาคู่นี้น่ะนะ
ตุบ!
โทปาซทิ้งตัวลงนอนบนฟูกเตียงของเพื่อน—
เล็บเท้าซึ่งถูกแต่งแต้มเป็นลวดลายสวยงามนั้นสะท้อนกับแสงไฟบนเพดาน
เปล่งประกายระยิบระยับด้วยสีซึ่งสกัดจากดอกไม้ภายในบ้านหลังนี้
แล้วเธอก็เด้งตัวขึ้นนั่งอีกคราในเวลาต่อมา
“อยู่ดีๆก็อยากโดดฟูกเล่นแฮะ...”
ถึงจะผิดที่ผิดทางไปหน่อย
เพราะว่าไม่ได้อยู่ที่บ้านหรือห้องส่วนตัวของตนเองก็ตามเถอะ— อารมณ์คนมันคาดเดาไม่ได้
ระดับความนิ่มของฟูกที่แม่บ้านเลือกก็ใช่ว่าจะเหมือนกัน
อีกทั้งบรรยากาศเวลานอนบนมันก็ต่างกันลิบลับเสียด้วย
“ไว้ทำตอนดึกๆ
ตอนนี้ถ้าเสียงดังมาก แม่บ้านจะตกใจ”
“แสดงว่าทำได้?”
“แหงอยู่แล้ว
แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆเอง”
“แต่ว่าตอนกลางคืนไม่น่าตกใจกว่าเหรอ?” มาริซอลถามขึ้น— น้ำหนักที่ทิ้งตัวลงนอนในคราแรกนั้นถูกดึงขึ้นยามกลับมานั่งเคียงข้างเธออีกครั้งหนึ่ง
คิ้วคู่นั้นเลิกขึ้นตามน้ำเสียงฉงน
“คนบ้านฉันหลับไวจะตาย
แถมหลับทีก็เหมือนซ้อมจำศีล ไม่เป็นไรหรอก”
“อ๋อ...”
ภาพที่สะท้อนผ่านหินเคลือบกากเพชรก้อนนั้นคือรอยยิ้มอ่อนๆที่ประดับบนใบหน้าซึ่งมักจะไม่แสดงออกมากมายของอิวันน่า—
เธอหยิบปากกาขึ้นมาจากกระปุกซึ่งวางเปิดอยู่เคียงข้างบนเตียง
ควงมันไปตามจังหวะสมมติที่บรรเลงขึ้นเองในหัว พลางพิจารณาภาพเบื้องหน้าตนเอง
“ว่าแต่ในมือนั่นอะไรอ่ะไอฟ์”
“น้ำหอมสกัด”
“ขอดมหน่อย”
“มาใกล้ๆ”
บทสนทนาระหว่างเร็นและอีกฝ่ายเปรียบเสมือนถ้อยคำที่คลอไปกับบทบรรเลงล่องหน—
มันเป็นจุดสำคัญซึ่งอาจมีความหมายแฝงไว้หลากหลาย
กระนั้นหากจะเฝ้ามองโดยไม่คิดอะไรก็ไม่ใช่เรื่องผิด ดีไม่ดีก็อาจจะเพลินตาไปเสียด้วยซ้ำ
“ขอดมด้วยดิ” เธอลองเอ่ยถามในลักษณะเดียวกันออกไป
“เดี๋ยวสกัดอันใหม่ให้”
“ให้ตาย—”
มันเพลินเสียจนอยากจะกลืนดอกพิกุลลงคอไปเลยทีเดียว...
“ดูเหมือนว่าเราจะเหลือกันสองคนแล้วแหละมาริ”
“เอ๊ะ?”
___
เพดานบ้านอิวันน่าสวย—
ถ้าเธอคิดเช่นนั้นแล้วหลับลงก็คงจะดีไม่น้อย
ในยามค่ำคืนที่แสงไฟทั้งหมดทั้งมวลในตัวบ้านดับสนิท
มีเพียงแสงจันทร์ซึ่งลอดผ่านผ้าม่านผืนบาง ณ
หน้าต่างของห้องเท่านั้นที่สะท้อนกับกากเพชรบนพื้นผิวของก้อนหินที่ถูกเปิดเผยด้วยเปลือกตาซึ่งไม่รู้สึกหนักอึ้งแต่อย่างใด
โทปาซไม่รู้— เธอคิดว่าตนเองอาจจะตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ
ไม่ก็มีเรื่องให้คิดมากเกินไป ถึงได้เป็นคนเดียวในบ้านที่ยังตาสว่างจนจะกลายเป็นสัตว์กลางคืนแบบนี้
หรือต้นตระกูลเธอเป็นพวกหากินยามตะวันตกดินกัน?
แสงจันทร์อาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้สัญชาตญาณดิบทำงาน—
ให้มันตอบสนองต่อความรู้สึกมากมายที่เอ่อล้นเสียจนทำให้ไม่สามารถสงบใจลงได้
และขับเคลื่อนความคิดซึ่งเคยถูกฝังลงดินให้ขึ้นมาสู่ความสว่างของมันเอง
โทปาซรู้ว่าตนเองชอบการละครมากแค่ไหน—
มันทั้งอลังการ ทั้งเกินจริง อีกทั้งยังความบันเทิงขนาดย่อมที่สามารถใส่เข้าไปในกรอบรูปอันเล็กกระจ้อยได้
เช่นเดียวกับสถานการณ์ปัจจุบันที่แม้ว่าจะดูธรรมดา
แต่อาจถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบที่เวอร์วังที่สุด
อย่างไรก็ตาม...
เธอจะติดอยู่ที่เควสต์เดิมตลอดการไม่ได้หรอก ยิ่งเมื่อนี่เป็นสปีดรันที่จำกัดเวลาแค่หนึ่งปีแล้ว
เธอควรข้ามคัทซีนนี้ไปแต่โดยเร็ว
จังหวะหัวใจที่สม่ำเสมอถูกรับรู้ได้โดยปลายนิ้วซึ่งสัมผัสกับจุดชีพจร—
ลมหายใจที่เบาหวิวนั้นเป็นจังหวะคลอไปกับมันในยามที่มือทั้งสองข้างเคลื่อนจากอ้อมกอดผีเสื้อมาสู่การโอบลำคอของตนเอง
มันเป็นสัมผัสที่อบอุ่น...
เป็นสัมผัสที่ควรจะมอบให้แก่ตนเองเมื่อนานมากแล้ว
“โอเคหรือเปล่า?”
“...ยังไม่หลับเหรอไอฟ์?”
“ตื่นมาเห็นเธอทำอะไรแปลกๆอยู่พอดี”
“ว้าว”
โทปาซกลั้วหัวเราะ
“ก็แค่คิดอะไรเพลินๆไปหน่อย”
“นี่ตีสองนะแม่คุณ”
อีกฝ่ายเอ่ยปราม ก่อนจะโยนหมอนข้างจากบนเตียงลงมาให้ในเวลาต่อมา
ฟูกนุ่มๆบนพื้นไม่ใช่อุปสรรคของการนอน—
มาริซอลที่กำลังฝันหวานอยู่เคียงข้างเธอคือตัวอย่างของความสำเร็จซึ่งโทปาซไม่อาจทำได้
หล่อนหลับตาสนิท นอนกอดตุ๊กตาทำมือของตนเอง ในขณะที่เธอนั้นได้เพียงแต่แหงนมองลวดลายบนเพดานพลางถลำลึกเข้าไปในห้วงแห่งความคิดมาหลายสิบนาที
“ขอบใจ”
การกอดอะไรก็คงดีเหมือนกัน...
“มโนว่าเป็นเจ้าบลอสซัมของบ้านข้างๆก็ได้”
“ตลกเหอะ
ฉันเกลียดกบ”
อิวันน่าหัวเราะ
มันเป็นความสัมพันธ์ที่แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างกะทันหันก็แทบจะไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมมากนัก—
หล่อนรู้จักกับเธอนานสุด เห็นทุกๆเหตุการณ์ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตมาแทบทั้งหมด
รวมไปถึงคอยเฝ้าดูกันและกันอยู่อย่างห่างๆเสมอ
แน่นอนว่าไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว...
และมันก็แน่นอนว่าถึงกระนั้นก็ยังเป็นห่วงกันและกันในวิธีของตนเองอยู่
ความดื้อรั้นและความเกรงกลัวคือสิ่งที่ฉุดรั้งไม่ให้มือคู่นั้นของเธอเอื้อมไปหาใคร—
ทุกถ้อยคำที่ถูกถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเองก็ถูกปัดตกไปเสมอ เนื่องด้วยเหตุผลที่ต่างฝ่ายต่างก็รู้ดีถึงอิทธิพลของสองอย่างแรก
อาจจะฟังดูห่างเหินไปหน่อยสำหรับเพื่อนสนิท
ทว่ามันก็เป็นความพอดีที่เธอไม่อยากสูญเสียไป
ทุกอย่างไม่ได้โปร่งใสเสมือนเศษแก้ว
และมันไม่จำเป็นจะต้องเป็นไปเช่นนั้นตลอด...
“เจอกันหลังตื่นเชีย”
อิวันน่ากล่าวปิดบทสนทนา— เสียงที่ดังต่อกันมานั้นคงเป็นการทิ้งตัวลงนอนบนตัวเตียงอีกครั้งหนึ่ง
ดูเหมือนว่าหล่อนจะไม่รีรอที่ฟังคำตอบซึ่งอาจเป็นการโกหกเล็กๆน้อยๆของเธอแต่อย่างใด...
“อืม
เจอกันหลังตื่น”
ให้ตายสิ
___
[คราวหน้าลองเทสต์กับมัลเบอร์รี่ต้องสาปดู]
“วาง 10
เหรียญว่าฉันจะโดนสาปซ้ำสอง”
[20
เลยสิ]
“หิวเงิน?”
[เออ]
เธอหัวเราะ—
ประสานเสียงระยะสั้นร่วมกันกับจังหวะการเดินของสองเท้าที่เลี้ยวตัวออกจากห้องน้ำไป
ตึง...
“คุณฮานน์ตกใจแทบแย่ตอนที่เห็นเธอหยดกรดนั่นลงบนถุงมือที่ฉันใส่”
[ก็เข้าใจแหละว่าเป็นห่วง
ไว้คราวหลังค่อยทำตอนแม่อยู่บ้านคนเดียว]
“แกล้งผู้ปกครอง—
แต่ก็ขอบคุณที่ช่วยทดสอบนะ”
[ถ้าไม่ใช่ฉันก็ไม่มีใครบ้าพอที่จะช่วยเธอทำแบบนี้อยู่แล้ว]
“ก็ศีลเสมอกันนี่นะ”
เวลาล่วงเลยมาได้ประมาณหนึ่ง
หลังจากที่เธอกลับมาถึงบ้าน— ข้าวของบางส่วนนั้นได้ถูกจัดเก็บเข้าห้องเรียบร้อย เช่นเดียวกับเสื้อผ้าเก่าซึ่งลงตะกร้าผ้าที่ใช้แล้วไป
หากแต่บทสนทนากับเพื่อนสนิทกลับก็ไม่มีวี่แววจะจบลงแม้แต่น้อย
สัมผัสชื้นๆที่เริ่มจะสลายไปกับสายลมนั้นให้ความเย็นสบายในระดับหนึ่ง
ขณะที่อีกข้างซึ่งแห้งสนิทนั้นจับอุปกรณ์สื่อสารไว้แน่น
เธอเสียบหูฟังบลูทูธอยู่
กระนั้นก็ไม่อยากเผลอวางมันทิ้งไว้ที่ไหนสักที่— ยิ่งในบ้านหลังใหญ่แบบนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่
[แล้วนี่จะไปทำอะไรต่อ?]
“เดินเล่นระหว่างคิดนั่นนี่มั้ง... ในอีกชั่วโมงมีแพลนเล่นบอร์ดเกมกัน”
เธอตอบไปด้วยน้ำเสียงประหนึ่งกำลังพึมพำกับตนเอง
จุดนี้อาจจะเป็นจังหวะเฉื่อยของการสปีดรัน—
โทปาซรู้ดีว่าก้อนหินเคลือบกากเพชรจำเป็นจะต้องผ่านวิธีการมากมายเพื่อให้ความแวววาวจอมปลอมบนพื้นผิวนั่นหายไปโดยสมบูรณ์
แต่ถ้อยคำของรูเบียก็ยังคงสะท้อนขึ้นในห้วงความคิดเสมอ
เรื่องสิ่งมีชีวิตต้นตระกูลอาจจะต้องใช้เวลานานหน่อย...
ด้วยความที่โลกปัจจุบันแทบจะตัดขาดกับหลักฐานที่บ่งบอกถึงสัญชาตญาณสัตว์ป่าที่ยังมีแฝงอยู่ในวงศ์ตระกูล
การจะสืบค้นเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์มนุษย์หรือเขียนพงศาวลีลากไปจนถึงอดีตกาลจึงเป็นเรื่องยากไม่น้อย— การศึกษามันเหมือนกับการไล่ตั้งแต่ไก่ธรรมดาตัวหนึ่งในฟาร์มของตระกูลบาสซิลล์ไปจนถึงไดโนเสาร์ที่สายพันธุ์มันวิวัฒนาการมาจากนั่นแหละ
แต่หากเป็นการเริ่มสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัว
ต่อให้เริ่มในทันทีที่กลับมายังบ้านก็ยังได้— มันไม่ซับซ้อนในรูปแบบเดียวกันแต่อย่างใด
รวมไปถึงยังถูกนับว่าเป็นองค์ประกอบซึ่งมีความยืดหยุ่นมากที่สุดในบรรดาสิ่งที่ต้องบรรลุทั้งหมด
เรื่องการศึกษาร่างกายตนเองก็ทำไปแล้วบางส่วนด้วย
แอ๊ด...
“อ้าว? ไหงไม่เปิดไฟ—”
“ปาซ
เดี๋ยว—!!”
“ฮะ?”
เปรี้ยง!
ตุบ!
ผลกระทบของยาที่บริโภคเข้าไปหลังจากกลับถึงบ้านนั้นอาจจะส่งผลดีเกินเหตุ—
ประสาทสัมผัสของเธอกลับไปอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อคราวก่อนถูกสาป
และมือที่ขยับไปเร็วกว่าการสั่งการของสมองก็ทำให้ทุกร่างในห้องนั่งเล่นชะงักงัน
สัมผัสจั๊กจี้บริเวณปลายนิ้วกระตุ้นให้หันไปมองในเวลาไม่ช้า...
และเพราะเหตุนั้นทุกอย่างจึงกระจ่างในเวลาต่อมา
“โทปาซ!” แอนโธนี่ตะโกน
Shxt—
เธอทำได้แต่เพียงขบริมฝีปากล่างของตนเอง
กาลเวลาหยุดนิ่งในยามที่ตระหนักได้ว่าความชื้นกำลังนำพากระแสไฟฟ้าเข้าสู่ร่างกาย—
ปุ่มกดเพื่อเปิดไฟที่เคยมีอยู่ได้สูญหายไป และสิ่งซึ่งกำลังสัมผัสอยู่นั้นก็เป็นความประมาทที่นำไปซึ่งอันตรายเสียแทน
หมับ!
“ฉันจัดการเอง”
คล้ายกับเมื่อเกิดปัญหาระบบขัดข้อง
กว่าจะขยับตัวได้อีกครั้งก็เป็นในยามที่พี่ชายคนโตดึงมือเธอออกมา— อีกข้างจับเข้าที่หัวไหล่เพื่อดึงมากอดไว้เพื่อความปลอดภัย
ระหว่างที่พี่คนรองหาอะไรมาครอบบริเวณซึ่งชำรุดและถูกปล่อยปะละเลยมาเกินความจำเป็น
โทปาซเงียบไปครู่หนึ่ง
คิ้วคู่นั้นเลิกขึ้นด้วยความฉงน
มันเป็นความรู้สึกประหลาด...
เธอมั่นใจว่าอย่างน้อยต้องมีความเจ็บปวดเป็นองค์ประกอบปะปนอยู่ด้วย ไม่มากก็น้อย
ทว่ากลับเป็นตรงกันข้าม
หรือนี่เป็นเพราะยา?
“อย่าคิดลองทำอีกรอบนะ”
แอนโธนี่ปราม— เขาสาวเท้าเข้ามาใกล้พร้อมกับผ้าขนหนู ก่อนจะบรรจงเช็ดมือฝาแฝดตนเองโดยไม่รีรอให้ถ้อยคำใดๆถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากนั่น
“เฮ้ น้องชาย...
ฉันไม่ได้บ้าดีเดือดขนาดนั้นสักหน่อย”
“ใครจะรู้แน่ชัดกันล่ะ?”
“โอ้—”
“แล้วนี่เจ็บตรงไหนไหม?” ไดแอนธัสเอ่ยแทรกขึ้น
ร่างกายนั้นขยับเข้าสู่ท่ายืนที่สบายขึ้นในเวลาต่อมา
หลังจากที่พี่คนโตปล่อยมือจากหัวไหล่— ดวงตาคู่นั้นปรายมองบรรยากาศรอบห้องที่ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สังเกตแสงไฟที่เคยมีอยู่ร่ำไรเมื่อพยายามกดเปิดมันได้หายไปโดยสมบูรณ์ ก่อนจะหัวเราะแห้งพลางตอบกลับคำถามเมื่อครู่ออกมา
“รู้สึกจั๊กจี้นี่...
ถือว่านับไหม?”
“...”
“...”
“ฮะ—”
ไอ้ยานี่มันทำให้สมองเธอประมวลผลช้าเกินเหตุ
___
“ตอนนี้ฉันคุมเล็บได้แล้ว”
เธอกล่าวพลางขยับมือขวาและแปรสภาพร่างกายไปตามที่พูด— อีกข้างนั้นก็จัดมอนิเตอร์แล็ปท็อปให้ได้มุมที่เหมาะสมกับการโทรศัพท์แบบเปิดกล้องกับอิวันน่า
[เมื่อเช้าเพิ่งช่วยที่บ้านฉันเล็มกิ่งไม้ประดับไปนี่]
“หมายถึงในเชิงเก็บเล็บนั่นนี่ต่างหาก”
[แสดงว่าได้เวลาทิ้งกรรไกร?]
“คงงั้น”
เสียงแค่นหัวเราะท้ายประโยคดังขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ของมีคมถูกโยนทิ้งไปข้างหลัง—
เธอรู้สึกขบขัน ทั้งกับความคิดสร้างสรรค์ของตนเองและกับความคิดที่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศในวินาทีที่มือจับกรรไกรเปื้อนสนิมเล่มนั้น
ตึง!
แน่นอนว่ามันไม่ตกลงไปในถังขยะ—
อย่างกับว่าเธอจะมีทักษะพวกตัวโกงที่มักจะถูกนำมาใช้ในซีนเท่ๆเพียงซีนเดียว
ก็บันเทิงไปอีกแบบแหละนะ...
“ฉันว่าไฟฟ้านั่นอาจจะมีผลก็ได้
คล้ายกับว่ามันปรับบางอย่างภายในร่างกายให้สมดุลขึ้น”
[แน่ใจ?]
“อย่างไรมันก็ไม่มีวิจัยเกี่ยวกับคนที่มีต้นตระกูลเดียวกับฉันอยู่แล้วนี่
จะสันนิษฐานอะไรก็ไม่ผิดสักหน่อย”
วันนี้เธอทั้งลองสัมผัสกรดที่เจือจางผ่านถุงมือบางๆชั้นหนึ่งและเผอิญโดนไฟดูดโดยไม่ได้ตั้งใจ—
เป็นประสบการณ์บ้าบอราวกับหลุดออกมาจากหนังการ์ตูนก๋ากั่นสักเรื่อง โชคดีที่กิจกรรมบอร์ดเกมระหว่างพี่น้องนั้นคอยคุมความสมดุลไม่ให้มันเกินเหตุไปไกล
แม้ว่าชัยชนะจะวิ่งหนีเธอเป็นว่าเล่นและโผเข้าสู่อ้อมกอดของไดแอนธัสทุกครั้งคราเสียจนรูเบียกล่าวหาว่าเขาวางยาสเน่ห์ใส่พิกซี่ผู้คุมเกมก็ตาม
“มองในแง่ดีก็คือนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกับแอนดี้แว๊ดใส่กัน—
คลิเช่พี่น้องที่ทะเลาะกันในเรื่องไม่เป็นเรื่องเกิดขึ้นแล้วหนึ่ง” ปลายเล็บนั้นลากผ่านกระดาษระหว่างที่เอ่ยออกมา—
มันไหลไปเช่นเดียวกับที่ส่วนคมไล่ตามรอยประน้อยๆซึ่งถูกรังสรรค์ไว้เป็นแบบอย่าง สร้างเสียงเล็กๆน้อยๆที่คลอไปกับท่วงทำนองซึ่งแฝงอยู่ในประโยค
เป็นดนตรีพื้นหลังเล็กๆน้อยๆที่นำมาประกอบการพัฒนาทักษะใหม่ของตนเอง
ก้อนหินก้อนนั้นอาจจะไม่ได้ส่องสว่างราวอัญมณีหรือดูน่าดึงดูดใจเทียบเท่ากับเมื่อถูกเคลือบด้วยกากเพชร
กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าพื้นผิวของมันจะไม่สวยงามเมื่อมีแสงอาทิตย์สาดส่อง— อาจจะผิวกร่อนไปสักนิดด้วยคลื่นที่ซัดมันเข้าฝั่ง
แต่นั่นก็หาได้เลวร้ายนัก
ความแหลมคมของมันยังมีมากพอที่จะสามารถตัดหินก้อนอื่นได้
ตราบใดที่ยังคงรู้ถึงขีดจำกัดที่มี— ปลายเล็บซึ่งงอกยาว และหดกลับเมื่อจรดยังขอบโค้งโดยอัตโนมัติคือหลักฐานชั้นดี
[คล่องแล้วนี่]
คนจากอีกฟากหนึ่งของหน้าจอเลิกคิ้วขึ้นประหนึ่งว่าประหลาดใจ
โทปาซยิ้มอ่อน
“ฉันพูดได้ไหม?”
[ไม่ต้อง รู้อยู่แล้ว]
“ว้า... เสียดายจังเลยนะคะ”
[ตั้งแต่โดนสาปก็กวนตีนขึ้นนะ]
“อยากทำมานานแล้วด้วยแหละ”
เธอกลั้วหัวเราะ
ร่างกายที่อ่อนช้อยนี่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนสำหรับพละกำลังซึ่งเพิ่มขึ้นในคราวที่โค้ดโกงถูกระบุลงไปในตัวเกม—
สัมผัสซึ่งเคยเบาหวิวราวขนนกยามรังสรรค์ผลงานศิลป์ลงบนผืนแผ่นขนาดใหญ่ในห้องชมรมการละครได้แปรเปลี่ยนไป
กระนั้นเศษเสี้ยวของมันก็ยังคงปรากฏอยู่ในจังหวะการเฉือนผิวกระดาษสากๆนั่นประมาณหนึ่ง
เจ้าของคำสาปอสูรอย่างเธอจำเป็นจะต้องเลือกสักทางใดทางหนึ่งในบรรดาตัวเลือกทั้งหมดเพื่อเป็นเป้าหมายหลัก...
และสภาพอารมณ์คือตัวแปรสำคัญในการเลือกมัน
“เหมือนหงส์แดงไหม?”
[เหมือน ว่าแต่เอาเรฟมาจากไหน?]
“จำเอาจากอาร์ตที่เคยเห็นตอนรีเสิร์ชที่หอสมุด”
กล่าวตอบไปด้วยน้ำเสียงเฉยเมย พลางชื่นชมเครื่องมือตนเองเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเก็บมัน—
แปรสภาพร่างกายสู่ยามอารมณ์ปกติอีกคราวด้วยใจนึกพลางแย้มยิ้มอย่างด้วยอารมณ์ภาคภูมิ
ให้ตายสิ
เธอนี่มันสุดยอดชะมัดเลย
นานๆทีจะรู้สึกอยากชื่นชมตนเองเฉกเช่นนี้...
ครืน!
“ไอฟ์”
[หืม?]
“ฉันว่ากำลังเข้าสู่วิถีชีวิตของตัวละครโอพีแล้วแหละ”
[ขอร้อง หยุดเบียว]
สกายบลูโทปาซสบกับไฟที่ส่องสว่างเล็กน้อยในยามกลอกตาหยอกล้ออีกฝ่าย—
มันเปล่งประกายกว่าเคย
ด้วยมุมที่ได้รับการเจียระไนเพิ่มเติมจากมหาสมุทรและความรู้สึกซึ่งหลั่งใหลออกมา
แล้วปลายนิ้วนั้นก็ค่อยๆแตะลง ณ
ข้อความแจ้งเตือนที่ขึ้นมา
ARIES :: ถ้าให้ทายนะ
ต้นตระกูลเธอคงเป็นพวกที่มีความทนทานต่อพลังงานรูปแบบอื่นสูง
โทปาซหัวเราะออกมาอย่างแผ่วเบา— ลิปสติกสีหวานนั้นเปรอะปลายนิ้วซึ่งสัมผัสกับมันโดยตรงประมาณหนึ่ง
แล้วจึงลากยาวไปยังข้อมือขวาซึ่งถูกเลื่อนขึ้นมาปกปิดรอยยิ้มซึ่งไม่อยากจะเปิดเผยของตนเอง
:: ดาร์กไซด์ได้แทงก์แล้วสินะ
เธอคิดว่าตนเองกินยาเผื่ออาการไว้มากเกินไป...
ว่ากันว่าช่วงเวลาอารมณ์ดีของหญิงสาวคนหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรเข้าไปขัดขวาง—
จดจำอย่างแน่ชัดไม่ได้ว่าเป็นคำกล่าวของใคร แม้ว่าสมองจะสลักมันไว้ในห้วงความคิด ณ
ปัจจุบันไปโดยปริยาย
ARIES. :: ยินดีด้วยกับตำแหน่งใหม่นะครับคุณหนู
ความคิดเห็น