ลำดับตอนที่ #7
ตั้งค่าการอ่าน
ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Mission 06 : ส่วนเกิน
MISSION 06
ส่วนเกิน
หลังเลิกเรียน ลีโล่กับวิคตอเรียรอขึ้นรถโรงเรียนเตรียมกลับบ้านตามปกติเหมือนทุกปีการศึกษาที่ผ่านมา
แต่เพิ่มเติมที่สติทช์ แองเจิ้ล สนูทตี้ มาวิน มาเรีย คาลี่ และฟลุทร่วมขึ้นรถโรงเรียนด้วย เป็นเพราะสติทช์เป็นตัวต้นคิดแท้ ๆ ที่รู้ว่าฟลุทคือสัตว์ทดลองหมายเลข 145 ถึงได้ลากแองเจิ้ลกับสนูทตี้มาที่โรงเรียนเพื่อจับตาดูเจ้าฟลุท แต่พอเห็นว่าฟลุทไม่มีพิษมีภัยและมีคาลี่เป็นโอฮาน่า สติทช์จึงต้อนรับเจ้าฟลุทเป็นน้องเล็กของกลุ่มอย่างเป็นทางการ
ทันทีที่พวกลีโล่นั่งรถโรงเรียนจนถึงป้ายรถเมล์แถวบ้าน สิ่งแรกที่ลีโล่ต้องทำ คือ... "ทำความรู้จักกับโคคาอัวทาวน์"
เพียงแค่คาลี่กับฟลุทเห็นหน้าค่าตาของเหล่าสัตว์ทดลองที่ใช้ชีวิตร่วมกันกับมนุษย์อย่างมีความสุข สองคู่หูต่างพันธุ์หน้าใหม่ก็ยิ้มแย้มด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ไม่นึกไม่ฝันว่าบนโลกนี้จะมีสิ่งมีชีวิตแบบฟลุทอาศัยอยู่จริง
"เห็นสีหน้าของทั้งคู่แล้ว... เหมือนครั้งที่ฉัน พี่วิน และมาเรียออกทัวร์ไม่มีผิดเลยนะ" แองเจิ้ลพูดพลางระลึกถึงวันที่เธอถูกสติทช์พาทัวร์ทำความรู้จักกับพี่น้องที่ถูกจัมบ้าสร้างขึ้นมา
"เป็นเรื่องธรรมดาน่าแองเจิ้ล น้องฟลุทก็เหมือนเธอตรงที่ถูกปลุกชีพในบ้านที่ไม่มีใครตั้งแง่หรือรังเกียจเราแต่แรกพบ และคาลี่เองก็มีสภาพไม่ต่างไปจากลีโล่กับมาเรีย... ที่ต้องการเพื่อนสักคนที่จริงใจและไม่ทิ้งกันในยามลำบาก" สติทช์พูดแล้วนึกถึงลีโล่ตอนก่อนเป็นสายลับค้นหาสัตว์ทดลอง จำได้ว่าลีโล่น่าสงสารมากน้อยแค่ไหน
เมื่อเทียบกับตอนนี้... ลีโล่ร่าเริงมากขึ้นเมื่อมีเพื่อน ๆ ข้างกาย ทั้งสัตว์ทดลองหรือมนุษย์ ได้ชื่อว่าเป็นโอฮาน่าทั้งนั้น
โอฮาน่า... ที่อาจจะทดแทนคุณพ่อคุณแม่ของเธอที่จากโลกนี้ไปก็เป็นไปได้
"แหม... กายอยู่กับแองเจิ้ล แต่วาจาและใจนึกถึงลีโล่ตลอดเลยนะ คิดอะไรอยู่รึเปล่า" สนูทตี้บินมาแซวสติทช์ ราวกับว่าสติทช์มีใจให้ลีโล่ทั้งที่มีแองเจิ้ลเป็นแฟน ทำเอาสติทช์ถึงกับหน้าแดงขึ้นมา
"คิดอะไร!? บ้าเหรอ!? ฉันกับลีโล่เป็นเพื่อนและพี่น้องต่างสายเลือดที่รักกันมาก จะให้คิดเป็นอื่น... เป็นไปไม่ได้หรอก อีกอย่าง... ลีโล่มีพี่วินตามจีบอยู่ จะให้เป็นหมาหวงก้างรึไงห๊ะ" สติทช์พูดถึงมาวินทีไร น้ำเสียงของเขาก็แผ่วเบาลงจนแองเจิ้ลฟังแล้วรู้สึกได้... ว่าสติทช์แอบน้อยใจเล็ก ๆ ที่เห็นลีโล่กับมาวินใกล้ชิดกัน
น้อยใจ... ราวกับว่าลีโล่กำลังจะหลุดลอยไปจากชีวิตเขาในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
"จริงเนอะ ลีโล่คิดกับนายเกินกว่าเพื่อนแค่พี่ชายที่เธอรักมากที่สุด คงเป็นอื่นไปไม่ได้จริง ๆ ล่ะนะ" สนูทตี้พลอยหน้าสลดไปด้วย คิดมาตลอดว่าถ้าลีโล่กับสติทช์เป็นแฟนกันได้จริง จะต้องเป็นคู่รักที่ใคร ๆ ต้องพากันอิจฉาเป็นอันแน่แท้
แต่มนุษย์กับสัตว์ทดลอง... จะรักกันแบบหนุ่มสาวที่พร้อมสร้างครอบครัวด้วยกันได้จริงหรือ!?
ในเมื่อจัมบ้ายืนยันว่าแม้แต่จีจี้ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นหมาชิสุยังรู้ตัวเองดีว่าไม่มีทางรักหมาตัวไหนได้เลย
ลีโล่ก็ไม่มีทางรักสติทช์แบบหนุ่มสาวให้เป็นตัวประหลาดในสายตาเพื่อน ๆ หรอกกระมัง
และแล้ว... พวกลีโล่จึงปักหลักทานพิซซ่าเดลิเวอรี่เป็นมื้อเย็นที่ บ้านเพเลไค แน่นอนว่าคาลี่กับฟลุทได้ทำความรู้จักกับพรีคลีย์และคุณพ่อคุณแม่ของสองพี่น้องฝาแฝดโคลแมน น่าเสียดาย... ที่นานี่มีงานที่โรงแรม และจัมบ้ามีธุระจำต้องออกนอกโลก แต่ไม่ได้บอกว่าออกไปทำอะไร คุณพ่ออลันจึงเป็นเจ้ามือออกค่าพิซซ่าให้
"ย้ายมาอยู่แค่เดือนกว่า มาเรียก็มีเพื่อนใหม่ซะแล้ว สงสัยแองเจิ้ลจะมีคู่แข่งแล้วมั้ง" คุณแม่มิโอกะกระเซ้าแหย่แองเจิ้ลพร้อมลูบใบหูเพื่อนรักของลูกสาวด้วยความเอ็นดู
"โธ่... คุณแม่คะ ถ้าคาลี่เป็นคู่แข่งเรื่องเพื่อน ลีโล่กับวิคตอเรียก็เป็นคู่แข่งด้วยสิคะ พวกเธอก็เป็นเพื่อนมาเรียนี่" แองเจิ้ลพูดติดตลกพร้อมจับมือคุณแม่มิโอกะออกจากใบหูข้างขวาของเธอเพราะโดนลูบแล้วรู้สึกจั๊กจี้ เรียกเสียงหัวเราะจากโอฮาน่าได้ดี
"คำว่าคู่แข่ง... มีความหมายในทางที่ดีและไม่ดี ขึ้นอยู่กับการกระทำที่เป็นที่ยอมรับของเพื่อนนะ" คุณพ่ออลันสรรหาคำพูดดี ๆ มาสอนแองเจิ้ลอีกเช่นเคย
"คุณอาก็น่าจะอุดหนุนร้านแซนด์วิชร้านใหม่นะคะ คุณอาจะได้รู้... ว่าเจ้าฟลุทมีพรสวรรค์ทางด้านดนตรีมากน้อยแค่ไหน" ลีโล่ถือโอกาสโฆษณาเจ้าฟลุทให้พวกผู้ใหญ่ได้ตื่นเต้นกัน
"ไอเดียดี! ถ้าปีศาจน้อยทั้งสามตัวจัดมินิคอนเสิร์ตสักครั้ง คงจะไพเราะน่าดู สติทช์ถนัดกีต้าร์ แองเจิ้ลถนัดเรื่องการขับขานบทเพลง และฟลุทถนัดเรื่องการเป่าลมให้เป็นเพลง ทุกอย่างลงตั๊ว... ลงตัวอย่างเห็นได้ชัดเลย!" พรีคลีย์เห็นด้วย
"ก่อนที่จะจัดมินิคอนเสิร์ต บัดดี้ดูเอ็ทโชว์ก่อนมั้ยครับ" สติทช์ได้ทีเปิดโอกาสให้คาลี่กับฟลุทแสดงความสามารถสักครั้งหลังจบมื้อเย็น
"กองทัพต้องเดินด้วยท้องจ้ะ เราจะไม่เปิดแสดงระหว่างมื้ออาหารเป็นอันขาด เข้าใจตามนี้ด้วย" คาลี่เปิดเผยกฎของการโชว์ให้เพื่อน ๆ ทุกคนได้รับทราบ
"Ih." ฟลุทร่วมตอบตกลง จากนั้นก็หันไปตีมือกับคาลี่ ภาพเด็กหญิงตัวน้อยขี้อายจึงถูกลบไปจากสมองพวกลีโล่ในบัดดล
เมื่อมื้อเย็นจบ... มันถึงเวลาแล้วที่คาลี่กับฟลุทจะทำการแสดงดนตรีสุดไพเราะให้โลกรู้สักครา
ฟลุทของสองคู่หูจึงถูกงัดออกมา!
"อะโลฮ่า... ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน! ช่วงเวลายามเย็นในวันนี้... หลังจากที่ทุกท่านอิ่มท้องกับมื้อเย็นแสนอร่อยเป็นที่เรียบร้อย ถึงเวลาอันสมควรแล้ว... ที่การแสดงดนตรีของสองคู่หูดาวรุ่งแห่งวงการดนตรีจะเป็นที่ลือกันทั่วเกาะคาไว เขาและเธอยืนได้ยืนอยู่ตรงนี้แล้ว เชิญชมได้เลยครับ!" พรีคลีย์สวมบทพิธีกรผายมือเชื้อเชิญคาลี่กับฟลุทออกมาจากประตูหลังบ้าน ประหนึ่งว่าสนามหลังบ้านเป็นเวที และพวกลีโล่เป็นผู้ชมปรบมือต้อนรับสองคู่หูหน้าใหม่ขึ้นสู่เวที
ตีความได้ในทันที... ว่าคาลี่กับฟลุทพร้อมมอบบทเพลงที่จะเปิดเผยตัวตนออกมาให้เพื่อนใหม่ได้รับรู้อย่างเต็มที่
ทันทีที่เสียงปรบมือจบลง ฟลุทเริ่มต้นบทเพลงท่อนอินโทรด้วยการเป่าฟลุทเลาล้ำค่าของเขา
ซึ่งเป็นบทเพลงที่คุณพ่อคุณแม่ของสองพี่น้องโคลแมนฟังแล้วถึงกับบางอ้อในทันที นึกไม่ถึงว่าสัตว์ทดลองผู้น่ารักอย่างฟลุทจะรู้จักบทเพลงที่เขาเป่าอยู่
"My Heart Will Go On" คุณพ่ออลันเอ่ยชื่อเพลงออกมาเบา ๆ รู้ในทันทีว่าเป็นเพลงรักที่โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่อง "ไททานิค" เขากับภรรยาจึงยิ้มให้เจ้าฟลุทด้วยความเอ็นดูเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อท่อนอินโทรถูกเป่าออกมาอย่างสวยงาม ถึงคราวเนื้อร้อง... คาลี่เป็นคนเป่าออกมาแทนเสียงร้อง มาเรียจึงร้องตามออกมา จำได้ว่าคุณพ่ออลันมักเปิดเพลงนี้ทุกวันอาทิตย์ เพราะเป็นบทเพลงที่มีความหมายล้ำค่ามากกว่าแค่เพลงรักที่กล่าวถึงการฝ่าฟันความแตกต่างของชนชั้นแบบแจ็คกับโรสผู้โดยสารเรือไททานิค แม้เนื้อหาจะโฟกัสไปที่คู่พระนางของภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ตาม
คาลี่กับฟลุทเป่าฟลุทรับส่งกันได้ดีเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าบทเพลงนี้สามารถร้องคู่กึ่งประสานเสียงแบบคำต่อคำได้ ทั้งที่ต้นฉบับของบทเพลงก็คือ... "เซลีน ดิออน" นักร้องหญิงเดี่ยวผู้ขับขานบทเพลงนี้จนเป็นที่นิยมทั่วโลก
โดยเฉพาะท่อนฮุค... ที่เรียกได้ว่าไพเราะติดหูเป็นอย่างยิ่ง
Near, far, wherever you are. I believe that the heart does go on.
Once more... you open the door. And you're here in my heart.
And my heart will go on and on.
เพียงแค่ท่อนฮุคจบไป เสียงปรบมือก็ดังขึ้นอย่างล้นหลาม แม้ผู้ชมมีแค่พวกลีโล่ก็ตาม ต้องยอมรับ... ว่าบทเพลงนี้ดีจริง คาลี่กับฟลุทคงฝึกปรือกันมานานก่อนย้ายมาอยู่เกาะคาไว
สงสัย... มาเรียกับแองเจิ้ลจะเจอคู่แข่งที่น่ากลัวเสียแล้วล่ะกระมัง!
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานอยู่นั้น
"ดูท่าทางพวกเธอจะมีความสุขมากนะ" เสียงผู้หญิงพุ่งมารบกวนการแสดงของสองคู่หูหน้าใหม่ เป็นเหตุให้การแสดงต้องหยุดชะงักในบัดดล เมื่อคาลี่กับฟลุทสบตาแขกผู้ไม่ได้รับเชิญ
พบว่า... แขกผู้นี้เป็นผู้หญิงร่างสูง ผอมเพรียว หน้าตาสะสวยฉายความเริ่ดออกมาอย่างเห็นได้ชัด อายุราว ๆ ยี่สิบกลาง ๆ เธอสวมชุดเดรสแฟชั่นสีส้มดูมีคลาสและมีราคา บ่งบอกถึงฐานะที่สูงส่งกว่า
สูงส่งเสียจนพวกลีโล่ดูด้อยค่าไปเลยทีเดียว
โดยเฉพาะคาลี่กับฟลุทที่พยายามหลบหน้าแขกผู้มาใหม่
"พี่เจส" คาลี่เรียกชื่อเล่นของแขกผู้มาขัดความสุขออกมาเบา ๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ฟังดูไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
"พี่เจสนี่... คือใครกันเหรอ" วิคตอเรียเอ่ยปากถามถึงแขกที่คาลี่รู้จัก
"พวกเธอคงจะเป็น... เพื่อนใหม่ของยัยคาลี่สินะ" พี่เจสพูดพลางกวาดตามองพวกลีโล่ด้วยแววตาดูเหยียด ๆ จนพวกเธอรู้สึกได้... ว่าพี่เจสดูไม่น่าจะเป็นมิตรกับใคร "ฉันเป็น... พี่สาว ที่เป็นญาติของยัยคาลี่จ้ะ มาตามน้องกลับบ้าน คุณลุงคุณป้าเป็นห่วง"
"เอ่อ... โชว์ยังไม่จบเลยนะครับ" มาวินเอ่ยปากจะขอเวลาให้คาลี่อยู่บ้านลีโล่อีกครู่เดียว
"ในฐานะที่คาลี่เป็นลูกนกลูกกาที่หวังให้คุณลุงคุณป้าช่วยฝากผีฝากไข้ ระหว่างโชว์เล็ก ๆ กับการอยู่ร่วมกับโอฮาน่าที่เหลืออยู่ อะไรสำคัญกว่ากันจ๊ะ" พี่เจสพูดจาข่มขวัญคาลี่กับฟลุทจนอีกฝ่ายจำยอมก้าวเท้าออกจากบ้านของลีโล่แต่โดยดี เมื่อเห็นว่าเธอควบคุมคาลี่ได้... จึงพูดเสียงหวานกับลีโล่ "คือ... อย่างที่รู้กันว่ายัยคาลี่เพิ่งมาใหม่ มันต้องใช้เวลาปรับตัวกันอีกพักใหญ่... กว่าจะคุ้นชินกับครอบครัวใหม่ พวกเธอคงเข้าใจ... ว่าต้องมีกฎระเบียบกันสักหน่อยเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข"
คุณพ่ออลัน คุณแม่มิโอกะ และพรีคลีย์พยักหน้าผงก ๆ ด้วยความเข้าใจ เชื่อว่า "ครอบครัวใหม่" คงยังไม่พร้อมที่จะปล่อยให้คาลี่กับฟลุทใช้ชีวิตตามใจตัวเองหลังเลิกเรียน พี่เจสที่(คาดว่าน่าจะ)เป็นพี่สาวจึงดูแลสองคู่หูหน้าใหม่เป็นพิเศษ
มีแต่ลีโล่ สติทช์ และเพื่อน ๆ ที่มองคาลี่กับฟลุทด้วยความเป็นห่วง รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นในครอบครัวของคาลี่
สีหน้าของคาลี่กับฟลุทแลดูไม่ดีใจเท่าใดนัก... ที่เห็นหน้าพี่สาวผู้เป็นญาติร่วมสายเลือด
แน่ใจแล้วรึ... ว่าบ้านที่เจ้าฟลุทอยู่จะมีความสุขจริง!?
------------------------------------------------------------------------
ถ้าสมมุติว่าเธอไม่มีญาติร่วมสายเลือดทั้งฝั่งพ่อหรือแม่คอยอุปการะเลี้ยงดู เธอกับฟลุทก็คงเป็นโอฮาน่าที่มีความสุขที่สุด แม้ทั้งคู่ต้องอยู่บ้านเด็กกำพร้าก็ตาม
ยังดีกว่าทนอยู่กับญาติที่แสดงตนเป็นผู้ปกครองแล้วต้องรองรับความเห็นแก่ตัวของพวกเขาแบบนี้
คาลี่จำได้ดี... ว่าคืนที่พ่อแม่ของเธอจากโลกนี้ไป เป็นคืนที่โหดร้ายที่สุดในชีวิต เหลือเพียงเจ้าฟลุทที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่น้องข้างกาย เพราะเขาถูกพวกท่านมองว่าเป็นแมวน้อยไร้เดียงสาผู้มีพรสวรรค์ด้านดนตรีเหมือนคาลี่ ถึงเขาถูกปลุกชีพเมื่อลูกหินสลักหมายเลข 145 สัมผัสถูกของเหลวก็ตาม
หลังจากงานศพพ่อแม่ผ่านพ้นไป เธอกับฟลุทก็ย้ายไปอยู่กับครอบครัวใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยคุณลุง คุณป้า และลูกพี่ลูกน้องผู้เป็นลูกพวกท่านอีก 3 คน เรียกได้ว่าเป็นครอบครัวใหญ่ น่าจะสร้างความสุขให้เธอได้
แต่ความจริงกับความฝันมักสวนทางกันเสมอ
ถึงครอบครัวใหม่ร่ำรวยพอที่จะส่งเสียให้คาลี่เรียนสูง ๆ ได้ แต่ถ้าพวกเขาเห็นคาลี่กับฟลุทเป็นแค่... ส่วนเกิน ความเจ็บปวดของคนที่เพิ่งสูญเสียครอบครัวมาหมาด ๆ ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ลุงแอนตั้น หนุ่มใหญ่อายุ 50 ปี พี่ชายของคุณแม่ เจ้าของร้านขายผลิตภัณฑ์สินค้าก่อสร้าง มักมีงานยุ่งเป็นประจำ ปล่อยให้เรื่องในบ้านเป็นหน้าที่ของภรรยา
ป้าบริทต้า ภรรยาของคุณลุงแอนตั้น เป็นสาวใหญ่ผู้มีรูปสวยรวยทรัพย์ แต่มีความเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ เห็นคาลี่กับฟลุทเป็นภาระทุกครั้งที่เธออารมณ์เสีย เลือกที่รักมักที่ชัง
เบอร์ตั้น ลูกชายคนโตของลุงแอนตั้นกับป้าบริทต้า อายุราว ๆ ยี่สิบปลาย ๆ เป็นผู้ช่วยกัปตันประจำสายการบินชื่อดัง เพราะอาชีพการงานของเขา ทำให้คาลี่กับฟลุทเห็นหน้าเขานับครั้งก็ว่าได้
คาร์ล่า ลูกสาวคนรองผู้มีหน้าตากลมป๊อกแบบตุ๊กตา อายุราว ๆ 12-13 ปี กำลังจะเข้าสู่วัยรุ่น สนิทกับคุณแม่บริทต้า เพราะแม่ตามใจและตั้งแง่ชิงชังคาลี่กับฟลุท มักถูกเป่าหูเสมอว่าลูกพี่ลูกน้องเป็นแค่ผู้อาศัย คบเพื่อนแค่เปลือกนอก
โคดี้ ลูกชายคนเล็กที่ไม่ถูกกับแม่ไปเสียทุกเรื่อง อายุ 10-11 ปี เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับพี่สาวและคาลี่ เขาเป็นพี่ชายคนเดียวที่เห็นคาลี่กับฟลุทเป็นโอฮาน่า แม้จะช่วยอะไรไม่ได้มากก็ตาม
ส่วนพี่เจสหรือ เจสสิก้า ผู้หญิงที่อ้างตนเป็นพี่สาวของคาลี่ แท้จริงแล้วเป็นแค่แฟนสาวของเบอร์ตั้นที่ชอบวางท่าเป็นพี่สาวเพื่อเอาใจครอบครัวของคุณลุงคุณป้า พี่เจสก็ไม่ต่างไปจากป้าบริทต้ากับคาร์ล่าที่เห็นคาลี่เป็นภาระ แต่พี่เจสก็ยอมเป็นคนขับรถไปรับคาลี่จากบ้านลีโล่อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ทั้งที่เธอนึกเกลียดชังคาลี่จนอยากให้ออกไปจากครอบครัวเบอร์ตั้นสักที
บ้านใหม่ของคาลี่เป็นบ้านหลังใหญ่หลังสีขาวสองชั้นที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโคคาอัวทาวน์ มีพื้นที่กว้างขวางสมฐานะและจำนวนสมาชิกครอบครัวอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกับคาลี่และลูกพี่ลูกน้องเห็นแล้วต้องอิจฉาเป็นอันแน่แท้
แต่หาได้รู้ไม่... ว่าทุกชีวิตต่างก็ไม่มีอะไรให้น่าอิจฉาทั้งนั้น
แม้แต่ชีวิตของคาลี่กับฟลุทที่มีญาติร่ำรวย... ก็ใช่ว่าจะมีชีวิตที่น่าอิจฉาเสมอไป
เพราะทันทีที่สองคู่หูต่างพันธุ์ก้าวเท้าเข้าไปในบ้าน บรรยากาศมาคุก็ถาโถมเข้าสู่หัวใจของคาลี่อย่างเห็นได้ชัด
นึกรู้ในทันที... ว่าต้องมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกับคุณป้าในอีกมิช้า
ซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ไม่มีผิด
"เปิดเทอมตั้งแต่วันแรก คงจะเถลไถลได้สบายมากสินะ" คุณป้าบริทต้าเปิดฉากต่อว่าหลานสาวในทันทีที่พบหน้า
"หนูแค่... อยากทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ค่ะคุณป้า พวกเขาดีกับหนูมาก หนูก็เลย..." คาลี่พูดเสียงสั่นด้วยความเกรงกลัว เธอรู้ดีว่าคุณลุงคุณป้าเข้มงวดกับเธอมากเรื่องการตรงต่อเวลา แต่ก็ทำให้คุณป้าท่านผิดหวังราวกับว่าเป็นเรื่องที่ไม่สามารถผ่อนปรนโทษได้
"ก็เลยพากันตะลอนทั่วเมืองทั้งที่รู้ว่าคุณแม่จะเป็นคนไปรับนะเหรอ!? นี่... ไม่ไว้ใจกันเลยรึไง ถึงได้อยากมีเพื่อนออกเที่ยวตั้งแต่เล็ก" คาร์ล่าเอ่ยปากค่อนขอดเสียดสีลูกพี่ลูกน้องด้วยความหมั่นไส้ ประหนึ่งว่าสิ่งที่คาลี่ทำลงไปนั้นมันเป็นความผิดร้ายแรง
"อย่างพี่คาร์ล่า... ไม่เคยไม่อยากมีเพื่อนออกเที่ยวสักครั้งเหรอคะ" คาลี่ย้อนน้ำเสียงแผ่วเบา เธอรู้จักลูกพี่ลูกน้องสาวดี... ว่าคาร์ล่ามิอิสระมากกว่าพี่น้องทุกคนในบ้านหลังนี้ คาร์ล่าถึงได้คบเพื่อนจนบางทีก็กลับบ้านไม่ตรงตามเวลาเป็นบางวัน
ซึ่งเป็นความจริงที่คาร์ล่าฟังแล้ว... ถึงกับฉุนกึ๊กที่ถูกเด็กอายุ 8 ปีพูดจายอกย้อน
"ฉันก็มีเพื่อนที่ไม่ต่างไปจากเพื่อนของแกแล้วกันย่ะ แค่ไอ้ฟลุทตัวเดียวก็น่าจะเป็นเพื่อนแกได้นะ จะหาเพื่อนประหลาดเพื่อเรียกร้องความสนใจเหรอจ๊ะ" คาร์ล่าเย้ยหยันพลางจิกตามองเจ้าฟลุทด้วยสายตารังเกียจ คิดว่าฟลุทเป็นแมวประหลาดที่เข้ากันกับคาลี่ได้ดี เจ้าฟลุทฟังแล้วได้แต่ข่มอารมณ์โกรธไว้... ทั้งที่เขาเจ็บใจยิ่งนักกับตรรกะป่วย ๆ ของผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเพื่อนรัก
"เพื่อนจะเป็นตัวประหลาดหรือคนธรรมดา พวกเขาก็มีชีวิตและจิตใจเหมือนกันนะพี่ ใจคอจะให้คาลี่ทนใช้ชีวิตแบบไร้สังคมหรือมีสังคมแต่ไม่มีความสุขรึไงห๊ะ" โคดี้เอ่ยปากปกป้องลูกพี่ลูกน้องที่ถูกพี่สาวกระแนะกระแหน ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าสุดท้ายต้องโดนลงเอยด้วยการถูกพี่สาวกับแม่ดุก็ตาม
"โคดี้จ๊ะ พี่จะอบรมน้อง น้องชายแบบลูก... น่าจะอยู่เฉย ๆ หรือไม่ก็ขยับก้นขึ้นไปอ่านหนังสือบนห้องจะดีกว่านะ" คุณป้าบริทต้าดุลูกชายคนเล็กด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ชอบใจนักที่โคดี้แสดงตนเป็นพันธมิตรกับคาลี่อย่างออกนอกหน้า
"ผมว่ามันไม่ยุติธรรมนะแม่ คาลี่กับฟลุทเพิ่งย้ายมาอยู่ทั้งที... พวกเขาก็ควรจะมีเพื่อนใหม่ที่เข้ากันได้บ้าง สักคนสองคนก็ยังดี" โคดี้โต้แย้ง
"แต่ในฐานะที่แม่... เป็นผู้ปกครองของคาลี่ แม่มีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ โคดี้เป็นลูก... ควรรู้ตัวนะว่าต้องวางตัวยังไง ถ้าไม่อยากให้โอฮาน่าของเราต้องแบ่งพรรคแบ่งพวกเพราะ คนนอก เพียงคนเดียว" คุณป้าบริทต้างัดไม้ตายเด็ดที่จะหยุดลูกชายคนเล็กได้ในพริบตา ซึ่งโคดี้ตีความได้... ว่าแม่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อเฉดหัวคาลี่กับฟลุทออกจากบ้านได้ทุกเมื่อ ถ้าโคดี้ยังไม่เลิกปกป้องคาลี่
เป็นไม้ตายที่ทำให้โคดี้จำต้องสงบปากลงในพริบตา เขารู้ดีว่าเป็นเด็กที่กล้าแสดงความคิดเห็นอย่างยุติธรรมที่สุด
แต่ "แม่ก็คือแม่" วันยังค่ำล่ะวะ เหตุผลจะดีหรือไม่ดี... ถ้าเอาคำว่า "เพื่อครอบครัว" มาอ้าง ใครหน้าไหนก็มิอาจขัดได้
"หวังว่าเธอคงสำนึกได้... ว่าพรุ่งนี้ควรทำตัวยังไงให้เข้ากับโอฮาน่าของเราได้ อย่าให้มีความผิดแบบวันนี้แล้วกัน" คุณป้าบริทต้าทิ้งท้ายให้หลานสาวสำเหนียกตนเอง ด้วยความคิดที่ว่า... ไม่ว่าจะลูกหรือหลาน คุณแม่คนนี้คุมได้ทุกอย่าง
รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในบ้านและเงินประกันที่ลุงแอนตั้นได้รับจากน้องสาวผู้เป็นคุณแม่ของคาลี่ได้ทิ้งไว้ก่อนตาย แม่จะโกยให้หมด!
คาลี่ทำได้แค่... รับคำแล้วพาฟลุทกลับเข้าสู่ห้องนอนที่เป็น "โลกส่วนตัว" ของเธอ
ห้องนอนกึ่งห้องเก็บของที่ลุงแอนตั้นจัดให้... เป็นโลกส่วนตัวที่เธอหวงแหนเท่าชีวิต
ใครหน้าไหนก็มิมีสิทธิ์รุกล้ำเข้ามาเป็นอันขาด!
------------------------------------------------------------------------
ตกกลางคืน ณ บ้านเพเลไค
ภายในห้องนอนโดมของลีโล่กับสติทช์ ทั้งคู่กำลังทำภารกิจสำคัญก่อนนอน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจใหญ่ที่ได้รับมอบหมาย
สมุดภาพ Cousins เป็นของสำคัญที่ลีโล่หวงแหนเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเขากับเธอไม่ได้มีหน้าที่แค่ค้นหาสัตว์ทดลองที่หายไป ยังถ่ายภาพความเป็นอยู่ของเหล่าสัตว์ทดลองเมื่อปรับตัวเข้ากับบ้านใหม่ที่จัดหาให้เข้ากับพลังที่ถูกออกแบบมา เพื่อสำรวจสุขภาพจิตของพวกเขาแบบตัวต่อตัว
แน่นอนว่าเจ้าฟลุทเป็นสัตว์ทดลองที่เพิ่งถูกค้นพบ... ก็เป็นหนึ่งในโอฮาน่าของสติทช์
ลีโล่ดูรูปคาลี่กับฟลุทกำลังเป่าฟลุทอยู่นานสองนาน ราวกับว่าเธอห่วงเจ้าฟลุทอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เจ้าฟลุทมีคาลี่เป็นโอฮาน่าแล้วแท้ ๆ
ไม่รู้ว่าเธอคิดมากไปเองรึเปล่า ถึงได้ห่วงในสิ่งที่คิดว่าไม่ควรห่วง
สติทช์เห็นลีโล่ยังไม่นอนและยังโฟกัสกับเจ้าฟลุท จึงกระโดดลงจากเตียงแล้วเดินไปนั่งข้างลีโล่ เห็นสีหน้าของเธอแล้วอดห่วงไม่ได้
"พี่เห็นเธอดูรูปเจ้าฟลุทแล้วทำหน้ากลัดกลุ้ม ก็เลยลงมาดู" สติทช์เข้าเรื่องในทันทีที่รู้ว่าลีโล่ยังกังวลเรื่องเจ้าฟลุท... ก่อนที่จะกระซิบข้างหู "เธอคิดเหมือนที่พี่คิดอยู่ใช่ป่ะ"
"พี่ก็คิดเหมือนที่ฉันคิดสินะ" ลีโล่ยิ้มน้อย ๆ ด้วยความรู้สึกดีที่สติทช์รู้ใจเธอ "พี่เชื่อมั้ย... ว่าตั้งแต่สปาร์คกี้ได้บ้านและค้นหาพี่น้องของพี่จนถึงวันนี้ ฉันไม่เคยรู้สึกไม่มั่นใจสักครั้ง... ว่าเจ้าฟลุทจะมีความสุขกับบ้านที่อยู่จริงรึเปล่า"
เจ้า 626 พยักหน้าเห็นด้วย คิดว่าครอบครัวใหม่ของคาลี่มีบางอย่างซ่อนเร้นพิกล ซึ่งเป็นเหตุให้ลีโล่รู้สึกได้... ว่าเจ้าฟลุทอาจไม่ปลอดภัย ถ้าบ้านที่อยู่นั้นมีสภาพไม่เป็นบ้านจริง
"แต่ถ้าคิดในทางตรงกันข้าม ฉันว่าฉันคงคิดไปเองมากกว่า" ลีโล่พูดพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดประหนึ่งว่าเธอพยายามสลัดความคิดกังวลทิ้งไป เธอเป็นได้แค่เพื่อนใหม่ของคาลี่ ไม่มีสิทธิ์เข้าไปก้าวก่ายกับเรื่องในครอบครัวเพื่อนใหม่จนเกินงาม ถ้าไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับเจ้าฟลุทจริง
"Gaba!?" สติทช์ถามพร้อมกับเกาหัวด้วยความงุนงง
"พี่ฟังไม่ผิดหรอก ฉันคิดไปเองมากกว่า เจ้าฟลุทมีความสุขที่ได้อยู่กับคาลี่ตั้งแต่ก่อนย้ายมาที่นี่ ฉันเองก็ควรมีความสุขด้วย พี่ว่างั้นมั้ย" ลีโล่หันไปถามหาความมั่นใจจากสติทช์ เพื่อสลัดความคิดสับสนไปให้พ้นโดยเร็ว
"Ih." สติทช์พยักหน้าเห็นด้วย "ฟลุทเป็นพี่น้องของพี่ ฟลุทกับคาลี่มีความสุข เราก็มีความสุข"
สติทช์ดูรูปคาลี่กับฟลุทเป็นเพื่อนลีโล่ พบว่าทั้งคู่มีความสุขที่ได้เป่าฟลุทโชว์เพื่อน ทำให้เขากับลีโล่ยืนยันได้ว่าฟลุทปลอดภัย
"พรุ่งนี้เราไปโรงเรียนด้วยกันมั้ย" ลีโล่หันไปถามสติทช์ เพื่อนรักตัวสีฟ้าถึงกับอึ้ง... หันมาสบตาจนจมูกของเขาและเธอชนกันโดยบังเอิญ
ชนกัน... จนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน
ปรากฏการณ์ "รักระยะประชิด" ได้บังเกิดขึ้นเสียแล้ว!
ตั้งแต่วันที่สติทช์หนีลงมายังดาวโลกจนถึงวันนี้ เวลาผ่านไปสัก... 3-4 ปีแล้วก็ว่าได้ ช่วงเวลาที่เขาอยู่กับลีโล่... มันล้ำค่าและมีความสุขมากจนมิอาจประเมินค่าได้ ลีโล่สอนให้เขารู้จักคำว่า... "โอฮาน่า" "ความรัก" และ "มิตรภาพ" รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เขาเรียนรู้ที่จะรักษาของที่รักเท่าชีวิต เขาถึงได้ต่อต้านโปรแกรมทำลายล้างเพื่อคนที่ผลักดันให้เขาเรียนรู้จุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่
แม้แต่ความตาย... ก็มิมีวันพรากเขาไปจากเธอได้
ทุกครั้งที่เขามีลีโล่เคียงข้าง เขาจะรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจทุกครั้งเหมือนที่ลีโล่รู้สึก ต้องขอบคุณท่านประธานสหพันธ์กาแลคติกที่มอบหมายภารกิจค้นหาสัตว์ทดลองจนถึงวันนี้... เขาและเธอถึงได้ใกล้ชิดกัน และไม่มีวันแยกจากกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
ลีโล่เองก็รู้สึกได้... ว่าสติทช์ไม่ได้เป็นแค่หมาน้อยหรือเพื่อนรักหมายเลขหนึ่งในหัวใจ เธอนับสติทช์เป็น "พี่ชาย" ที่รักและซื่อสัตย์มาตลอด ถึงเธอจะมีมุมเอาแต่ใจที่พาสติทช์ปวดหัวบ้าง แต่สติทช์ก็มีส่วนที่ทำให้ลีโล่รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเธอก็ได้เรียนรู้จากภารกิจค้นหาสัตว์ทดลองอีกเช่นกัน
เหมือนที่พี่เดวิดว่าไว้... เขาและเธอเป็นเหมือน หยิน กับ หยาง สองเรานั้นคู่กันจริง
ให้ตายเหอะ! คิดอะไรอยู่เนี่ย!?
"ไปโรงเรียนด้วยกัน... แล้วพี่นานี่ไม่ว่าเหรอ" สติทช์เอ่ยปากถามเรียกสติลีโล่ให้หลุดจากภวังค์รักชั่วขณะ
"พี่นานี่เหรอ ไม่ต้องห่วงหรอก พี่ก็แค่... แว๊บออกไปหลังจากที่พี่นานี่ออกไปทำงานแล้ว จากนั้นก็ใช้ ฮูดินี่ เป็นตัวช่วยแบบที่พี่ทำวันนี้ไงจ๊ะ" ลีโล่จุ๊บแก้มสติทช์หนึ่งที ทำเอาเพื่อนรักตัวสีฟ้าถึงกับหน้าแดงขึ้นมาในฉับพลัน
"จริงด้วย พรุ่งนี้ก็ปรับเวลาให้พี่ออกจากบ้านแต่เช้าก็เท่านั้นเอง" สติทช์ยิ้มแย้มก่อนที่เขาจะกลับไปนอนบนเตียงของเขาดังเดิม ส่วนลีโล่ก็แปะรูปเจ้าฟลุทลงสมุดภาพแล้วปิดไฟ... ทิ้งตัวลงนอนในทันที
แต่ปรากฏการณ์รักระยะประชิดได้เกิดขึ้น ทำให้หัวใจของเขาและเธอเต้นแรงขึ้นผิดปกติ มิอาจข่มตาหลับได้ลง
เหมือนทั้งคู่กำลังตกหลุมรักกัน
แต่ติดตรงที่สายพันธุ์ที่แตกต่างกัน ข้างกายสติทช์ถึงมีแองเจิ้ล และมาวินก็เป็นผู้ชายที่คู่ควรกับลีโล่ทุกประการ
โอกาสที่มนุษย์กับสัตว์ทดลองจะรักกัน... ถึงได้เป็นศูนย์ และเป็นได้แค่ BFF (Best Friend Forever) จนถึงทุกวันนี้
เป็นได้เท่านี้จริง ๆ
------------------------------------------------------------------------
เช้าวันต่อมา ณ บ้านครอบครัวคุณแอนตั้น
ในฐานะที่คุณแอนตั้นเป็นหัวหน้าครอบครัว มื้อเช้าสำคัญที่สุด
เพราะเป็นมื้อที่สมาชิกทุกคนในโอฮาน่าต้องอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ยกเว้นเบอร์ตั้นที่เป็นผู้ช่วยกัปตัน... มักมีภารกิจนอกบ้านอย่างสม่ำเสมอ ภายในบ้านจึงมีแค่... คุณลุงแอนตั้น คุณป้าบริทต้า คาร์ล่า โคดี้ คาลี่ และฟลุทที่ร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน
ซูเฟล่โอ๊ตมีลพร้อมมิกซ์เบอร์รี่ราดน้ำเชื่อม เป็นอาหารเช้าฝีมือของ ป้าดาร์ลีน แม่บ้านโสดที่เป็นมิตรกับคาลี่และฟลุทประหนึ่งบุตรสาวในไส้ คาลี่กับฟลุทถึงไว้ใจป้าดาร์ลีนมากกว่าทุกคนในครอบครัวคุณลุงคุณป้า
ถึงรสชาติอาหารเช้าจะดีแค่ไหน แต่ถ้าสองคู่หูต้องทนร่วมโต๊ะกับคนที่เห็นพวกตนเป็นภาระ ทั้งคู่คงจะกินไม่ลงตั้งแต่เห็นหน้ากันแล้ว
แต่ทั้งคู่ต้องทน... เพื่อความอยู่รอดในบ้านหลังนี้
"เมื่อคืน... ลูกเบอร์ตั้นโทรมาบอกว่าวันนี้จะกลับมาค่ะ" คุณป้าบริทต้าเปิดประเด็นสนทนาในทันทีที่ปล่อยให้ความเงียบปกคลุมไม่นาน
"จริงเหรอคะคุณแม่!?" คาร์ล่าตื่นเต้นที่ได้ฟังข่าวดีจากคุณแม่สุดที่รัก
"พี่ชายลูกกลับมาทั้งที... แม่จะโกหกลูกทำไมจ๊ะ" คุณป้าท่านยืนยันด้วยภาษาดอกไม้พร้อมลูบหัวลูกสาวเบา ๆ
"เขาบอกรึเปล่า... ว่ากลับมาคราวนี้จะอยู่สักกี่วัน ก่อนที่จะกลับไปประจำการเป็นนักบินอีกครั้ง" คุณลุงแอนตั้นถาม
"ไม่ได้บอกค่ะ เป็นผู้ช่วยกัปตันทั้งที... เอาแน่เอานอนไม่ได้หรอกค่ะว่าจะต้องอยู่ห่างจากบ้านอีกกี่วัน" คุณป้าเป็นคนตอบ ฟลุทฟังแล้วแอบยิ้มดีใจ เขาจำได้ดี... ว่าเบอร์ตั้นทำขนมอร่อยมากแค่ไหน ถึงเขาไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเพราะหน้าที่การงานในช่วงซัมเมอร์ก็ตาม
"อย่างน้อย พี่เบอร์ตั้นกลับมาก็ดี ใครบางคนจะได้รู้สึกปลอดภัย... เวลาอยู่บ้านนี้" โคดี้ปากดีพลางชำเลืองมองน้องสาวผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องที่แอบยิ้มอย่างมีความหวัง... ว่าพี่ชายคนโตจะอยู่เป็นหลุมหลบภัยเวลาที่คาลี่เผชิญหน้ากับพายุอารมณ์ของแม่และพี่สาว ทำเอาคาร์ล่าฟังแล้วถึงกับฉุนกึ๊ก
"ให้ความหวังมากไปมั้ย... ว่าพี่เบอร์ตั้นจะอยู่ดูแลนังกาฝากได้ตลอด!?" คาร์ล่าพาลแขวะคาลี่ด้วยความหมั่นไส้
"พี่เบอร์ตั้นไม่ได้คิดน้อยเหมือนพี่หรอก" โคดี้แขวะคืนบ้าง กลายเป็นว่าสองพี่น้องเปิดศึกสงครามน้ำลายเล็กน้อย
"พอสักทีเหอะน่า!" คุณลุงแอนตั้นตบโต๊ะสั่งให้สองพี่น้องสงบศึกโดยเร็ว "ใครจะเป็นกาฝากหรือไม่... พ่อไม่สนหรอก พ่อสนแค่... การกลับมาของเบอร์ตั้นจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น เรื่องที่จะคุยกันก็มีเท่านี้แหละ"
คาลี่ ฟลุท และครอบครัวคุณลุงแอนตั้นก้มหน้ารับประทานอาหารเช้าตามปกติ มีแต่คุณป้าบริทต้าที่ทำตาเขียว... ชำเลืองมองหน้าคาลี่กับฟลุทด้วยความเกลียดชัง นึกโทษสองคู่หูผู้เป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน คิดว่าการมาของทั้งคู่มีแต่สร้างปัญหาให้ครอบครัวมีแต่ความขัดแย้งกัน
นี่สินะ ตรรกะป่วย ๆ ของผู้ใหญ่บางคนที่เห็นญาติเป็นภาระ
คาลี่คิดในใจ... ว่าถ้าโตขึ้นและมีทางเลือกที่ดีกว่านี้ อีกาฝากก็จะพาฟลุทย้ายออกจากบ้านชนิดไม่หวนกลับมาเป็นหนามยอกอกคุณลุงคุณป้าอีก
บุญคุณที่คุณป้าจำยอมส่งเสียค่าเล่าเรียนตั้งแต่แรกจะได้หมดไปสักที!
หลังจากที่ครอบครัวคุณแอนตั้นรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ปัญหาที่ไม่ควรมีก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งปัญหานี้... ก็หนีไม่พ้นเจ้าฟลุทที่ตกเป็นประเด็นอีกเหมือนเมื่อวานที่เป็นวันเปิดเทอม
"แกคิดดีแล้วเหรอ... ที่จะเดินไปโรงเรียนเป็นเพื่อนนังคาลี่!?" คาร์ล่าแว้ดใส่น้องชายในทันทีที่รู้ว่าเขายอมไปโรงเรียนสายเป็นเพื่อนคาลี่กับฟลุท
"พี่เองก็เห็นเต็มตา... ว่ากว่าคาลี่จะถึงโรงเรียน เพื่อน ๆ ก็พากันเข้าห้องหมดแล้ว ทั้งที่เป็นวันเปิดเทอมแท้ ๆ นักเรียนใหม่เข้าเรียนสายวันแรกมันดูไม่ดีนะ" โคดี้ชี้แจงเหตุผลให้พี่สาวรับรู้ เขารู้ดี... ว่าบ้านนี้จอดรถได้ถึง 2 คัน แต่รถพี่เบอร์ตั้นมักจอดอยู่ในสนามบินทุกครั้งที่มีงาน เหลือรถของคุณพ่อคันเดียวที่คุณแม่ตั้งกฎเกณฑ์ว่าสงวนสิทธิ์เฉพาะคาร์ล่ากับโคดี้ คาลี่จะติดรถไปด้วยก็ได้ แต่มีข้อแม้ตรงที่เจ้าฟลุทต้องอยู่บ้าน ซึ่งแน่นอนว่าฟลุทกับคาลี่ตัวติดกันแทบทั้งวัน และคาลี่ไม่ยอมให้เจ้าฟลุทเป็นแค่แมวเฝ้าบ้านเป็นอันขาด เพราะกลัวว่าคุณป้าบริทต้าจะหาเรื่องเฉดหัวเจ้าฟลุทออกจากบ้านได้ทุกเมื่อ
"ก็มันแส่หาเรื่องเองนี่ ทั้งคนทั้งแมว ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่" คาร์ล่าแขวะใส่คาลี่กับฟลุทด้วยความเกลียดชัง
"จะให้ทำไงคะพี่ เขาไม่ชินกับการอยู่บ้านหลังใหญ่คนเดียว เขาอยากรู้... ว่าโรงเรียนใหม่มันดีแค่ไหน หนูอธิบายแล้วว่าพาเข้าไปไม่ได้ แต่เห็นสีหน้าเขาดูหมองเศร้าแล้ว... จะให้หนูเห็นแก่ตัวกับเพื่อนที่ซับน้ำตาหนูตอนคุณพ่อคุณแม่ตายนะเหรอคะ!?" คาลี่ชี้แจงเหตุผลที่ต้องพาเจ้าฟลุทไปโรงเรียนเป็นเพื่อน ซึ่งเป็นเหตุผลที่คาร์ล่าฟังแล้วถึงกับยืนกอดอก... เบะปากมองบนสุดฤทธิ์ คาลี่จึงอธิบายต่อ "อีกอย่าง... เจ้าฟลุทมีเพื่อนที่โรงเรียนแล้ว เหมือนหนูที่มีลีโล่เป็นเพื่อนที่เข้าใจหนูนะคะ"
"ลีโล่? เพื่อนคนนี้เป็นใครกันรึ" คุณแอนตั้นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผลก็คือ... ถูกภรรยาหันขวับมาทำตาเขียวใส่
"เพื่อนใหม่ค่ะคุณลุง มีหมาสีฟ้าเป็นเพื่อนของลีโล่ เพื่อนแบบเดียวกับเจ้าฟลุทค่ะ" คาลี่ตอบน้ำเสียงฉะฉาน เธอหันไปสบตาเจ้าฟลุท เขาพยักหน้ายืนยันให้คุณลุงของเพื่อนรักรับรู้ว่าทุกคำที่คาลี่พูดเป็นความจริง
"ใช่เด็กผู้หญิงที่เป็นเจ้าของหมาชื่อ... สติทช์รึเปล่า" โคดี้ถาม
"พี่โคดี้รู้ได้ไงคะ ว่าเขาชื่อสติทช์!?" คาลี่ประหลาดใจที่ลูกพี่ลูกน้องรู้จักชื่อเพื่อนใหม่ของฟลุท
"ก็ทุกคนในโรงเรียนพูดถึง... ว่าสติทช์มีความสามารถเหลือล้นกว่าหมาทุกตัวบนโลกใบนี้ โชว์มวยปะทะกับมาวินเป็นโชว์อันดับหนึ่งตลอดกาลในเกมเวอร์ชวลเซเล็บพาวเวอร์เชียวนะ!" โคดี้พูดถึงสติทช์ด้วยน้ำเสียงร่าเริง เมื่อเห็นว่าเรื่องเพื่อนใหม่... ทำให้คาลี่กับฟลุทยิ้มออกมา
"โชว์แมนแบบเด็ก ๆ นะเหรอ" คาร์ล่าหัวเราะในลำคอเบา ๆ เมื่อฟังน้องชายพูดถึงสติทช์ "ใคร ๆ ก็ทำได้ ก็แค่... หมาชกมวยกับเด็กเพราะอินกับเพลง สู้แดนเซอร์ที่ไม่เป็นเด็กกะโปโลไม่ได้"
"แดนเซอร์ที่พี่ว่านี่ คงหนีไม่พ้น แมทธิว ที่ถูกเบียดจนตกจากท็อปไฟว์ของเกมสินะ" โคดี้พูดถึงแฟนหนุ่มของพี่สาวด้วยความหมั่นไส้ ทำเอาคาร์ล่าถึงกับตกใจที่น้องชายรู้เรื่องแฟนหนุ่มของเธอ
"นี่!" คาร์ล่าทำหน้าขึงขังใส่ ตั้งท่าจะเถียงน้องชาย
"เอาล่ะ ๆ พอได้แล้ว" คุณแม่บริทต้ายกมือปรามลูก ๆ ไม่ให้ทะเลาะกัน "นี่มันเสียเวลามากพอแล้ว ถ้าคาลี่จะพาแมวไปโรงเรียน... ก็ตามใจ อย่าหาว่าฉันไม่เตือนแล้วกัน"
คุณป้าบริทต้าพูดจบแล้วรีบก้าวเท้าขึ้นรถ คาร์ล่าเชิดหน้าใส่แล้วก้าวเท้าขึ้นรถเช่นกัน มีแต่คุณลุงแอนตั้นที่ยังไม่ขึ้นรถ
"โคดี้แน่ใจแล้วเหรอลูก... ว่าจะเดินไปโรงเรียนเป็นเพื่อนคาลี่" หัวหน้าครอบครัวเอ่ยปากถามลูกชายคนเล็กน้ำเสียงอ่อนโยน
"แน่ใจครับคุณพ่อ คาลี่กับฟลุทจะได้ไม่เหงาเวลาเดินไปโรงเรียน ระยะทางจากบ้านกับโรงเรียนก็ไม่ใกล้ไม่ไกล เฉียดสายคงไม่ว่าหรอกครับ ผมจะได้มีน้องสาวกับน้องชายที่น่ารักมาวิ่งเล่นด้วยกัน เท่านี้นะครับ" โคดี้ยืนยันด้วยความไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย คนเป็นพ่อฟังแล้วได้แต่ถอนหายใจ อย่างน้อย... โคดี้ก็ช่วยดูแลคาลี่กับฟลุทได้ แม้เขามีความคิดแบบเด็ก ๆ ก็ตาม
ยังดีกว่าทิ้งให้หลานสาวหนีปัญหาด้วยการพาแมวประหลาดของเธอหนีออกจากบ้านแล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในภายหลัง
ทั้งที่คาลี่เป็นลูกของน้องสาวแท้ ๆ จะให้ทอดทิ้งได้ลงคอเชียวรึ!?
เมื่อคาลี่เป็นนกที่ไร้พึ่งพิง คนเป็นลุง... ก็ต้องเป็นต้นไม้ที่มอบร่มเงาให้จงได้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม!
------------------------------------------------------------------------
ภายในโรงเรียนของลีโล่
ลีโล่และผองเพื่อนกำลังพูดคุยกันภายในห้องเรียน ฆ่าเวลารอคาลี่กับฟลุทเข้ามาสมทบร่วมวงสนทนา ด้วยจุดประสงค์ที่ว่า คือ... ต้องการทำความรู้จักกับครอบครัวญาติของคาลี่ให้มากขึ้น
"ฉันไม่คิดเลยนะ ว่าการมาของฟลุทจะทำให้เธอเปิดทางให้สติทช์แอบมาโรงเรียนโดยไม่ให้ครูจับได้" วิคตอเรียพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น หลังจากฟังเรื่องเล่าจากลีโล่
"ก็เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจนี่จ๊ะวิค เจ้าฟลุทมีบ้านตั้งแต่ปลุกชีพแล้วนี่... ต้องใส่ใจเป็นพิเศษหน่อย" ลีโล่ยกย่องตัวเองอย่างเต็มที่
"แล้วอย่างนี้... บรรดาพี่น้องของสติทช์จะคิดว่าเธอเลือกปฏิบัติรึเปล่าจ๊ะ" มาเรียแซว
"เลือกปฏิบัตินะเหรอ ไม่เคยเลยจ้ะ พวกเขามีความสุขดีที่ใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์ได้ ปัญหาต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา ฉันก็เข้าไปช่วยแก้ได้บางเรื่อง เรื่องบางเรื่องก็ให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะแก้ไขด้วยตัวเองจ้ะ" ลีโล่ตอบรับด้วยความเชื่อมั่นในตัวพี่น้องของสติทช์ เพราะทุกวันนี้เธอก็สำรวจชีวิตของพวกเขา... ว่ามีการพัฒนาหรือเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง เช่น เจ้าเฟรนช์ฟรายส์กับ 625 ที่ร่วมกันเปิดแผงร้านแซนด์วิชในโรงเรียน เป็นต้น
"เข้าใจคิดดี ถึงพวกเขาเป็นสัตว์ชีวกล แต่อีกครึ่งหนึ่งของหัวใจก็คือหัวใจของสัตว์ต่างดาวที่มีอิสระทางความคิด ลีโล่เป็นคนปลุกพวกเขาให้ฟังหัวใจตัวเองขึ้นมาได้สำเร็จ พวกเขาถึงได้เรียนรู้การใช้ชีวิตแบบมนุษย์ แต่เพิ่มเติมที่มีพลังจากฟังค์ชั่นทำลายล้างมาใช้เป็นประโยชน์ก็เท่านั้นเอง" มาวินชื่นชมเพื่อนที่หัวไวเกินกว่าวัย คิดดีจริง ๆ ที่มีเพื่อนแสนวิเศษเช่นนี้
"วันนี้แองเจิ้ลมาด้วยรึเปล่า" ลีโล่ถามถึงนางฟ้าสีชมพูของสองพี่น้องฝาแฝด
"สติทช์มา แองเจิ้ลก็ต้องมาดิค้าบ! รายนั้นคอเพลงเหมือนกับเจ้าฟลุท น่าจะคุยกันถูกคอแบบที่คาลี่รักการเป่าฟลุทไงล่ะ แต่ต้องแอบมาตอนสาย ให้คุณแม่เข้าใจว่าแองเจิ้ลออกจากบ้านคุยกับพี่น้อง" มาเรียตอบ
"ดูเหมือนว่า... ความเป็นเพื่อนระหว่างสมาคมคนเพี้ยนกับนังคาลี่คงต้องจบลงตั้งแต่แรกเริ่มนะ" เสียงของเมอร์เทิลพุ่งเข้ากระแทกวงสนทนาของพวกลีโล่โดยอีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
ลีโล่กับเมอร์เทิลจึงเผชิญหน้ากันอีกครั้ง!
"อะไรทำให้เธอมั่นใจจ๊ะ... ว่าฉันจะชวดคาลี่ไป" ลีโล่เอ่ยปากถามหยั่งเชิงอย่างไม่เกรงกลัว
"แหม... นอกจากเธอจะเพี้ยนแล้วยังโง่อีกนะ ไม่รู้รึไง... ว่าญาติฉันรู้จักกับครอบครัวคุณลุงคาลี่ดีกว่าใคร" เมอร์เทิลเปิดฉากโอ้อวดฐานะของตน เพื่อให้ลีโล่รู้สึกด้อยค่า... หากรู้ว่าครอบครัวใหม่ของคาลี่ร่ำรวยเกินกว่าที่จะลดตัวเป็นเพื่อนกับคนสามัญชน
"เธอหมายถึง... พี่เจส ที่เป็นพี่สาวของคาลี่สินะ" ลีโล่คาดเดาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็น ยิ่งเห็นเมอร์เทิลยิ้มกริ่ม... ลีโล่รู้ในทันทีว่าคนที่เป็นเหตุให้ความสนุกต้องหยุดชะงักกลางคันก็คือเมอร์เทิล
"จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ฉันจะแถลงการณ์ให้เธอตาสว่างสักครั้งนะ พี่เจสหรือเธอควรจะเรียกว่า... คุณเจสสิก้า มันถึงจะถูก พี่เจสรู้จักและสนิทสนมกับครอบครัวนังคาลี่ดีกว่าใคร นับว่านังคาลี่ยังมีโชค... ที่พ่อแม่จากโลกนี้ไปแล้ว คุณลุงกับคุณป้าของนางที่เป็นผู้เป็นคนรับช่วงต่อเลี้ยงดู ไม่เหมือนหล่อน... มีคุณลุงคุณป้าทั้งที ดันเป็นคุณลุงคุณป้าที่เพี้ยนไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่อง น่าสงสารจริง ๆ เลยนะ" เมอร์เทิลลากจัมบ้ากับพรีคลีย์มาว่าสาดเสียเทเสีย เล่นเอาลีโล่ของขึ้น... ลุกจากเก้าอี้ตั้งท่าจะตบปากนางแว่นปากดีที่บังอาจลามปามถึงครอบครัวดาวทูโร่ของเธอ แต่ถูกวิคตอเรียกับมาเรียรั้งตัวไว้พลางส่ายหน้าเบา ๆ เป็นเชิงปราม ไม่คุ้มที่จะมีเรื่องกันเสียเลย
"เป็นอะไรมากรึเปล่า!? ภูมิใจมากรึไง... ที่ล้อปมด้อยคนอื่น!?" มาวินตอบโต้โดยไม่สนว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง
"ฉันเป็นอะไร!? ฉันไม่ได้ผิดเพี้ยนหรือเป็นอะไรนี่" เมอร์เทิลย้อนถามอย่างไม่ยี่หระต่อความผิดตัวเองแม้แต่น้อย ผลก็คือ... ถูกเพื่อนร่วมห้องชายเอานิ้วจิ้มหน้าผากอย่างแรง
"หัดเช็คสมองซะบ้าง... ว่าเธอมีอะไรที่ผิดเพี้ยนอย่างที่เธอกล่าวหาบ้าง จะได้รักษาให้หายขาด จะได้พัฒนาสมองตัวเองสักทีว่าคนปกติที่แท้จริงนั้นมันเป็นยังไง" มาวินต่อปากต่อคำอย่างไม่ลดราวาศอก
"เสียดายนะที่นายหน้าตาดีพอจะเป็นผู้ชายในอุดมคติของฉัน แต่นายเลือกที่จะอยู่ฝั่งนังโลเล คงต้องรับกรรมแบบเหมารวมซะบ้าง... ว่านายกับน้องแฝดน่ะเพี้ยน!" เมอร์เทิลเย้ยหยัน
"ช่ายยยย!!" สามสาวลูกไล่ผสมโรงประสานเสียงเห็นด้วยแล้วเดินตามเมอร์เทิลกลับไปยังที่นั่งประจำพวกหล่อน รอครูโฮมรูมเข้ามาอบรมประจำวัน วิคตอเรียได้แต่ถอนหายใจ
อีกนานแค่ไหน... กว่าลีโล่จะหลุดพ้นจากคำว่า "ส่วนเกิน" ที่เมอร์เทิลยัดเยียดให้สักที
วิคตอเรียอยากจะงัดไม้ตายสุดท้ายใจแทบขาด... ให้เมอร์เทิลรู้ความจริงเรื่องจีจี้สักครั้ง หวังว่าเมอร์เทิลจะมองลีโล่เปลี่ยนไป
แต่คงทำได้แค่... รอเวลาให้ความจริงถูกเปิดเผยออกมา
ไม่ช้าก็เร็ว ความจริงเป็นสิ่งไม่ตายอยู่ดี
------------------------------------------------------------------------
สัตว์ทดลองหมายเลข 626 มีสกิลการต่อสู้และการวางแผนรบได้ดี สมกับเป็นสุดยอดสัตว์ทดลองที่มีสมองซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ที่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวอย่างรวดเร็ว
แต่ถึงจะฉลาดแค่ไหน ถ้าประมาทไม่รู้ตัว... ความตายก็จะถามหาอย่างรวดเร็ว
ทำไมแอนดรูว์ถึงคิดอย่างนั้นนะเหรอ!?
ขึ้นชื่อว่าเป็น "นักสำรวจจากต่างดาว" ทุกอย่างต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างสม่ำเสมอ
แอนดรูว์แอบส่งนาโนโดรนล่องหนออกไปติดตามชีวิตของลีโล่กับสติทช์บนเกาะคาไว บันทึกภาพเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ ทำให้เขารู้ที่อยู่ของสองคู่หูสายลับค้นหาสัตว์ทดลองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดูภาพเคลื่อนไหวจากสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อกับโดรน เพื่อหาช่องทางเข้าถึงตัวลีโล่กับสติทช์ให้จงได้
แต่จะให้เข้าถึงตัวยังไง... ไม่ให้สองคู่หูรู้ตัว
แค่อาศัยข้อมูลจากแฮมสเตอร์วิลล์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
จากการสำรวจชีวิตของเป้าหมาย จะพบว่าลีโล่มีศัตรูคนหนึ่ง ซึ่งเป็นศัตรูที่แฮมสเตอร์วิลล์รู้จักดี
เมอร์เทิล เอ็ดมันด์
เพราะโคคาอัวทาวน์เป็นเมืองเล็ก การสำรวจจึงง่ายดายและค้นหาเป้าหมายในเวลาเพียงไม่นาน
"สแกนหาบุคคลที่ชื่อ... เมอร์เทิล เอ็ดมันด์ ชี้แจงรายละเอียดและติดตามการเคลื่อนไหวของเธอด้วย" แอนดรูว์ป้อนคำสั่งเสียงลงในแอพนาโนโดรนล่องหน ซึ่งโดรนเหล่านี้มีระบบสแกนบุคคลเพื่อดูประวัติและวัดค่าความเป็นไปได้ที่เธอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสัตว์ทดลอง แอพรับคำสั่ง... ส่งข้อความให้เหล่านาโนโดรนปฏิบัติตามในทันที
แน่นอนว่าเมอร์เทิลเป็นเด็ก นาโนโดรนล่องหนจึงลอยเข้าไปในรั้วโรงเรียน สำรวจนักเรียนแต่ละห้องจนเจอตัวเป้าหมาย
เจ้านาโนโดรนล่องหนจึงส่งข้อมูลประวัติของเป้าหมายให้แอนดรูว์รับทราบ ได้ข้อมูลคร่าว ๆ ว่า... เมอร์เทิลเกิดที่นิวยอร์ค แต่ย้ายถิ่นฐานมาฮาวายหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอหย่าร้างกัน ปัจจุบันอาศัยอยู่กับแม่ และเธอเลี้ยงสุนัขพันธุ์ชิสุที่ชื่อ... จีจี้ ซึ่งเคยเข้าประกวดสุนัขระดับเยาวชนมาก่อน
เมอร์เทิลไม่รู้ความจริงเสียด้วยซ้ำ... ว่าสุนัขที่เธอเลี้ยงดูอยู่เป็น "สัตว์ทดลองหมายเลข 007"
คนหัวอ่อนที่อวดฉลาดอย่างเมอร์เทิล จะเป็นสะพานชั้นดีที่จะพาไปสู่เป้าหมายแท้จริงในอีกมิช้า
รอยยิ้มชั่วร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าขึ้นมาในทันตา... ที่อ่านประวัติของเมอร์เทิลและดัชนีความเป็นไปได้ที่เธอรักและผูกพันกับสัตว์ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางสมองกลวงต่างหาก... ที่เป็น "ส่วนเกิน" ของเกาะนี้
ç=================è
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
กำลังโหลด...
ความคิดเห็น