ค่าเริ่มต้น
- เลื่อนอัตโนมัติ
- ฟอนต์ THSarabunNew
- ฟอนต์ Sarabun
- ฟอนต์ Mali
- ฟอนต์ Trirong
- ฟอนต์ Maitree
- ฟอนต์ Taviraj
- ฟอนต์ Kodchasan
- ฟอนต์ ChakraPetch
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Part 5 ปัญหาที่ต้องแก้
“คุณซองมิน เมื่อคืนนอนไม่หลับเหรอคะ” พยาบาลสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเมื่อเห็นคนไข้หนุ่มหน้าซีดเซียว ขอบตาดำคล้ำ ไม่สดใสอย่างที่เคย
ชายหนุ่มพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะรับยาหลังอาหารเช้ามาใส่มือไว้ แค่ถือเอาไว้แต่ยังไม่ทาน เหมือนกับทุกครั้งที่พยาบาลทุกคนเอามาให้
“มีปัญหาอะไรรึเปล่าคะ ดิฉันจะได้แจ้งคุณหมอให้ทราบ” พยาบาลผู้หวังดียังคงถามไถ่ด้วยน้ำเสียงอาทร แต่ซองมินกลับรีบส่ายหน้าปฏิเสธเพราะกลัวจะได้ยานอนหลับเพิ่มมาอีกชุด เขารู้ดีว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ต้องนอนถ่างตาอยู่เกือบทั้งคืน
ไม่ได้เกิดจากอาการทางจิตอย่างที่คุณพยาบาลเข้าใจหรอก แต่เป็นผลข้างเคียงจากการอยู่ใกล้ ‘หมอโรคจิต’ ต่างหาก
ซองมินตั้งใจแน่วแน่แล้วว่าต่อจากนี้จะไม่ขอพบหน้าคุณหมอหนุ่มคนนั้นอีกแล้ว และหวังว่าชาตินี้คงจะไม่ได้พบได้เจอกันอีก
หลังจากที่กำชับกำชาแกมออกคำสั่งนักหนาว่าไม่ให้บารอมรวมถึงอึนจูยุ่งกับชายหนุ่มคนนั้น เพื่อแลกกับการที่ซองมินจะได้ไม่ต้องคอยพะวงสะกดรอยตามเพราะกลัวผีเด็กทั้งสองตนจะก่อเรื่องวุ่นวาย ก็ไม่รู้ว่าทั้งสองตัว โดยเฉพาะบารอมจะเชื่อฟังเขามากแค่ไหน แต่ถ้าจะให้แอบตามผู้ชายคนนั้นอีกรอบซองมินก็ขอบาย
คนอะไร มีผีตามไม่พอ ยังยียวนกวนประสาท แถมยังมาลวนลามเขาด้วย
พอคิดถึงตรงนี้ ซองมินก็รู้สีกว่าหน้าของตัวเองร้อนผะผ่าวขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงยามที่ริมฝีปากได้รูปนั้นแตะเข้ากับแก้มของตัวเอง
“มีไข้รึเปล่าคะ หน้าแดงเชียว” พยาบาลสาวที่ยังคงอยู่ในห้องเพื่อตรวจอาการทั่วๆ ไปของซองมินร้องทักขึ้นมา เมื่ออยู่ๆ แก้มทั้งสองข้างของซองมินก็ขึ้นสีปลั่งผิดปกติ
“เปล่าครับ เปล่าๆ ไม่มีอะไรครับ” ชายหนุ่มรีบปฏิเสธแทบไม่ทัน ก่อนจะแกล้งกลบเกลื่อนด้วยการคว้ารีโมตที่อยู่ใกล้ๆ มือกดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ขณะที่พยาบาลสาวยังวัดความดันให้
นึกแล้วก็แปลกใจ ปกติเวลานี้บารอมต้องลอยเข้ามาจากทางระเบียงพร้อมกับร้องขอให้ซองมินเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปช่องการ์ตูนที่เจ้าตัวชื่นชอบ แต่วันนี้ไม่ยักเห็น ไม่รู้ว่าหายไปไหน
แต่ซองมินไม่ทันได้สงสัยนาน เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน ซองมินยังไม่ทันได้เห็นว่าใครเป็นผู้มาเยือนยามเช้าตรู่เช่นนี้ แต่ก็คาดเดาเอาเองว่าคงจะเป็นคุณหมอชินบยองชอล แพทย์เจ้าของไข้ที่เข้ามาเยี่ยมทุกเช้า แม้จะเห็นจากนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังว่าเวลานี้ยังเช้าเกินกว่าที่คุณหมอคนนั้นจะเข้ามาเยี่ยม
“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ” พยาบาลสาวรีบเก็บอุปกรณ์เมื่อเห็นว่ามีคนมาเยี่ยมก่อนจะทิ้งซองมินไว้ในห้องเพียงลำพังกับแขกผู้เข้ามาใหม่
ซองมินยังคงมองที่โทรทัศน์ตรงหน้าที่กำลังฉายละครตอนเช้า ไม่ค่อยใส่ใจแขกผู้มาเยือนเท่าใดนัก จาก บริเวณเอวที่มองแวบผ่านหางตา เห็นว่าเป็นเสื้อขาวแบบเสื้อกาวน์ของแพทย์ ก็ทำให้ซองมินคิดว่าคงจะเป็นนายแพทย์เจ้าของไข้ของตนเองจริงๆ
จนลืมคิดไปว่าหมอก็ใส่เสื้อกาวน์ขาวกันทุกคน ใช่ว่าจะมีเพียงแต่หมอประจำตัวซองมินเสียเมื่อไหร่
“ไม่คิดจะทักทายกันหน่อยเหรอครับคุณอีซองมิน ผมอุตส่าห์มาเยี่ยมแต่เช้านะ” เสียงทุ้มนุ่มรื่นหูที่คุ้นเคยดีทำให้ซองมินรีบหันขวับไปมองจนคอแทบเคล็ด เมื่อเห็นว่าเป็นใครชายหนุ่มก็อ้าปากค้างมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาตื่นตะลึง
ไอ้คุณหมอโรคจิต!
“คุณรู้ได้ไงว่าผมอยู่ที่นี่”
“แหมคุณก็ ผมเป็นหมอแผนกนี้นะครับ ก็ต้องเอาใจใส่คนไข้บ้างสิ จะรู้เลขห้องคุณก็ไม่เห็นแปลก” คยูฮยอนพูดพลางยักไหล่ด้วยทีท่าไม่ใส่ใจคนไข้หนุ่มที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับ ดูก็รู้ว่าคงจะยินดีกับการมาเยี่ยมเยือนของเขาเหลือเกิน
“คุณไม่ใช่แพทย์เจ้าของไข้ผมเสียหน่อย คงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรต้องมาเยี่ยม เชิญกลับไปเถอะครับ” ซองมินตัดรอนน้ำใจห้วนๆ อย่างไม่อ้อมค้อมชนิดที่ว่าถ้าเป็นคนอื่นคงหน้าหงายเงิบ แต่ไม่ใช่กับคยูฮยอนคนนี้ ที่ยิ่งเห็นซองมินโกรธขึ้งแบบนี้ยิ่งชอบใจ
น่ารักดีจริงๆ ให้ตายเถอะ!
“ถ้าอย่างนั้นผมก็มาเยี่ยมคุณในฐานะเพื่อนไง” คยูฮยอนยังคงลอยหน้าลอยตาตอบ ไม่สนใจเลยว่าซองมินทำหน้าเหมือนอยากจะเขวี้ยงรีโมตในมือใส่หัวเขานัก
“ผมจำไม่ได้ว่าเคยไปเป็นเพื่อนกับคุณตอนไหน แม้แต่ชื่อคุณผมยังไม่รู้จักเลย” ซองมินพูดพลางเบือนหน้าหนีไปอีกทาง กิริยาอาการที่คยูฮยอนมองว่าเป็นการค้อนดีๆ นี่เอง
จะว่าไป แล้วไอ้คุณหมอโรคจิตนี่รู้ชื่อเขาได้ยังไงกัน!
“ผมชื่อคยูฮยอน โจวคยูฮยอน ทีนี้เราก็รู้จักกันแล้ว เราจะเป็นเพื่อนกันได้รึยังครับ” คยูฮยอนแนะนำตัวเต็มยศพร้อมทั้งส่งรอยยิ้มที่คิดว่าดูเป็นมิตรมากที่สุดให้คนไข้หนุ่มที่ดูท่าทางก็รู้ว่าไม่อยากรับไมตรีจากเขาเท่าใดนัก
“คุณรู้จักชื่อผมได้ยังไง แล้วทำไมถึงต้องชอบมาวุ่นวายกับผมนัก” ซองมินถามเคืองๆ เพิ่งมาเอะใจได้ทั้งที่คยูฮยอนนั้นเรียกชื่อเขาไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง
“แค่ชื่อคุณมันไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถของผมที่จะรู้หรอกครับ ผมแค่อยากทำความรู้จักคุณให้มากกว่านี้ ก็แค่นั้นเอง”
“เฮอะ อาศัยเส้นใหญ่สินะ” ซองมินพึมพำกับตัวเองเบาๆ แต่ก็ดังพอให้ชายหนุ่มอีกคนในห้องได้ยินชัดเต็มสองรูหู
คยูฮยอนหน้าตึงไปนิด แต่ก็รีบกลับมาปรับสีหน้าให้ยิ้มแย้มเหมือนเดิม เพราะวันนี้จุดประสงค์ในการมาที่นี่เพื่อผูกมิตร ไม่ใช่ชวนเจ้าของห้องทะเลาะ ถึงแม้คนไข้หนุ่มคนนี้จะน่าจับฉีดยาสักร้อยรอบก็เถอะ
“หมดธุระก็กลับไปสิคุณ ผมต้องการเวลาพักผ่อนนะ ไม่มีการมีงานทำรึไงถึงได้มายุ่งวุ่นวายกับคนอื่นเขาอยู่ได้” เป็นอีกครั้งที่ซองมินออกปากไล่ตรงๆ โดยไม่คิดจะถนอมน้ำใจคยูฮยอนเลยสักนิด
“ผมมีเข้าเวรตอนสายๆ โน่นแหละ เวลาสำหรับคุณน่ะมีเยอะแยะ” คยูฮยอนพูดตาพราว บ่งบอกความนัยในประโยค
เวลาสำหรับอีซองมินน่ะมีเยอะทั้งชีวิตเลยก็ยังได้
“แต่ผมไม่ได้มีเวลาว่างมากขนาดนั้นหรอกนะ ช่วยกลับไปได้แล้วครับ ผมอยากอยู่คนเดียว แล้วถ้าจะให้ดีก็กรุณาอย่ามาพบผมอีกเลย ผมไม่อยากเจอเรื่องยุ่งยาก แต่พูดไปคนใจแคบอย่างคุณคงไม่เข้าใจหรอก” ซองมินพูดเสียงแข็งก่อนจะล้มตัวลงนอน สนใจมองแต่โทรทัศน์ตรงหน้า พยายามไม่หันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่ยังยืนอยู่ในห้อง คยูฮยอนจึงทำได้เพียงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่คนเดียวด้วยนอกจากจะถูกเมินแล้ว ยังถูกด่าแบบตรงๆ ไม่อ้อมค้อมตามแบบฉบับของซองมินเสียจนหน้าเริ่มชาดิก
“ผมไม่ถอดใจง่ายๆ หรอกนะ ถ้าผมอยากได้อะไร หรืออยากทำอะไรผมก็จะทำให้ได้ แล้วผมจะกลับมาอีกแน่” คยูฮยอนพูดทิ้งท้ายพลางส่งยิ้มบางๆ ให้ ประกาศสงครามอย่างโจ่งแจ้งกับซองมินที่หน้าเผือดซีดไปชั่วขณะ
ไม่ใช่เพียงแต่ประกาศสงครามกับเขา แต่ยังรวมถึงผีสาวอีกตัวที่วนเวียนอยู่รอบกายด้วย และสุดท้ายคนที่จะรับกรรมกับการกระทำของคยูฮยอนก็คงต้องเป็นซองมินคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“จะไปไหนก็ไปซักทีเถอะ ก็ยังดีที่อย่างน้อยวันนี้คุณก็ยังใส่สร้อย แล้วอย่าถอดมันอีกล่ะ” ซองมินพูดพลางปรายตามองคยูฮยอน ที่รู้ว่าตอนนี้คุณหมอหนุ่มยังสวมสร้อยอยู่เพราะไม่ยักจะเห็นผีสาวเจ้าเก่าที่ตามติดเขาแจเกาะหลังเขามาเหมือนอย่างเคย หวังเอาไว้ลึกๆ ว่าหากคยูฮยอนยังสวมสร้อยไม้กางเขนนี้ติดตัว ทั้งตัวเขาและคยูฮยอนเองคงจะปลอดภัยจากวิญญาณสาวผู้มีความอาฆาตแรงกล้านั้นได้บ้าง
ถึงคยูฮยอนจะนึกแปลกใจที่ซองมินรู้ได้อย่างไรว่าตนเองสวมสร้อยอยู่ทั้งที่เขาสวมเสื้อเชิ้ตและเสื้อกาวน์ทับจนมองไม่เห็นแม้แต่สายสร้อยโผล่พ้นคอเสื้อออกมา แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดใส่ใจจะถาม เดินออกจากห้องไปโดยมีสายตาสองคู่ที่มองตามหลังด้วยความกังวล
คู่หนึ่งเป็นของเจ้าของห้อง และอีกคู่หนึ่งเป็นของวิญญาณเด็กชายตัวน้อยที่แอบมองจากนอกระเบียงห้อง….
วันนี้ก็เป็นอีกเช่นเคยที่ซองมินทำหน้าที่ที่มอบหมายให้ตัวเองทำ
ดูแลผู้ชายคนหนึ่งที่ยังคงนอนหลับไม่ได้สติ
แม้ว่าร่างของคนที่นอนอยู่บนเตียงจะไม่ได้มีอะไรผิดปกติที่บ่งบอกว่าเจ็บหนักอาการสาหัส ไม่มีเครื่องช่วยหายใจ ไม่มีสายระโยงระยางต่อกับเครื่องมือทางการแพทย์ที่เห็นในห้องฉุกเฉิน มีเพียงแค่สายน้ำเกลือที่เสียบอยู่ที่แขนผอมแห้งจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกเท่านั้น
หากจะมีอาการเจ็บป่วยที่ทำให้ชายคนนี้ไม่ฟื้น คงจะเป็นอาการป่วยทางใจเสียมากกว่า
อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ชายคนนี้ยังไม่ตื่นขึ้นมาทั้งที่การผ่าตัดทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและไม่มีผลข้างเคียง นั่นคือหน้าที่อีกหนึ่งอย่างที่ซองมินต้องหาคำตอบ และหาทางช่วยผู้ชายคนนี้ให้ได้
หลังจากที่ทำกายภาพบำบัดให้ร่างที่นอนแน่นิ่งราวกับไร้วิญญาณเสร็จดังเช่นที่เคยทำทุกวัน ซองมินก็เอ่ยลาชายบนเตียงคนนั้นก่อนจะออกจากห้องเพื่อกลับไปยังห้องพักของตนเอง
เรื่องก็คงเป็นเหมือนทุกวัน ถ้าซองมินไม่บังเอิญผ่านไปได้ยินเสียงเล็กๆ ที่คุ้นเคยดี และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงใครกำลังโต้เถียงกันขณะที่เขาเดินผ่านหน้าห้องน้ำ
“ทำอย่างนี้มันจะดีแน่เหรอพี่บารอม อึนจูสงสารพี่พยาบาลคนนั้นนี่นา พี่เขาร้องไห้ด้วยนะ”
“พี่พยาบาลคนนั้นแค่ร้องไห้ แต่ถ้าเราไม่ทำพี่ซองมินอาจจะถูกหักคอตายเป็นวิญญาณเร่ร่อนแบบพวกเราก็ได้นะ เลือกเอาละกันว่าจะเอาทางไหน”
ชื่อของตัวเองที่ได้ยินจากบทโต้เถียงของวิญญาณเด็กทั้งสองตนทำเอาซองมินยิ่งสนใจ เงี่ยหูฟังจนแทบจะแนบกับประตูห้องน้ำ
“ต..แต่ ทำแบบนี้มันจะได้ผลจริงๆ เหรอ คุณหมอคนนั้นอาจจะไม่ได้เป็นแฟนพี่พยาบาลก็ได้” อึนจูพูดเสียงอ่อย
“ไม่รู้ล่ะ ใช่ไม่ใช่ก็ต้องลองดูก่อน ถ้าไม่ใช่ก็ค่อยว่ากันใหม่อีกที ตอนนี้ก็เอาแหวนนี่ซ่อนไว้ตรงนี้ก่อนเถอะ แล้วอย่าให้พี่รู้นะว่าเธอพยายามจะเอาไปคืนอีก ไม่งั้นพี่โป้งจริงๆ ด้วย”
ขาดคำบารอม ซองมินก็ได้ยินเสียงเล็กๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นอึนจูร้องครางในลำคอเหมือนจะร้องไห้ แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกเลย
ซองมินลองแง้มประตูห้องน้ำพลางกวาดตามองเผื่อว่าวิญญาณเด็กน้อยสองตนยังอยู่แถวนี้ และเมื่อไม่เห็นใครหรือสิ่งอื่นใดที่เป็นเจ้าของเสียงทะเลาะกันเมื่อครู่แล้ว ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไป
จากที่จับใจความได้เมื่อครู่ทำให้รู้ว่าเด็กแสบทั้งสองคนขโมยแหวนของพยาบาลคนหนึ่งมาซ่อนเอาไว้ในห้องน้ำนี้ แต่ปัญหาคือ แล้วมันเกี่ยวกับเขาอย่างไร ที่สำคัญกว่านั้นคือซ่อนเอาไว้ที่ไหน
ซองมินลองก้มๆ เงยๆ หาตามพื้นห้องน้ำ ใต้อ่างล้างมือ เปิดหาในห้องส้วมทุกห้อง ถึงขั้นเปิดฝาชักโครกดูแต่ก็ยังไม่เจอแหวนวงที่ว่าจนอ่อนใจ เขาต้องเอาแหวนวงนั้นไปคืนเจ้าของ เด็กทั้งสองคนถือว่าอยู่ในความดูแลของเขา เขาต้องรับผิดชอบกับความวุ่นวายและความเดือดร้อนที่ทั้งสองคนก่อ
แต่ไม่ว่าจะหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอจนซองมินเริ่มถอดใจ มีอยู่ทางเดียวคือต้องคาดคั้นเอาจากปากของคนซ่อนนี่ล่ะ กับบารอมนี่ต่อให้หาคีมมาง้างปากก็คงไม่พูดแน่ๆ ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าเด็กคนนี้ทั้งแสบทั้งดื้อแค่ไหน
แต่กับอึนจูนี่ก็ไม่แน่…
แล้วยิ่งท่าทางว่าอึนจูกำลังมีแนวโน้มว่าไม่อยากจะทำอยู่แล้ว ยิ่งเข้าทางซองมิน คิดได้ดังนั้นชายหนุ่มจึงละมือจากการหาแหวนในห้องน้ำ เดินกลับห้องพักของตัวเองพร้อมๆ กับเตรียมคำพูดล่อหลอกอึนจูไว้ในใจ
“ยังไม่เจออีกเหรอคะ” พยาบาลปาร์คมินจองเอ่ยถามพยาบาลสาวอีกคนที่กำลังกลุ้มใจเรื่องแหวนที่หายไป เธอเห็นยุนอาพยายามหาแหวนมาตั้งแต่เมื่อวานจนถึงวันนี้ อ่านจากสีหน้าที่ระทมทุกข์ของหญิงสาวก็พอเดาได้ไม่ยากว่าเธอคงยังหาแหวนวงที่ว่าไม่เจอ
“ยังเลยค่ะ พรุ่งนี้ก็เป็นวันครบรอบที่คบกัน 2 ปีด้วย ถ้าเขาเห็นฉันไม่ใส่แหวนจะต้องเสียใจมากแน่ๆ เลย” ยุนอาพูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
“มีเรื่องอะไรกันเหรอครับ” ซองมินที่กำลังจะเดินกลับห้องผ่านมาพอดีจึงอดเอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วงไม่ได้
“คุณอิมเขาทำแหวนหายน่ะค่ะ คุณอีพอจะเห็นบ้างมั้ยคะ” พยาบาลอีกคนเป็นคนตอบคำถามให้แทน
ซองมินร้องอ้อออกมาในใจ ที่แท้แหวนวงนั้นก็เป็นของยุนอานั่นเอง แต่พยาบาลอีกคนจะทำอย่างไรนะถ้ารู้ว่าต้นเหตุที่ทำให้แหวนวงนั้นหายไปเป็นเพราะลูกสาวของตัวเอง
“คุณปาร์คครับ….” ซองมินคิดจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป จนถึงตอนนี้เขายังไม่แน่ใจว่าพยาบาลคนนี้ทราบหรือยังว่าลูกสาวตัวเองเสียชีวิตไปแล้ว หรือทราบแล้วแต่ทำใจได้แล้วจึงไม่ได้มีทีท่าเสียใจอะไร
“คะ” พยาบาลเจ้าของนามสกุลนั้นเลิกคิ้วถามซองมินที่อยู่ๆ ก็เรียกเธอขึ้นมา
“อ๋อ..เปล่าครับ เดี๋ยวผมจะช่วยหาแหวนนะครับ ถ้าเจอจะรีบเอามาคืนให้” จบคำซองมินก็รีบก้าวไวๆ กลับไปที่ห้องของตัวเอง สร้างความงุนงงแก่สองพยาบาลไม่น้อยที่อยู่ๆ คนไข้หนุ่มก็รีบ เดินออกไปแบบนั้น
ทันทีที่เข้ามาถึงในห้อง ซองมินก็กวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วก็พบว่าไม่เห็นแม้แต่เงาของผีเด็กซักตัว
“อึนจู…อึนจู!” ซองมินลองเสี่ยงเรียกไปเผื่อเจ้าของชื่อจะได้ยิน “อึนจู! ออกมาหาพี่หน่อย เธออยู่แถวนี้รึเปล่า”
แล้วก็ได้ผลเมื่ออยู่ๆ ร่างของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ซองมินโล่งใจที่เห็นเธอมาแค่คนเดียว ไม่มีเด็กชายอีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วย
“พี่ซองมินเรียกหนูทำไมเหรอคะ” อึนจูถามเสียงใสก่อนจะเข้ามาเกาะแขนซองมินอย่างอ้อนๆ ที่ถ้าเป็นบารอมทำเจ้าตัวคงจะสะบัดให้หลุดแทบไม่ทันเพราะไม่ชอบสัมผัสของวิญญาณยามโดนตัวแล้วมันเย็นๆ วูบวาบอย่างบอกไม่ถูก แต่กับอึนจูนี่เป็นกรณียกเว้น
“พี่มีอะไรจะถามเธอหน่อย” ซองมินพูดเสียงเข้ม ลบรอบยิ้มกว้างบนใบหน้าอึนจู
“คะ”
“แหวนวงนั้นอยู่ที่ไหน”
ซองมินนึกค่อนขอดขาสั้นๆ ของตัวเองในใจ นอกจากจะเป็นปมด้อยที่โดนล้อมาตั้งแต่เด็กๆ จากเพื่อนในห้องว่าเขาน่ะสูงไม่สมกับเป็นผู้ชายหรือเรียกง่ายๆ ว่าเตี้ย ยังไม่พอตอนนี้ไอ้ขาป้อมๆ ที่ยาวไม่ถึงมาตรฐานนี้ยังเป็นอุปสรรคชิ้นโตในการเอื้อมเอาแหวนเพชรวงเล็กที่วางไว้บนช่องเพดานห้องน้ำอีก
ช่างเข้าใจหาที่ซ่อนจริงๆ นะเจ้าเด็กตัวแสบ
หลังจากที่ทั้งขู่เข็ญทั้งอ้อนวอนอึนจูจนสุดท้ายเจ้าตัวยอมเปิดปากบอกที่ซ่อนของแหวนที่ขโมยมา ซองมินก็กลับมาที่ห้องน้ำที่เดิมที่เคยมาเมื่อครู่ เรียกได้ว่ารีบบึ่งมาเท่าที่ขาสั้นๆ ของตัวเองจะเอื้ออำนวย
วิ่งจากห้องพักผู้ป่วยในแผนกจิตเวชชั้น 7 ขึ้นมาถึงห้องพักผู้ป่วยในทั่วไปชั้น 12 นี้ถึงกับทำซองมินหอบแฮ่กด้วยความเหนื่อยไม่ใช่น้อย แต่เขาก็รีบมาโดยไม่ได้หยุดพักเลย ถึงจะมีลิฟต์ให้ใช้งานแต่เขามีเหตุผลส่วนตัวที่ยอมเหนื่อยวิ่งขึ้นบันไดถึง 5 ชั้นโดยไม่ใช้ลิฟต์
แต่น่าเสียดายที่หลังจากพยายามเกลี้ยกล่อมให้อึนจูบอกที่ซ่อนแหวนมาได้ เจ้าตัวกลับไม่ยอมช่วยนำลงมาให้ด้วยเพราะกลัวบารอมจะโกรธหากให้การช่วยเหลือซองมินมากไปกว่านี้
สุดท้ายซองมินเลยต้องมายืนเขย่งอยู่บนแท่นอ่างล้างมือ แล้วใช้มือควานเข้าไปในซอกลึกเพื่อหาแหวนเจ้าปัญหาที่สองเด็กแสบอุตริเอามาซ่อนไว้ตรงนี้ ถ้าเขาสูงกว่านี้หน่อยคงไม่ต้องลำบากลำบนเขย่งแล้วเขย่งอีกจนเท้าจะเป็นตะคริวอยู่แล้ว
ชายหนุ่มร่างเล็กค่อยๆ เลื่อนกายไปทางซ้ายเพื่อขยายพื้นที่ในการหาก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อมือรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกราวกับจับเข้ากับก้อนน้ำแข็งทั้งที่สิ่งที่เขาคว้าได้มีเพียงอากาศเท่านั้น
สัมผัสที่คุ้นเคย ทำให้ซองมินสังหรณ์ใจบางอย่าง
ความเย็นเยียบแบบนี้เหมือนกับตอนที่บารอมกับอึนจูแตะตัวเขาไม่มีผิด
ทั้งที่รู้แล้วว่าคงจะสัมผัสเข้ากับ ‘อะไร’ บางอย่างเข้า แต่ซองมินก็ทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยใจระทึก
“อ๊ากกกกกกก!” เสียงแหลมเล็กหวีดออกมาดังลั่นเมื่อพบว่ามือของตัวเองกำลังจับที่หลังเท้าของชายคนหนึ่งที่นั่งคุดคู้อยู่ในมุมอับของช่องเพดาน ชายคนนั้นกำลังเงยหน้าขึ้นมองซองมินด้วยสายตาว่างเปล่า
อารามตกใจทำให้ซองมินปล่อยมือจากพื้นที่เกาะซึ่งจริงๆ แล้วมีเท้าของวิญญาณชายคนนั้นวางอยู่จึงทำให้เสียการทรงตัว ร่างบางจึงหงายหลัง ทำท่าจะหล่นแหล่มิหล่นแหล่จากแท่นอ่างล้างมือ
แต่ก่อนที่ร่างกายจะลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ ซองมินก็รู้สึกได้ถึงวัตถุแข็งๆ เย็นๆที่เข้ามาอยู่ในอุ้งมือข้างที่เคยจับที่เท้าของวิญญาณตนนั้น เข้ามาในมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ และก่อนที่ร่างทั้งร่างจะทันได้กระแทกพื้นกระเบื้องสีขาวสะอาดของห้องน้ำ ซองมินก็ทันได้เห็นรอยยิ้มเย็นๆ จากวิญญาณตนเดิมก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าไปซ่อนตัวในมุมลึกที่สุดของเพดาน
ซองมินรู้โดยทันทีจากสีหน้าของวิญญาณตนนั้นว่าเขาคงต้องการจะช่วยนำแหวนมาให้ แต่ถ้าจะให้ดีกว่านี้ช่วยโผล่มาดีๆ กว่านี้ไม่ได้หรือ หรือไม่ก็ช่วยไม่ให้เขาหล่นลงไปกระแทกพื้นด้วย
ซองมินหลับตาปี๋ด้วยความกลัว แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อมามันรวดเร็วเสียจนเขาตั้งตัวไม่ทัน เมื่อคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าหลังของตนเองต้องกระแทกเข้าอย่างจังกับพื้นกระเบื้องแน่ๆ แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาด้วยความแปลกใจว่าทำไมตกลงมากลับไม่เจ็บอย่างที่คิด ก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในวงแขนแข็งแรงของชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขายอมตกลงไปกระแทกพื้นให้หลังหักยังดีเสียกว่า
หากชายหนุ่มผู้หวังดีที่อุตส่าห์ช่วยรับร่างของเขาไว้นั้นไม่ใช่คนที่เขาพยายามจะหนีหน้าก็คงจะดี แต่มันก็คงดีกว่านี้ถ้าหากคุณหมอหนุ่มนามโจวคยูฮยอนจะสวมสร้อยก่อนจะช่วยเขาเอาไว้
เพราะไม่ใช่เพียงแต่คยูฮยอนเท่านั้นที่กำลังโอบอุ้มประคองเขาไว้ในอ้อมแขน ยังมีหญิงสาวอีกหนึ่งคนที่ชะโงกหน้าข้ามไหล่ของคยูฮยอนมาถลึงตามองหน้าเขาจนตาแทบถลน มือแห้งเหี่ยวที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดและกระดูกปูดโปนกำลังโอบข้ามต้นแขนของชายหนุ่มที่เธอเกาะอยู่มาที่ใบหน้าของเขา
-----------------------------------------------------------
61ความคิดเห็น