คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่4 ตามหาพี่สาว
ประกาศ! นิยายเรื่องนี้มีฉบับอีบุ๊คแล้ว
|
ย้อนกลับไปก่อนหานไต้จะตาย เขาได้สารภาพอย่างจริงใจกับเฟิงลี่ด้วยเส้นเสียงแหบแห้งสั่นพร่า
“ลี่เอ๋อร์ รู้หรือไม่ว่าเหตุใดคนแก่เร่ร่อนอย่างข้าถึงได้ตัดสินใจเก็บพวกเจ้าสองคนพี่น้องมาเลี้ยงดู”
มือหนึ่งของเฟิงลี่ปาดน้ำตาอีกมือหนึ่งเกาะชายผ้าห่มที่คลุมร่างชายชราผู้เจ็บป่วยนอนซมมาแรมปี นางสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “เพราะข้ากับพี่ซือซือเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารเจ้าค่ะ”
หานไต้ส่ายหน้าปฏิเสธ แต่การส่ายหน้านั้นไร้เรี่ยวแรงจนมองแทบไม่เห็น เขาเอ่ยเสียงแผ่ว
“เจ้ากล่าวผิดแล้ว! เหตุที่ข้าเก็บพวกเจ้าสองคนพี่น้องมาชุบเลี้ยงก็เพราะเจ้าสองพี่น้องคือธิดาของเจ้าเมืองไป๋”
“...!?”
เด็กสาวชะงักงันสองตาเบิกโตโดยพลัน
ไม่ปล่อยให้ผู้ฟังอึ้งนาน หานไต้เอ่ยต่อด้วยเสียงแหบแห้ง “สงครามต่างแคว้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก สงครามอำนาจระหว่างตระกูลยิ่งไม่อาจก้าวผ่านได้โดยง่าย มารดาของเจ้าเดิมทีเป็นฮูหยินเอกเจ้าเมืองไป๋ นางแต่งงานหลายปีไม่มีทายาทจึงถูกการแย่งชิงหลังเรือนกลืนกินจนสิ้นท่าเพราะบิดาเจ้ามีอนุภรรยามากมายนัก หลังถูกขับไล่ถึงได้รู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ แม้นางจะมีอายุไม่น้อยแต่ก็พยายามประคับประคองเด็กในท้องอย่างดี ท้ายที่สุดเมื่อคลอดบุตรออกมายังเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายก็ให้รู้สึกสิ้นหวังและตรอมใจตาย ยามนั้นกำลังมีสงครามรุกรานยึดเมือง เจ้าเมืองไป๋บิดาของเจ้าซึ่งล่วงรู้เรื่องของพวกเจ้าสองพี่น้องกำลังตามหาเพื่อรับตัวกลับจวน แต่เพราะรักษาเมืองจึงต้องตายไปท่ามกลางไฟสงครามอย่างน่าเสียดาย ไม่ทันได้เห็นหน้าบุตรสาว”
หานไต้เล่าไปเรื่อยๆ คล้ายกับกลัวว่าชั่วชีวิตที่เหลืออาจจะไม่มีโอกาสบอกความจริงที่ซุกซ่อนแก่เฟิงลี่อีก
“เด็กน้อยเอ๋ย ชะตากรรมของเจ้าแม้ย่ำแย่แต่ตัวตนที่แท้มิได้ต่ำต้อยอันใด เหตุที่ข้าเก็บพวกเจ้ามาดูแลก็เพราะก่อนหน้านี้มีความหวังเล็กๆ ในตัวมารดาของเจ้า ทว่าก็อย่างที่เห็น... นางปฏิเสธข้าและตายไปอย่างไม่ไยดี ทิ้งไว้เพียงทารกในห่อผ้าหลังไฟสงครามที่มอดไหม้”
เขาหัวเราะเสียงขื่น “ตัวข้ามิใช่จอมยุทธ์เก่งกาจอะไร เป็นแค่ชายชราไร้ความสามารถผู้หนึ่งซึ่งมีความรู้แค่ปลายนิ้ว เมื่อความหวังในหญิงงามหมดสิ้นจึงเร่ร่อนต่ออย่างไร้จุดหมาย หลังจากได้รับข่าวร้ายเรื่องสงครามใกล้บ้านนาง ข้าก็รีบกลับมา ทว่าสายเกินไป...นางทิ้งบุตรสาวเอาไว้เช่นนั้น ข้าที่เก็บพวกเจ้ามาเลี้ยงก็หวังเพียงยามที่ร่างกายนี้ผุพังใกล้ดับสูญจะมีคนดูแลปรนนิบัติป้อนน้ำป้อนยา ท้ายที่สุดจะได้มีคนทำศพให้อย่างดี ไม่ต้องกลายเป็นซากเน่าๆ ข้างทางให้สุนัขกัดกินอย่างอนาถ วิญญาณจะได้ไปสู่ปรโลกอย่างสงบ”
ชายชราถึงกับต้องหยุดวาจาหายใจหอบครู่หนึ่งเพราะกล่าวด้วยประโยคยาวเหยียด เขายิ้มเยาะตัวเองแล้วกล่าวต่อ “ข้ามิใช่คนดีอะไร ที่ทำไปล้วนหวังผลประโยชน์จากเด็กๆ”
เฟิงลี่สะอื้นไห้ส่ายหน้าไม่หยุด
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านตาเป็นคนดี การดูแลท่านจนวาระสุดท้ายเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ท่านอย่าได้เอ่ยเช่นนั้นเลย”
หานไต้หัวเราะเสียงเบาฟังดูแหบโหยคล้ายเสียงครวญของสายลมหนาว เขาค่อยๆ กล่าว “วิชาการต่อสู้ที่ข้าสอนเจ้าก็เอาไว้ใช้ได้แค่ป้องกันตัวเท่านั้น ดีมากหน่อยก็คือวิชาแยกแยะสมุนไพร แต่วิชาฝังเข็มยังไม่ถึงขั้นช่วยชีวิตใครได้ แค่ห้ามเลือดกับบรรเทาอาการเจ็บปวดจากบาดแผล เจ้ารู้ใช่ไหม?”
เฟิงลี่พยักหน้าราวลูกไก่กำลังจิกข้าว
ชายชราหลับตากล่าวเสียงแหบเบาอีกว่า “เหตุที่ข้าอนุญาตให้เจ้าตามหาพี่สาวแค่บริเวณริมชายป่านั่นก็เพราะว่า ข้าไม่ต้องการทำลายความหวังของเจ้า แต่กลับไม่ต้องการให้เจ้าหานางพบเช่นกัน และข้าก็คาดเดาได้ว่านางคงไปอยู่ในที่อบอุ่นแสนสบายห่างไกลแล้ว จะอย่างไรเจ้าย่อมหาไม่เจอโดยง่าย”
เด็กสาวพลันชะงัก ก่อนปาดน้ำตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาตัดพ้อ
“เพราะเหตุใดเล่าท่านตา ท่านไม่เป็นห่วงพี่ซือซือหรือ?”
หานไต้หัวเราะเสียงพร่า
“คนที่น่าห่วงมิใช่นาง แต่เป็นเจ้า”
เฟิงลี่นั่งมองชายชราผ่านม่านน้ำตาอย่างไม่เข้าใจ ได้ยินอีกฝ่ายค่อยๆ เอ่ยด้วยกระแสเสียงเบาหวิวคล้ายจะหมดแรงว่า
“ลักษณะการแต่งกายของชายวัยกลางคนที่เจ้าช่วยเหลือในวันนั้น เท่าที่ฟังเจ้าเล่ามา หากข้าคิดไม่ผิดเขาย่อมมีฐานะไม่ธรรมดา อาจเป็นคหบดีร่ำรวยล้นฟ้าหรือไม่ก็อาจเป็นถึงขุนนางใหญ่โตแห่งแว่นแคว้น การที่พี่เจ้าหายตัวไปพร้อมเขา เป็นไปได้ถึงแปดส่วนว่าชายผู้นั้นพานางไปชุบเลี้ยง และเหตุที่ข้าไม่บอกเจ้าตั้งแต่ในวันนั้น ก็เพราะไม่ต้องการให้เจ้าออกตามหาพี่สาวของเจ้าจนเจอ เพราะนางอาจจะชักชวนให้เจ้าอยู่ด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้นข้าจะทำอย่างไร การพาพวกเจ้าพี่น้องมาชุบเลี้ยง มิใช่เสียเวลาเปล่าหรือ?”
เฟิงลี่ได้ฟังก็นิ่งอึ้ง เบิกตากลมโตมองคนป่วยไม่กะพริบ ได้ยินหานไต้ไอโคลกเพราะกล่าวคำยาวเหยียดเกินไป จึงรีบเอ่ย
“ท่านตา ข้าไม่มีทางเนรคุณทิ้งท่านไปเจ้าค่ะ”
ชายชราคลี่ยิ้มอ่อนแรง ใช้พลังที่เหลือน้อยเต็มทีพยายามมองเด็กหญิงด้วยสองตาพร่ามัว “เด็กโง่...ยามนี้ข้าจะตายอยู่แล้ว ยังจะกล้ารั้งเจ้าเอาไว้หรือ? หลายปีที่ผ่านมา ลำบากเจ้าแล้ว”
“ท่านตา...”
เด็กหญิงร้องไห้โฮ
หานไต้หวนระลึกถึงเฟิงลี่ตั้งแต่วัยเด็กน้อยกระทั่งยามนี้ที่มีอายุสิบสี่ปี ทุกวันนางต้องทนลำบากยากไร้ ไม่ได้กินดีอยู่ดี
บางทียังต้องแบกเขาที่เป็นบุรุษตัวโตหลบเสือร้ายหิวโซ หลบสุนัขป่าอันธพาล บางคืนยังไม่ได้นอนหลับสบายอย่างที่ควร เพราะต้องคอยไล่งูพิษและสัตว์ร้ายทุกชนิดที่เลื้อยเข้ามาในที่พัก
ชายชรายิ่งคิดยิ่งปวดใจ
ในอดีต เพราะเคยก่ออาชญากรรม เคยปล้นชิงฆ่าคน จนถูกตามล่าจากทางการได้รับบาดเจ็บภายในเรื้อรัง จึงไม่อาจเลือกใช้ชีวิตอยู่ในที่ชุมชน จำต้องหลบเร้นในป่าเขา ทว่าก็ยังเก็บเด็กทารกซึ่งเป็นธิดาของหญิงที่แอบรักมาเลี้ยงดู หวังใช้ประโยชน์ในบั้นปลาย ไม่อยากตายอย่างอนาถเดียวดาย
ด้วยเหตุผลทั้งหลาย เขาจึงเห็นแก่ตัว...
ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิง ชายชรากำลังหลั่งน้ำตาเป็นสายเลือดอยู่ในอกลึกๆ เขาเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เฟิงลี่...หลังจากข้าตาย...เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทนลำบากในหุบเขาเพียงลำพัง จงออกตามหาพี่สาวของเจ้า ข้ามั่นใจว่านางได้เศรษฐีชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี มีชีวิตสุขสบาย โดยอาศัยความชอบของเจ้าอย่างไร้ยางอาย แต่อย่าได้โกรธเคืองนางเพราะคนเราย่อมมีความเห็นแก่ตัว เจ้าเองก็อย่าได้ใจกว้างจนเกินไปนัก จงไปทวงสิ่งที่ควรเป็นของเจ้าคืนมา แล้วหาบุรุษที่พึ่งพาได้สักคนแต่งงานเสีย มนุษย์เราไม่ว่าชายหรือหญิง การอยู่คนเดียวชั่วชีวิตนับว่าลำบากยิ่ง ต้องทนเหน็บหนาวโดดเดี่ยวกระทั่งถึงวัยชรา และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือการมีบุตร เจ้าต้องมีบุตร เข้าใจไหม?”
เด็กสาวพยักหน้าทั้งน้ำตา การอยู่ในป่าคนเดียวเป็นเรื่องที่นางไม่ปรารถนาเช่นกัน
หลังจากนั้นเพียงสามวัน หานไต้ก็สิ้นใจลงอย่างสงบ เฟิงลี่จึงทำศพให้อย่างดีก่อนเดินทางออกจากป่ามาอาศัยอยู่ในหมู่บ้านซึ่งตั้งห่างจากหุบเขาเหลิ่งซานไม่มาก
นางมีความรู้เรื่องสมุนไพรจึงขอทำงานที่โรงหมอ
ท่านหมอมีภรรยาหนึ่งคนและบุตรสาวอีกเพียงหนึ่งคน เมื่อเพิ่มเฟิงลี่มาหนึ่งคน เพิ่มตะเกียบอีกหนึ่งคู่ จึงมิใช่ปัญหา
และที่สำคัญเด็กสาวขยันขันแข็งยิ่ง ทำงานทุกอย่างโดยไม่เกี่ยงงอน ตั้งแต่แบกน้ำ ผ่าฟืน ซักผ้า กวาดลานบ้าน ทำอาหาร จนถึงเป็นผู้ช่วยท่านหมอ เรียกได้ว่าแบ่งเบาภาระงานของทุกคนในบ้านได้เหลือเชื่อ นางจึงเป็นที่รักของทุกคนอย่างไร้ข้อกังขา
ทุกสิบห้าวัน เฟิงลี่จะขอวันหยุดกับท่านหมอหนึ่งวันเพื่อออกตามหาพี่สาว แต่ยังคงไร้วี่แววและข่าวคราว เด็กสาวจึงพำนักอยู่โรงหมอ ช่วยท่านหมอหาสมุนไพรและแยกแยะเคี่ยวยา มีความสุขตามอัตภาพให้ผ่านไปแต่ละวัน
บุตรสาวของท่านหมอมีนามว่า จิ่วเม่ย ปีนี้อายุสิบเจ็ดปี
จิ่วเม่ยรักและเอ็นดูเฟิงลี่มาก นางมักจะออกจากบ้านเพื่อช่วยเฟิงลี่ตามหาพี่สาวอย่างใจกว้างมากน้ำใจ
ยังมีชายหนุ่มอีกคนนามว่าหลิวอี้คอยช่วยเหลืออีกแรง
จิ่วเม่ยและหลิวอี้แท้จริงคือคู่หมั้นกัน
พวกเขามีกำหนดการแต่งงานในอีกสามเดือนข้างหน้า มีแผนการเอาไว้ว่าหลังแต่งงานจะย้ายไปอยู่อีกเมืองอย่างถาวร
เมืองนั้นใกล้เมืองหลวง สะดวกต่อการสืบทอดร้านรวงของสกุลหลิวที่มีมากมายนับไม่ถ้วน
เช่นนั้นเถ้าแก่โรงหมอจึงมีแผนการเช่นกัน เขามีความคิดว่าจะให้เฟิงลี่ตามไปดูแลบุตรสาวคนเดียวของเขาที่เมืองแห่งนั้น เพราะเฟิงลี่พอจะรู้วรยุทธ์อยู่บ้าง
หากจิ่วเม่ยถูกคนรังแกจะได้มีเฟิงลี่คอยคุ้มกัน
ไม่ผิด! เฟิงลี่เรียนรู้วิชาต่อสู้ถึงขั้นวรยุทธ์จากหานไต้ ควบคู่กับวิชาแยกแยะสมุนไพร นางจึงเอาตัวรอดมาได้แม้อยู่เพียงลำพังในป่าใหญ่ อีกทั้งนิสัยใจคอเปิดเผยจริงใจ จึงทำให้ท่านหมอไว้วางใจที่สุด
ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปกับผู้รู้วรยุทธ์นั้นต่างกัน ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปจะรู้จักแต่หมัดมวยกระบวนท่าสวยงามของการต่อสู้ ยามใช้งานจริงจึงทำได้แค่ปกป้องตนเองไม่อาจปกป้องผู้อื่น
แต่ผู้รู้วรยุทธ์จะมีพื้นฐานของกำลังภายในเบื้องต้น ฝีมือนับได้ว่าสูงกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปอยู่สามขั้น ทว่าไม่อาจเทียบชั้นกับเหล่าจอมยุทธ์ได้ คนพวกนั้นมีพลังลมปราณเสริมกำลังภายในฝีมือสูงส่งมาก ที่กล่าวมายังไม่รวมผู้เยี่ยมยุทธ์ ซึ่งประเภทนี้นับว่าเก่งกาจห่างชั้นไม่อาจประเมินได้
ท่านหมอรู้ดีว่าบุตรสาวของตนไม่มีทางที่จะมีศัตรูระดับจอมยุทธ์หรือผู้เยี่ยมยุทธ์จึงมิได้พะวงถึงเพียงนั้น แต่อาจจะมีพวกอันธพาลต่างถิ่นมารังแกเอาได้
เฟิงลี่อายุยังน้อยแต่อยู่ในขั้นผู้รู้วรยุทธ์ แม้มิได้เก่งกาจ แต่ย่อมสู้รบกับพวกอันธพาลได้แน่นอน
จิ่วเม่ยได้ฟังแผนการของบิดาพลันเอ่ยค้านอย่างอ่อนใจ “ท่านพ่อ แม้ข้าจะรักใคร่เอ็นดูลี่เอ๋อร์เสมือนน้องสาว แต่จะให้ข้าทิ้งท่านพ่อกับท่านแม่เอาไว้โดยไม่มีใครดูแลแทนข้า ใช้ได้ที่ใด?”
ท่านหมอลูบศีรษะของบุตรสาวพลางเอ่ยเสียงทุ้มนุ่ม “เจ้าจะห่วงไปใย ที่นี่คือบ้านเกิดของพ่อกับแม่ ต้นตระกูลล้วนอยู่ที่นี่ทั้งสิ้น พี่ป้าน้าอาทั้งหมู่บ้านนับกันดีๆ ล้วนเป็นญาติกันทั้งนั้น ท่านปู่ท่านย่ารวมถึงท่านตากับท่านยายของเจ้าก็ยังอยู่ครบ แต่กลับกัน ...ตัวเจ้าต้องไปอยู่ต่างถิ่นลำพัง ไกลถึงต่างเมือง ให้ลี่เอ๋อร์ไปด้วยนั่นล่ะดีแล้ว เผื่อว่าจะใช้โอกาสนี้ตามหาพี่สาวของนาง ถ้าให้ดีอีกสองปี เมื่อเจ้าคุ้นเคยกับบ้านเมืองและลี่เอ๋อร์อายุครบสิบหกปี เจ้าก็เป็นธุระจัดการหาคู่ครองดีๆ ให้นางด้วยล่ะ ให้หลิวอี้ช่วยดูจากพวกพ้องนั่นล่ะ จึงจะดี”
เมื่อเป็นเช่นนี้ จิ่วเม่ยจึงไม่อาจกล่าวทัดทานสิ่งใดได้อีก ดูเหมือนบิดากับมารดาของนางจะมองในแง่ดีเกินไป
นางจำต้องรับตัวเฟิงลี่ให้อยู่ข้างกายตนเองตลอดเวลา
กระทั่งแต่งงานออกเรือนแล้วย้ายไปต่างเมืองกับหลิวอี้ในสามเดือนต่อมา...
จิ่วเม่ยกำลังยอมรับในใจว่า นางมีความหวั่นไหวไม่น้อย เพราะเฟิงลี่มีใบหน้าหมดจดงดงาม อายุเพียงสิบสี่ปีเท่านี้แต่กลับฉายชัดถึงความโดดเด่นงามเลิศปานนั้น
เห็นได้ชัดเจนว่าเฟิงลี่งดงามตั้งแต่เกิด เมื่อเติบโตเต็มวัยย่อมกลายเป็นสาวงามอย่างแท้จริง
ขนาดเป็นเด็กป่าอาศัยในหุบเขาเหลิ่งซานเนิ่นนาน ยังฉายแววเป็นหญิงสาวสะคราญโฉมล่มบ้านล่มเมืองแล้ว
ผิวพรรณหรือยิ่งนวลเนียนละเอียดลออไม่ต่างจากคุณหนูตระกูลใหญ่ ทั้งยังเคยอาศัยภายในหุบเขาเขตหนาวที่มีหิมะตกตลอด เนื้อตัวยิ่งขาวราวกับกระเบื้องเคลือบอันประณีต หากรอจนอายุสิบหกปี และอยู่ข้างกายนางให้สามีเห็นตลอดเวลา ไม่แน่ว่าตัวของหลิวอี้นอกจากไม่พยายามหาคู่ครองให้เฟิงลี่ ยังอาจจะรับเฟิงลี่เป็นอนุเองเสียด้วยซ้ำ
ภายใต้สีหน้าอ่อนหวานเปี่ยมน้ำใจไมตรี จิ่วเม่ยลอบคิดวิธีที่จะจัดการให้เฟิงลี่ออกจากเรือนตนก่อนอายุครบสิบหกปี ถ้าจะให้ดีควรทำทุกวิธีให้เฟิงลี่หายตัวไปภายในเวลาสองปีนี้
นิยายเรื่องนี้ฉบับอีบุ๊ค คลิก>>>
|
ความคิดเห็น