คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ ๖ อดีตบาป
บทที่ 6
อดีตบาป
“พวกมึงมันไม่ได้เรื่อง!”
น้ำเสียงโกรธเคืองของนายทรงชัยแผดลั่นออกจากห้องพักฟื้นของลูกชายคนรอง
แม้โรงพยาบาลจะเป็นเขตห้ามใช้เสียง
แต่ข้อห้ามพวกนั้นใช้ไม่ได้กับนักเลงใหญ่ที่ถือตนว่ามีสิทธิ์เหนือผู้อื่น
“เราตามหามันจนทั่วแล้วนะครับนาย ไม่รู้ว่ามันหายตัวไปได้ยังไง
ถามชาวบ้านตามรูปร่างหน้าตาที่คุณโทบอก ก็มีแต่คนตอบว่าไม่เคยเห็น”
มีเพียงสมุนคนสนิทที่กล้าเอ่ยปากอธิบาย
นักเลงใหญ่ฟังแล้วหงุดหงิดใจนัก
หันไปทางลูกชายที่กำลังถ่ายรูปตัวเองชูสองนิ้วให้โทรศัพท์ไม่พอ
มันยังทำปากจู๋สลับกับทำแก้มป่องจนคนเป็นพ่อขนลุกขนพอง
ขาหักที่ห้อยทั้งสองข้างไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงสังคมออนไลน์แม้แต่น้อย
“ไอ้โท แกแน่ใจนะว่ารูปร่างหน้าตาที่แกบอกไม่ผิดแน่!”
“ไม่ผิดพ่อ” ทวีรัตน์ส่งเสียงจึ๊กจั๊กขัดใจยามตอบบิดา
“แกลองอธิบายหน้าตาของมันให้ฟังอีกทีสิ”
“ตัวสูง” เด็กหนุ่มขาหักรักการแชร์พยายามทวนความทรงจำ
“สูงมากไหม”
“โอ๊ย ฉันสูงกว่าเยอะ” ทวีรัตน์พูดเสียงสูง
“เฮ้ย พวกมึงจดรายละเอียดอีกครั้ง แล้วไปตระเวนดูทุกหมู่บ้าน”
ทรงชัยสั่งลูกน้องทันควัน แล้วหันหน้ามาใช้สายตาคาดคะเนความสูงของไอ้หนุ่มปริศนาจากตัวลูกชาย
“สูงประมาณ...ร้อยห้าสิบ...ห้า”
“โคตรเตี้ย” ลูกน้องคนหนึ่งจดไปรำพึงไป
“แล้วหน้าตามันล่ะ” ทรงชัยถามลูกชายต่อ
“เหลาเหย่” ทวีรัตน์ตอบอย่างไม่สนใจ
เพราะกำลังดูว่ามีใครตอบสนองต่อรูปถ่ายที่ตัวเองเพิ่งปล่อยสู่โลกออนไลน์บ้าง
“เหลาเหย่” มือที่จับปากกาจดตามยุกยิก แต่แล้วก็หยุดชะงัก “เอ๊ะ แต่ผมได้ยินคนที่เห็นเหตุการณ์เขาพูดกันว่า
เจ้านั่นมันตัวสูงเหมือนฝรั่ง แล้วก็หล่ออย่างกับพระเอกหนัง”
“หล่อเหล่ออะไรกัน สู้ฉันไม่ได้สักนิด” ทวีรัตน์ฉุนใส่
“ถ้างั้นแกบอกมาว่า ตา หู จมูก ปาก สีผิวมันเป็นยังไง”
นายทรงชัยเริ่มแสดงความหงุดหงิดทางน้ำเสียง
“โธ่ บอกไม่ถูกหรอกพ่อ ถ้าฉันมีเวลาจ้องมันขนาดนั้น
คงโดนต่อยร่วงไปแล้ว”
“แกก็นอนร่วงเป็นใบไม้แห้งอยู่นี่ไง!”
ผู้เป็นบิดายกมือปาดหน้าผากจนถึงปลายคางด้วยความเดือดดาล
ที่แห่งนี้เป็นถิ่นของเขา
แต่ไอ้หนุ่มต่างถิ่นมันเหยียบเข้ามาแล้วทำให้ศักดิ์ศรีเจ้าถิ่นอย่างเขาโดนลบหลู่ ด้วยข่าวของทวีรัตน์สู้แพ้ราบคาบอย่างกับลูกหมาสู้กับสิงห์
“พวกมึงจงไปตระเวนตามหมู่บ้านแล้วหาคนแปลกถิ่น ไม่ว่ามันจะสูงต่ำดำขาว
ก็ต้องหามันให้เจอ!”
“จะทำอะไรกันก็อย่าให้เดือดร้อนถึงฉันนะพ่อ”
เอกรัตน์ที่เพิ่งเข้ามาทันฟังเรื่องราวเอ่ยเตือน มองทุกคนในห้องนี้ด้วยสายตาไม่พอใจ
ไล่ตั้งแต่ลูกสมุนของบิดาเป็นรายคน จนมาถึงน้องชายคนรอง
“ครั้งนี้ฉันตั้งใจมากกว่าครั้งไหน
อย่าทำอะไรให้ฉันเดือดร้อนด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง” แล้วตอกย้ำด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“ฉันก็เห็นพี่ตั้งใจทุกครั้ง
แต่ครั้งที่แล้วเป็นพี่เองไม่ใช่หรือที่ประกาศถอนตัว” ทวีรัตน์สะบัดตามอง
แต่พอเจอดวงตาที่แข็งกร้าวกว่าจึงหลุบตาลงต่ำ ขบกรามแน่น
“ฉันจะทำอะไรมันไม่เกี่ยวกับแก
แล้วที่ฉันประกาศถอนตัวเองจากผู้สมัครทั้งที่คะแนนนิยมนำมาตลอด ก็ไม่ได้เป็นสาเหตุทำให้แกนอนขาเป๋แบบนี้”
คนที่ถูกค่อนขอดเกิดความอึดอัดคับข้องในอก
ยิ่งถูกมองด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการดูแคลนย่ำยีของเอกรัตน์
ก็ยิ่งผูกใจเจ็บอยากให้ผู้พี่พบความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดไป
“แล้วแกมั่นใจแค่ไหนว่าครั้งนี้จะชนะเลือกตั้ง” ผู้เป็นพ่อเอ่ยปาก
“ตอนนี้คู่แข่งที่พอจะสูสีก็มีท่านนายกฯ คนเก่า แต่ถ้าไหมแก้วยอมช่วยเป็นแรงเสียง
พูดสนับสนุนฉัน พวกชาวบ้านก็คงจะให้ความไว้ใจฉันมากขึ้น”
“ถ้าหมอคิดจะช่วยแก เขาก็คงช่วยแกตั้งแต่สมัยที่แล้ว”
คำพูดของนายทรงชัยจี้ใจดำชายหนุ่มได้ตรงจุดและรุนแรง
บิดาของเขาไม่ได้กล่าวตามความรู้สึก แต่เป็นเรื่องจริงที่ทำให้เอกรัตน์ผิดหวังมากที่สุดในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไหมแก้ว
ทั้งที่เธอรู้ว่านโยบายที่เขาใช้หาเสียงทุกหัวข้อนั้นเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันอยากให้เกิดขึ้นในแดนดินถิ่นนี้ทั้งสิ้น
ฉะนั้น การที่เธอปฏิเสธให้ความช่วยเหลือจึงทำให้เอกรัตน์คิดได้อย่างเดียวว่า เป็นเพราะเธอไม่ให้อภัยความผิดที่เขาทำไว้ในอดีต
เสียงถอนหายใจและแววตากังวลที่ฉายชัดของเอกรัตน์นั้นทำให้นายทรงชัยนึกยิ้มเยาะในใจ
แม้อยากตัดความหวังของลูกชายเรื่องคนรัก
แต่ก็ไม่อยากให้เอกรัตน์พ่ายแพ้การเลือกตั้ง
นายทรงชัยกระตุกยิ้มที่มุมปาก ก้าวขาเข้าไปใกล้บุตรชายคนโต
พลางเอ่ยคำพูดเสียงทุ้มต่ำ แต่หนักแน่นและเปี่ยมไปด้วยความหมายแฝงในคำพูดทุกคำ
“แกจะรักอุดมการณ์ก็รักไป แต่อย่าปฏิเสธว่าการทำให้อุดมการณ์เป็นจริง มันก็ต้องตัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคไปบ้าง”
ถึงแม้ทางเลือกของเอกรัตน์จะแตกต่างไปจากผู้เป็นพ่อ
แต่ก็หนีความจริงที่อยู่ในใจไม่ได้ว่าเขาเป็นปุถุชนที่มีรัก โลภ โกรธ หลง
ปะปนอยู่ในจิตใจ หาใช่ผู้หลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงไม่
“ถ้าให้ฉันช่วยแกแต่แรก ป่านนี้แกก็ได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้นแล้ว
ยังมีเวลาอีกหลายวันกว่าจะถึงวันลงคะแนนเสียง ขึ้นอยู่กับแกนะเอกรัตน์
มีคนที่พร้อมสนับสนุนแกอยู่ทุกทาง”
“ฉันจะฟังไว้” ชายหนุ่มตอบสั้น ๆ แล้วหมุนตัวเพื่อเดินออกจากห้อง ก่อนที่เกราะแข็งของเขาจะสึกกร่อนไปมากกว่านี้
“คนที่แกต้องฟังไม่ใช่ฉัน
แต่เป็นเจ้าของเงินที่ใช้หาเสียงของแกต่างหาก”
เอกรัตน์ถึงกับหยุดขาชะงักในตอนที่เดินถึงประตู
หันตัวกลับไปหาผู้เป็นบิดาที่ก้าวเดินเข้ามา เอ่ยกับเขาด้วยเสียงเคร่งขรึม
“ที่ดินผืนที่แกอยากได้ไปปรนเปรอความฝันของหมอไหมแก้ว
เขาก็ติดต่อเจ้าของที่ขอซื้อไว้ให้แล้ว
แกควรจะหาเวลาไปกราบขอบคุณเขาอย่างที่พวกคนดีอะไรแบบนั้นทำกัน”
“ถ้าเป็นเงินที่ได้จากเรื่องสกปรกแล้วเขาต้องการฟอกเงินละก็
ฉันบอกพ่อไปแล้วไม่ใช่หรือว่าฉันไม่รับ”
แม้จะพอรู้มาบ้างว่าพ่อกับคนที่ถูกเอ่ยถึงทำธุรกิจอะไรต่อกัน
แต่ในความเป็นจริงนั้น เอกรัตน์ก็ใคร่อยากรู้เหตุผลแท้จริงของผู้สนับสนุนเงินในการหาเสียงที่ยังไม่เคยเห็นหน้า
“แกวางใจเถอะเอกรัตน์
เงินที่ใช้สนับสนุนการหาเสียงได้มาจากกิจการผับในเมืองกรุงที่เขาเป็นเจ้าของ
แต่ถ้าแกอยากได้ความมั่นใจ ก็รอถามจากปากเขาเอง เขาจะเดินทางมาพบแกในไม่ช้า”
ต่อให้อยากปฏิเสธการพบเจอ
ก็คงทำได้ยากลำบาก เพราะเงินเหล่านั้นถูกบิดาใช้จ่ายไปมากเพื่อส่งให้เขาได้สำเร็จดังหวัง
“จำที่ฉันเคยสอนแกได้ไหมเอกรัตน์”
ผู้เป็นบิดามองเขาด้วยดวงตากร้านโลก “ถ้าอยากได้สิ่งที่ฝันไว ๆ
แกต้องใช้ชีวิตแบบเล่นเกมบันไดงู ไม่ใช่เกมเศรษฐีที่เอาแต่เดินวนเป็นวงกลม”
เอกรัตน์ไม่ได้ตอบโต้คำพูดของบิดา
เขาหันหลังเดินจากมาด้วยความรู้สึกหมองหม่น
ความตั้งใจของวันนี้คือหลังจากไปเยี่ยมอาการน้องชายที่ยังฮึกเหิมอยากทวงคืนความแค้น
แล้วจะไปขอปรึกษาคุณหมอใหญ่เรื่องการสร้างแปลงเพาะพันธุ์สมุนไพร
แต่ในความรู้สึกตอนนี้กลับอยากพาตัวเองหนีไปให้พ้นจากคำพูดที่เริ่มเข้ามาเกาะกินจิตใจมากขึ้นทุกวัน
จนความมุ่งมั่นเอาชนะด้วยคุณงามความดีลดเพดานลงต่ำ นายก อบจ. ท่านเดิมก็ยังเป็นที่เคารพและศรัทธาของชาวบ้าน
ต่อให้เขาลงแข่งในทุกสมัย ก็ไม่อาจได้นั่งเก้าอี้ตัวนั้น
ที่เจ็บปวดใจที่สุดคือไหมแก้วไม่ได้คาดหวังกับความพยายามในครั้งนี้
เธอเอาแต่พร่ำบอกเขาว่า
ต่อให้มีอำนาจบารมีมากมายแค่ไหน ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการทำงานเพื่อประชาชน
คิดถึงคำพูดของเธอแล้วก็รู้สึกเฝื่อนในจิตใจ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าได้อำนาจมาแล้ว
งานที่หวังไว้จะดำเนินไปเร็วยิ่งกว่าก้าวกระโดด แต่ถ้าไม่มีอำนาจบารมี ทุกอย่างที่ทำมันก็ไม่ต่างจากงานเข็นครกขึ้นภูเขาแสนลาดชัน
‘คุณทำได้
ฉันเชื่อว่าคุณทำได้’
แต่เคยมีใครคนหนึ่งทำให้เขารู้สึกว่าเจ้าครกหินนั่นเบาราวกับปุยนุ่น
และคำพูดของเธอผู้นั้นยังคงฝังแน่นในส่วนลึกของความทรงจำเสมอมา
‘คุณเอกจะต้องทำโครงการเพาะพันธุ์สมุนไพรป่าสำเร็จแน่นอน
แขเชื่อแบบนั้นเพราะคุณเอกเป็นคนมุ่งมั่น’
เขายังจำใบหน้าจริงจังกับดวงตาคู่งามราวตากวางเปล่งประกายยามเธอเอ่ยประโยคนั้นออกมาได้ดีไม่ลบเลือน
‘แค่มุ่งมั่นอย่างเดียวไม่ได้หรอกนะดวงแข
ถ้าไม่มีเงินและอำนาจพอจะขับเคลื่อนอุดมการณ์
ลำพังแค่ตำแหน่งนักพัฒนามันไม่ทำให้ฉันไปถึงฝัน ขนาดจะซื้อที่ดินแปลงเท่าเล้าเป็ดเพื่อทดลองเองยังทำไม่ได้’
หากอยู่ต่อหน้าไหมแก้ว
เขาคงไม่พูดอะไรที่ทำให้ไหมแก้วมองเขาว่าเป็นไอ้ขี้แพ้
‘แขมีที่ดินแปลงหนึ่งใกล้กับทางเข้าน้ำตก
เป็นสมบัติของพ่อหลังแต่งงานกับแม่ แต่พ่อตายไปนานแล้วตั้งแต่แขยังจำความไม่ได้
แม่บอกว่าจะไปทำเรื่องเอาที่ดินผืนนั้นมาเป็นของแขจากเมียใหม่พ่อ’
เรียวปากอิ่มสีชมพูระเรื่อที่ตั้งใจอธิบายนั้นขยับขึ้นลงราวกับปีกผีเสื้อ ที่ทำให้เขาเผลอมองจนแทบไม่ได้จับใจความสำคัญ
จนเธอเอ่ยประโยคต่อมา
ถ้าแม่ทำได้
ที่ดินผืนนั้นจะเป็นของแข แล้วแขจะยกให้คุณเอกรัตน์’
แต่เขากลับหัวเราะขบขัน แล้วเห็นว่าเป็นเรื่องตลกเสียเต็มประดา ‘เธอจะให้ฉันเป็นหนี้บุญคุณผู้ช่วยพยาบาลอย่างเธอหรือ
แล้วเธอจะทวงบุญคุณฉันด้วยอะไรล่ะดวงแข’
แก้มสาวเนียนสวยของเธอแดงปลั่งเหมือนลูกไม้สุกงอม
เรียวปากอิ่มน่ามองขบเม้มเข้าหากัน ดวงตาสีนิลเป็นประกายงดงามมีแวววูบไหว
‘ถ้า...ไม่เป็นการฝืนใจคุณเอก...’ เธอหลุบตาไม่สบมอง ‘คุณเอกจะเป็นเพื่อนไปเที่ยวน้ำตกกับแขได้ไหม’
‘เธอก็รู้ว่าตอนนี้นายพนาเหิมเกริมหนัก
มีชาวบ้านเคยเห็นว่าพวกมันใช้เส้นทางน้ำตกเป็นทางผ่านเวลาลงจากเขา’
‘พวกมันจะเดินทางในคืนเดือนมืดเท่านั้น
เอ่อ...ที่แขรู้ก็เพราะว่า...แขเคยเห็น’ ดวงตาสวยเงยขึ้น บอกเขาด้วยเสียงมั่นใจ ‘แต่แขจะชวนคุณไปเฉพาะคืนเดือนเพ็ญ
เราไม่มีทางเจอพวกมันแน่’
‘แล้วเธอออกจากหมู่บ้านไปทำอะไรในป่ากลางค่ำกลางคืน’ จำได้ว่าเขาขุ่นใจมากทีเดียว
นึกเป็นห่วงราวกับเธอเป็นน้องสาวแท้ ๆ
‘คือแข...ออกมาไล่หมูป่าที่มากิน
เอ่อ...ผักที่แขปลูกไว้’
คล้ายกับว่าเธอไม่ต้องการบอกสิ่งที่อยู่ในใจ
แต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับการยอมตกลงเงื่อนไขของหญิงสาวสวยสะคราญที่ใคร ๆ
ต่อใครขนานนามว่าหนึ่งในตองอู
แต่แล้วความพันผูกก็ล้ำลึกเกินหยั่ง
จากเพื่อนเที่ยวเริ่มกลายเป็นเพื่อนที่รู้ใจ
ยิ่งใกล้ชิดก็ยิ่งสร้างแรงปรารถนาที่มีต่อกันลึกซึ้งเกินกว่าจะหักห้ามใจได้
เอกรัตน์ยอมรับว่าเขาไม่อาจลบความทรงจำที่มีต่อหญิงสาวผู้นั้น
และคงมีเธอเพียงคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกเป็นผู้มีอำนาจเหนือใคร
เธอทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นอะไรก็ได้ที่อยากเป็น
เธอทำให้เขารู้สึกว่าต่อให้ผาชันแค่ไหน เขาก็สามารถไต่มันขึ้นไปจนถึงจุดสุดยอด
แม้จะไม่มีอะไรถูกต้องเลยตามครรลองคลองธรรม แต่เขาก็อยากเก็บความทรงจำนั้นไว้
แล้วขอเวียนว่ายมาเติมพลังยามที่จิตใจอ่อนแอ
ชายหนุ่มจึงมาหยุดยืนตรงหน้าม่านละอองน้ำสีรุ้งที่เคยเป็นปราการปกป้องให้เขาหลงวนอยู่ในมิติแห่งฝัน
ต่อให้สายธารจะเย็นเยือกแค่ไหน แต่ไออุ่นแห่งการสอดประสาน เสียงครวญครางดั่งเพลงของอัปสรสวรรค์
และเสียงเต้นของหัวใจแผ่วบนเนินเนื้อนุ่มที่ส่งความซาบซ่านร้อนรุ่มให้ทุกอณูความรู้สึกที่ยังตราตรึงจวบจนวินาทีนี้
แต่คล้ายมีดาวมฤตยูโคจรเข้าทับบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง เมื่อนายพนาย่างกรายเข้ามาพัวพันกับหญิงสาว
และการกล่าวโทษในสิ่งที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์นั้นก็โหดร้ายไม่ต่างกับความโฉดชั่วของโจรป่า
นายพนาอาจคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์
แต่สิ่งที่เขาทำก็เปรียบได้กับตัดหัวใจของเธอแล้วโยนทิ้งให้เน่าเฟะส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง
‘อีดวงแขมันลอบคบกับไอ้โจรชั่ว!’
‘อีไม่รักดี ริไปสมสู่กับโจรป่า!’
ข่าวลือที่โจษจันไปทั่วสร้างความอัปยศให้หมู่บ้านกะเหรี่ยงเซ็งดูและนางลาโพ
มารดาของเธอทนแบกทุกข์ไว้ทุกครั้งที่เผยตัวออกนอกเรือนไม่ไหว
จนต้องดั้นด้นมาพบบิดาของเขาเพื่อทวงความยุติธรรมให้บุตรสาว
ขอให้จัดงานแต่งตามประเพณีเพื่อป่าวร้องว่าบุตรสาวของตนถูกไอ้หนุ่มคนไหนดอมดมจนตั้งครรภ์
ดวงแขแอบสมสู่กับนายพนาจริงหรือไม่ เขาไม่ได้ถามจากปากเธอด้วยซ้ำ
แต่พอฟังคำพูดของบิดา ก็ให้หูอื้อตาลาย แสบร้อนในอกเหมือนมีไฟเผา
ยอมรับว่าโกรธจัดมาก แต่ก็ถึงเวลาตัดความสัมพันธ์กับเธอให้ได้ก่อนเข้าพิธีวิวาห์กับไหมแก้ว
หญิงสาวที่เป็นคนรักตัวจริง
‘คุณเอกต้องไม่ยอมแพ้’
ในการพบกันครั้งสุดท้าย เธอยังส่งถ่ายกำลังใจให้เขา
แต่สิ่งที่เขาทำคือมองเธอหันหลังเดินจากไป
มองเธอหันหลังให้แสงจันทร์ที่ขับสะท้อนความสว่างกระทบละอองน้ำสร้างม่านสีรุ้ง
หรือสิ่งที่เธอหันหลังนั้น...แท้จริงแล้วคือเขา
ผู้ชายที่ขี้ขลาดเกินกว่าการเปล่งคำถามถึงหัวใจดวงน้อยที่เต้นแผ่วเบาในครรภ์ของเธอ
ว่าเกิดจากเชื้อไขของใครกันแน่
“ดวงแข...บอกฉันหน่อยสิว่า ความสำเร็จของฉันมันจะเป็นจริง”
เขารำพึงพลางแหงนมองจันทร์เสี้ยวสีขาวบนท้องฟ้า ยกแขนแล้วกางมือออก
จับจ้องมองจันทร์เสี้ยวที่ลอดผ่านช่างว่างของเรียวนิ้ว
“บอกฉันหน่อยสิว่าฉันยอมแพ้ไม่ได้”
แล้วกำมือแน่นเสมือนกลืนกินจันทร์เสี้ยวไว้ด้วยกำมือ
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านผลงานค่ะ
ความคิดเห็น